ท้าให้อ่าน

challenge to read  a book ท้าให้อ่าน
challenge to read a book ท้าให้อ่าน

รายการดีสำหรับเด็ก “ท้าให้อ่าน”
http://www.facebook.com/ReadThaiPBS
เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมแก้ปัญหาเรื่องรักการอ่านของคนไทย
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/14750
เพราะสถิติการอ่านของคนไทย 8 บรรทัดต่อปี เป็นตัวเลขเจ้าปัญหา

เมื่อ 6 มกราคม 2556 8.30 น. ผมดูรายการท้าให้อ่าน ช่อง Thai PBS
มีเพจที่ http://www.facebook.com/ReadThaiPBS
โดยค้นจากช่องค้นของ facebook ว่า “ท้าให้อ่าน”
เพจนี้เปิดตัว 15 พฤศจิกายน 2556
มี e-book แบบอ่านใน album 2 เล่มคือ
1. 100 เรื่องน่ารู้ร่างกายของเรา
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.395807353839733.94639.133643713389433
2. 100 เรื่องน่ารู้จากธรรมชาติ
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.395804967173305.94637.133643713389433


http://campus.sanook.com/1033124/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2-8-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88/

ศธ.เปิดงานวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ พ.ศ.2555 เผยคนไทยรู้หนังสือมากขึ้น ถึงร้อยละ 97 ส่วนการอ่านหนังสือยังน้อยเฉลี่ย 8 บรรทัดต่อปี ขณะที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน มาเลเซีย เวียดนาม อ่านหนังสือ 5 เล่มต่อปี

ศ.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดงานวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ พ.ศ.2555 พร้อมกล่าวว่า ปัจจุบันอัตราผู้รู้หนังสือของไทยเพิ่มขึ้น ขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 97 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 3 ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ จะเร่งผลักดันให้เยาวชนอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่รู้หนังสือ หากต้องการเรียนก็จะมีหลักสูตรเร่งรัด เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภายใน 8 เดือน คาดว่าจะมีผลให้ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ กลับมารู้หนังสือมากขึ้น

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า อัตราการอ่านหนังสือของคนไทย จากการสำรวจเมื่อปี 2553 อยู่ที่เฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม มีอัตราการอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 5 เล่ม ส่วนประเทศในแถบยุโรปอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 16 เล่ม คาดว่าการที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยมาจากการมีสื่ออื่นให้ศึกษาเพิ่มขึ้น ทั้งอินเทอร์เน็ต และช่องทางอื่นๆ อย่างไรก็ตาม กศน.จะเร่งผลักดันและส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น ด้วยโครงการบ้านหนังสือ กระจายหนังสือดีให้ประชาชนได้อ่าน . – สำนักข่าวไทย

คาถาชีวิต ของ วิกรม กรมดิษฐ์

คาถาชีวิต ของ วิกรม กรมดิษฐ์
คาถาชีวิต ของ วิกรม กรมดิษฐ์

ได้หนังสือ คาถาชีวิต ของ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ (เกิด 2496) มา 1 เล่ม
เป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม 2555 จำนวน 1 ล้านเล่ม
ซื้อจาก 7-eleven ตรงข้ามตลาดน้ำโท้ง เล่มละ 20 บาท
ในเล่มระบุราคา 100 บาท แต่ขายเพียง 20 บาทครับ
ที่สนใจหนังสือเล่มนี้ เพราะผู้ใหญ่เล่าให้ฟังในวันที่ 28 ธันวาคม 2555
จากตอนหนึ่งในโอวาทที่ผู้ใหญ่ให้ไว้ในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า
โดยหัวข้อที่หยิบมาขยายความคือหน้า 27

ยอมจำนนกับอดีต แต่ไม่ยอมแพ้กับอนาคต

เพราะอดีตที่ผ่านมาไม่สามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
เราต้องกล้ารับผิดชอบ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
เราต้องมีความมุ่งมั่น อดทน อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ

http://www.vikrom.net/

ซึ่งหนังสือที่ได้มาผมเข้าไปถาม 7-eleven เป็นร้านที่ 3 จึงได้มา
คาดว่าระแวกร้านของ 2 ร้านแรกมีนักเดินทางผ่านไปมาบ่อย
ทำให้หนังสือหมดเร็วมาก
เพราะพนักงานก็บอกว่าหนังสือขายดีมาก สั่งเพิ่มแล้วก็ยังไม่ได้

หนังสือเล่มนี้ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด ‘คาถาชีวิต
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2555 หนังสือว่าด้วยเรื่องราวของความคิด
อันผ่านการเพาะบ่มจากประสบการณ์และวันเวลา
บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน)

60 วลี หรือคาถาชีวิต ที่ http://www.thaiall.com/blog/admin/4718/

สวดมนต์ข้ามปี 2555 – 2556

New year 2555 - 2556
New year 2555 - 2556

31 ธ.ค.55 ไปสวดมนต์ข้ามปีที่วัดป่าชัยมงคล ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง
นำโดยพระครูสังฆรักษ์วิชพงษ์ เทศหลายเรื่อง

มีประเด็นเบื้องต้น ดังนี้
1) สุขเกิดจากใจ มิใช่กิน หรือเที่ยว แต่ไม่ไกลจากวัดนักมีคาราโอเกะหลายบ้าน ในหมู่บ้านจุดประทัดสนั่นหวั่นไหว เสียงกระทบเข้ามาขณะเจริญสติ
2) ผลของทำบุญ จะขอเป็นรางวัลก็คงไม่ใช่ เพราะไม่เป็นเหตุเป็นผลแก่กัน ทำบุญเจริญสติ ใครทำใครก็ได้ จะทำเผื่อกันคงไม่ได้
3) จงใช้ชีวิตกันอย่างอดทน และมุ่งมั่น อย่างการทำบุญ หรือเจริญภวนาจะขอให้เห็นผลใน 3 วันคงไม่ได้ ครูที่เงินเดือนสูง และประสบความสำเร็จในงานก็เพราะอดทน ค่อย ๆ ทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่วิศวะที่เปลี่ยนงานหลายครั้งไม่อดทนก็เหมือนย่ำอยู่กับที่
4) มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา สอนให้รู้ว่าลดการยึดมั่นถือมั่นลงบ้าง ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นภาพลวงตา มาแล้วก็ไป
5) ทำบุญตอนมีพร้อม ทั้งเวลา และร่างกายดีกว่าทำตอนเหลือเวลาน้อยและไม่พร้อม เพราะอายุน้อยขันธ์ 5 ยังพร้อม
โดยขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
6) ก่อนถึง 24.00น. เทศมหาชาติ คือ เทศนาเวสสันดรชาดก มีทั้งหมด 13 กัณฑ์  ครั้งนี้เทศน์ กัณฑ์ทศพร
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXlOVEV5TURrMU13PT0
1.กัณฑ์ทศพร
เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่นางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร โดยให้พร 10 ประการ
2.กัณฑ์หิมพานต์
เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรบริจาคทานช้างปัจจัยนาค ประชา ชนชาวเมืองสีพีโกรธแค้น จึงขับไล่ให้ไปอยู่เขาวงกต
3.กัณฑ์ทานกัณฑ์
เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงแจกสัตสดกมหาทาน คือ การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนออกจากพระนคร
4.กัณฑ์วนปเวศน์
เป็นกัณฑ์ที่เสด็จถึงเขาวงกต ได้พบศาลาอาศรม ซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตให้ พระเวสสันดร พระนางมัทรี ชาลีและกัณหา จึงทรงผนวชเป็นฤาษีพำนักในอาศรมสืบมา
5.กัณฑ์ชูชก
เป็นกัณฑ์ที่ชูชกได้นางอมิตดามาเป็นภรรยา และหมายจะได้โอรสและธิดาพระเวสสันดรมาเป็นทาส
6.กัณฑ์จุลพน
เป็นกัณฑ์ที่พรานเจตบุตรหลงกลชูชก และชี้ทางอาศรมจุตดาบส ชูชกได้ชูกลักพริกขิงแก่พรานเจตบุตร อ้างว่าเป็นพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสญชัย จึงได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤาษี
7.กัณฑ์มหาพน
เป็นกัณฑ์ป่าใหญ่ ชูชกหลอกล่ออจุตฤาษีให้บอกทางสู่อาศรมพระเวสสันดร
8.กัณฑ์กุมาร
เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงให้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก
9.กัณฑ์มัทรี
เป็นกัณฑ์ที่พระนางมัทรีทรงได้ตัดความห่วงหาอาลัยในสายเลือด อนุโมทนาทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก
10.กัณฑ์สักกบรรพ
เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์จำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี แล้วถวายคืนพร้อมถวายพระพร 8 ประการ
11.กัณฑ์มหาราช
เป็นกัณฑ์ที่เทพเจ้าจำแลงองค์ทำนุบำรุงขวัญสองกุมาร ก่อนเสด็จนิวัตถึงมหานครสีพี
12.กัณฑ์ฉกษัตริย์
เป็นกัณฑ์ที่ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเมื่อได้พบหน้ากัน ท้าวสักกะเทวราชได้ทรงบันดาลให้ฝนตกประพรมหกกษัตริย์
13.กัณฑ์นครกัณฑ์
เป็นกัณฑ์ที่หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จนิวัตพระนคร พระเวสสันดรขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา
http://www.thaiall.com/lovelampang/watchaimongkol.htm

อาจารย์กูคือใคร

คำค้น นักศึกษา
คำค้น นักศึกษา

อาจารย์กูคือใคร (itinlife376)

คำว่า ครู อาจารย์ หมายถึง ผู้สั่งสอนศิษย์ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ผู้สอนให้ศิษย์เห็นแจ้ง แนะนำศิษย์ให้พ้นจากปัญหา ผู้เชี่ยวชาญทางปรัชญา ผู้มีความรู้สูง ผู้ให้ความรู้ให้คำแนะนำ เป็นที่พึ่งของผู้ไม่รู้ได้ เมื่อเทคโนโลยีการสืบค้นข้อมูลได้ถูกพัฒนาและเป็นที่ยอมรับว่าเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ตรงประเด็น และตอบคำถามได้ จึงมีศัพท์คำว่าอาจารย์กู หรืออาจารย์กู๋เกิดขึ้น หมายถึง เว็บไซต์กูเกิ้ล (google.com) ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูล เมื่อมีคำถามแล้วใช้คำค้นที่เหมาะสมก็จะได้คำตอบที่ต้องการเป็นส่วนใหญ่ เปรียบเสมือนผู้ช่วยแก้ปัญหา ตอบคำถาม และช่วยเหลือผู้ไม่รู้ได้เสมอ

