เพลง สายลมที่หวังดี

เพลง สายลมที่หวังดี
ศิลปิน ทราย อินทิรา เจริญปุระ อัลบั้ม D Sine

เช้าของวันอังคารที่ 6 พ.ย.55 ระหว่างเดินทางไป มจร.
ได้ฟังเพลง สายลมที่หวังดี .. ผมว่าท่อนฮุกของเพลงนี้มีขั้นตอนชัดเจนดีครับ

ฉันอาจเป็นสายฝน เมื่อเธอร้อนใจ
อบอุ่นเหมือนไฟ เมื่อเธอเหน็บหนาว
อาจเป็นดนตรี กล่อมเธอเมื่อเหงา
อาจเป็นแสงดาว เมื่อเธอแหงนมอง

http://www.youtube.com/watch?v=MQigdDb9veA

เนื้อเพลง
แอบส่งดอกไม้ไปให้เธอไม่รู้หรอก กับสิ่งดีดีให้เธอเธอไม่รู้
ยังคงปิดบังซ่อนอยู่ เธอไม่ต้องรู้ว่าฉันนั้นคือใคร
ส่งความคิดถึงไปให้เธอไม่รู้หรอก เป็นกำลังใจให้เธออยู่เสมอ
แม้เราไม่ได้พบเจอ อย่าเดาเลยเธอว่าฉันนั้นเป็นใคร

ฉันอาจเป็นสายฝนเมื่อเธอร้อนใจ อบอุ่นเหมือนไฟเมื่อเธอเหน็บหนาว
อาจเป็นคนตรีกล่อมเธอเมื่อเหงา อาจเป็นแสงดาวเมื่อเธอแหงนมอง

แค่เพียงช่วยรับมันไปในทุกทุกอย่าง ก็เพียงต้องการให้เธอมีสุขเสมอ
แม้เราไม่ได้พบเจอ อย่าเดาเลยเธอว่าฉันนั้นเป็นใคร

ฉันอาจเป็นสายฝนเมื่อเธอร้อนใจ อบอุ่นเหมือนไฟเมื่อเธอเหน็บหนาว
อาจเป็นคนตรีกล่อมเธอเมื่อเหงา อาจเป็นแสงดาวเมื่อเธอแหงนมอง

แม้เมื่อถึงเวลาก็จะรู้ เหตุผลที่ฉันนั้นทำให้เธอไป
จะเขียนข้อความหนึ่งไปกับดอกไม้ ให้เธอเรียกฉันว่าสายลมที่หวังดี

ฉันอาจเป็นสายฝนเมื่อเธอร้อนใจ อบอุ่นเหมือนไฟเมื่อเธอเหน็บหนาว
อาจเป็นคนตรีกล่อมเธอเมื่อเหงา อาจเป็นแสงดาวเมื่อเธอแหงนมอง

สายลมที่หวังดี
สายลมที่หวังดี

ผลการจัดอันดับในสื่อ (itinlife 367)

ดัชนีศักยภาพการใช้ภาษาอังกฤษ
ดัชนีศักยภาพการใช้ภาษาอังกฤษ

3 พ.ย.55 คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบผลการแข่งขันในสื่ออินเทอร์เน็ต เมื่อมีผู้ที่ชนะก็ย่อมมีผู้ไม่ชนะ องค์ประกอบของการแข่งขันมีมากมาย อาทิ กรรมการตัดสิน กองเชียร์ ผู้ร่วมเกม เกณฑ์ประเมิน ช่วงเวลา รายงานผล และผลกระทบที่ตามมา ซึ่งการแข่งขันที่ใกล้ตัวก็เห็นจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศ ซึ่งผลจากการเลือกตั้งจะส่งผลถึงความเป็นอยู่ที่จะเกิดขึ้นในชุมชนผ่านการบริหารของผู้ที่เราเลือกเข้าไป ส่วนผลการจัดอันดับที่ไกลตัวคือ การแข่งขันฟุตบอลในต่างประเทศ ที่ถึงแม้จะไกลตัว แต่เวลาฟังเพื่อนคุยเรื่องนี้ทีไรมักรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดระแวกบ้านทุกที

