จริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Ethics in Information Technology)

จริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Ethics in Information Technology)
จริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

25 มี.ค.55 หนังสือ จริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดย พนิดา พานิชกุล มีเนื้อหาแบ่งเป็น 9 บท มีประเด็น เรื่องจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศที่ล้นหลามในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการ ตัดสินใจทางจริยธรรม จริยธรรมในวิชาชีพด้านไอที อาชญากรรมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ความเป็นส่วนตัว ทรัพย์สินทางปัญญา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น คุณภาพของซอฟต์แวร์ และคุณภาพชีวิต ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื้อหาเหล่านี้อาจช่วยให้ผู้อ่านรู้จักแง่มุมอื่นที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นแง่มุมที่ผู้อ่านไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน ทั้งที่อยู่รอบตัวเรามากมาย และอาจช่วยให้ผู้อ่านรู้เท่าทันเทคโนโลยีที่นับวันจะยิ่งหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตมากขึ้น

บทที่ 1 จริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
บทที่ 2 จริยธรรมสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและผู้ใช้ไอที
บทที่ 3 อาชญากรรมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
บทที่ 4 ความเป็นส่วนตัว
บทที่ 5 เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
บทที่ 6 ทรัพย์สินทางปัญญา
บทที่ 7 คุณภาพของซอฟต์แวร์
บทที่ 8 คุณภาพชีวิต
http://www.ktpbook.com/product/ProductDetail.asp?Id=9786167396057
http://www.thaiall.com/me/book.php

จากความหมายของสารสนเทศที่ว่า
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ทรัพยากรหนึ่งที่จำเป็นต่อการบริหารในองค์การ จึงต้องมีการจัดสรร จัดการอย่างเป็นระบบ ผ่านกลไกขององค์การ

ทำให้นึกถึงเรื่อง ปัญหาการขาดทักษะด้านไอทีของคนไทย ที่เป็นปัญหานำโด่งคู่ไปกับทักษะภาษาอังกฤษ
http://www.thaiall.com/blog/burin/4063/
การมองคำว่า จริยธรรม .. รู้สึกว่าริบ ๆ ยังไงชอบกล เพราะทักษะยังต้องพัฒนาอีกมาก

Thais face challenges getting Asean jobs

http://www.nationmultimedia.com/national/Thais-face-challenges-getting-Asean-jobs-30177727.html

บะหมี่น้ำหนึ่งชาม

หัวหน้าเล่าให้ฟังว่า .. ได้เล่าเรื่องนี้ .. ในการอบรมเลขานุการ
เกี่ยวกับ “บะหมี่น้ำหนึ่งชาม”
เมื่อค้นดูแล้วก็พบว่าน่าสนใจ จึงทำคลิ๊ปเสียง และวีดีโอไว้ เป็นบทเรียน
https://soundcloud.com/burin-rujjanapan/5oasdwibej0k

noodle
บะหมี่น้ำหนึ่งชาม (noodle)

เมตตา กรุณา และน้ำใจ

ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 15 ปีที่แล้ว
วันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
การกินบะหมี่โซบะ ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น
เป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้เอง
จึงทำให้ร้านบะหมี่ ขายดีในวันสิ้นปี


ที่ร้านบะหมี่ “ฮอกไก” บนถนนซัปโปโร ก็เช่นกัน
ในวันนั้นคนแน่นร้านแทบทั้งวัน
จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้
คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะรีบกลับบ้าน
เพื่อไปต้อนรับปีใหม่กันที่บ้าน
ดังนั้นถนนสายนี้ จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ


เถ้าแก่ของร้าน “ฮอกไก” เป็นคนซื่อ
และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนนั้นพอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป
เถ้าแก่เนี้ยจะปิดร้าน
แต่ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบ กับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบ
เข้ามาในร้าน
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตเก่า ๆ


เชิญนั่งครับ” เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัว
ว่า “สั่งบะหมี่น้ำชามเดียวได้ไหมค๊ะ
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลัง
สบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
ที่สามคนกินบะหมี่ ชามเดียว
ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า “บะหมี่น้ำหนึ่งชาม


ปกติบะหมี่หนึ่งชามจะมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน
เถ้าแก่คิดแล้ว ก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน
ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
กินพลางพูดพลาง
ทานเถอะครับ” ลูกคนพี่พูด
แม่ทานหน่อยสิครับ” ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม
จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)

พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ย ต่างก็กล่าวขอบคุณ


และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
วันที่ 31 ธันวาคม ก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
ร้านบะหมี่ “ฮอกไก” ก็ยังคงขายดี
และดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย
จนลูกค้าพากันกลับไป
แล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
สี่ทุ่มกว่า
ขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ผู้ที่เข้ามา คือ หญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทเก่า
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่า
เป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปี ที่แล้วนั่นเอง


สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ
ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะค๊ะ
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว
โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า “บะหมี่น้ำหนึ่งชาม
เถ้าแก่รับคำ พลางจุดเตาที่เพิ่งจะดับไป
ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม

เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ
ไม่ได้
ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอาย
และไม่สบายใจได้รู้มั๊ย

สามีตอบพลางโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อน
ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
เสร็จแล้วตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้น
ให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่
กินไปพลางคุยไปพลาง
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย


หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ
ปีนี้ยังสามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว
ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป


ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลยสามทุ่มไปแล้ว
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา
พอถึงสี่ทุ่มพนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปา
แล้วก็แยกย้ายกันกลับไป

เมื่อคนกลับไปหมดแล้ว
เจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้าน
ที่เขียนไว้ว่า “บะหมี่ชามละสองร้อยเยน
ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า “บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน
และเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย “จองแล้ว” ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
เหมือนกับว่าจะมีเจตนา
รอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

ในที่สุดสี่ทุ่มครึ่ง สามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อน
ดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อต
ที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
เชิญค่ะ เชิญค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
มองใบหน้าอันยิ้มแย้ม
และท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย

ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่น
ว่า “รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ
ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
แล้วรีบเอาป้าย “จองแล้ว” ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า “บะหมี่น้ำสองชาม
ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ
เถ้าแก่ตอบพลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน


สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่
ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน
ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย


ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก
ขอบคุณ ?” “ทำไมครับ
เรื่องเป็นอย่างนี้ คือ คุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
ทั้งยังทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น
ในช่วงหลายปีมานี่ ทำให้เราต้องจ่ายเงิน
เดือนละห้าหมื่นเยนชดใช้ให้เขาทุกเดือน

เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ” ผู้เป็นพี่ตอบ
(เถ้าแก่เนี้ยตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร)
แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม
แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว

จริง ๆ หรือครับ แม่
จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยัน
ไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยัน
พร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่น ๆ อีก
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด

ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ

ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ
ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ

แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับ จะบอกกับแม่เหมือนกันครับ
คือ ในวันอาทิตย์ วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน
โรงเรียนของน้องแจ้งให้ผู้ปกครอง
ไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง
คุณครูของน้อง ยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
เรียงความของน้อง ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ
นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ ของน้องนะครับ ผมถึงทราบ
ดังนั้น ในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่
ร่วมในงานวันพบผู้ปกครอง

จริงหรือลูก แล้วเป็นไงบ้างล่ะ
หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ
ความปรารถนาของข้าพเจ้า
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
มาเขียนเป็นเรียงความ
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย

เรียงความเขียนว่า…
หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย
เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน
แม้แต่เรื่องของผม ที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์
น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…


ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงคืนวันที่ 31 ธันวาคม
พวกเราสามคนแม่ลูก
ได้มาล้อมวงกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก…
สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
แล้วยังอวยพรปีใหม่ให้พวกเราอีก
เสียงอวยพรนั้น เหมือนกับว่าให้กำลังใจ ให้เข้มแข็ง
ที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ ต่อไป
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อ
ให้หมดโดยเร็วที่สุด…


ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้น
จะเปิดกิจการร้านบะหมี่
แล้วจะต้องให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…
ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…


สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะ
ทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย
เพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง

ซับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า
วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ

จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ

ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี
น้องผมต้องไปจ่ายตลาด
ซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็น
ก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้
เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้
จึงไม่ได้ช่วยเพื่อนทำกิจกรรม
เมื่อครู่นี้ ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความ
เรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
ผมรู้สึกอายมาก แต่พอเห็นว่าน้องยืดอกอ่านเรียงความ
ด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ
ถึงได้รู้สึกว่า การที่รู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้แหละ
เป็นสิ่งที่ควรอายน้อง


หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
เพื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด
ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี
และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ

สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่
กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี
จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณ
ค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
มองตามหลังสามแม่ลูกไป
เจ้าของร้าน จึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
พร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)


พอถึงเวลาสามทุ่มของปีต่อ ๆ มา
ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย “โต๊ะจอง” ไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
และเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูก เช่นเคย
แต่สามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านอีกเลย


กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว
ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สอง ที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ลูกค้าหลายคน ต่างก็ถามด้วยความกังขา
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้าน
เป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
และก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจกลับมาอีก
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้น
ในการต้อนรับลูกค้าทั้งสาม


โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็น
ชื่อว่า “โต๊ะแห่งความสุข
ลูกค้าต่างก็พูดต่อ ๆ กันไป
มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้
ถึงขนาดนั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกล
มากิน บะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้


ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลายปี
เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้าน “ฮอกไก
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว ก็มักจะไปรวมตัวฉลอง
โดยการกินบะหมี่ที่ ร้านฮอกไก
เพื่อเฝ้ารอสามแม่ลูก จนเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าดัง
ทุกคนก็ไปวัด เพื่อไหว้พระด้วยกัน
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว


ในวันนี้พอเลย 21.30 น.ไปแล้ว
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อย ๆ
บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน
คึกคักกันมาก ทุกคนรู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
ต่างก็คิดกันว่า วันนี้ “โต๊ะจอง” ตัวนั้นคงจะว่างเปล่า
เพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม
พวกเขา บ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่
บ้างก็เข้า ๆ ออก ๆ กินกันไปคุยกันไป
จนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน


เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น.
ทันใดนั้นประตูร้านก็ถูกผลักเบา ๆ
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุย มองตรงไปยังประตู
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล
พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
พอเห็นว่าผู้ที่มาไม่ใช่สามแม่ลูก
ทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศผ่อนคลายลง
และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก

ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า
ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ” อยู่นั้น
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโน
เดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสอง
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจ
เมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
เอ้อ…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า

เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่
ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก “พวกคุณ .. พวกคุณ
เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ
ชายหนุ่มหนึ่งในสองคน เห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ย
ที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ เถ้าแก่เนี้ยว่า
พวกเราสามคนแม่ลูก ที่เมื่อสิบสี่ปีก่อน
ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ


หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัว
ไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัด
แผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
ปีหน้าเดือนเมษายน
ก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรครับ


วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาล
เพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่า
จะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
ตอนนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
เป็นผู้เสนอความคิดว่าในวันส่งท้ายปีเก่านี้
พวกเราสามคนแม่ลูกควรมาเยี่ยมคารวะ
เจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไก ที่ซัปโปโร
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย

สองตายายฟังไปพลาง
พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่
ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ
แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า “อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ
อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปี
เพื่อเฝ้าคอยวันนี้ “โต๊ะจอง
ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้า
ที่จะมาตอนหลังสี่ทุ่มของคืนวันสิ้นปีไง
รีบ ๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า


ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ พูดว่า
ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…
นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม

http://variety.teenee.com/foodforbrain/6661.html

http://elibrary.nfe.go.th/blog.php?b=nfeph99&id=18

อ่านเรื่องนี้ แล้วทำให้นึกถึง เรื่อง ไล่ตงจิ้น
http://www.thaiall.com/blogacla/admin/244/

http://www.4shared.com/get/DCkbdHTD/noodle.html

ท้าทาย ศักยภาพของคนไทยที่จะได้งาน หลังเปิดประเทศ ในกลุ่มอาเซียน

lacking skill for workers
lacking skill for workers

ข้อมูลปี 2007 พบว่า ภาษาก็แย่ ไอทีก็หลงตัวเอง บวกลบก็ไม่เก่ง แล้วจะเอาอะไรไปสู้เขา เป็นความท้าทายศักยภาพของคนไทยที่จะได้งาน หลังเปิดประเทศ ในกลุ่มอาเซียน จึงเป็นประเด็นเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นของคนทำงาน (worker skill) ถ้าจะพัฒนาทักษะที่บกพร่องของคนไทย มีอะไรที่ต้องพัฒนาบ้าง จากข้อมูลกราฟ พบว่าใน 12 ประเด็น และมี 7 ประเด็นที่ผลสำรวจปี 2007 แย่กว่าปี 2004 (หมายถึง คนไทยพัฒนาถอยหลัง แย่ลง ถอยหลังนั่นเอง)
1. ภาษาอังกฤษ
2. เทคโนโลยีสารสนเทศ
3. การคำนวณตัวเลข
4. การสื่อสาร
5. การบริหารเวลา
6. การปรับตัว
7. การทำงานเป็นทีม

ส่วน 5 ประเด็นนี้พัฒนาขึ้นกว่าในอดีตนิดหน่อย
1. ความคิดสร้างสรรค์
2. ความเป็นผู้นำ
3. การแก้ปัญหา
4. การเข้าสังคม
5. ทักษะทางเทคนิค/ความเชี่ยวชาญ