ปัจจุบันร้านหนังสือหรือสำนักพิมพ์หลายแห่งเริ่มประสบปัญหาการทำธุรกิจ เพราะผู้คนอ่านสื่อสิ่งพิมพ์น้อยลง ดูทีวีน้อยลง ฟังวิทยุน้อยลง แต่เข้าอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ดูคลิ๊ปจาก youtube.com เพิ่มขึ้น ทำให้คนพันธุ์ใหม่เริ่มลดการซื้อหนังสือ แต่หาข้อมูล หาคำตอบจากกูเกิ้ลแทน และใช้ชีวิตในเครือข่ายสังคม หรือเกมออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ มีอยู่วันหนึ่งผู้เขียนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษาอยากทราบว่านักศึกษาควรประพฤติตัวอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร จึงใช้คำว่านักศึกษาไปค้นในกูเกิ้ล โดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลเชิงแนะนำจากอาจารย์กู

ผลการสืบค้นคำว่านักศึกษา จาก google.com ไม่เป็นไปดังที่คาดไว้ เพราะพบคลิ๊ปรุนแรง ภาพติดเรท และเว็บผู้ใหญ่ในช่วงต้นของรายการ ซึ่งเป็นเรื่อง sex และ violence  จึงเป็นที่มาของคำถามว่าเราหวังฝากผีฝากไข้ได้มากน้อยเพียงใดกับข้อมูลที่ได้จากอาจารย์กู ในขณะที่โลกเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคคลิ๊ก หรือยุคจิ้มเขี่ย เด็กประถม 1 เข้าถึงอาจารย์กูตามนโยบายของรัฐบาล เด็กมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัยต่างรู้จักอาจารย์กู แล้วครู อาจารย์ก็มักมอบหมายให้ไปสืบค้น แทนการพึ่งพาหนังสือที่ฉายภาพว่าทันสมัยรู้จักใช้เทคโนโลยี แม้อาจารย์กูจะตอบคำถามมากมายได้ถูกต้อง แต่ก็มีข้อมูลเชิงลบมากมายคละเคล้ากับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ก็เพียงแต่หวังว่าเด็กประถมจะมีวิจารณญาณในการเลือกรับสื่อ รู้จักผิดชอบชั่วดีผ่านการแนะนำจากครูประจำชั้น หากจะหวังให้กูเกิ้ลเลือกเฉพาะสารสนเทศที่ดีเชิงบวกอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะกระแสวัฒนธรรมเปลี่ยนไป ต่อไปก็คงหวังพึ่งได้แต่คำว่าวิจารณญาณของผู้รับสารเท่านั้น

ผลจัดอันดับตามสื่อช่วงสิ้นปี (itinlife375)

facebook ranking
facebook ranking

30 ธ.ค.55 หนึ่งปีมี 365 วัน ซึ่งเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ถูกรวบรวมเป็นข้อมูล เมื่อนำมาประมวลหรือวิเคราะห์แล้วนำมาจัดอันดับ รายงานสรุปและเผยแพร่ ทุกองค์กรมีหน้าที่ทำรายงานประจำปี หน่วยงานอิสระ เอกชน หรือภาครัฐหลายแห่งมีหน้าที่รวบรวมข้อมูล เสนอประเด็นตามบทบาท หรือความเชี่ยวชาญของตน หน่วยงานทางการศึกษามีการรายงานข้อมูลว่าสถาบันใดมีคุณภาพ โดยให้คะแนนตามเกณฑ์ หน่วยงานด้านความบันเทิงก็จะจัดอันดับเพลง ภาพยนตร์ หรือนักแสดง หน่วยงานด้านความปลอดภัยก็จะเก็บสถิติ 7 วันอันตรายและเผยแพร่แบบวันต่อวันให้ประชาชนได้ตระหนักรู้และใช้สารสนเทศอย่างรู้เท่าทัน

ผลการจัดอันดับมีประโยชน์ทั้งต่อผู้ที่ได้คะแนนสูง และได้คะแนนต่ำ เพราะผู้ที่มีคะแนนดีก็จะนำผลจัดอันดับไปประชาสัมพันธ์องค์กร ถือเป็นความสำเร็จที่จะต้องส่งต่อให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มยอดขายและยอดลูกค้า ส่วนผู้ที่ได้คะแนไม่ดีก็จะศึกษาเกณฑ์การให้คะแนน ทบทวนจุดแข็งจุดอ่อนในอดีตว่าสอดรับกับเกณฑ์ที่ผู้จัดอันดับใช้พิจารณาหรือไม่ แล้วเพิ่มทรัพยากร วางแผนพัฒนา จัดให้มีกลไกรองรับสำหรับปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้มีการดำเนินการจนผ่านเกณฑ์ได้ชัดเจน และนำองค์กรสู่สนามการแข่งขันต่อไป แต่หากไม่สนใจแล้วรอโชคชะตาบันดาลให้ก็จะทำให้องค์กรหลุดจากวงจรการแข่งขันในกลุ่มนั้น ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผลการจัดอันดับหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงสิ้นปี ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เกิดผลดีต่อผู้บริโภคที่ใช้ข้อมูลชัดเจน แต่ผลเสียต่อผู้ผลิตที่อยู่ท้ายตารางมักเป็นผลกระทบใหญ่หลวงนัก หลายองค์กรต้องยุบรวม ปิดกิจการ หรือเลิกจ้างบุคลากรนับหมื่นคน ในทางกลับกันผู้ที่ประสบความสำเร็จก็จะยิ่งทะยานไปข้างหน้า เพราะมีทรัพยากรที่พร้อม แต่ผู้ที่อยู่ส่วนท้ายของรายงานมักมียอดขายตกลง ส่งผลให้มีงบประมาณน้อยลง ประชาสัมพันธ์หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้น้อยลง ย้อนกลับไปกระทบยอดขายให้ลดลงอีกรอบ ส่งผลโดยตรงต่อความอยู่รอดขององค์กร เหตุการณ์ข้างต้นเป็นกระแสวัฒนธรรมการบริโภคที่อำนาจการตัดสินใจเป็นของผู้บริโภคที่จะเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ แล้วการแข่งขันแบบนี้ก็จะพบได้ตลอดเวลาในสังคมบริโภคนิยม ที่เสพสื่อมาประกอบการตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ

http://www.thairath.co.th/content/oversea/260523

http://www.2poto.com/201011291879/2010-11-29-09-36-47-1879.html

อวยพรปีใหม่ 2556


28 ธ.ค.55 ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเนชั่น (Nation University)
ได้ฉายภาพเรื่องราวมากมายในปี 2555 และหนุนใจให้บุคลากรทำงานอย่างมีความสุข
ซึ่งมีประเด็นที่ผมพอจำได้ ดังนี้
1. สนับสนุนให้ทำงานกัน แบบ collaboration ไม่ใช่ co-operation
2. ยกตัวอย่างเรื่องที่ 3 ของท่าน ว. ที่เคยเล่านิทานธรรมเรื่อง “หยิบคุ๊กกี้ก่อนขึ้นเครื่องของคุณผู้หญิง” โดยใช้ภาษาว่า Are you sure? จากพิธีประสาทปริญญาบัตร 2555 .. คำถามคือ ท่านแน่ใจแล้วหรือ ที่คิดอย่างนั้น (ซึ่งแฟนผมก็ยิ้ม แสดงว่าฟังเหมือนกัน)
3. ประเทศราช n. colony Class หมายถึง อาณานิคม เมืองขึ้น อาทิ มาเลเซียเคยเป็นประเทศราชของอังกฤษมาก่อน
4. แนะนำหนังสือของคุณวิกรม กรมดิษฐ์ เล่าเรื่องความสำคัญของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ว่าคนที่ผ่านอดีตมามาก มักติดสินใจถูก แต่ก็ไม่เสมอไป .. คุณวิกรม ล้มมาหลายครั้ง แต่บั้นปลายก็ประสบความสำเร็จ และที่ทำอยู่ก็ไม่รู้จะหาเงินมาทำอะไร
ทุกวันนี้ก็ “ทำให้ ไม่ได้ทำเอา
.. หนังสือ คาถาชีวิต เล่มละ 20 บาท ที่ 7-eleven
http://www.booksmile.co.th/index.php?lay=show&ac=cat_show_pro_detail&pid=248216
5. อธิบายเรื่องการต่อสู้ ของกำลังคนหลักร้อยกับหลักหมื่น
เป็นเรื่องของ สงครามเธอร์โมไพเล ซึ่งกษัตริย์เลโอนิดาส์ (เจอราร์ด บัทเลอร์) และกองทัพสปาร์ตัน 300 นาย ที่ยอมพลีชีพต่อสู้กับ เซอร์เซส และกองทัพมหึมาแห่งเปอร์เซีย นับหมื่น (สุดท้าย 300 ก็ตายเรียบ) ที่ต่อสู่เพื่อความคงอยู่อย่างมีศรัทธา การยืนหยัด การไม่ยอมแพ้ โดยเด็กน้อยจะถูกฝึกให้ต่อสู้ ค่อย ๆ เติบโตเป็นผู้อยู่รอดในดินแดน

แล้วหลังทางเลี้ยงเสร็จ อ.วีระพันธ์ แก้วรัตน์ ร้องเพลงศรัทธา ให้พวกเราฟัง

ขอเตือน .. เซ็กซี่มีเสน่ห์เกินไป ก็ถูกไล่ออกได้

http://www.happyindress.com/%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%87/
http://www.happyindress.com/

รอยเตอร์ – ศาลสูงสุดไอโอวาชี้ขาด นายจ้างสามารถไล่พนักงานออกได้อย่างถูกกฏหมาย ถ้าลูกจ้างเหล่านั้นสวยหรือหล่อเตะตามากเกินไป โดยการตัดสินให้ หมอฟันรายหนึ่งไม่มีความผิดฐานละเมิดสิทธิพลเรือน หลังเลิกจ้างผู้ช่วยสาว เนื่องจากภรรยาของเขามองว่าเธอเป็นภัยคุกคามชีวิตการแต่งงาน

เมลิสซา เนลสัน ผู้ช่วยทันตแพทย์สาว ซึ่งทำงานให้กับหมอ เจมส์ ไนท์ มานานกว่า 10 ปี ยื่นฟ้องต่อศาลโดยกล่าวว่า เธอจะไม่ถูกไล่ออกหากเธอเป็นผู้ชาย พร้อมกับยืนยันว่า เธอไม่เคยให้ท่าเขา

