แหล่งความรู้ใหม่ทางวิชาการที่อยู่นอกตำรา (itinlife560)

nccit & ic2it 2016
nccit & ic2it 2016 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10154291789127008&set=a.10150572310562008.426393.751017007

ในแวดวงวิชาการมีแหล่งความรู้ใหม่ที่เป็นนวัตกรรมในแต่ละสายวิชา คือ วารสารวิชาการ และการประชุมวิชาการ ซึ่งความรู้ที่เข้าไปเผยแพร่ใน 2 แหล่งข้างต้นจะต้องได้รับการคัดกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิในสายวิชานั้น ว่าผลงานที่ส่งไปให้เพื่อนอ่าน มีคุณภาพที่ถูกประเมินและถึงเกณฑ์ที่ยอมรับว่าเผยแพร่ได้ จำนวนผลงานในวารสารวิชาการจะมีเล่มละประมาณ 15 เรื่อง เพราะจำกัดด้วยจำนวนหน้าพิมพ์ และการพิจารณาจะเข้มข้นกว่า ผู้ส่งผลงานอาจต้องส่งผลงานที่ถูกปรับแก้หลายครั้งจนกว่าจะได้รับคำว่าผ่าน แต่การประชุมวิชาการมักมีข้อจำกัดด้านเวลา ดังนั้นผลการพิจารณาจึงมีเพียงผ่านหรือไม่ผ่านในรอบเดียว แต่ข้อดีคือรองรับจำนวนผลงานได้มากกว่าถึง 150 ผลงาน มากหรือน้อยกว่านี้ก็ขึ้นกับนโยบายของการจัดการประชุม เพราะมีตัวแปรเรื่องค่าใช้จ่าย และจำนวนวัน
เมื่อ 7 – 8 กรกฎาคม 2559 ผู้เขียนได้เข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับชาติด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีองค์กรร่วมจัดงานถึง 18 หน่วยงาน และจัดต่อเนื่องมาทุกปีตั้งแต่ปี 2548 – 2559 แล้วในปีที่ 12 กำหนดจัดงานขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยมี รศ.ดร.พยุง มีสัจ เป็นเจ้าภาพในงาน IC2IT และ ผศ.ดร.สุจิน บุตรดีสุวรรณ เป็นเจ้าภาพในงาน NCCIT หัวข้อที่น่าสนใจมีมากมาย หากสนใจหัวข้อใดก็เลือกเข้ารับฟังการนำเสนอบทความนั้นตามห้องที่กำหนด แต่ไม่อาจรับฟังได้ทุกเรื่อง เพราะมีการแยกห้องนำเสนอเพื่อให้การนำเสนอบทความทั้งหมดอยู่ในระยะเวลา 2 วัน
ในการประชุมนี้เปิดรับบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ 5 หัวข้อหลัก ที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นขอบเขตให้ผู้สนใจเข้ารับฟัง หรือส่งผลงานเผยแพร่ ประกอบด้วย Data Mining and Machine Learning, Data Network and Communication, Human-Computer Interface and Image Processing, Information Technology and System Engineering, Computer Education บทความที่ส่งให้เข้ารับการพิจารณาจะผ่านการอ่านโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และต้องได้รับคำว่าผ่าน 2 ใน 3 ท่าน จึงจะนำเสนอในการประชุมได้ ปี 2559 มีผลงานภาษาไทยส่งเข้าไป 218 บทความ แต่ผ่าน 127 บทความคิดเป็นร้อยละ 58 หากสนใจเข้าร่วมแล้ว ในประเทศไทยยังมีการประชุมวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ที่จัดขึ้นเป็นประจำอีกหลายงาน เช่น ACTIS, NCOBA, NCCIT, IC2IT, ECTI, NCIT, IEC, NCTECHED, KDS, JCSSE, TECHCON, KUSRC, SKRU, EDTECH เป็นต้น ที่จัดในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป

http://www.nccit.net/
http://www.thaiall.com/project/nccit07.htm
https://www.facebook.com/phayung.meesad/posts/10154289739422008

เฟสบุ๊คโฮแอ็ค

ภาพนี้คือ “โฮแอ็ค (hoax)”

เป็นการใช้ความห่วงใยต่อข้อมูลภาพในเฟสบุ๊ค (privacy) แล้วชวนชาวเฟสโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คต่อ ๆ กันไป เพื่อแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบว่าเราไม่อนุญาตให้มีการนำภาพของเราไปใช้ที่อื่น