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ The Nation ฉบับวันที่ 12 มีนาคม 2555
ซึ่ง อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย อ่านแล้วนำมาแบ่งปันใน group ของมหาวิทยาลัย

http://www.nationmultimedia.com/national/Thais-face-challenges-getting-Asean-jobs-30177727.html

มีประเด็นน่าสนใจดังนี้

Assoc Prof Patcharawalai Wongboonsin บอกว่าไม่ง่ายกับคนทำงานจากประเทศไทยที่จะเข้าไปแข่งขันหลังเปิดเสรีแรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียน ปี 2015 โดยเฉพาะ ทักษะด้านภาษาอังกฤษ ที่ถูกใช้ในการสื่อสาร.. แม้จับมาฝึกอบรม แต่คนไทยส่วนใหญ่เป็นประเภท polite and not aggressive .. การเข้าไปแย่งงานในต่างประเทศ (ปัจจุบันมีประมาณ 250 ล้าน เมื่อเปิดประเทศน่าจะมีประมาณ 300 ล้าน) ก็คงไม่ง่าย แต่ถ้าจากประเทศอื่นเข้ามาแย่งงานคนไทย .. นี่สิปัญหาใหม่

Boonlert Theeratrakul บอกว่า คนทำงานไทยขาดทักษะสำคัญ 3 เรื่องคือ 1) ภาษาอังกฤษ 2) ทักษะด้านไอที และ 3) ทักษะเชิงตัวเลข

การโต้เถียง (Argument หรือ Debate)

คำว่า argument เป็นคำที่ อ.จอห์น (14 ม.ค.55) ใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าท่านประสบความสำเร็จในการสอน
ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า การสอนที่ทำให้นักศึกษาโต้เถียง (ไม่ใช่โต้ตอบนั้น แบบถามไป ตอบมา) เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ และเครื่องมือที่ใช้สนับสนุนให้มีการโต้เถียงอย่างมีประสิทธิภาพก็มีอยู่น้อยมาก ในจำนวนเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน (37 วิธี จาก CU-CAS)
เพราะการโต้เถียง (Debate) จะมีประสิทธิภาพควรอยู่ในบรรยากาศแบบ face to face of group และเป็นเวทีที่ทุกคนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนอย่างเสมอภาค โดยผ่านการอภิปรายให้เหตุผลประกอบที่ชัดเจน ซึ่งประโยชน์มิได้เกิดจากผล แต่เกิดจากกระบวนการเป็นสำคัญ
ซึ่งชัดเจนว่า e-mail หรือ webboard ไม่มีประสิทธิภาพพอกับกิจกรรมการโต้เถียงของกลุ่มได้ และสื่อใด ๆ ที่เป็นแบบ semi-offline communication ก็จะไม่ตอบเรื่องการโต้เถียงได้เช่นกัน

วิธีการสอน/พัฒนา 37 วิธี

เรียบเรียงจากวิธีการสอน/พัฒนาใน Course Specification ของ CU-CAS
1. การบรรยาย (Lecture)
2. การอภิปราย (Discussion)
3. การสอนแบบสัมมนา (Seminar)
4. การสอนโดยใช้การนิรนัย/อนุมาน (Deductive) คือ อ้างความรู้เดิมให้ได้ความรู้ใหม่หรือข้อสรุป
5. การสอนโดยใช้การอุปนัย/อุปมาน (Inductive) คือ การสรุปจากความจริงย่อยหลายข้อมาเป็นข้อสรุป
6. การใช้กรณีศึกษา (Case)
7. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing)
8. ภาคสนาม (Field Work)
9. การไปทัศนศึกษา (Site Tour)
10. การใช้สถานการณ์จำลอง (Simulation)
11. การแสดงละคร (Dramatization)
12. การสาธิต (Demonstration)
13. การสอนแบบศูนย์การเรียน (Learning Center)
14. การใช้เกม (Game)
15. การทดลอง (Experiment)
16. การสอนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction)/ การเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน /การเรียนแบบผสมผสาน/การเรียนแบบออนไลน์
17. การฝึกปฏิบัติ (Practice)
18. การฝึกงาน/การฝึกสอน (Training)
19. การสอนโดยใช้วิจัยเป็นฐาน (Research-based Instruction)
20. การสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Instruction)
21. การสะท้อนความคิด (Reflective Thinking)
22. การสอนแบบสืบสอบ (Inquiry-based instruction)
23. การศึกษาค้นคว้าโดยอิสระ (Independent Study)
24. การเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง (Self-directed Learning)
25. การสอนโดยใช้โครงงาน (Project-based Instruction)
26. การเรียนรู้จากบุคคลต้นแบบ/ปราชญ์ (Professional Model)
27. การเรียนการสอนแบบจุลภาค (Micro Teaching)
28. การนิเทศการปฏิบัติการวิชาชีพ (Supervision)
29. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
30. การให้คำปรึกษารายบุคคล (Individual Advisor)
31. กลุ่มติวเตอร์ (Tutorial Group)
32. การระดมสมอง (Brain Storming)
33. การสรุปประเด็นสำคัญ / การนำเสนอผลของการสืบค้นที่ได้รับมอบหมาย (Conclusion Presentation)
34. กิจกรรม (Activities)
35. การสอนข้างเตียง/เรียนจากผู้ป่วย (Problem Learning)
36. การฝึกแสดงออกทางพฤติกรรม (Behavior Presentation)
37. การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self Study)

