เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ คุยกับวู้ดดี้



พบคลิ๊ปนี้มี 4 ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ 2 ฟังบทสนทนาตอนท้าย ๆ ของคลิ๊ปนี้ แล้วสงสารวู้ดดี้เลย ติ้งต่างว่าถ้าเป็นผมสมัยก่อนคงคุมอารมณ์ได้ยาก เพราะความเชื่อที่แตกต่างของอาจารย์เฉลิมชัย กับวู้ดดี้แตกต่างกันมาก เรียกว่า ฟ้ากับเหวเลย

แต่คิดอีกที วู้ดดี้ กำลังทำงาน ซึ่งงานเป็นการพูดคุยที่ต้องดึงทัศนคติของคู่สนทนาออกมา (เท่าที่เห็นวู้ดดี้ไม่ค่อยได้ให้ความคิดเห็นของตนเท่าใดนัก) เมื่อดึงออกมาก็นำเสนอ เขาไม่ได้นำประเด็นเหล่านั้นมาใส่ใจให้เป็นอารมณ์

นักพูดที่กล้าพูดตรง ๆ แบบ อ.เฉลิมชัย มีอีกหลายท่าน แต่อาจารย์กล้าชี้ให้เห็นความต่างของความเชื่อ กับความจริงได้ชัดมาก .. คนกล้าเท่านั้นที่พูดแบบนี้ได้

การดูคลิ๊ปนี้จนครบ 4 ตอนเกิดเพราะ คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ นำพระสงฆ์มาร่วมเสวนาในสุนทรียสนทนา ห้อง 4204 มหาวิทยาลัยเนชั่น เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 แล้วพระท่านเปิดคลิ๊ปทั้ง 4 ตอน ให้ดู .. ทำให้เห็นประเด็นที่ อ.เฉลิมชัย พยายามชี้นำ ซึ่งสอดรับกับคำว่าจิตอาสา หรือจิตสาธารณะ ตรงตามเป้าหมายของการบรรยาย
ปล. ครั้งหน้า คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ จะเล่าเรื่อง stephen hawking

จิ๊กซอชิ้นสวยจากขนาดหมื่นชิ้น

http://www.youtube.com/watch?v=kR03FbyRluQ

25 พ.ค.54 คิดฝันไปว่า วันนี้นั่งต่อจิ๊กซอ (jigsaw) ภาพขนาด 100 ชิ้น แต่ดูแต่ละชิ้นจะมีปัญหา เอาไปซ่อมก็แล้ว สร้างขึ้นมาใหม่ก็แล้ว ไม่รู้ว่าพยายามแก้ปัญหาไม่พอ แกะออกจากกล่องไม่ดี ชิ้นส่วนเก่าเกินไป หรือชุดจิ๊กซอไม่ผ่าน QC จากบริษัทผู้ผลิต ก็มีหลายทางเลือกที่จะแก้ปัญหาภาพเซตนี้

ไปบ่นกับเพื่อนข้างบ้าน เขาบอกว่า มีชิ้นจิ๊กซอเหลือจากภาพสวยขนาดหมื่นชิ้น พอดีผู้ผลิตออกมาเกินไปหลายชิ้น หากมีปัญหาเขาก็สามารถซ่อมได้ แบบที่พี่เบิร์ดร้องเพลงไว้ว่า “ซ่อมได้” .. สรุปว่าได้ชิ้นจิ๊กซอใหม่มาหลายสิบชิ้น .. ในใจก็นึกดีใจว่า สงสัยจะต่อภาพที่ค้างอยู่ ด้วยจิ๊กซอตัวใหม่หลายสิบชิ้นนี้ .. สำเร็จเป็นแน่

อวสาน The Flip camcorder

บริษัท Cisco มีอักษรย่อว่า CSCO ใน Nasdaq ประกาศปิดสายการผลิต The Flip camcorder หรือ Flip digital video camera หรือ Standalone digital videocam มีผลให้เลิกจ้างบุคลากร 550 คนของบริษัท เมื่อต้นเดือนเมษายน 2554 ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นกล้องดิจิทอลความละเอียดสูง ที่ซิสโก้ได้ซื้อเทคโนโลยี Flip Digital มาจาก Pure Digital เหตุที่ปิดไปเพราะคาดว่าจะแข่งขันกับกล้องที่มีมากับ Tablet หรือ Smartphones หรือกล้องดิจิทอลไม่ได้

แล้ว Cisco ได้ให้ข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่คือ FlipLive ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้บันทึกวีดีโอ และส่งออกแบบ Steaming ผ่าน Wifi Hotspot ได้ แต่ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะวางจำหน่ายเมื่อใด

http://www.technewsworld.com/story/Will-Camcorders-Go-the-Way-of-the-Pager-72281.html
http://www.theflip.com/en-us/
http://flipvideoreviews.com/flip-video-reviews/

จังหวัดบึงกาฬ

จังหวัดบึงกาฬผ่านมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2553 ให้เป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ซึ่งเริ่มมีการยื่นคำร้องขอให้จัดตั้งขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งให้เรียบร้อย จึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์

จังหวัดบึงกาฬ
จังหวัดบึงกาฬ

จังหวัดบึงกาฬผ่านมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2553 ให้เป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ซึ่งเริ่มมีการยื่นคำร้องขอให้จัดตั้งขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งให้เรียบร้อย จึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์

เหตุผลในการตั้งจังหวัดที่ 77 มีดังนี้
– จังหวัดบึงกาฬ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ในเรื่อง อำเภอ จำนวนประชากร และลักษณะพิเศษของจังหวัด อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อการให้บริการแก่ประชาชน
– เนื้อที่และสภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดหนองคาย ก่อนแยกออกมาเป็นจังหวัดบึงกาฬนั้น เป็นพื้นที่แนวยาวทอดตามลำน้ำโขง มีเส้นทางคมนาคมจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกเป็นระยะทาง 350 กิโลเมตร จึงส่งผลต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนได้ง่าย
– จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอำนาจเจริญ ที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็มีเนื้อที่น้อยกว่าหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเช่นกัน
– นอกจากนี้ จังหวัดบึงกาฬ ไม่ใช่หน่วยงานที่ดำเนินกิจการบริการสาธารณะ ซ้ำซ้อนกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่กระทบต่อแนวทางการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่อย่าง ใด
– ส่วนเรื่องบุคลากร ที่มีอยู่จำนวน 439 อัตรา ก็สามารถกระจายกันภายในส่วนราชการได้ จึงไม่เป็นผลกระทบและภาระต่องบประมาณของประเทศมากนัก

ประวัติ อ.บึงกาฬ หรือ ว่าที่ จังหวัดบึงกาฬ
อำเภอบึงกาฬเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดหนองคาย อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 136 กิโลเมตร มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เดิมอำเภอบึงกาฬ มีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่ง ขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ.2482
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี

จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.สัดส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไป
ต่อมา ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ

ที่ตั้งและอาณาเขต
* ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
* ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอบุ่งคล้า
* ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอเซกา อำเภอศรีวิไล อำเภอพรเจริญ และอำเภอโซ่พิสัย
* ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปากคาด

เขตการปกครองแบ่งเป็น 12 ตำบล 131 หมู่บ้าน
1. บึงกาฬ (Bueng Kan) 11 หมู่บ้าน
2. โนนสมบูรณ์ (Non Sombun) 13 หมู่บ้าน
3. หนองเข็ง (Nong Kheng) 11 หมู่บ้าน
4. หอคำ (Ho Kham) 14 หมู่บ้าน
5. หนองเลิง (Nong Loeng) 13 หมู่บ้าน
6. โคกก่อง (Khok Kong) 9 หมู่บ้าน
7. นาสวรรค์ (Na Sawan) 9 หมู่บ้าน
8. ไคสี (Khai Si) 10 หมู่บ้าน
9. ชัยพร (Chaiyaphon) 13 หมู่บ้าน
10. วิศิษฐ์ (Wisit) 13 หมู่บ้าน
11. คำนาดี (Kham Na Di) 8 หมู่บ้าน
12. โป่งเปือย (Pong Pueai) 7 หมู่บ้าน
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AC
http://article.konmun.com/77-know509.htm