คำถามสำคัญคือ วิธีนี้ใช้ได้ผลจริงหรือ

หรือเป็นเพียงไวรัสแบบ hoax เท่านั้น

หรือไม่ต้องทำ facebook ก็ทำให้อยู่แล้ว

 

hoax
hoax

นักศึกษาหนุ่มสาว ชมรมนักลงทุนรุ่นเยาว์ ทำจิตอาสา ณ ศูนย์บริการโลหิต สภากาชาดไทย

นักศึกษาชมรม Junior Investor มหาวิทยาลัยเนชั่น
นักศึกษาชมรม Junior Investor มหาวิทยาลัยเนชั่น

26 มิถุนายน 2559 นักศึกษาชมรม Junior Investor มหาวิทยาลัยเนชั่น ไปร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสา ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย  เนื่องจากตอนนี้มีภาวะการขาดแคลนโลหิต ทำให้ประชาชนมาร่วมบริจาคโลหิตกันมาก จึงสมัครเป็น อาสากาชาด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริจาคโลหิต และเชิญชวนให้ร่วมลงทะเบียนบริจาค Stem Cell เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย และจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับผู้มาบริจาคโลหิต
ข้อมูลจาก https://www.facebook.com/1514208178898223/photos/?tab=album&album_id=1643416375977402

กิจกรรมของนักศึกษาชมรม Junior Investor
กิจกรรมของนักศึกษาชมรม Junior Investor

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า หากท่านใดสนใจพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่อง
การบริจาคโลหิต อวัยวะ และร่างกาย
เชิญร่วมกลุ่มที่ https://www.facebook.com/groups/blooddonationlampang/
น่าจะเป็นกิจกรรมจิตอาสา ที่น่าสนใจ เพื่อคนไทยด้วยกัน

14 มิ.ย.57 เหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง ร่วมกับโรงพยาบาลลำปาง จัดงานวันผู้บริจาคโลหิตโลก ประจำปี 2557  ตามสโลแกน “Save blood for saving mothers” (สละโลหิตพลิกวิกฤตช่วยชีวิตแม่และลูก) และประกวด Young Blood Donor Lampang 2014 โดยมีมหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง เป็นผู้ดำเนินการประกวด ณ ห้องประชุมอาคารบุญชู ตรีทอง
https://www.facebook.com/NationUNews/posts/650403568370065

การบริจาคโลหิตเพื่อต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์
การบริจาคโลหิตเพื่อต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์

24 ก.พ.2555 มหาวิทยาลัยเนชั่น สนับสนุนงานของสภากาชาดไทย
จัดโครงการบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ “เพื่อพ่อขอทำดี ใต้ร่มพระบารมี 84 พรรษา”


วันผู้บริจาคโลหิตโลก 2556 ที่โรงพยาบาลลำปาง
http://thaiabc.com/lampangnet/admin/886/

การศึกษากับยาพิษแอบแฝง

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
ได้จัดงาน 100 ปี ชาตกาล ศ. ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 6
การศึกษากับยาพิษแอบแฝง” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
โดย รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

http://www.varakorn.com/

ชี้ว่าการศึกษาไทยมีแอบแฝงยาพิษ 8 อย่าง
อันตรายเทียบได้กับ “ปรอท” เพราะให้เด็กไทยตายลงช้า ๆ
ซึ่งต้องแก้ปัญหาร่วมกันทั้งครู พ่อแม่ สังคม และสื่อ
พร้อมเสนอว่าทักษะวิชาชีพ และทักษะ 4C จะช่วยให้เด็กไทยปลอดยาพิษ
4C ประกอบด้วย
1. การสื่อสาร (Communication) คือ มีทักษะการสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้
2. การคิด (Critical Thinking) คือ การคิดเป็นตาม 4 ขั้นตอน คือ
– เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่
– เห็นแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปได้
– แก้ไขปัญหาได้
– เรียนรู้และจดจำไว้สำหรับในอนาคต
3. การร่วมมือ (Collaboration) คือ ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม
4. การคิดอย่างสร้างสรรค์ (Creativity)
ซึ่งทักษะทั้ง 4 ข้อนี้บวกกับวิชาชีพแล้วจะสามารถต้านทานการศึกษาชนิดยาพิษแอบแฝงได้ระดับหนึ่ง
แต่ถ้าใครคิดว่าเป็นการศึกษาที่เหมาะสมแล้ว ก็ไม่ควรมียาพิษมากขนาดนี้