บทเรียนจาก transformer 3

ฝ่ายพระเอก
ท่านอาจเสียความเชื่อมั่นในหุ่นยนต์อย่างเรา..เเต่..เเต่..
จงอย่าได้สูญเสียความเชื่อมั่นในมนุษย์ด้วยกันเอง

ฝ่ายที่ไม่ใช่พระเอก
เลือกยืนอยู่ข้างที่มีโอกาสชนะมากกว่า
.. เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์

ฝ่ายการเมือง
หลังเลือกตั้ง
.. ผมว่าหลายคนได้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์นะครับ

วาดเพื่อการสื่อสาร

draw from idea to communicate
draw from idea to communicate

นี่คือผลงานของหลานศิษย์ของสกว.ลำปาง .. ผลจากหลักสูตรวาดเพื่อการสื่อสาร ที่ผมนำไปสอนพระนิสิตวาดภาพ แล้วนำเสนอจากความคิด .. นี่เป็นตัวอย่างผลงานที่ประยุกต์จากอบรมของสกว.ลำปาง .. แต่ course นี้ผมให้เวลาตั้งแต่ต้นจนจบ 1 ชั่วโมงครับ

กินธรรมดา .. ไม่ได้ใช้ความรู้สึก

พฤติกรรมแบบนี้ .. เราเรียกว่าธรรมชาติ ทำใจครับ .. เรื่องธรรมชาติ

เป็นเรื่องของความอยู่รอด .. ไม่มีความโกรธแค้นอะไรครับ

http://www.youtube.com/watch?v=WjDFjQSCW9A

10 ทางที่จะปรับปรุงนิสัยการเรียนของนักเรียน

Top 10 Ways to Improve Students’ Study Habits
เรียงจากอันดับสุดท้ายไปอันดับแรก ได้ดังนี้
10) Make it Routine คือ การเรียนเป็นกิจวัตรประจำวัน
9) Be Organized and Have a Plan คือ เรียนอย่างมีแผน
8) Break Time คือ มีช่วงเวลาพัก
7) Limit Distractions คือ จำกัดสิ่งรบกวน
6) Make Help Available คือ เปิดการให้ความช่วยเหลือเฉพาะบุคคล
5) Set Goals คือ การกำหนดเป้าหมาย
4) Track Progress คือ การเก็บความก้าวหน้า
3) Group Learning คือ กิจกรรมกลุ่ม
2) Educational Games คือ เกมด้านการศึกษา
1) Take a Trip คือ การออกทัศนศึกษา
http://educational-software-grades-4-6-review.toptenreviews.com

ความเครียด กระตือรือร้น และความสมเหตุสมผล

316. Stress is an ignorant state.  It believes that everything is an emergency. Natalie Goldberg ตีความ ความเครียดคือสภาวะชะงักงันทางความคิดที่เชื่อว่าทุกอย่างรีบเร่งไปหมด .. ยังงี้ต้องผ่าทางตัน

259. One man has enthusiasm for 30 minutes, another for 30 days, but it is the man who has it for 30 years who makes a success of his life. Edward B. Butler ตีความ คนที่มีความกระตือรือร้นนานที่สุดคือคนที่ประสบความสำเร็จ .. ใกล้กับไฟไหม้ฟางเลยครับ

169. A man must love himself in the right way. Dr.Thiam Chokwattana ตีความ เกิดเป็นคนต้องรักตนเองในทางที่สมเหตุสมผล .. ต้องใช้ความรู้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต