อุปกรณ์แนะนำเส้นทางพาหลงได้

มีโอกาสเดินทางไปกรุงเทพด้วยรถตู้หลังคาสูง ซึ่งพนักงานขับรถเป็นคนลำปาง จึงใช้อุปกรณ์แนะนำเส้นทางติดรถยนตร์ (GPS = Global Positioning System) นำผู้เขียนไปในสถานที่ที่ต้องการรอบกรุงเทพ อุปกรณ์แนะนำเส้นทางเป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บอกเส้นทางสู่ที่หมาย คอยแนะนำผู้ขับพาหนะให้เลี้ยวซ้าย ขวา และเตือนให้ทราบระยะทาง หากเปลี่ยนทิศ หรือออกนอกเส้นทางที่แนะนำจะคอยเตือนว่าออกนอกเส้นทางไปแล้ว อุปกรณ์นี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ถ้าซื้อจากบริษัทที่น่าเชื่อถือจะมีราคาหลายพันบาท แต่ถ้าซื้อจากท่าขี้เหล็กฝั่งพม่าก็ต้องรับความเสี่ยงเรื่องคุณภาพด้วยราคา ต่ำกว่าปกติครึ่งหนึ่ง

อุปกรณ์แนะนำเส้นทางสามารถระบุได้ว่าเราอยู่ที่ตำแหน่งใดบนพื้นโลก ในอนาคตอาจมีการรวมความสามารถนี้เข้ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วไป เพราะสามารถเป็นไปได้ในทางเทคนิค เมื่อมีความนิยมเพิ่มขึ้นราคาก็จะลดลง ในรถยนต์รุ่นใหม่หลายคันเริ่มติดตั้งอุปกรณ์แนะนำเส้นทางเพื่อให้ความสะดวก แก่ผู้ขับยานพาหนะ ส่วนนักขับรถแข่งแรลลี่มืออาชีพเห็นความสำคัญของอุปกรณ์นี้ เพราะจำเป็นต้องใช้บอกเส้นทางไปสู่เส้นชัย แต่นักเรียนคงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์นี้บอกเส้นทางจากบ้านไปยังสถานศึกษา คงไม่มีใครเปลี่ยนเส้นทางเดินรถทุกวัน ต่างกับผู้มีรถตู้ให้เช่าที่เส้นทางจะถูกกำหนดโดยผู้เช่าเป็นหลัก และบ่อยครั้งที่พนักงานขับรถไม่รู้เส้นทาง

แม้อุปกรณ์บอกเส้นทางจะมีความสามารถแนะนำเส้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังมีข้อจำกัด และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ ข้อมูล และส่วนติดต่อกับผู้ใช้ โดยผู้เขียนมีประสบการณ์ไม่ดีนักเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์บอกเส้นทางใน กรุงเทพฯ เพราะบางพื้นที่มีเส้นทางที่ซับซ้อน มีหลายเส้นทาง และกฎจราจรเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ทำให้อุปกรณ์ไม่สามารถแนะนำเส้นทางที่เหมาะสมได้อย่างถูกต้อง หรืออาจพาอ้อมไปหลายสิบกิโลเมตร คนโบราณท่านว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง ต่อไปอาจต้องเพิ่มคำว่า อย่างมั่นใจจีพีเอส ให้เป็นคติเตือนใจสำหรับผู้ใช้จีพีเอสมือใหม่

http://www.facebook.com/note.php?note_id=173599146004516&id=350024507271

ระบบสารสนเทศกับหัวหน้าสี่คน

กรณีศึกษา ระบบสารสนเทศ ขาด-ลา-สาย สำหรับสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Making) ซึ่งการบริหารงานบุคคลเป็นเรื่องยากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับทุกองค์กร เพราะทรัพยากรที่สำคัญก็คือ Human มีกรณีตัวอย่างของหัวหน้า 4 คน ที่มีบทบาทต่อสารสนเทศ ขาด ลา และสายของบุคลากรที่แตกต่างกัน  โดยแสดงพฤติกรรมไปกันคนละขั้ว สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ทุกองค์กรมีนโยบาย และวัฒนธรรมขององค์กรที่แตกต่างกัน การคิดแบบหนึ่งอาจเหมาะกับองค์กรหนึ่ง แต่ไม่เหมาะกับอีกองค์กรหนึ่งก็เป็นได้ อย่างได้ยึดมั่นถือมั่นกันเชียว
หัวหน้าหนึ่ง ทราบว่า ลูกน้องลาไปแล้ว 5 วัน ก็เรียกมาตักเตือน แล้วบอกว่าถ้าลาอีกจะไม่ขึ้นเงินเดือนให้ ถ้าไม่เชื่อฟังก็จะหักเงินเดือนพร้อมกับขึ้นบัญชีดำในทุกเรื่อง
หัวหน้าสอง ทราบว่า ลูกน้องลาไปแล้ว 5 วัน ก็เรียกมาบอกว่าปกติพนักงานลาป่วยได้ 30 วัน ลากิจและลาพักผ่อนได้อีก 20 วัน รวมวันหยุดราชการอีก 15 วัน รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 60 วัน ตอนนี้หัวหน้าลาไปทั้งหมด 70 วันแล้ว จึงแสดงความมีกัลยาณมิตรกับลูกน้องว่า ต่อไปให้หยุดงานสัปดาห์ละ 1 ถึง 2 วัน เพราะต้องใช้สิทธิ์ให้เต็มที่เท่าที่ตนมีสิทธิ์
หัวหน้าสาม ทราบว่า ลูกน้องลาไปแล้ว 5 วัน ก็เฉยไม่ทำอะไร เพราะรักสงบ ต่างคนต่างอยู่น่ะดีแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเรา
หัวหน้าสี่ ทราบว่า ลูกน้องลาไปแล้ว 5 วัน ก็รู้สึกไม่พอใจที่มีคนมาให้ข้อมูล แล้วถามกลับไปว่ามาบอกฉันทำไม ต้องการให้ฉันทำอะไรก็บอกมา แล้วฉันจะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะทำอะไรต่อไป แต่ให้บอกมาก่อนว่าจะให้ฉันคิดอะไรกับจำนวนวันลาของลูกน้องของฉัน

เกี่ยวกับ พฤติกรรมองค์การ แล้ว Donglas Mc Gregor เห็นว่าคนมี 2 ประเภท  และการบริหารคนทั้ง 2 ประเภท  ต้องใช้วิธีการบริหารแตกต่างกัน โดยสรุปว่า กิจกรรมการบริหารจัดการล้วนมีสาเหตุรากฐานมาจากทฤษฎีพฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviors) ซึ่งเป็นไปกรอบทฤษฎี  X  และทฤษฎี  Y

ความหมายของ นวัตกรรมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการศึกษา

ความหมายของนวัตกรรม

นวัตกรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น  เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย
นวัตกรรม (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ใน ภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบ ใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ “การทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐอุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถในการเรียนรู้และนำไปปฎิบัติให้เกิดผลได้จริงอีกด้วย

นวัตกรรม เป็น คำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้ เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจากคำกริยาว่า innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คำว่า “นวกรรม” ต่อมาพบว่าคำนี้มีความหมายคลาดเคลื่อน จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กำ) หมาย ถึงการนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากวิธีการที่ทำอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือกิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรับผู้ที่กระทำ หรือนำความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น “นวัตกร” (Innovator)

ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึงนำไปปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา

มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง(Renewal) ซึ่ง หมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการ ปรับปรุงเสริมแต่งและพัฒนา

ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521 : 14) ได้ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ไว้ ว่าหมายถึง วิธีการปฎิบัติใหม่ๆ ที่แปลกไปจากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการ ทดลอง พัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฎิบัติ ทำให้ระบบก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

จรูญ วงศ์สายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ในภาษาอังกฤษเอง ความหมายก็ต่างกันเป็น 2 ระดับ โดยทั่วไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ทำอยู่เดิมแล้ว กับอีกระดับหนึ่งซึ่งวงการวิทยาศาสตร์แห่งพฤติกรรม ได้พยายามศึกษาถึงที่มา ลักษณะ กรรมวิธี และผลกระทบที่มีอยู่ต่อกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง คำว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง สิ่งที่ได้นำความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้ผลสำเร็จและแผ่กว้างออกไป จนกลายเป็นการปฏิบัติอย่างธรรมดาสามัญ (บุญเกื้อ ควรหาเวช , 2543)

นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับกาลสมัย
ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)
ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์

ความหมายของนวัตกรรมการศึกษา
นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทที่กำลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่านี้ เป็นต้น

นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น

ความหมายของเทคโนโลยี
ความเจริญในด้านต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทดลองประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เมื่อศึกษาค้นพบและทดลองใช้ได้ผลแล้ว ก็นำออกเผยแพร่ใช้ในกิจการด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพในกิจการต่างๆ เหล่านั้น และวิชาการที่ว่าด้วยการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในกิจการด้านต่างๆ จึงเรียกกันว่า “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” หรือนิยมเรียกกันทั่วไปว่า “เทคโนโลยี”

เทคโนโลยี หมายถึงการใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการแก้ปัญหา ผู้ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ เรียกว่านักเทคโนโลยี (Technologist)

เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา) หมาย ถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุม องค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ

สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้คำจำกัดความของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการพัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนให้ดียิ่งขึ้น

ดร.เปรื่อง กุมุท ได้กล่าวถึงความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา ว่า เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้สื่อการสอน ให้กว้างขวางขึ้นทั้งในด้านบุคคล วัสดุเครื่องมือ สถานที่ และกิจกรรมต่าง ๆ ในกระบวนการเรียนการสอน

Edgar Dale กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นแผนการหรือวิธีการทำงานอย่างเป็นระบบ ให้บรรลุผลตามแผนการ

นอกจากนี้ เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศนศึกษา ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ตาดูหูฟัง ดังนั้นอุปกรณ์ในสมัยก่อนมักเน้นการใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คำว่าโสตทัศนอุปกรณ์ เทคโนโลยีทางการศึกษา มีความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งอาจจะพิจารณาจาก ความคิดรวบยอดของเทคโนโลยีได้เป็น 2 ประการ คือ
1. ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดนี้ เทคโนโลยีทางการศึกษาหมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่านี้ มักคำนึงถึงเฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงาน มักไม่คำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล และการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา
ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตามความคิดรวบยอดนี้ ทำให้บทบาทของเทคโนโลยีทางการศึกษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอุปกรณ์เท่านั้น ไม่รวมวิธีการ หรือปฏิกิริยาสัมพันธ์อื่น ๆ เข้าไปด้วย ซึ่งตามความหมายนี้ก็คือ “โสตทัศนศึกษา” นั่นเอง
2. ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการนำวิธีการทางจิตวิทยา มนุษยวิทยา กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียน เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นมิใช่เพียงการใช้ เครื่องมืออุปกรณ์เท่านั้น แต่รวมถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ หรืออุปกรณ์ แต่เพียงอย่างเดียว

เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
1. การ ขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มิได้หมายถึงแต่เพียงตำรา ครู และอุปกรณ์การสอน ที่โรงเรียนมีอยู่เท่านั้น แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการศึกษา ต้องการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ครอบคลุมถึงเรื่องต่างๆ เช่น
1.1 คน คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งได้แก่ ครู และวิทยากรอื่น ซึ่งอยู่นอกโรงเรียน เช่น เกษตรกร ตำรวจ บุรุษไปรษณีย์ เป็นต้น
1.2 วัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องวิดีโอเทป ของจริงของจำลองสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงการใช้สื่อมวลชนต่าง ๆ
1.3 เทคนิค-วิธีการ แต่เดิมนั้นการเรียนการสอนส่วนมาก ใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอกเนื้อหา แก่ผู้เรียนปัจจุบันนั้น เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้มากที่สุด ครูเป็นเพียง ผู้วางแผนแนะแนวทางเท่านั้น
1.4 สถานที่ อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ที่ทำการรัฐบาล ภูเขา แม่น้ำ ทะเล หรือสถานที่ใด ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เรียนได้
2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล ถึงแม้นักเรียนจะล้นชั้น และกระจัดกระจาย ยากแก่การจัดการศึกษาตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิด หาวิธีนำเอาระบบการเรียนแบบตัวต่อตัวมาใช้ แต่แทนที่จะใช้ครูสอนนักเรียนทีละคน เขาก็คิด ‘แบบเรียนโปรแกรม’ ซึ่ง ทำหน้าที่สอน ซึ่งเหมือนกับครูมาสอน นักเรียนจะเรียนด้วยตนเอง จากแบบเรียนด้วยตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือสื่อประสมหลายๆ อย่าง จะเรียนช้าหรือเร็วก็ทำได้ตามความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน
3. การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็นวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อถือได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหา หรือช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายได้ เนื่องจากกระบวนการของวิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรือของระบบ อย่างมีเหตุผล หาทางให้ส่วนต่าง ๆ ของระบบทำงาน ประสานสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาเครื่องมือ-วัสดุ อุปกรณ์ทางการศึกษา วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษา หรือการเรียนการสอนปัจจุบันจะต้องมีการพัฒนา ให้มีศักยภาพ หรือขีดความสามารถในการทำงานให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก

แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา

ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้ 4 ประการ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล
(Individual Different) การ จัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้ อย่างชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น
– การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
– แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
– เครื่องสอน (Teaching Machine)
– การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching)
– การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
– เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)

2. ความพร้อม (Readiness) เดิมที เดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาที่เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ นวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
– ศูนย์การเรียน (Learning Center)
– การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
– การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)

3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศัยความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวันนอกจากนั้นก็ยังจัดเวลาเรียนเอาไว้แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
– การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)
– มหาวิทยาลัยเปิด (Open University)
– แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
– การเรียนทางไปรษณีย์

4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีสิ่งต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึงจำเป็นต้อง แสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น
– มหาวิทยาลัยเปิด
– การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์
– การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป
– ชุดการเรียน

นวัตกรรมทางการศึกษาที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน
นวัตกรรม
เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการคิดและทำสิ่งใหม่อยู่ เสมอ ดังนั้นนวัตกรรมจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ สิ่งใดที่คิดและทำมานานแล้ว ก็ถือว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีสิ่งใหม่มาแทน

นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน
ความหมาย
e-Learning เป็นคำที่ใช้เรียกเทคโนโลยีการศึกษาแบบใหม่ ที่ยังไม่มีชื่อภาษาไทยที่แน่ชัด และมีผู้นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง ให้คำนิยาม E-Learning หรือ Electronic Learning ว่า หมายถึง  “การ เรียนผ่านทางสื่ออิเลคทรอนิกส์ซึ่งใช้การ นำเสนอเนื้อหาทางคอมพิวเตอร์ในรูปของสื่อมัลติมีเดียได้แก่ ข้อความอิเลคทรอนิกส์ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว ภาพสามมิติฯลฯ” เช่นเดียวกับ คุณธิดาทิตย์ จันคนา ที่ให้ความ หมายของ e-learning  หมายถึงการศึกษาที่เรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตโดยผู้เรียนรู้จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง การเรียนรู้จะเป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้สองประการคือ เรียนตามความรู้ความสามารถของผู้เรียนเอง และ การตอบสนองใน ความแตกต่างระหว่างบุคคล(เวลาที่แต่ละบุคคลใช้ในการเรียนรู้)การเรียนจะกระทำผ่านสื่อบนเครือข่ายอินเตอร์เนต โดยผู้สอนจะนำเสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทำการศึกษาผ่านบริการ World Wide Web หรือเวปไซด์ โดยอาจให้มีปฏิสัมพันธ์ (สนทนา โต้ตอบ ส่งข่าวสาร) ระหว่างกัน จะที่มีการเรียนรู้ ู้ในสามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือผู้เรียนหนึ่งคนกับกลุ่มของผู้เรียน ปฏิสัมพันธ์นี้สามารถ กระทำ ผ่านเครื่องมือสองลักษณะคือ

1) แบบ Real-time ได้แก่การสนทนาในลักษณะของการพิมพ์ข้อความแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน หรือ ส่งในลักษณะของเสียง จากบริการของ Chat room

2) แบบ Non real-time ได้แก่การส่งข้อความถึงกันผ่านทางบริการ อิเลคทรอนิคเมลล์ WebBoard News-group