8 ยาพิษที่แอบแฝงในการศึกษาไทย
http://thaipublica.org/2015/09/varakorn-14-9-2558/
1. Parent/Teacher Center คือ ไม่เป็น Student Center ครูจำนวนมากกั๊กไปสอนพิเศษ
2. ครอบงำความคิดของเด็ก มุงสอนให้เด็กคิดเหมือนตนเอง
มีหลักว่า “วัตถุประสงค์ของการศึกษาคือการทำให้กระจกกลายเป็นหน้าต่าง”
3. จงใจล้างสมอง ใส่ยาพิษชาตินิยมเข้าไป
ที่ถูกคือรักคนในชาติ รักเอกราช รักพรมแดน รักทรัพยากร รักผลประโยชน์ชาติ
คนไทยไม่เคยรู้เลยว่าในสมัยรัชกาลที่ 3
ไทยเคยไปเผาเวียงจันทน์ถึง 2 ครั้ง และเอาพระบางมาไว้ที่วัดบางขุนพรมที่กรุงเทพฯ
แต่คืนกลับไปลาวในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่ไม่รู้เพราะไม่ได้เรียน
ประวัติศาสตร์ คนไทยต้องเป็นพระเอก
4. การศึกษาที่ half-baked/misinformation/disinformation
คือ การศึกษาที่ให้ข้อมูลที่ผิด เช่น มันหมูเป็นสิ่งที่ควรกินอย่างยิ่ง
http://www.noyshop.com/web-board/board.php?newsId=1754
5. การศึกษาที่ทำให้เกิดเด็กลักษณะพิเศษที่ “เชื่อง” และ “หงอย”
นั่นคือเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ซึ่งถือเป็นยาพิษอย่างหนึ่ง
เช่น การประเมินเด็กในสมุดพกว่า “ไม่ดื้อ”
สะท้อนค่านิยมคนไทยว่า ต้องการเด็กที่เชื่อง
6. การศึกษาขาดคุณภาพ
คนไทยเรียนมหาวิทยาลัยจำนวนมาก
เพราะเรียนแบบหลับๆ ตื่นๆ จบมาก็มีงานทำ
เนื่องจากสังคมยังดูดซับคนทำงานได้ตลอดเวลา
แต่ช่วงการดูดซับแรงงานได้อย่างนี้ใกล้จะจบสิ้นแล้ว
7. พ่อแม่รังแกฉัน ซึ่งเป็นยาพิษแน่นอน
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เขาบอกว่าเป็นเจเนอเรชั่นสตรอว์เบอร์รี
คือ ชอกช้ำง่ายมาก เนื่องจากพ่อแม่เลี้ยงดูเหมือนไข่ในหิน
บางครอบครัวเป็น single parent ด่าอดีตสามีหรืออดีตภรรยาให้ลูกฟังทุกวัน
8. หลักสูตรที่แอบซ่อน (hidden curriculum)
โดย Samuel Bowles และ Herbert Gintis
ได้ศึกษาเรื่องโรงเรียนในระบบทุนนิยมของอเมริกา
(Schooling in Capitalist America)
พบว่า การศึกษาในอเมริกาสอนให้ลูกจากชนชั้นกลางมี work ethics
คือ ขยัน ทำงานหนัก ทุ่มเท มาตรงเวลา
เพื่อให้เป็นแรงงานที่มีคุณค่าจนมองข้ามความคิดริเริ่มและความคิดอิสระ
เพราะต้องการคนกลุ่มนี้ไปเป็นแรงงานที่ส่งเสริมอุตสาหกรรม
สำหรับประเทศไทยก็มีหลักสูตรที่แอบซ่อนเช่นกัน
เพราะต้องการให้คนไทยเป็นคนไทย คิดอะไรไม่มาก เป็นชาตินิยม
ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้ไม่ได้ต้องการให้คนไทยมีความคิดริเริ่ม

เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเนชั่น

ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)
ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)

เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2559 ณ โรงภาพยนตร์เมเจอร์
ได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือ
ระหว่าง มหาวิทยาลัยเนชั่น กับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)
เปิดรับนักศึกษาเข้าโครงการสหกิจศึกษา และฝึกงานกับเครือเมเจอร์ ทั่วประเทศ
ซึ่งในเครือเมเจอร์มีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง ต้องการทีมงานจำนวนมาก
แล้ว อ.ดรรชกร ศรีไพศาล รองคณบดี คณะบริหารธุรกิจ (ประจำศูนย์เนชั่น-บางนา)
สวมเสื้อสีขาวในภาพ เล่าให้ฟังว่านักศึกษาที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการได้
โดยเกณฑ์ขั้นต้นคือ มีเกรดเฉลี่ยสะสม 2.5 ขึ้นไป
ชายมีส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 165 ซม. หญิงไม่ต่ำกว่า 160 ซม.
หากนักศึกษามีความสนใจเป็นพิเศษ แต่ติดเกณฑ์บางข้อ ก็มาคุยกันได้
เพราะมีคุณสมบัติ หรือความสามารถอื่นที่ใช้ประกอบการพิจารณา ของอาจารย์ที่ปรึกษา
ก่อนส่งไปเข้า โครงการสหกิจศึกษา หรือฝึกงาน
มีหลายสาขาให้เลือกลง อาทิ

สาขา และจำนวนโรงภาพยนตร์
สาขา และจำนวนโรงภาพยนตร์

การทำโครงการสหกิจ หรือฝึกงาน มีตัวแบบปัจจจัยความสำเร็จ
ที่ ดร.วันชาติ นภาศรี ธวัชชัย แสนชมภู สิริรัตน์ เลิศมีมงคลชัย
เคยนำเสนอจากการศึกษาวิจัย มี 12 ปัจจัย

1. การสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูง (Top Management Support)
2. การมีความรู้ ความเข้าใจในพันธกิจสหกิจศึกษา (Co-op Mission)
3. การจัดโครงสร้างงาน ระบบ & กลไก (Organization Management)
4. การจัดการความรู้สหกิจศึกษา (Co–op Knowledge Management)
5. การจัดทำแผนกลยุทธ์/คู่มือการปฏิบัติงาน (Co-op Schedule/Strategy Plan)
6. การสร้างการยอมรับ เห็นคุณค่า และประโยชน์ร่วมกัน (Stakeholder Acceptance)
7. การปรึกษาหารือ การให้คำแนะนำ การนิเทศ  (Consultation)
8. การติดต่อสื่อสาร การประสานงาน (Communication)
9. การจัดการทรัพยากร  (Resource Management)
10. เครือข่ายความร่วมมือ (Net Working)
11. การแก้ไขปัญหา และอุปสรรคที่เหนือความคาดหมาย (Troubleshooting)
12. การติดตามประเมินผล และการรับรู้ข้อมูลป้อนกลับ  (Monitoring Evaluation & Feedback)

ตัวแบบปัจจัยความสำเร็จสหกิจศึกษา

 

 

 

 

ซื้อตั๋วหนังผ่านแอพบนสมาร์ทโฟน (itinlife550)

ปรับพื้นฐานนักศึกษาใหม่

เตรียมความพร้อมนักศึกษาใหม่
เตรียมความพร้อมนักศึกษาใหม่

เห็นกิจกรรมการปรับพื้นฐานนักศึกษาใหม่ แล้วชอบครับ
เพราะปัจจุบันทุกหลักสูตรในประเทศไทยต้องมีกิจกรรมนี้
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมนักศึกษาใหม่
ทั้งกาย ใจ ความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตร สถาบัน และการเรียนป.ตรี
ให้พร้อมก่อนเข้าเรียนในหลักสูตรที่เลือกไว้
เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชั้นปีที่ 1
– ไม่เข้าใจในหลักสูตรว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร
– ไม่เข้าใจกระบวนการเรียนในระดับอุดมศึกษา
– ไม่ทราบถึงสิ่งที่สถาบันจัดเตรียมไว้สนับสนุนการเรียนการสอน
– ขาดความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน และอาจารย์ในหลักสูตร
– ขาดความคุ้นเคย ใกล้ชิด หรือไม่รู้จักผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลนักศึกษา
สอดรับกับเกณฑ์ประกันระดับหลักสูตร ปี 2557
องค์ประกอบที่ 3 หน้า 67 ตัวบ่งชี้ที่ 3.1 การรับนักศึกษา
https://www.facebook.com/NationUNews/photos/?tab=album&album_id=1024154837661601

น.ศ.สาวเนชั่น อยู่แม่ฮ่องสอนมาเรียนลำปาง ต้องเปิดร้านขายน้ำส้มคั้นส่งตัวเองเรียน

น้องแอน โชติชนิต สนธิ นักศึกษาปี 3 คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ
น้องแอน โชติชนิต สนธิ นักศึกษาปี 3
คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ

ในกลุ่ม Lampang City มีการวิจารณ์กันมาก ว่าน้ำส้มอร่อย
ที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเนชั่น ไปทำงานขายน้ำส้มคั้นหาเงินเรียนหนังสือ
มีการกดไลค์ภาพน้องแอน โชติชนิต สนธิ นักศึกษาปี 3
คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง
ใน 12 ชั่วโมงไปพันกว่าครั้ง วิพากษ์กันไป 30 กว่าเม้นท์
https://www.facebook.com/groups/243126115797740/permalink/943272402449771/

พบข้อความประกอบภาพว่า
พบเด็กเรียนดี ขยันทำกิน ต้องส่งเสริม
เป็นกำลังใจให้น้องแอน นักศึกษาสาวปี 3 กำลังเรียนด้านสุขภาพ
เด็กเรียนดีจากแม่ฮ่องสอน มาเรียนที่ลำปาง
ทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียน ใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียน
ด้วยการเปิดร้านขายน้ำส้มคั้นสด มีแพกเกจสวยงาม
อยู่ข้าง 7-11 ตรงข้ามประตูเข้าอาคารบุญชูตรีทอง ลำปาง
อีก 1 ปีก็จะสำเร็จการศึกษาแล้ว สู่ต่อไป สาวแม่ฮ่องสอน

วิชาที่ใช้สำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั้งสอบตรงและแอดมิชชั่น

เรียนอะไร จะได้มีอาชีพใน asean
เรียนอะไร จะได้มีอาชีพใน asean

การสอบเข้ามหาวิทยาลัย นักเรียนทุกคน
ต้องสอบวิชาสามัญ และวิชาเฉพาะสาย
สัดส่วนของสองกลุ่มนี้จะต่างกันไปในแต่ละหลักสูตร
หลายมหาวิทยาลัยจัดรับตรง คือใช้ข้อสอบของตนเอง
ก็จะกำหนดวิชาที่สอบแตกต่างไปบ้างกับสอบแอดมิชชั่น

1. วิชาสำหรับสอบเข้าเรียนแพทย์โดยทั่วไป
ต้องสอบ 7 วิชา 1)ฟิสิกส์ 2)เคมี 3)ชีวะ 4)คณิต1 5)ไทย 6)อังกฤษ 7)สังคม
และวิชาเฉพาะ (ความถนัดทางวิทยาศาสตร์)

2. การสอบตรงนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ต้องสอบวิชาของธรรมศาสตร์ ใน 100% มีดังนี้
1) ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย  10%
2) ความสามารถในการใช้กฎหมาย  30%
3) เรียงความ  10%
4) ย่อความ  10%
5) ภาษาอังกฤษ  20%
6) ความถนัดเชิงวิชาการ (SAT)  20%

3. สัดส่วนที่ใช้คำนวณคะแนน
GAT (General Aptitude Test) ความถนัดทั่วไป
PAT (Professional Aptitude Test) ความถนัดทางด้านวิชาชีพและวิชาการ
– ผลการเรียนเฉลี่ยสะสม (GPAX)
– ผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)
– ผลการทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT)
– ผลการทดสอบความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT)

4. GAT กับ PAT ต่างกันชัดเจน
GAT = ความถนัดทั่วไป
PAT1 = ความถนัดทางคณิตศาสตร์
PAT2 = ความถนัดทางวิทยาศาสตร์
PAT3 = ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์
PAT4 = ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
PAT5 = ความถนัดทางวิชาชีพครู
PAT6 = ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์
PAT7.1 = ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส
PAT7.2 = ความถนัดทางภาษาเยอรมัน
PAT7.3 = ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น
PAT7.4 = ความถนัดทางภาษาจีน
PAT7.5 = ความถนัดทางภาษาอาหรับ
PAT7.6 = ความถนัดทางภาษาบาลี

5. สัดส่วนการใช้คะแนน GAT PAT ของคณะต่าง ๆ
http://www.tlcthai.com/education/gat-pat/48432.html
http://www.dek-d.com/admission/33015/
กลุ่มที่ 1 คณะสัตวแพทยฯ , คณะสหเวชศาสตร์ , คณะพยาบาลศาสตร์
คณะสาธารณสุขฯ, คณะเทคนิคการแพทย์ , คณะวิทยาศาสตร์กีฬา
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 20% และ PAT 2 30%

กลุ่มที่ 2 คณะทันตแพทยศาสตร์
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 20%, PAT 1 10% และ PAT 2 20%

กลุ่มที่ 3 คณะเภสัชศาสตร์
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 10% และ PAT 2 40%

กลุ่มที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ , คณะทรัพยากรธรรมชาติ
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 10% , PAT 1 10% และ PAT 2 30%

กลุ่มที่ 5 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 10% , PAT 1 20% และ PAT 2 20%

กลุ่มที่ 6 คณะวิศวกรรมศาสตร์
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 15% , PAT 2 15% และ PAT 3 20%
* รับตรงคณะกลุ่มนี้บางมหาวิทยาลัย กำหนดให้สอบ PAT1
เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และ ม.เกษตรศาสตร์

กลุ่มที่ 7 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 10% และ PAT 4 40%

กลุ่มที่ 8 คณะเกษตรศาสตร์ , คณะวนศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 10% , PAT 1 10% และ PAT 2 30%

กลุ่มที่ 9 คณะบริหารธุรกิจ , คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี , คณะเศรษฐศาสตร์
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 30% และ PAT 1 20%
* รับตรงคณะกลุ่มนี้บางมหาวิทยาลัย กำหนดให้สอบ PAT2
เช่น คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ

กลุ่มที่ 10 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
รูปแบบที่ 1 GPAX 20% , O-NET 30% และ GAT 50%
รูปแบบที่ 2 GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 40%
และ PAT 7 (เลือก 1 วิชา) 10%

กลุ่มที่ 11 คณะครุศาสตร์ , คณะศึกษาศาสตร์
รูปแบบที่ 1 GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 20% และ PAT 5 30%
รูปแบบที่ 2 GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 10% , PAT 5 20%
และ PAT 1/2/3/4/6/7 (เลือก 1 วิชา) 20%

กลุ่มที่ 12 คณะศิลปกรรมศาสตร์ , คณะวิจิตรศิลป์ , คณะดุริยางฯ , คณะศิลปการออกแบบ
GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 10% และ PAT 4/6 (เลือก 1 วิชา) 40%

กลุ่มที่ 13 คณะนิเทศศาสตร์, คณะอักษรศาสตร์, คณะศิลปศาสตร์, คณะมนุษยศาสตร์
คณะรัฐศาสตร์ , คณะนิติศาสตร์ , คณะสังคมวิทยา , คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
รูปแบบที่ 1 GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 30% และ PAT 1 20%
รูปแบบที่ 2 GPAX 20% , O-NET 30% และ GAT 50%
รูปแบบที่ 3 GPAX 20% , O-NET 30% , GAT 30% และ PAT 7 20%

มีข่าวว่า
อันดับหนึ่งของประเทศสอบได้วารสารศาสตร์

ปี 2559 และ 2558 ผลสอบแอดมิชชั่น 6 อันดับแรกเลือกสายสังคมศาสตร์ทั้งหมด

ปี 2559 และ 2558 ผลสอบแอดมิชชั่น 6 อันดับแรกเลือกสายสังคมศาสตร์ทั้งหมด

นั่งดูข้อมูลเด็ก ๆ ทั้ง 12 คน พบว่า
ปี 2559 จุฬา 4 ธรรมศาสตร์ 2 ปี 2558 จุฬา 4 ธรรมศาสตร์ 1 เชียงใหม่ 1
แสดงว่า เด็กในประเทศไทยที่เก่งเลือกเรียนจุฬากับธรรมศาสตร์เป็นส่วนใหญ่
เด็กทั้ง 12 คน เป็นเด็กต่างจังหวัด 6 คน กรุงเทพฯ 6 คน
แสดงว่า เด็กเก่งทั้ง 76 จังหวัดมีจำนวนเท่ากับเด็กเก่งที่กรุงเทพฯ จังหวัดเดียว
เด็กทั้ง 12 คน มาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 3 คน ปรินส์ 2 คน สาธิตปทุมวัน 2
แสดงว่า โรงเรียนที่มีเด็กเก่งเข้าเรียนคงหนีไม่พ้น 3 โรงเรียนนี้ และโรงเรียนที่เหลือ

ศึกษานารี สายวิทย์ สอบติดยกห้อง
ศึกษานารี สายวิทย์ สอบติดยกห้อง

ก็อยากสรุปเหมือนกันนะครับ ว่า เดี๋ยวนี้เด็กเก่งเลือกเรียนสายสังคมมากกว่าสายวิทย์
แต่หลังผลสอบออก ข่าวโรงเรียนศึกษานารี ห้อง 6/3 จะดังกลบข่าวอื่นซะหมด
เด็กห้องนี้ 29 สายวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ สอบติดยกห้อง
ส่วนห้องอื่นก็สอบได้มหาวิทยาลัยของรัฐทั้งสอบตรง และแอดมิชชั่น เฉลี่ย 95%
http://www.thairath.co.th/content/633720

จากข้อมูลที่มีการเผยแพร่โดย ทปอ. ปี 2559
ถึงผลสอบนักเรียน ม.6 เข้ามหาวิทยาลัย มีผู้สมัครแอดมิชชั่นส์ทั้งสิ้น 105,046 คน
มีผู้ผ่านการคัดเลือกมีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย จำนวน 85,834 คน
จากจำนวนรับทั้งสิ้น 156,216 คน
พบว่าคนที่สอบได้คะแนนสูง 6 อันดับแรก เลือกสายสังคมศาสตร์ มีดังนี้
ที่หนึ่ง เลือก คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ธรรมศาสตร์
จาก เตรียมอุดมศึกษา (สมัครรอบ 2)
ที่สอง เลือก คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก ปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เชียงใหม่
ที่สาม เลือก คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ธรรมศาสตร์
จาก สุรนารีวิทยา นครราชสีมา
ที่สี่ เลือก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก สาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ที่ห้า เลือก คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก เตรียมอุดมศึกษา
ที่หก เลือก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก อัสสัมชัญสมุทรปราการ
http://www.komchadluek.net/news/detail/229003
http://www.tlcthai.com/education/admission/111928.html
http://www.thairath.co.th/content/632708

สอดคล้องกับ ปี 2558 ที่ผลสอบแอดมิชชั่นได้คะแนนสูง
ที่หนึ่ง เลือก คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์-โฆษณา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก สาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ
http://www.thairath.co.th/content/504739
ที่สอง เลือก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เชียงใหม่
ที่สาม เลือก คณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก สาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ
ที่สี่ เลือก คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ธรรมศาสตร์
จาก โรงเรียนสตรีวิทยา กรุงเทพฯ
ที่ห้า เลือก คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ
ที่หก เลือก คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จาก โรงเรียนผดุงปัญญา ตาก
http://teen.mthai.com/education/94484.html

ระบบและกลไก การกินป่าของคนไทย คนหนึ่งปีหนึ่งเฉลี่ยกินพื้นที่ปลูก 20 ตารางเมตร

ระบบข้าวโพด
ระบบข้าวโพด

เคยดูรายการ สามัญชนคนไทย
ตอน คนไทยกินป่าเป็นอาหาร

แล้วสนใจระบบและกลไกการกินป่าของคนไทย
ในรายการแจงไว้ชัดเจนว่ากลไกการสนับสนุนให้คนไทยกินป่ามี 5 กลุ่ม
1. กลุ่มชาวบ้าน
2. กลุ่มนายทุน/แปรรูป
3. กลุ่มเงินกู้/กองทุนทุกประเภท
4. กระบวนการส่งเสริม/นักส่งเสริมการเกษตร/นักวิจัย
5. นโยบายส่งเสริมจำนำ/ประกันราคา

หลังมีข่าว ก็มีการออกมาเคลื่อนไหวด้วยวิธีต่าง ๆ
ตามความสามารถของแต่ละบุคคล ผู้ว่าก็ทำอย่าง
นายกก็ทำอย่าง ทหารก็ทำอย่าง กรมป่าไม้ก็ทำอย่าง
ดาราก็ทำอย่าง โรงเรียนก็ทำอย่าง นักเลงคีย์บอร์ดก็ทำอย่าง
มีผลในแต่ละอย่างก็เพื่อช่วยป่า ช่วยเขา ไม่ให้โล้นไปกว่านี้

http://www.thaiall.com/blog/burin/7482/

หากมองระบบที่ทำให้เขาหัวโล้น ลองมามองภาพดู
ว่ามีขั้นตอนอย่างไร จะมองจากปัญหาไปต้นเหตุ หรือต้นเหตุไปปัญหาก็ได้
1. คนไทย ซื้อสัตว์มากินเป็นอาหาร
2. ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซื้ออาหารสัตว์สำเร็จรูป
3. โรงงานอาหารสัตว์ ซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง
4. คนปลูกข้าวโพด ซื้อที่ดินไว้ปลูก โค่นต้นไม้ใหญ่
5. ที่ดินไม่พอ ต้องไปบุกรุกพื้นที่ป่า