ขณะที่ทันตแพทย์ไนท์เผยในชั้นศาลว่า เขาบ่นเนลสันไปหลายครั้งว่าเสื้อผ้าของเธอรัดรูปเน้นส่วนสัดมากเกินไป และยังทำให้เสียสมาธิ

อย่างไรก็ตาม จากคำให้การ หมอฟันหนุ่มเริ่มส่งข้อความพูดคุยกับผู้ช่วยสาวในช่วงปี 2009 แม้ว่าข้อความส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงาน และไม่มีพิษมีภัย แต่บางข้อความก็มีเนื้อหาอนาจาร โดยหนึ่งในนั้น ไนท์เอ่ยถามเนลสันว่า เธอถึงจุดสุดยอดบ่อยแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น

ปลายปี 2009 ภรรยาของหมอไนท์เจอข้อความโต้ตอบระหว่างทั้ง 2 คน และเรียกร้องให้สามีของเธอเลิกจ้างผู้ช่วยสาวคนดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า “เธอกำลังเป็นภัยร้ายแรงต่อชีวิตการแต่งงานของพวกเขา” และในช่วงต้นปี 2010 เขาก็ไล่เธอออก

หลังจากนั้น เนลสันจึงยื่นฟ้องดำเนินคดี โดยว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอคิดเสมอว่านายแพทย์เป็นเหมือนเพื่อน และพ่อ โดยชี้ว่า เธอจะไม่ถูกเลิกจ้างหากเธอเป็นเพศชาย

ด้านหมอไนท์แย้งว่า เนลสันไม่ได้ถูกไล่ออกเพราะเพศ เนื่องจากลูกจ้างทั้งหมดของเขาก็เป็นผู้หญิง แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอเริ่มพัฒนาไปจนอาจทำลายครอบครัวของเขา

คณะผู้พิพากษา 7 คน ซึ่งเป็นชายทั้งหมด ชี้ว่า คำถามพื้นฐานในคดีนี้อยู่ที่ว่า ลูกจ้างซึ่งไม่ได้กระทำการอันเป็นการยั่วยวนให้ท่า อาจถูกเลิกจ้างได้อย่างถูกกฏหมาย เพียงเพราะนายจ้างมองว่าลูกจ้างเหล่านั้นมีเสน่ห์จนไม่สามารถต้านทานได้

ทั้งนี้ ศาลสูงพิพากษาว่า นายจ้างสามารถไล่พนักงานออกได้ หากพวกเขามองว่าลูกจ้างเหล่านั้นน่าดึงดูดใจเกินไป และการกระทำเช่นนั้นไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ผิดกฏหมาย

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000155212

wonder woman
wonder woman

REUTERS – The Iowa Supreme Court ruled on Friday that employers in the state can legally fire workers they find too attractive.

In a unanimous decision, the court held that a dentist did not violate the state’s civil rights act when he terminated a female dental assistant whom his wife considered a threat to their marriage.

The dental assistant, Melissa Nelson, who worked for dentist James Knight for more than 10 years and had never flirted with him, according to the testimony of both parties, sued, saying she would not have been fired if she were a man.

At trial, Knight testified he had complained to Nelson on several occasions that her clothing was too tight, revealing and “distracting.”

But sometime in 2009, he also began exchanging text messages with Nelson. Most of these were work-related and harmless, according to testimony. But others were more suggestive, including one in which Knight asked Nelson how often she had an orgasm. She never answered the text.

In late 2009, Knight’s wife found out about the text exchanges and demanded her husband terminate the dental assistant because “she was a big threat to our marriage.

In early 2010, he fired her, saying their relationship had become a detriment to his family.

Nelson sued, saying that she had done nothing wrong, that she considered Knight a friend and father figure, and that she would not have been terminated but for her gender.

Knight argued that Nelson was terminated not because of her gender – all the employees of his practice are women – but because of the way their relationship had developed and the threat it posed to his marriage.

The seven justices, all men, said the basic question presented by the case was “whether an employee who has not engaged in flirtatious conduct may be lawfully terminated simply because the boss views the employee as an irresistible attraction.

The high court ruled that bosses can fire workers they find too attractive and that such actions do not amount to unlawful discrimination.

The case was Melissa Nelson v. James H. Knight DDS, PC and James Knight. (Reporting by James B. Kelleher in Chicago; Editing by Eric Beech)

http://in.reuters.com/article/2012/12/22/usa-law-iowa-sex-idINDEE8BL00J20121222

http://www.comicvine.com/forums/battles/7/superwoman-vs-wonder-woman/608741/

สัมภาษณ์บัณฑิต ม.เนชั่น

21 ธ.ค.55 สัมภาษณ์บัณฑิต สาขาวิชาระบบสารสนเทศ (Computer Information Technology) คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (Faculty of  Information Technology)  (กลุ่มเสื้อเหลืองเพราะมีแถบสีเหลือง) แสดงความในใจหลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเนชั่น ในพิธีประสาทปริญญาบัตร แก่บัณฑิตและมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเนชั่นลำปาง ครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555 (วันเดียวกับวันโลกแตก) ซึ่งประเด็นที่ศิษย์สะท้อนก็จะเป็นหลักสูตร อาจารย์ โปรเจค และงานที่ทำ

สัมภาษณ์ 8 บัณฑิต
1. บัณฑิต นวลถนอม ไร่นากิจ

2. บัณฑิต วัลลียา ปุ๊ดสา

3. บัณฑิต ภาวิณี อินติ๊บ

4. บัณฑิต นันทวัฒน์ ธีรวัฒน์วาที

5. บัณฑิต วณัฐพงศ์  สุวรรณศิลป์

6. บัณฑิต รพีพรรณ ใจเที่ยง

7. บัณฑิต หทัยทิพย์ ขัติยะ

8. บัณฑิต ปทุมพร เมืองเมา

บูมพี่บัณฑิตหน้าบูท
http://thaiabc.com/lampangnet/admin/502/

ผลสำรวจแกลลัปโพล ระบุประชาชนของประเทศใดติดอันดับ 5 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก

happiest people
happiest people

ผมว่าคนไทย ติด top 10 เรื่องความสุขของคนในชาติ ก็ไม่น่าแปลก
และคนที่สิงค์โปร์ที่จริงจังกับชีวิตเป็นชนชาติที่ไร้ความสุขที่สุด ก็ไม่น่าแปลก
เพราะถ้าเราจริงจังกับชีวิตยิ่งขึ้น ความสุขก็จะลด ประเทศก็จะพัฒนาเร็วขึ้น
ตัวอย่าง กระทรวงมหาดไทยระงับการเข้าถึง facebook
ย่อมทำให้ความสุขลด และบุคลากรในหน่วยงานของทางการก็จะตั้งใจทำงานยิ่งขึ้น
แต่ถ้าถามผู้ใช้ fb ว่าจะระงับดีไหม ถ้าระงับแล้วความสุขจะลดลงไหม
.. ผมว่าไม่ต้องไปถามหรอกครับ เพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว
http://thaiabc.com/lampangnet/admin/378/

ประชาชนของประเทศที่มีความสุขที่สุด (happiest people)

1. ปานามา (Panama)
2. ปารากวัย (Paraguay)
3. เอลซัลวาดอร์ (El Salvador)
4. เวเนซูเอล่า(Venezuela)
5. ตีนิแดด แอนด์ โตเบโก (Trinidad and Tobago)
6. ไทย (Thailand)
7. กัวเตมาลา (Guatemala)
8. ฟิลิปปินล์ (the Philippines)
9. เดกวาดอร์ (Ecuador)
10. คอสตาริกา (Costa Rica)

http://www.news.com.au/lifestyle/gallup-inc-poll-reveals-happiest-people-live-in-latin-america/story-fneszs56-1226540964618
http://www.gallup.com/home.aspx

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์

– ผลสำรวจของ “แกลลัปโพล” ชี้ คนไทยเป็นชนชาติที่มองโลกในแง่ดีและมีอารมณ์เชิงบวกเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชียและติดอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนคนสิงคโปร์รั้งตำแหน่งสุดยอดชนชาติ “มองโลกแง่ร้าย” และ “ไร้ความสุข” มากที่สุด
ผลสำรวจของแกลลัปซึ่งเก็บข้อมูลใน 148 ดินแดนทั่วโลกในปีที่ผ่านมา และมีการเผยแพร่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ในวันพุธที่ 19 ธ.ค.55 ระบุว่า ประชาชนที่อาศัยในประเทศปานามา ในภูมิภาคอเมริกากลาง และในประเทศปารากวัยในทวีปอเมริกาใต้ ครองอันดับ 1 ร่วมกันในฐานะชนชาติที่มองโลกในแง่ดีและมีอารมณ์ในเชิงบวกมากที่สุด จากการทดสอบซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยในประเทศทั้งสองได้คะแนนถึงร้อยละ 85 จากเกณฑ์การประเมินความสุข 5 ข้อของแกลลัป ซึ่งรวมถึงจำนวนของการยิ้ม การหัวเราะในแต่ละวัน การได้พักผ่อนเพียงพอ การรู้สึกมีความสุขกายสบายใจระหว่างวัน การรู้สึกได้รับการเคารพหรือยอมรับ ตลอดจนการได้ลงมือทำในสิ่งที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในแต่ละวัน
ส่วนชาวเอลซัลวาดอร์ และเวเนซุเอลา ได้คะแนนลดหลั่นลงมาที่ร้อยละ 84 เท่ากัน ตามมาด้วยคนไทย และชาวหมู่เกาะตรินิแดดแอนด์โตเบโกในทะเลแคริบเบียน ที่ได้ร้อยละ 83 เท่ากันจากเกณฑ์ประเมินทั้ง 5 ข้อ รองลงมาคือชาวกัวเตมาลา และชาวฟิลิปปินส์ ที่ได้ร้อยละ 82 เท่ากัน ส่วนชาวเอกวาดอร์ และคอสตาริกาได้ร้อยละ 81 เท่ากัน
ผลสำรวจที่ออกมาสรุปได้ว่า ใน 10 อันดับแรกของบรรดาชนชาติที่คิดบวก มองโลกในแง่ดี และมีความสุขในการดำเนินชีวิตมากที่สุดในโลกนั้นมีชาติจากเอเชียติดโผเพียง 2 ชาติเท่านั้น คือ คนไทย ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ ส่งผลให้คนไทยได้ครองแชมป์สุดยอดชนชาติที่ “มีความสุขที่สุดของทวีปเอเชีย” ไปโดยปริยาย
ในทางกลับกัน ผลสำรวจพบว่าคนที่อาศัยในสิงคโปร์เป็นผู้ที่มีอารมณ์เชิงลบระหว่างวัน และมองโลกคับแคบที่สุดในโลก โดยชาวสิงคโปร์ได้คะแนนจากเกณฑ์การประเมินความสุขระหว่างวันทั้ง 5 ข้อของแกลลัป เพียงแค่ร้อยละ 46 เท่านั้น ทั้งที่ชาวสิงคโปร์เป็นหนึ่งในชนชาติที่ร่ำรวยและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีที่สุดในโลก ส่วนชนชาติที่ได้คะแนนน้อยรองลงมาจากสิงคโปร์ คือ ชาวอาร์เมเนีย และชาวอิรักที่ได้คะแนนความสุขระหว่างวันที่ร้อยละ 49 และ50 ตามลำดับ ขณะที่ชาวจอร์เจีย เยเมน และเซอร์เบีย อยู่ที่ร้อยละ 52 เท่ากัน
ทีมนักวิเคราะห์ของแกลลัปเผยว่า พวกเขาถึงกับตะลึงกับผลการสำรวจที่ออกมา เนื่องจากผลสำรวจบ่งชี้ว่า ประชาชนที่อาศัยในประเทศร่ำรวยและมีเศรษฐกิจดี ไม่จำเป็นต้องมีความสุขเสมอไป เห็นได้จากกรณีของปานามาที่เป็นชาติที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ในอันดับที่ 90 ของโลก กลับกลายเป็นชนชาติที่มีอารมณ์เชิงบวกและมีความสุขในแต่ละวันของชีวิตมากที่สุด สวนทางกับชาวสิงคโปร์ที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจและมีรายได้ต่อหัวติดอันดับต้นๆ ของโลกทุกปี แต่กลับกลายเป็นชนชาติที่ไร้ความสุขในชีวิตและมองโลกติดลบมากที่สุด
ด้านดาเนียล คาห์เนมัน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล และแองกัส ดีตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในสหรัฐฯ ต่างออกมาให้ความเห็นที่สอดคล้องกันว่า การมีรายได้สูงไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า หรือมีความสุขมากกว่าเสมอไป และถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจหากจะพบว่าผู้คนที่อาศัยในดินแดนที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจจนมีจีดีพีเติบโตพุ่งพรวด มักใช้ชีวิตอย่างเคร่งเครียด ปราศจากความสุข เพราะในแต่ละวัน คนกลุ่มนี้ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะแวดล้อมของการ “แก่งแย่งแข่งขัน” ตลอดเวลา โดยคาห์เนมันและดีตันชี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่บรรดาผู้นำประเทศทั่วโลกต้องทบทวนว่า “จีดีพีที่สูงลิ่ว” สามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้จริงหรือไม่
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000154444

The world’s 15 happiest countries
http://www.washingtonpost.com/business/economy/the-worlds-15-happiest-countries/2012/03/29/gIQA6ZIFkS_gallery.html

เจ้าของ Mcafee Anti-virus ถูกจับ ต้องสงสัยว่าฆ่าเพื่อนบ้านแล้วหนี

john mcafee
john mcafee

John McAfee กูรูซอฟต์แวร์ต้านไวรัส (Anti-virus software)
โดนจับใน “กัวเตมาลา” หลังถูกระบุอาจพัวพันฆ่าคนตายในเบลิซ (Belize)