แมวไม่น้อยหน้าหมาครับ .. เมนูแนะนำเช่นกัน

ในมุมของคนกินแมว
ในขณะที่คนไทยนิยมซื้อกระต่ายมาเลี้ยงต้อนรับปีเถาะ (2554) ด้วยความเชื่อที่ว่ากระต่ายเป็นสัตว์นำโชคที่จะนำพาสิ่งดี ๆ มาให้ผู้เลี้ยงตลอดปีนี้ ที่เวียดนามเองก็ไม่น้อยหน้า สำหรับปีนี้ที่เป็นปีแมวของเวียดนาม แมวก็กลายเป็นสัตว์ยอดนิยมของชาวเวียดนามที่ถือว่าจะนำโชคดีมาให้ตลอดปีเช่นกัน แต่แตกต่างกันที่ชาวเวียดนามเขาไม่ได้เอาแมวมาเลี้ยงเหมือนกับกระต่ายบ้าน ที่บอกว่าเป็นสัตว์ยอดนิยมนั้นหมายถึงนิยมนำมาทำอาหารรับประทานกันต่างหาก
โดยเฉพาะในจังหวัดถายบิ่ง ทางตอนเหนือของเวียดนาม ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ที่นิยมการนำแมวมาทำอาหารมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ เมนูต้มซุปแมว เนื้อแมวทอด เนื้อแมวย่าง และลูกชิ้นแมว กลายเป็นอาหารเลิศรสที่เจ้าของร้านอาหารหลายร้านภูมิใจนำเสนอแก่แขกที่มารับประทานอาหารในร้าน แม้ว่าทางจังหวัดจะมีการประกาศสั่งห้ามขายและฆ่าแมวก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของร้านหยุดเสิร์ฟเมนูแมวแต่อย่างไร เพียงแต่ตัดปัญหาง่าย ๆ ด้วยการไม่ติดป้ายโฆษณาเมนูแมวไว้หน้าร้านเท่านั้น
สำหรับ วิธีการนำแมวมาประกอบอาหารนั้น พ่อครัวจะเลือกฆ่าแมวด้วยวิธีการนำพวกมันไปถ่วงน้ำให้ขาดใจตาย แทนการตีหรือเชือดคอเหมือนกับฆ่าหมู เพราะจะทำให้แมวกลัวและเกร็ง จนถุงน้ำดีแตก และนั่นทำให้เนื้อแมวเสียรสชาติ จากนั้นพ่อครัวก็จะนำแมวมาผ่าท้องและแล่เนื้อ โดยส่วนที่นิยมนำมาประกอบอาหารมากที่สุด ได้แก่ กระเพาะ ลำไส้ และเนื้อส่วนสะโพกของแมว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่อร่อยที่สุด และเป็นยาอายุวัฒนะ ให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวของเวียดนามที่กำลังหนาวติดลบอยู่ในขณะนี้ แต่หากเป็นเมนูแมวย่าง พ่อครัวจะควักเครื่องในออกทั้งหมด แล้วนำไปย่างบนไฟอ่อน ๆ ให้เนื้อแมวค่อย ๆ สุกกลายเป็นสีน้ำตาล จากนั้นก็เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ
ส่วนราคาเมนูแมวนี้ จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่า แมวนั้นเป็นแมวลักษณะแบบไหน และมาจากที่ไหน โดยเนื้อแมวดำจะมีราคาแพงที่สุด เพราะเชื่อว่ามีรสอร่อยที่สุด อาจมีราคาถึงตัวละ 15,000 บาทเลยทีเดียว ส่วนเนื้อแมวสดทั่วไปนั้น ขายกันในราคากิโลกรัมละ 100 บาท (แมวบ้าน 1 ตัว มีน้ำหนักประมาณ 4-5 กิโลกรัม) และหากเป็นแมวนำเข้าจากจีนก็จะมีราคาถูกลงไปอีก เนื่องจากไม่อร่อยเท่ากับเนื้อแมวสดจากเวียดนามเอง
ทั้งนี้โดยปกติแล้ว ชาวเวียดนามจะกินแมวกันเป็นปกติ ไม่ต่างกับชาวจีนที่มีความเชื่อว่าแมวเป็นเมนูนำโชค แต่ในปีนี้ซึ่งตรงกับปีแมวของเวียดนาม แมวกลายเป็นเมนูเลิศรสที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาอยากจะกินมากกว่าปกติ เพราะเชื่อว่าหากได้กินแล้วก็จะช่วยปัดเป่าโชคร้ายออกไป ทำให้แมวกลายเป็นสัตว์ที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในตอนเหนือของเวียดนามในขณะนี้ และหากบ้านไหนเลี้ยงแมว แต่ไม่ดูแลแมวของตัวเองดี ๆ ก็จะเกิดกรณีแมวหายได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าถ้าหากแมวตัวไหนถูกปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่านในที่สาธารณะ ก็จะถูกจับไปใส่กรงขังไว้ เพื่อรอวันแปรสภาพกลายเป็นเมนูแมวในที่สุด
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว องค์กรพิทักษ์สัตว์ในประเทศจีนได้เคยแฉพฤติกรรมสุดโหดร้ายของนายหน้าค้าแมว ที่ขโมยแมวไปขายให้ภัตตาคารต่าง ๆ ในมณฑลกวางตุ้ง ที่แสดงให้เห็นว่าแมวกว่าร้อยตัวถูกขังไว้ในกรงแคบ ๆ และได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้าย ซึ่งทางองค์กรพิทักษ์สัตว์ในนครเซี่ยงไฮ้ก็สามารถช่วยชีวิตแมวเคราะห์ร้าย เหล่านั้นออกมาได้กว่า 300 ตัว และส่งพวกมันคืนเจ้าของได้ในที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นายหน้าค้าแมวหยุดล่าแมวแต่อย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังคงมีเมนูแมวขายในภัตตาคารจีนกันตามปกติ อีกทั้งยังเป็นเมนูแนะนำอีกด้วย
http://vdowww.dek-d.com/board/view.php?id=2043319

ในมุมของความเชื่อเรื่องแมว
ลางร้าย ภัย อาถรรพณ์ ในคติความเชื่อโบราณ เปรียบดังเงาร้าย ที่เชื่อว่าหากเข้าใกล้ชีวิตเรา จะหาความสุขไม่ได้ มีทุกข์ภัยที่ประดังเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน ในบรรดาลางร้ายที่แสดงออกมาในรูปแบบต่าง ๆ นั้น “แมวดำ” จัดเป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งลางร้าย ความเชื่อเรื่องแมวดำ ไม่ได้มีระบุที่มาแน่ชัด หากเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ที่นักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ เนื่องจากคติความเชื่อเรื่องแมวดำไม่ได้มีเฉพาะในไทยเท่านั้น หากมีในหลากชาติหลายภาษาโดยในตำนานเก่าแก่ของอินเดียโบราณ เชื่อว่า แมวดำเป็นสัตว์ผี เป็นพาหนะของพระษัษฐี เทวีแห่งความตายของทารก หรือ ผีแม่ซื้อประจำตัวเด็กในวันที่ 6 ซึ่งพระษัษฐีเป็นเทวีที่มีอิทธิฤทธิ์ หากใครเห็นแมวดำที่ไหน มักต้องเห็นพระษัษฐีปรากฏกายที่นั่น และจะมีเด็กหรือคนตายที่นั่นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในงานศพจะระมัดระวังไม่ให้แมวมาถูกต้องศพ ด้วยเชื่อว่าจะเกิดมนทินกับศพนั้น ๆ ไปตลอด
ในคติความเชื่อของจีนโบราณ ถือว่าหากแมวข้ามศพ ผีนั้นจะดุร้ายมาก ต้องเอาตะไกรหรือเหล็กวางไว้บนอกศพ จึงจะไม่เป็นไร เช่นเดียวกับในความเชื่อของแขกมาลายู ที่ต้องเอาตะไกรหนีบมาวางบนอกศพ เผื่อว่าแมวกล้ำกรายเข้ามาใกล้ศพหรือถูกศพ เหล็กตะไกรจะเป็นเครื่องบังคับไม่ให้ศพลุกขึ้นมา กลายเป็นผีร้าย เป็นที่หวาดเกรงของชาวบ้านได้ แมว จัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีมากกว่าความเป็นสัตว์เลี้ยงธรรมดา ในแง่ที่ว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อของคน เป็นตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์ และเหนือจริง จนมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า “หากฆ่าแมวสักตัวถือว่าบาปหนักหนา เท่ากับฆ่าเณรรูปหนึ่งเลยทีเดียว
http://learners.in.th/blog/sukanyanonmai/391609
http://board.postjung.com/412380.html