การจัดอันดับในประเทศไทย ย่อมมีทั้งผู้ชนะและผู้ไม่ชนะ ซึ่งเกณฑ์ก็มักจะสร้างขึ้นกันเอง และผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ก็มักได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้าง ปัจจุบันสถาบันการศึกษาทั้งระดับขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาต่างก็ตกอยู่ในภาวะที่ต้องแข่งขัน สถาบันที่ไม่ได้มาตรฐานหรือล้มเหลวในการดำเนินงานก็ต้องปิดตัว เด็กนักเรียนก็ต้องแข่งขันกันพัฒนาตนเองด้วยการเรียนพิเศษเพิ่มเติม ทั้งหลังเลิกเรียนและในวันสุดสัปดาห์ โรงเรียนกวดวิชาก็จะประชาสัมพันธ์ด้วยการนำเสนออันดับผลสอบของศิษย์ และจำนวนนักเรียนที่สอบติดในสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ

มีผลการจัดอันดับประเทศไทย ที่รู้แล้วก็ต้องบอกว่าอึ้งไปชั่วขณะ คือ ผลการจัดอันดับศักยภาพการใช้ภาษาอังกฤษของประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก ในชื่อ EF English Proficiency Index เมื่อปี 2554 พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 42 จากทั้งหมด 44 ประเทศ และปี 2555 พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 53 จากทั้งหมด 54 ประเทศ โดยเราชนะประเทศลิเบียประเทศเดียว ส่วนในเอเชียเราอยู่อันดับสุดท้าย และเป็นเพียงประเทศเดียวของเอเซียที่อยู่ในระดับ Very Low Proficiency มีค่า EF EPI เท่ากับ 44.36 ซึ่งทั้งโลกมีสถานะในระดับต่ำมากจำนวน 16 ประเทศ หากต้องการหนีคำว่าสุดท้ายของเอเชีย เราต้องชนะจีน ซึ่งปี 2012 จีนอยู่อันดับที่ 36

http://www.newsenglishlessons.com/1210/121028-esl_speakers.html

http://www.ef.com/__/~/media/efcom/epi/2012/full_reports/EF%20EPI%202012%20Report_MASTER_LR.pdf

http://www.thelocal.se/44062/20121026

ฮาโลวีน (halloween)

ฮาโลวีน (halloween)
ฮาโลวีน (halloween)

วันฮาโลวีนเป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ประเทศทางตะวันตก เด็กจะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ ที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern)
วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ‘All Souls’ พวกเขาจะเดินร้องขอ ‘ขนมสำหรับวิญญาณ‘ (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ‘ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก’ แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟไว้ด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ‘การหยุดยั้งความชั่ว‘ Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็ก ๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest Season) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ พร้อมกับถามว่า “Trick or treat?” เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็ก ๆ ได้ขนมในที่สุด
วันฮาโลวีน นิยมจัดเพื่อความสนุกสนาน ในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรป

http://th.wikipedia.org/wiki/

รวมแหล่งเพลง เหนือฟ้าคือฟ้า

เหนือฟ้าคือฟ้า
เหนือฟ้าคือฟ้า

รวมแหล่งเพลง “เหนือฟ้าคือฟ้า
เพลงประจำมหาวิทยาลัยเนชั่น มิถุนายน 2555

เพลง “เหนือฟ้าคือฟ้า
เพลงประจำสถาบัน มหาวิทยาลัยเนชั่น
คำร้อง ทำนอง อ.สุพจ สุขกลัด

ฟ้าสดใส  โลกสวยงาม
ฝันยังทอประกายฉายส่อง
ด้วยพลังเปี่ยมหวังเรืองรอง
เราถักทอสัมพันธ์ร่วมใจ

แม้เขตฟ้า จะสูงชัน
เราผู้กล้าฝ่าฟันไม่หวั่นไหว
ที่เหนือฟ้าเราคือฟ้า มีสัญญายิ่งใหญ่
คือร้อยดวงใจแล้วไปด้วยกัน