ความหมายของ e-Learning
มีความหมายคล้าย Technology-based Learning นั้นคือการศึกษาที่อาศัยเทคโนโลยีมาเป็นส่วนประกอบที่ สำคัญ ความหมายของ e-Learning ครอบคลุมกว้างรวมไปถึงระบบโปรแกรม และขบวนการที่ ดำเนินการ ตลอดจนถึงการศึกษาที่ใช้ ้คอมพิวเตอร์เป็นหลักการศึกษาที่อาศัยWebเป็น เครื่องมือหลักการศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง และการศึกษาที่ใช้ การทำงานร่วมกันของอุปกรณ์อิเลค ทรอนิค ระบบดิจิตอล ความหมายเหล่านี้มาจากลักษณะของการส่งเนื้อหาของบทเรียนผ่านทาง อุปกรณ์อิเลคทรอนิค ซึ่งรวมทั้งจากในระบบอินเตอร์เนต ระบบเครือข่ายภายใน (Intranets) การ ถ่ายทอดผ่านสัญญาณทีวี และการใช้ซีดีรอม อย่างไรก็ตาม e-Learning จะมีความหมายในขอบเขต ที่แคบกว่าการศึกษาแบบทางไกล (Long distance learning) ซึ่ง จะรวมการเรียนโดยอาศัยการส่ง ข้อความหรือเอกสารระหว่างกันและชั้นเรียนจะเกิดขึ้นในขณะที่มีการเขียนข้อ ความส่งถึงกัน การนิยามความหมายแก่ e-learning Technology-based learning และ Web-based Learning ยังมีความแตกต่างกัน ตามแต่องค์กร บุคคลและกลุ่มบุคคลแต่ละแห่งจะให้ความหมาย และคาดกันว่าคำว่า e-Learning ที่มีการใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ในที่สุดก็จะเปลี่ยนไปเ ป็น e-Learning เหมือนอย่าง กับที่มีเปลี่ยนแปลงคำเรียกของ e-Business

เมื่อกล่าวถึงการเรียนแบบ Online Learning หรือ Web-based Learning ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของ Technology-based Learning nี่มีการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เนต อินทราเนต และ เอ็ซทราเนต (Extranet) พบว่าจะมีระดับ การจัดการที่แตกต่างกันออกไป Online Learning ปกติจะ ประกอบด้วยบทเรียนที่มีข้อความและรูปภาพ แบบฝึกหัดแบบทดสอบ และบันทึกการเรียน อาทิ คะแนนผลการทดสอบ(test score) และบันทึกความก้าวหน้าของการเรียน(bookmarks) แต่ถ้าเป็น Online Learning ที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง โปรแกรมของการเรียนจะประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหว แบบ จำลอง สื่อที่เป็นเสียง ภาพจากวิดีโอ กลุ่มสนทนาทั้งในระดับเดียวกันหรือในระดับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ที่ปรึกษาแบบออนไลน์ (Online Mentoring) จุดเชื่อมโยงไปยังเอกสารอ้างอิงที่มีอยู่ ในบริการของเวป และการสื่อสารกับระบบที่บันทึกผลการเรียน เป็นต้น

การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-learning การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็น การเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม ความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพเสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดย ผู้เรียน ผู้สอน และ เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับ การเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย(e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)

ผู้ให้ข้อมูล : อรรคเดช โสสองชั้น
http://ceit.sut.ac.th/km/wordpress/?p=138

การนำวีดีโอจากเทปใน SONY DCR ลงเว็บ

การนำวีดีโอจากเทปใน SONY DCR-TRV33E MiniDV ลงเว็บแบบ Streaming

1. เปิดตัวเลือก USB Streaming เป็น on ในเมนูของกล้อง
2. ติดตั้ง Driver สำหรับเชื่อม USB จากกล้องเข้าเครื่อง
3. เชื่อมสายจากกล้องเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วสั่ง play จากกล้อง
4. เปิดโปรแกรม Windows Movie Maker แล้ว Capture from video device
5. เมื่อสั่ง Start, Capture จะถ่ายวีดีโอไปยังแฟ้ม .wmv ทีละเฟรม เทียบเท่าเวลาที่บันทึกในวีดีโอ
6. ใช้โปรแกรม Total video converter หรือ Formatfactory แปลง .wmv เป็น .flv
7. ใช้ FlowPlayer แสดงแฟ้ม .flv แบบ Streaming
+ http://www.thaiall.com/media