Ticking Clock อัจฉริยะในคราบซาตาน

http://www.youtube.com/watch?v=71hw1CxlGVk
ชีวิตแก้ไขไม่ได้ .. ภาพยนตร์เรื่อง Ticking Clock 2011 ผมอยากตั้งชื่อเรื่องว่า อัจฉริยะในคราบซาตาน เป็นเรื่องราวที่เหมือนหนังฆาตกรรมทั่วไป แต่กลางเรื่องพบว่าเป็นเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ว่าด้วยการดำรงชีวิต และความไม่พึงใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ทุกปัญหาแก้ไขได้ อาจเป็นได้ แต่ถ้าเป็นแล้วจะมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ .. หากรู้จักปล่อยวาง ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ ทำบางสิ่งให้เกิดขึ้น และไม่รอโชคชะตา .. แม้จะดูขัดกัน .. แต่ต้องเลือกอย่างสมเหตุสมผล เท่านั้นเอง

ผลสำรวจหนุนใช้ไม้เรียว

อ่านข่าวเรื่อง “โพลหนุนครูใช้ไม้เรียวลงโทษเด็ก แต่มีเงื่อนไขต้องไม่ตีพร่ำเพรื่อ

ทำให้นึกถึง theory x และ y แสดงว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็น theory x แม้การศึกษาจะมีผลทำให้มนุษย์มีค่านิยมในการบริโภคแบบเห็นแก่ตัวแล้ว ครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการศึกษาที่ดีขึ้นมิได้ทำให้คนใช้วิจารณญาณ แม้มีการให้เหตุผลมาโดยตลอด ถึงผลเสียของการใช้ไม้เรียว แต่ผู้สอบถามมากกว่าครั้งก็ยังคล้อยตามความรู้สึกเรื่องอำนาจ คิดว่าเยาวชนจะเกรงกลัวไม้เรียว เป็นปรากฎการ (Phenomenon) ที่แสดงว่ามนุษย์เราเสื่อมด้านการศึกษาอย่างชัดเจน เพราะมิได้ใช้การศึกษามาประกอบการพิจารณาเท่าที่ควร .. ลองไปถามเด็กสิครับว่า “ถ้าใช้ไม้เรียวแล้ว เด็กจะหลาบจำ และเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่”

http://news.mthai.com/general-news/100213.html
16ม.ค.54 รายงานข่าวแจ้งว่า วานนี้ (15 ม.ค.) สวนดุสิตโพลได้เปิดเผยผลสำรวจ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 กรณีการเผยแพร่คลิปการกระทำความรุนแรงของครูด้วยการลงโทษตีลูกศิษย์อย่างรุน แรงผ่านเว็บไซต์ โดยได้สำรวจความคิดเห็นจากครู นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปต่อกรณีดังกล่าวทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,476 คน
ซึ่ง ประชาชน 48.19% ไม่เห็นด้วยกับข่าวคลิปครูลงโทษเด็กนักเรียนด้วยการใช้ไม้เรียว เพราะเชื่อว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ รองลงมา 19.88% การลงโทษด้วยไม้เรียวเป็นสิ่งที่มามานานในสังคมไทยแต่ต้องใช้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม
18.24% ผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่งควรดูแลเรื่องกฎระเบียบ การลงโทษนักเรียนของครูอย่างใกล้ชิด และ 13.69%เห็นว่า ไม่ควรด่วนสรุปก่อนที่จะมีการสอบถามข้อเท็จจริงจากครูและนักเรียน
ขณะ ที่ 2.การลงโทษเด็ก ด้วยการใช้ “ไม้เรียว” มีผลดี – ผลเสีย อย่างไรนั้น ในแง่ของผลดีผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า 52.03% เห็นว่าทำให้เด็กหลาบจำ ไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก รองลงมา 26.64% เป็นวิธีลงโทษที่ได้ผล ทำให้เด็กกลัวและเชื่อฟัง 21.33% ทำให้เด็กเป็นคนดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ส่วนผลเสียผู้ตอบแบบสอบถาม 44.57% เห็นว่าส่งผลต่อจิตใจทำให้เด็กกลัว อายเพื่อน 30.83% ทางโรงเรียนและครูอาจถูกฟ้องหรือร้องเรียนได้ และ 24.60% ทำให้ครูไม่กล้าลงโทษเด็ก
ส่วนข้อสอบถามที่ว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ กับสภานักเรียนแห่งประเทศไทยที่เรียกร้องให้ศธ.แก้ไขระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 โดยการเพิ่มโทษให้ครูใช้ ไม้เรียวทำโทษเด็กได้
ผู้ตอบ แบบสอบถาม 53.84% เห็นด้วยเพราะทำให้เด็กหลาบจำ ไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก เพราะผู้ที่มีชื่อเสียง ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่ประสบความสำเร็จก็เคยโดนไม้เรียวมาก่อน แต่การลงโทษต้องอยู่ขอบเขต สมเหตุสมผล ไม่ใช้อารมณ์ ฯลฯ
ขณะ ที่อีก 24.85% ไม่เห็นด้วยเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปควรเปลี่ยนวิธีการลงโทษแบบอื่นๆแทนการใช้ ไม้เรียวจะดีกว่า ทำให้เด็กกลัว ไม่กล้าแสดงออก ,ครูแต่ ฃละคนมีวุฒิภาวะที่แตกต่างกัน และ 21.31% เฉยๆเพราะการลงโทษด้วยไม้เรียวมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้และผู้ที่ถูกลงโทษมากกว่า ฯลฯ
http://www.youtube.com /watch?v=nmvMNv-tQ2s
http://www.youtube.com /watch?v=kCR0guBQKeU
http://www.youtube.com /watch?v=E2s2bP34AvY
http://www.youtube.com /watch?v=j4f52h50XKY
http://www.youtube.com /watch?v=bkVxCqistLE (ก่อน)
http://www.youtube.com /watch?v=J8IfTrjvPlA (หลัง)

ฝากแฟนผมด้วย .. ได้ไง

http://www.youtube.com/watch?v=NKajd-URrTY
ในชีวิตจริง .. เราจะทำได้อย่างเนื้อเพลงข้างล่างหรือเปล่านะ
มนุษย์เรามัก ยึดมั่น ถือมั่น ว่านั้นคือตัวเรา นั่นคือของเรา .. ตายไป ก็เห็นไปกันแต่ตัว
ถ้ามีคนแย่งแฟน หรือทำให้แฟนเราเจ็บ .. ก็จะมีโทษะผุดมาในใจเสมอ
ผู้หญิงบอกว่า “เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร
ผู้ชายบอกว่า “ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ

ความรักทำให้คนตาบอด ถ้ารักมากก็แค้นมาก “คนที่มีความรักหลายคนไปจบในคุก
ผมพูดกับเพื่อนร่วมงานในใจเสมอว่า “ผมไม่อยากเข้าคุก เพราะความรัก
ถ้าเห็นคนทำคนที่เรารัก หมาของเรา หรือสิ่งที่เรารักเสียหาย .. บางคนยอมตายเพื่อสิ่งนั้นได้
แล้วทุกครั้งก็เริ่มด้วยคำว่า บันดาลโทษะ และจบด้วยคำว่ายั้งไม่อยู่
เคยเห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าพระเอกของเรื่องมักไปจบในคุก .. อยู่ร่ำไป

ชื่อเพลง “ฝากแฟนผมด้วย”
ผมรักน้องเขาจริงนะพี่ คนนี้ให้หมดหัวใจ
ถึงแม้น้องเขามีคนใหม่ คือพี่ที่มานั่งรอ
ผมรักน้องเขานานแล้วพี่ คนนี้ผมเลยอยากขอ
รักที่ผมนั้นเป็นคนก่อ ฝากพี่สานต่อได้ไหม
ก็รู้ว่าน้อง..เขาคลั่งไคล้พี่ รักพี่ซะจนหมดใจ
ความสุขน้องเขา ผมขวางไม่ได้ มีให้แค่คำอวยพร
ฝากแฟนผมด้วย ช่วยดูแลน้องเขาที
หากน้องทำตัวไม่ดี พี่อย่าพึ่งใจร้อน
แฟนผมคนนี้ ยังเด็กค่อนข้างขี้งอน
ให้เอาน้ำเย็นลูบก่อน แล้วพี่ค่อยสอนก็ได้
น้องเขาทิ้งผมไปหาพี่ คนนี้ผมอยากฝากไว้
รักน้องเขาเท่าผมได้ไหม ลูกผู้ชายขอกัน
ฝากแฟนผมด้วย ช่วยดูแลน้องเขาที
หากน้องทำตัวไม่ดี พี่อย่าพึ่งใจร้อน
แฟนผมคนนี้ ยังเด็กค่อนข้างขี้งอน
ให้เอาน้ำเย็นลูบก่อน แล้วพี่ค่อยสอนก็ได้
น้องเขาทิ้งผมไปหาพี่ คนนี้ผมอยากฝากไว้
รักน้องเขาเท่าผมได้ไหม ลูกผู้ชายขอกัน
ก็รู้ว่าน้องเขาคลั่งไคล้พี่ รักพี่ซะจนหมดใจ
ความสุขน้องเขา ผมขวางไม่ได้ มีให้แค่คำอวยพร
ฝากแฟนผมด้วย ช่วยดูแลน้องเขาที
หากน้องทำตัวไม่ดี พี่อย่าพึ่งใจร้อน
แฟนผมคนนี้ ยังเด็กค่อนข้างขี้งอน
ให้เอาน้ำเย็นลูบก่อน แล้วพี่ค่อยสอนก็ได้
น้องเขาทิ้งผมไปหาพี่ คนนี้..ผมอยากฝากไว้
รักน้องเขาเท่าผมได้ไหม ลูกผู้ชายขอกัน
รักน้องเขาเท่าผมได้ไหม ลูกผู้ชายขอกัน

แม่เหล็กโลกกลับขั้ว ปรากฎการณ์ที่อาจเปลี่ยนทุกสิ่ง

นับว่าเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลกในขณะนี้ สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลกที่ นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ประหลาด อย่างเหตุการณ์สัตว์ตายทั่วโลกเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับโลกมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น

ล่าสุด เรื่องราวของการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ได้กลายเป็น Talk of the Town อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา สนามบินนานาชาติแทมป้า ในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ได้ปิดรันเวย์บางรันเวย์ เนื่องจากการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ที่ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันใหม่ เนื่องจากหมายเลขรันเวย์นี้สำคัญต่อนักบินมาก โดยจะเป็นตัวระบุว่ารันเวย์นั้นหันไปทิศทางใดและทำมุมกี่องศากับขั้วแม่ เหล็กโลกขั้วเหนือ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนไปกว่า 10 องศา ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมาย เลขรันเวย์จาก 18R/36L (ทำมุม 180 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 360 องศากับขั้วโลกใต้) มาเป็น 19R/1L (ทำมุม 190 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 10 องศากับขั้วโลกใต้) ขณะที่รันเวย์อีก 2 รันเวย์ก็กำลังจะถูกปิดเพื่อปรับหมายเลขรันเวย์ใหม่ในวันที่ 13 มกราคมนี้

อธิบายอิทธิพลของขั้วแม่เหล็กโลกที่มีต่อการบิน
สำหรับการปรับหมายเลขรันเวย์ จะปรับทุก 20-30 ปี เนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดย ในอดีตจะเคลื่อนที่จากจุดเดิมเฉลี่ยประมาณ 16 กิโลเมตรต่อปี แต่ในปัจจุบัน คาดว่าทางสนามบินทุกแห่งจะต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันบ่อยขึ้น เนื่องจากมีการตรวจสอบพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกนั้นเคลื่อนตัวเร็วขึ้นมาก คือ ประมาณ 64 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนตัวจากบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกในแคนาดา กำลังมุ่งตรงไปยังประเทศรัสเซียในปัจจุบัน รวมระยะทางกว่า 1,200 กิโลเมตรเลยทีเดียว
การเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลก แม้จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปอย่างต่อเนื่องตามวัฏจักร แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีนัก วิทยาศาสตร์หลายคนนำมาเชื่อมโยงกับการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก ที่คาดการณ์ว่ากำลังจะเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 ที่จะถึงนี้ โดยวิเคราะห์กันว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนตัวเร็วขึ้นนั้น เป็นเพราะกำลังจะเข้าสู่ภาวะพลิกตัวหรือกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงขอนำเรื่องราวของการเคลื่อนตัวและการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกมาฝากกันอีกครั้งค่ะ

สนามแม่เหล็กโลก เกิดจากปรากฎการณ์ไดนาโมหรือการที่ของเหลวที่อยู่ภายในโลกมีการหมุนวน ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้าขึ้น จนเกิดเป็นสนามแม่เหล็ก ขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดย สนามแม่เหล็กนี้จะปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก และขั้วแม่เหล็กทั้งสองขั้วก็จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นอิสระจากกัน ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง จะมีการกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก หรือการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกันตามวัฏจักรของ โลก ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวยังไม่มีทฤษฎีใดอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไรและใช้เวลา กลับขั้วนานเพียงใด แต่ที่แน่ ๆ คือสนามแม่เหล็กโลกจะมีการกลับขั้วทุก ๆ 250,000 – 300,000 ปีโดยเฉลี่ย หรืออาจคลาดเคลื่อนไปบ้างก็เป็นได้ และกระบวนการนี้จะค่อยเป็นค่อยไป แต่ระหว่างช่วงเวลานี้ก็จะส่งผลกระทบต่อพื้นผิวโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ น้อย โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 780,000 ปีก่อน และในครั้งนั้นก็มีความรุนแรงมากถึงขนาดทำให้สัตว์หลายชนิดบนโลกสูญพันธุ์มาแล้ว

สนามแม่เหล็กโลกที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก
จากการศึกษาและคาดคะเนของนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักธรณีฟิสิกส์พบว่า ปราก ฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้อาจส่งผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 หลังจากพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกก็อ่อนกำลังลงกว่า 10% ซึ่ง ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้วตามการคาดคะเน ในช่วงเวลาที่มันกำลังพลิกกลับนั้นก็อาจทำให้สนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลงมาก ถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะร้ายแรงอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม สนามแม่เหล็กโลกก็จะไม่ลดลงถึงระดับศูนย์ มันยังคงทำหน้าที่ของมัน คือ การปกป้องโลกจากอันตรายร้ายแรงภายนอกโลก และเคลื่อนไหวต่อไปตามวัฏจักร เพียงแต่ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว มันก็อาจส่งผลกระทบหลาย ๆ อย่างบนโลก ดังต่อไปนี้
1. เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว เกิดภัยพิบัติบนผิวโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินถล่ม สึนามิหรือแผ่นดินไหวใต้น้ำ โดยปรากฎการณ์นี้จะไม่เกิดครั้งใหญ่ครั้งเดียวฉับพลันแล้วทำลายทุกสิ่ง แต่จะค่อย ๆ เกิดรุนแรงขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยกินระยะเวลานานหลายปี
2. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เนื่องจากการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกจะทำให้สภาพอากาศบนโลกเปลี่ยนไปในทางตรง ข้าม เช่น ในพื้นที่ที่ร้อนจัดก็จะเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ส่วนพื้นที่ที่เคยหนาวจัดก็จะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาก ทำให้น้ำแข็งบริเวณพื้นที่หนาวละลายและเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไป หลายพื้นที่
3. โลกจะร้อนขึ้น เนื่องจากความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง จึงอาจทำให้โลกได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น
4. อุกกาบาต และวัตถุจากอวกาศจะถูกดึงเข้ามายังโลกได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เคลื่อนที่ผ่านจะพุ่งเข้าชนโลก เพราะอย่างไรก็ตาม ขั้วแม่เหล็กโลกยังคงปกป้องโลกอยู่ แม้จะอ่อนกำลังลงบ้างแต่จะไม่สูญเสียอำนาจของมันไปทั้งหมด
5. สัตว์หลายชนิดสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทาง ในโลกนี้มีสัตว์หลายชนิดที่อาศัยแม่เหล็กโลกในการกำหนดทิศทาง โดยพวกมันจะเดินทางและอพยพย้ายถิ่นไปทางขั้วโลกเหนือเสมอ ซึ่งหากแม่เหล็กโลกเปลี่ยนขั้วหรือเพียงแค่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาก ก็อาจทำให้มันต้องเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพวกมัน
6. ภูมิคุ้มกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกจะอ่อนแอลง สัตว์เล็ก ๆ ที่มีภูมิต้านทานโรคน้อยกว่าสัตว์ใหญ่จะค่อย ๆ ล้มตายไปก่อน เช่น นก ปลา ค้างคาว และเมื่อความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอ่อนแอมากขึ้น สัตว์ที่ใหญ่กว่าก็จะค่อย ๆ ล้มตายไป

สนามแม่เหล็กโลก และสนามแม่เหล็กโลกระหว่างกลับขั้ว
อย่างไรก็ดี การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้ก็ไม่ได้สร้างปรากฎการณ์ที่ส่งผลให้สิ่งมี ชีวิตทุกชนิดบนโลกล้มตายไปเสียทั้งหมด โดยมีการคาดคะเนว่า สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่อาจเป็นสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู ปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่อยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตรในทะเล และสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่อาจมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงและอยู่ในพื้นที่ที่ได้ รับอิทธิพลจากปราฎการณ์ดังกล่าวเพียงเล็กน้อย แต่ หากรอดชีวิต สิ่งมีชีวิตก็ต้องพบเจอกับปัญหาต่าง ๆ นา ๆ ของโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม ทั้งสภาพอากาศ กระแสลม กระแสน้ำ และโลกอาจหมุนกลับไปในทิศตรงกันข้าม ทำให้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งหากเวลานั้นมาถึง และสิ่งมีชีวิตยังคงมีชีวิตรอดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ก็อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันนานโขเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงการคาดคะเนจากนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ช่วงเวลาของการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกอาจกินเวลานานนับพันปี และก่อให้เกิดปรากฎการณ์รุนแรงน้อยกว่าหรือมากกว่าที่กล่าวมาก็เป็นได้ อีกทั้งยังอาจส่งผลรุนแรงที่สุดในปี 2012 หรือคลาดเคลื่อนไปนานกว่านั้น 10 ปีหรือ 100 ปีก็เป็นได้อีกเช่นกัน แต่ที่แน่ ๆ ปรากฏการณ์การเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของขั้วแม่เหล็กโลก, การอ่อนกำลังลงของสนามแม่เหล็ก, การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ, การเกิดภัยพิบัติ, และการล้มตายของสัตว์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่าโลกกำลังเริ่มต้น เข้าสู่จุดเปลี่ยนในอีกไม่ช้า เหมือน ที่มันเคยเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนมีอารยธรรมมนุษย์เสียอีก และมันก็คงไม่ได้เป็นสิ่งที่เพ้อเจ้อหรือเป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด ถ้าหากโลกใบนี้ยังเคลื่อนไหวตามวัฏจักรของมันอยู่ ก็คงไม่แปลกอะไรที่ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งยิ่งใหญ่ในรอบแสน ปีกำลังจะมาบรรจบอีกครั้ง

http://hilight.kapook.com/view/55134
http://hilight.kapook.com/view/55022

ข่าว อุบัติเหตุรถตู้นักวิชาการ+น.ศ.มธ.เสียชีวิต

ข่าว อุบัติเหตุรถตู้นักวิชาการ และนักศึกษาธรรมศาสตร์เสียชีวิต
http://hilight.kapook.com/view/54775
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 21.45 น. เกิดอุบัติเหตุสยอง รถ ตู้โดยสารประจำทาง วิ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต มุ่งหน้า บีทีเอสจตุจักร มีผู้โดยสารเต็มคันรถ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ช่วงทางด่วนโทลล์เวย์ฝั่ง ขาเข้า บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จู่ ๆ รถเก๋งที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเกิดพุ่งเข้าชนท้าย ทำให้รถตู้เสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ แรง เหวี่ยงอย่างรุนแรงทำให้ประตูรถตู้เปิดออก และมีผู้โดยสารกระเด็นออกจากรถ ร่วงจากทางด่วนตกลงมาด้านล่าง ซึ่งเป็นถนนวิภาวดี เสียชีวิตรวม 8 ราย เป็นชาย 5 ศพ หญิง 3 ศพ และบาดเจ็บอีก 7 ราย เป็นผู้ชาย 4 ราย หญิงอีก 3 ราย โดยผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวิภาวดี

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ สภาพรถตู้พังเสียหายยับเยิน ทราบชื่อคนขับคือ นางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เสียชีวิต ส่วนรถเก๋งคู่กรณีสภาพหน้ารถพังยับเยินเช่นกัน ขณะที่คนขับคือ น.ส.อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา อายุ 16 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า คนขับรถเก๋ง น.ส.อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นน้องสาวต่างมารดาของดารานักแสดงหนุ่ม “ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ซึ่งหนุ่มณัฎฐ์ ยอมรับว่า เป็นน้องสาวต่างมารดาจริง ชื่อเล่นว่า แพรวา แต่หลังเกิดเหตุดังกล่าว ตนยังไม่ได้ไปเยี่ยม

ด้าน นางพจนี พลสิทธิ์ อายุ 68 ปี มารดาของ นายวิสรุต พลสิทธิ์ อายุ 35 ปี หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ลูกชายไม่เสียชีวิต บาดเจ็บน้อยกว่าคนอื่น ศีรษะแตก มีรอยกระแทกช้ำบวมที่แขนลำตัว สามารถพูดคุยได้ แต่ยังเบลออยู่นิดหน่อย เพราะศีรษะกระแทกเบาะรถ ซึ่งลูกชายบอกว่า ที่รอดชีวิตมาได้เพราะปาฏิหาริย์ นั่งอยู่แถวกลางของรถ จึงทำให้ไม่กระเด็นออกมานอกรถเหมือนคนอื่น หลังเกิดเหตุได้คลานออกมานอกรถ เมื่อออกจากรถได้ ก็โทรศัพท์บอกแม่ว่า รถคว่ำ ซึ่งลูกชายใช้บริการรถตู้เป็นประจำ ช่วงเกิดเหตุลูกชายบอกว่านั่งอยู่ในรถแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ มารู้สึกตัวอีกที ตอนรถพลิกคว่ำหลายตลบแล้ว

ส่วน นางนฤมล นิลวรรณ ดาราสาวรุ่นใหญ่ ป้าของ น.ส.สุดาวดี นิลวรรณ นิสิตชั้นปี 3 คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดัวกล่าว กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ หลานสาวกำลังจะเดินทางไปสถานีขนส่งหมอชิต เพื่อกลับบ้านที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งพ่อแม่ที่บ้านได้เตรียมทำกับข้าว เพื่อต้อนรับลูกสาวที่มาเรียนในกรุงเทพฯ โดยไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม มีผู้โดยสารรถตู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ ได้เล่าเหตุการณ์นาทีระทึกให้เพื่อนฟัง และได้เผยแพร่ผ่านทวิตเตอร์ @Jariyayahyahh โดยผู้รอดชีวิตเล่าว่า ได้โดยสารรถตู้คันเกิดเหตุโดยนั่งข้างหน้ากับคนขับ และมีอีกคนนั่งคั่นกลางคนขับอยู่ ช่วงเกิดเหตุรถตู้ขับอยู่เลนกลางด้วยความเร็วปกติ แต่รถเก๋งซึ่งอยู่เลนขวาพยายามจะปาดเข้ามาเลนซ้ายสุด แต่หักหลบรถตู้ที่อยู่เลนกลางไม่พ้น จึงชนท้ายรถตู้เข้าอย่างจัง ทำให้รถตู้หมุนหลายตลบ จนประตูรถฝั่งผู้ โดยสารไปฟาดกับราวกั้นทางด่วนอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ผู้โดยสารกระเด็นออกนอกรถ ข้าวของทรัพย์สินลอยขึ้นสูงกระจายไปหมด แต่ผู้รอดชีวิตยังโชคดีที่คนนั่งข้าง ๆ พยายามดึงตัวไว้ไม่ให้กระเด็นออกนอกรถ จึงรอดตายมาอย่างหวุดหวิด ส่วนผู้โดยสารที่นั่ง 2 แถวหลังของรถตู้กระเด็นออกนอกรถทั้งหมด จึงเสียชีวิตพร้อมกับคนขับ