คนกินป่าเป็นอาหาร
คนกินป่าเป็นอาหาร

ต.ย.โครงการนาแลกป่า
เพื่อให้ได้พื้นที่ป่าคืนมา หลังได้มาแล้วก็ต้องดูแลให้ต้นไม้เติบโตเป็นป่า
ข้อมูลในปี 2556 พบว่าพื้นที่ป่าสงวนถูกนำไปปลูกพืชไร่สูงถึง 1.5 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 24% ของพื้นที่ป่าทั้งหมดในจังหวัดน่าน
โครงการนาแลกป่า ในปี 2558 สามารถคืนผืนป่ามาสู่การจัดการอย่างยั่งยืนได้ถึง 315.25 ไร่
1. กลยุทธ์นาแลกป่า เมื่อเกษตรกรคืนพื้นที่ป่า 4 ไร่ โครงการจะขุดนาให้ 1 ไร่
โดยขุดร่องน้ำ ปรับหน้าดิน เตรียมการจัดการน้ำ เพื่อให้ชาวบ้านปลูกข้าวหรือทำเกษตรแบบประณีต
2. กลยุทธ์ระบบน้ำแลกป่า เน้นการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ
เพื่อการเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อแลกกับพื้นที่ที่นำไปปลูกข้าวโพด
เนื่องจากมีน้ำไม่เพียงพอต่อการปลูกข้าวหรือพืชอื่นๆ
ซึ่งการมีน้ำพอใช้สำหรับการเกษตรก็ทำให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้นด้วยพื้นที่ที่น้อยลง
ปี 2558  โครงการขอคืนผืนป่าได้ทั้งหมด 108 ไร่
3. กลยุทธ์อาชีพทางเลือกแลกป่า เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่ก็อยากจะเลิกปลูกข้าวโพด
และมีอาชีพใหม่ทดแทน ทางโครงการจึงได้จัดหาอาชีพทางเลือก
ได้แก่ อาชีพปลูกพืชหลังนา เกษตรผสมผสาน
และการชดเชยเป็นค่าตอบแทนสำหรับเกษตรกรสูงอายุที่ไม่สามารถทำอาชีพทางเลือกอื่น ๆ ได้
ปี 2558  โครงการได้สร้างอาชีพทางเลือกและขอคืนผืนป่าได้ทั้งหมด 108 ไร่
http://www.schoolofchangemakers.com/home/knowledge?knowledge_id=389

ต.ย. ดารา ยอมควักเงินส่วนตัว ร่วมปลูกป่าน่าน
เฉพาะพื้นที่ที่เคยเป็นไร่ข้าวโพด เป็นจิตอาสาที่อยากรักษาป่าต้นน้ำ
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378498989/

ต.ย. กิจกรรมพิทักษ์ป่า
Nation TV – เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
“ร่วมโพสต์ท่าต้นไม้ ติด hashtag ‪#‎ปลูกเลย‬ แสดงพลัง!”ฟื้นฟูป่าให้ลูกหลาน
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378503463/
https://www.facebook.com/cartooneggcat/photos/a.136226233446771.1073741828.136187606783967/173673336368727/

ต.ย. อธิบายเรื่องข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ทำให้ผืนป่าที่หายไป ใครควรต้องรับผิดชอบบ้าง
สรุปว่า “คนไทย ที่บริโภคเนื้อไก่ขาวจากฟาร์มในระบบปิด
ซึ่งเลี้ยงด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด มีส่วนสนับสนุนการทำลายป่าจากการบริโภคเนื้อไก่ เฉลี่ยคนละประมาณ 20 ตารางเมตร
http://landjustice4thai.org/news.php?id=252

ต.ย. ลอยแพชาวบ้าน เมื่อทุนใหญ่ต้องการภาพลักษณ์ที่งามสง่า
มีหนังสือว่าต่อไปบริษัทจะรับซื้อข้าวโพดมีเงื่อนไขคือ
ต้องปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างในพื้นที่ที่มีเอกสิทธิ์ถูกต้อง
หรือพื้นที่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ
http://www.landjustice4thai.org/news.php?id=278