ด้วยศรัทธา สร้างปัญญาก้าวไกล มหาวิทยาลัยเนชั่น
กายต่างกายแต่ดวงใจเดียวกัน รักในการสร้างสรรค์สุดใจ

ฟ้ากว้างไกลสุดสายตา  โอบล้อมให้เราชาวฟ้ามั่นใจ
ก้าวสู่ฝัน สู่คืนวัน ชีวิตอันสดใส
มหาวิทยาลัยเนชั่น




http://www.youtube.com/watch?v=np-XRxCvQJI

http://soundcloud.com/thaiall/9gakdv08gfbk

http://soundcloud.com/thaiall/midi

http://www.4shared.com/mp3/ofX_Yjj0/ntu_song_2555_midi.html

http://www.4shared.com/mp3/dZHqjy9z/ntu_song_2555.html

http://thaiabc.com/lampangnet/admin/435/

ถูกไล่ออกเพราะไม่คิดก่อนโพส

ถูกไล่ออกเพราะไม่คิดก่อนโพส
ถูกไล่ออกเพราะไม่คิดก่อนโพส
สมัยผมเป็นเด็ก ได้ยินคำพูดว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” เป็นคติพจน์ที่น่าสนใจ ผมจึงคัดลอกบันทึกเรื่องหนึ่งจาก โครงการรณรงค์คิดก่อนโพส (Think-before-you-post Campaign) มาเผยแพร่ต่อ ดังนี้
หญิง: OMG (Oh My God) ฉันเกลียดงานตัวเอง! เจ้านายฉันเป็นพวกน่ารำคาญ จุกจิก ชอบสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ชอบกวนโมโห น่ารังเกียจ Wanker!
(ปล. คำว่า wanker เป็นคำด่าแสลง หยาบคายพอสมควร สามารถเอาไว้ใช้เรียกพวกจิตวิปริต ที่ชอบแก้ผ้าสำเร็จความใคร่ในที่สาธารณะได้ สามารถใช้หมายถึงคนที่น่ารังเกียจได้)
ชาย: สวัสดี ญ. เธอคงลืมไปแล้วมั้งว่าเธอ add ฉันไว้ใน Facebook
ประเด็นแรกสุด ฉันขอบอกเลยนะที่รัก ว่าอย่าหลงตัวเองให้มาก
ประเด็นที่สอง เธอทำงานมาได้ 5 เดือน เธอไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นเกย์ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ลอยไปลอยมาเป็น Queen แต่ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร เธอน่าจะดูออก
ประเด็นที่สาม ไอ้ที่เธอบอกว่าถูกสั่งให้ “ทำโน่นทำนี่” น่ะ คนทั่วไปเขาเรียกกันว่า “ทำงาน” เขาจ้างเธอมาทำงาน แต่ก็เอาเหอะ ฉันเข้าใจดี เพราะขนาดงานง่ายๆ เธอยังทำไม่ได้เลย ประสาอะไรกับงานอื่นๆ
ประเด็นสุดท้าย เธอคงลืมไปว่ายังเหลืออีก 2 สัปดาห์ถึงจะหมดระยะเวลาพ้นโปร 6 เดือน ก็เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ เดี๋ยวฉันจะเขียนใบประเมินทิ้งไว้ในตู้เอกสารของเธอ แล้วก็มาเก็บของกลับบ้านไปด้วย
“ฉันไม่ได้พูดเล่น”
ปล. ขอขอบคุณ http://www.passiveaggressivenotes.com/ สำหรับรูปภาพและข้อมูล

ค่าของเวลาของเราไม่เท่ากัน

time
time
มีนักศึกษาถามว่า เปิดเรียนวันไหน
ผมก็เข้าไปดูที่ http://it.nation.ac.th/std
ที่โฮมเพจสำหรับนักศึกษา พบปฏิทินการศึกษา และตารางเรียน และข้อมูลอื่น ๆ อีกเพียบ หากนึกถึงเรื่องเวลา ก็พบว่า มหาวิทยาลัยเนชั่นมีอีเมลที่ใช้บริการจาก gmail.com ภายใต้โดเมน @nation.ac.th ของนักศึกษาก็จะเป็น @std.nation.ac.th และมีระบบ google calendar ให้ใช้
บริการระบบ google calendar มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการจัดสรรเวลา ทรัพยากรใดที่เรามีเหลือเฟือ ก็ไม่รู้สึกจำเป็นต้องจัดสรร เหมือนอากาศที่หายใจ ที่มีเหลือเฟือก็คงไม่ต้องนับว่าหายใจไปกี่ครั้งในหนึ่งนาที และได้เวลาหยุดหายใจ หรือเริ่มหายใจได้แล้ว (Lock-Out Movie 2012)
แต่อะไรที่มีจำกัดก็ต้องมีการจัดสรร เหมือนกับเวลา ท่านที่มีเวลาไม่พอ ทำอะไรก็รัดตัวไปหมด จำเป็นต้องมีปฏิทิน หรือตารางนัดหมายเข้ามาช่วย ซึ่งระบบ google calendar ช่วยได้มาก แต่ท่านใดมีเวลาเหลือเฟือ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบ เพราะมีเวลามากพอ ทำให้รู้สึกไปว่า “ค่าของเวลาของเราไม่เท่ากัน
ปฏิทินการศึกษา ภาคเรียนที่ 2/2555
– เปิดเรียน 29 ตุลาคม 2555
– สอบกลางภาค 24 ธันวาคม 2555 – 4 มกราคม 2556
– วันสุดท้ายของการเรียนการสอน 15 กุมภาพันธ์ 2556
– สอบปลายภาค 18 กุมภาพันธ์ – 27 กุมภาพันธ์ 2556
– ประกาศผลการเรียน 15 มีนาคม 2556

โหนกระแส 3G สร้างนิยามใหม่ (itinlife366)

3g
3g

27 ต.ค.55 ข่าว 3G ที่เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่ประเทศเพื่อนบ้านใช้มาหลายปี แต่เรายังไปไม่ถึงนั้น ระยะนี้มีข่าวออกมาค่อนข้างบ่อย และส่อไปในแนวว่าการประมูลที่จัดโดย กสทช. อาจถูกยกเลิกด้วยเหตุผลนานาประการ บริษัทที่ได้ไปประกอบด้วย เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ เรามารู้จัก 3G ในแบบของผมดีกว่า โดยเกาะกระแสคำว่า KM (Knowledge Management) คือการจัดการความรู้ ซึ่ง 3G ในที่นี้มาจากอักษรนำ 3 ตัวที่ขึ้นต้นด้วยตัว G ประกอบด้วย Gallery, Garbage และ Gross ซึ่งรวมกันให้ความหมายในเชิงให้คำแนะนำถึงประเด็นสำคัญในรูปของกระบวนการที่คอยย้ำเตือนว่าอย่าลืมสิ่งสำคัญเหล่านี้ หากลืมไปก็อาจมีความเสียหายตามมาได้

คำแรก Gallery คือ การสะสม เพราะมนุษย์เราทุกคนเกิดมาต้องมีการสะสม ร้อยละ 99 ก็จะสะสมเงินทอง ในอดีตเราจะสะสมอาหาร คนมีฐานะก็สะสมเสื้อผ้า รองเท้า เพชร งานศิลปะ เครื่องลายคราม หรือวัตถุโบราณ นักเรียนสะสมความรู้ นักศึกษาสะสมประสบการณ์ก่อนออกไปทำงาน คนทำงานก็จะสมผลงาน ในรูปของพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) การมีของสะสมมากมักถูกมองว่าเป็นคนมีฐานะ เพราะมองเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่ามีอะไรให้ชม อาทิ สะสมรถยุโรป สะสมภาพเขียน สะสมของโบราณ ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ก็จะสะสมความรู้ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งตัดสินใจอะไรได้ดี ถูกต้อง และมีคุณภาพ แล้วคนเหล่านี้ก็มักถูกบริษัทขนาดใหญ่ซื้อตัว แย่งชิงผู้บริหารไปบริหารบริษัทของตน อาทิ Steve Jobs หรือ John Sculley เป็นต้น

คำที่สอง Garbage คือ ขยะ เพราะหลังสะสมไประยะหนึ่ง ก็ต้องมีการจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์ คัดกรอง แยกประเภท นำไปใช้ แล้วก็จะพบกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถใช้ประโยชน์ แล้วก็ต้องจำหน่ายขยะเหล่านั้นออกไป หากเข้าใจเรื่องนี้เหมือนร้านรับซื้อของเก่า ก็อาจทำธุรกิจใหม่ หรือสร้างมูลค่าจากขยะขึ้นมาได้ อาทิ การแปลงขี้ช้างไปเป็นกระดาษขี้ช้างเป็นต้น เรียกว่าเห็นขยะมีมูลค่าขึ้นมา คำที่สาม Gross คือ การสรุปผล หรือหาผลรวม ที่ต้องเข้าใจจังหวะเวลา รอบคอบ และความเหมาะสม เพราะมีคำเตือนจากสุภาษิตว่า สงครามยังไม่จบอย่าพึ่งนับศพ หรือ เกมยังไม่จบ อย่าพึ่งนับเงิน หมายถึง การปิดกิจกรรม/โครงการอย่างรอบคอบรัดกุม และประเมินผลทั้งหมดรอบด้านแล้ว ถ้าทำกิจกรรมใดแล้วห่วงหน้าพะวงหลัง คอยประเมินผลตลอดเวลาโดยใช้ข้อมูลไม่ครบ ก็อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

อึ้งผลสำรวจเด็กไทยพร้อมลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส


มีโอกาสไปโรงเรียนสอนพิเศษของครู alex เห็นนิตยสารดาราสาวสวยวางบนโต๊ะ ระหว่างรอ 5 นาที พลิกอ่านไปมาจนจบพอดี ก็เลยมาค้นจาก net เพราะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ทำให้ทราบสาเหตุของการสอบตกของเด็กไทย โบราณว่า “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า”

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:06 น. ข่าวสดออนไลน์
น.พ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551–2552 ในส่วนของพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคมและจริยธรรม(อีคิว) ของเด็กไทย ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 1-14 ปี จำนวน 9,035 คน ใน 20 จังหวัด ด้วยการใช้แบบทดสอบพ่อแม่ และเด็ก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ อายุ 1-5 ปี  6-9 ปีและ 10-14 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการต่างกัน เปรียบเทียบเมื่อปี 2544 พบว่า กลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี สำรวจ 8 ด้าน คือ วินัย สติ-สมาธิ เมตตา อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด การควบคุมอารมณ์และพัฒนาสังคม พบว่า ผลการทดสอบพัฒนาการด้านสังคม ได้คะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำ คือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิง
ด้านกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี สำรวจ 14 ด้าน ได้แก่ ความตระหนักรู้ในตน ความภาคภูมิใจในตนเอง ความเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการกับอารมณ์ การจัดการกับความเครียด การสื่อสาร สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความคิดสร้างสรรค์ค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์และคุณธรรมจริยธรรม พบว่า ในภาพรวมแม้ว่าเด็กจะมีคะแนนดีขึ้น แต่มีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ เมื่อแยกย่อยในส่วนของด้านจริยธรรม เด็กกลุ่มนี้ เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น
“ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีปัญหาจริยธรรม พบว่า ตัวแปรสำคัญคือระดับการศึกษาของพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดู พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงขึ้น เด็กจะมีจริยธรรมและพฤติกรรมในทางที่ดีมากขึ้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ว่าควรจะเลี้ยงลูกอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา ในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ และสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์”  รศ.นพ.วิชัย กล่าว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeE5qWXdOamcwTkE9PQ

http://picpost.mthai.com/view/17043

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส
เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส

การแปลงภาพเป็น e-book


สาธิตการแปลงแฟ้มภาพเป็น e-book
โดยต้นเหตุเกิดจากการ scan หนังสือทั้งเล่มเป็นแฟ้มภาพ (.jpg) จำนวน 200 หน้า ด้วยเครื่อง scan แบบฝาปิดเปิด แล้วต้องการทำเป็น e-book ด้วยการรวมภาพทั้งหมดเป็นแฟัม .pdf แล้วผมก็เลือกโปรแกรม pdf creator ทำหน้าที่จำลอง printer ขึ้นมา เมื่อ print ภาพทั้งหมดผ่านโปรแกรม photo printing wizard ก็จะส่งผลลัพธ์ทั้งหมดไปให้กับเครื่องพิมพ์เสมือนจริงชื่อ pdf creator ทำหน้าที่แปลงเป็น e-book หรือแฟ้ม .pdf ตามต้องการ ซึ่งขนาดแฟ้ม pdf ก็พอ ๆ กับขนาดจากการรวมภาพทั้งหมดครับ

acrobat reader to read e-book
acrobat reader to read e-book

สาธิตการสแกนหนังสือ เป็น pdf ผ่าน multi-function printer

เหตุเกิดเพราะ กำลังจะเปิดภาคเรียนใหม่ หนังสือหลายเล่มที่ต้องใช้ประกอบการเรียนการสอนเป็นหนังสือหายาก สำหรับผมแล้วรู้สึกว่ามีเล่มเดียวในโลก (พิมพ์เมื่อ 15 ปีก่อน) จะให้นักศึกษาในห้องยืมอ่านพร้อมกันก็ไม่ได้ จึง scan หนังสือเล่มหนึ่งเก็บไว้อ่านคนเดียวที่บ้าน ที่บ้านมี printer แบบฝาเปิดปิด แล้ว scan หนังสือจำนวน 200 หน้า ผมใช้เวลาครึ่งวันในวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2555 คิดว่าถ้ารับจ้างสแกนหน้าละ 10 บาทด้วยวิธีนี้คงไม่รุ่งแน่ ก็นึกขึ้นได้ว่าที่มหาวิทยาลัยมีเครื่อง printer แบบ multi-function และมีระบบ auto-feed หากเราเอาหนังสือไปจ้างร้านถ่ายเอกสารทำเป็นแผ่น แล้วนำทั้งหมดเข้า auto-feed ก็จะได้แฟ้ม pdf มาใช้งานด้านการศึกษาได้โดยง่าย
26 ต.ค.55 สาธิตการสแกนหนังสือ เป็น pdf ผ่านระบบ auto feed ของ canon multi-function printer โดยแสดง 2 รูปแบบ คือ 1) ส่งผลงานไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ 2) ส่งผลงานเข้าเครื่อง printer แต่การสแกนหนังสือผมแนะนำว่าให้จ้างร้านถ่ายเอกสารสแกนเป็นแผ่นก่อน แล้วค่อยนำมาเข้าเครื่องนี้ แล้วอาจนับได้ว่านี่คือการทำ e-book อีกวิธีหนึ่ง ที่ง่ายเพียงคลิ๊ป หากมี scanner ที่มี auto feed
multi-function printer
multi-function printer
หากชมคลิ๊ปนี้แล้ว และรับ scan หนังสือหน้าละ 10 บาท ทำ e-book ผมว่าสบายเลย  มีขั้นตอนคือไปจ้างร้านถ่ายเอกสารทำเป็นเอกสารหน้าละ 40 สตางค์ แล้วหา scanner แบบ auto-feed กดปุ่มเดียวบนเครื่อง scan ก็จะได้เล่มทันที แล้วนำไปทำ e-book ด้วยโปรแกรมอื่นได้อีกมากมาย อาทิ Flash Page Flip, Flip Album หรือ Kvisoft FlipBook Maker
เล่าสู่อาจารย์ .. เหตุเกิดที่ห้องทำงานของอาจารย์คณะบริหารธุรกิจ ม.เนชั่น