5 ธ.ค.55 รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ – จอห์น แม็คอะฟี กูรูซอฟต์แวร์ ด้านแอนตี้ไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อก้องโลกชาวอเมริกัน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการตัวของทางการประเทศเบลิซจากข้อสงสัยที่ว่าเขาอาจมีส่วนพัวพันกับการสังหารเพื่อนบ้าน ถูกจับตัวได้แล้วในประเทศกัวเตมาลาเมื่อวันพุธ 5 ธ.ค.55 ทั้งนี้เป็นการยืนยันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของกัวเตมาลา
รายงานข่าว ซึ่งอ้างเมาริซิโอ โลเปซ โบนิญา รัฐมนตรีมหาดไทยของกัวเตมาลา ระบุว่า แม็คอะฟีถูกตำรวจกัวเตมาลา ซึ่งเป็นชาติเพื่อนบ้านของเบลิซจับกุมตัวได้ พร้อมแจ้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ขณะที่ฟรานซิสโก กวยบาส โฆษกรัฐบาลกัวเตมาลา ออกมายืนยันว่าจะมีการส่งตัวแม็คอะฟีกลับไปยังเบลิซ และคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเรียบร้อยภายในวันพฤหัสบดี 6 ธ.ค.55
ก่อนหน้านี้แม็คอะฟีเพิ่งออกมาเปิดเผยว่าเขาได้เดินทางออกจากประเทศเบลิซ ในภูมิภาคอเมริกากลางแล้ว และยืนยันไม่มีความคิดที่จะมอบตัวแต่อย่างใด หลังจากเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 มีรายงานว่าตำรวจเบลิซออกหมายเรียกตัวแม็คอะฟีมาสอบปากคำเกี่ยวคดีฆาตกรรมเพื่อนบ้านรายหนึ่ง หลังมีผู้พบศพของนายเกรกอรี ไวแอนท์ ฟอลล์ ชาวอเมริกัน วัย 52 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของแม็คอะฟี ถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิตนอนจมกองเลือดโดยทางตำรวจเบลิซมีข้อมูลว่าก่อนพบศพของฟอลล์มีผู้พบเห็นผู้ตายและแม็คอะฟีมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี ตำรวจเบลิซยืนยันว่าแม็คอะฟีมิใช่ “ผู้ต้องสงสัย” ในคดีนี้
แม็คอะฟี วัย 67 ปี ซึ่งย้ายไปตั้งรกรากและทำธุรกิจหลายประเภทอยู่ที่เกาะ “แอมเบอร์กริส เคย์” ในเบลิซ ตั้งแต่เมื่อปี 2010 ยืนยันว่า เขาไม่มีความคิดจะมอบตัวกับตำรวจเบลิซ เพราะเชื่อว่าเขาจะถูกตำรวจฆ่าตายหากทำเช่นนั้น
ด้านดีน โอลิเวอร์ บาร์โรว นายกรัฐมนตรีของเบลิซ ออกโรงปฏิเสธข้อกล่าวหาของแม็คอะฟี โดยยืนยันกูรูซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Antivirus) รายนี้มีความกังวลเกินกว่าเหตุ และแสดงออกไม่ต่างจากคนวิกลจริต ที่หนีหัวซุกหัวซุนทั้งๆที่ตำรวจเบลิซยังมิได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ
แม็คอะฟีเคยถูกตำรวจเบลิซกล่าวหาเมื่อเดือนพฤษภาคมว่าครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ในเวลาต่อมาแม็คอะฟีจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าปืนในครอบครองของเขามีใบอนุญาต อย่างถูกต้อง ขณะที่แม็คอะฟีเองก็กล่าวหาตำรวจหน่วยปราบปรามอาชญากรรมเบลิซว่า สังหารสุนัขของเขาหลายตัวระหว่างบุกค้นอสังหาริมทรัพย์ของเขาเมื่อเดือนพฤษภาคมเช่นกัน
ทั้งนี้ จอห์น แม็คอะฟี เคยเป็นที่ปรึกษาด้านระบบให้บริษัท “ล็อกฮีด” มาก่อนได้เริ่มก่อตั้งบริษัท “แม็คอะฟี แอสโซซิเอตส์” ในปี 1989 และถือเป็นนักธุรกิจรายแรกๆ จาก “ซิลิกอน แวลลีย์” ที่สร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียงจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000148345

Fugitive software guru John McAfee, 67, seeks ‘asylum’ in Guatemala
TECH guru John McAfee has been tracked down in Guatemala after he sent a photo to Vice magazine that gave away his location.
The American anti-virus software pioneer John McAfee is wanted for questioning over the murder of his neighbour last month in Belize.
“It was not easy to exit Belize and required many supporters in many countries,” 67-year-old McAfee, who has been on the run for more than three weeks, since US expat Gregory Faull’s November 11 murder, wrote on his blog.
“I am in Guatemala and will be meeting with Guatemalan officials this morning. If all goes well I will do a press conference tomorrow (Wednesday),” wrote the fugitive, believed to be traveling with his girlfriend Sam, 20.
Mr.McAfee, who maintains his innocence, has been posting regularly on his blog, whoismcafee.com, leaving a confusing trail for the public and the Belizean authorities to follow.
Before apparently fleeing south into Guatemala, he put out a false report saying he had been captured near the northern Mexican border and claimed to have sent a “double” with a North Korean passport to Mexico as another decoy.
Internet users tracked a photo from a magazine on Monday to Guatemala, but Mr McAfee initially claimed to have encrypted it to throw police off the scent.
“I apologise for all of the misdirections over the past few days,” Mr McAfee, who says he is also travelling with two reporters from Vice magazine, wrote in Tuesday’s post.
“Yesterday was chaotic due to the accidental release of my exact co-ordinates by an unseasoned technician at Vice headquarters,” he said.
“We made it to safety in spite of this handicap. I had to cancel numerous interviews with the press yesterday because of this and I apologise to all of those affected.”
Police say Faull, 52, was discovered by his housekeeper with a 9-mm slug in his head lying in a pool of his own blood.
Prior to his murder, Faull had led neighbours in writing a letter to the mayor complaining that Mr McAfee’s “vicious” dogs and aggressive security guards were scaring tourists and residents alike.
Mr.McAfee shot dead four of his dogs before fleeing, claiming they had been poisoned, possibly by Faull.
Police said the dogs were exhumed last week and ballistics experts are seeing if the slugs match up with the one found in Faull’s head.
A successful Silicon Valley entrepreneur who cashed out to live the life of an adventure seeker, Mr McAfee amassed huge wealth from the antivirus software that bears his name.
He decamped to Belize in 2009 after losing an estimated $US96 million ($A92 million) of his $US100 million fortune due to bad investments and the financial crisis.
According to profiles in The New York Times and tech magazine Wired, his lifestyle became increasingly extreme as he descended into a drug-fuelled existence centered on young prostitutes.
http://www.whatsonsanya.com/news-24780-fugitive-software-guru-john-mcafee-67-seeks-asylum-in-guatemala.html
http://www.news.com.au/world/tech-blunder-reveals-john-mcafee-is-in-guatemala/story-fndir2ev-1226530127973