<html><head>
<script type="text/javascript" src="flowplayer-3.2.4.min.js"></script>
</head><body>
<a href="http://www.xxx.com/x.flv"
style="display:block;width:425px;height:300px;" id="player"></a>
<script>flowplayer("player", "flowplayer.swf");</script>
</body></html>

สร้าง quiz ด้วย fbml

quiz by fbml
quiz by fbml

30 พ.ย.53 ระบบข้อสอบที่เป็น application ตามที่ผู้พัฒนาใน fb เสนอไว้หลายรายนั้น ผมว่าเราคุมไม่ได้ เพราะผู้พัฒนาจะติดป้ายโฆษณา และกำหนดการตอบสนองที่อาจไม่เป็นไปตามที่เรากำหนด เมื่อได้ลองเขียน fbml พบว่าเราสามารถดึงข้อมูลออกไป แล้วสร้างฐานข้อมูลของเรา เมื่อทดสอบโค้ดแล้วได้เขียนวิธีการพัฒนาอย่างง่าย เผยแพร่ใน thaiall.com/facebook และตอนนี้รอข้อสอบที่จะส่งเข้าระบบ และควบคุมเนื้อหาแวดล้อมเท่านั้น แล้วจึงเผยแพร่ quiz ของมหาวิทยาลัยได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์

วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ หรือจิตทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ มีทฤษฎีหลักอยู่ 3 ทฤษฎีที่น่าสนใจ คือ 1) ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Theory) เป็นแนวความคิดของสกินเนอร์ (Burrhus Frederick Skinner หรือ B.F. Skinner) เชื่อว่า การเรียนรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก การตอบสนองสิ่งเร้าของมนุษย์เป็นพฤติกรรมแบบแสดงออก ซึ่งมีการเสริมแรงเป็นตัวการ โดยทฤษฎีนี้ จะไม่พูดถึงความคิดภายในของมนุษย์ ความทรงจำ ความรู้สึก  2) ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitivism Theory) เป็นแนวความคิดของชอมสกี้ (Noam Chomsky) เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องของภายในจิตใจ มนุษย์มิใช้ผ้าขาวเมื่อใส่สีอะไรลงไปก็จะกลายเป็นสีนั้น มนุษย์มีความนึกคิด มีอารมณ์จิตใจ และมีความรู้สึกภายในที่แตกต่างออกไป ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนก็ควรจะคำนึงถึงความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนก็ควรจะคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล  3) ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) เป็นแนวความคิดของ รูเมลฮาร์ทและออโทนี่ (David Everett Rumelhart and Andrew Ortony)(1977) เชื่อว่า โครงสร้างภายในของความรู้ที่มนุษย์มีอยู่นั้น มีลักษณะเป็นโหนดหรือกลุ่มเชื่อมโยงกันอยู่ในมนุษย์ เมื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่เพิ่งได้รับ นั้นจะไปเชื่อมโยงกับกลุ่มที่มีอยู่เดิม

ข้อมูลเกี่ยวกับ fb สำหรับงานประชาสัมพันธ์

1. ระบบ fb ที่บริการแบบ fanbox หรือ community page ของ yonok (ไม่มีผู้ post พ.ค.-พ.ย.53 แต่มีคนชอบมากกว่า 600 คนแล้ว) มีความสมบูรณ์ ซึ่งผู้ดูแลไม่จำเป็นต้องรับเป็นเพื่อน .. ผู้สนใจขอ like แล้ว post ได้ทันที
http://www.facebook.com/pages/Muang-Lampang/Creative-Campus-Yonok-University/248411859141
2. ระบบ fb ที่บริการแบบไม่ต้อง confirm คือ comment ที่ทำงานร่วมกับ webpage อย่างที่ km, gallery หรือ news ของโยนกใช้ ไม่ต้องเป็นเพื่อนกับเจ้าของ profile ก็ให้บริการได้ .. แต่เป็นเพียงระบบ comment ต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่งเท่านั้น และผู้ให้ comment ต้องมี account ของ fb
http://www.yonok.ac.th/yonokroom/dooroop.php?activityid=216
3. ชื่อสั้น (username) เช่น http://www.facebook.com/yonok มีคนขอไปแล้ว คาดว่าเป็นเด็กเกาหลี ถ้าขอชื่อใหม่ ต้องเลือกว่าจะใช้ชื่อใดขอสำหรับ profile ใด เพราะขอได้ครั้งเดียว .. พลาดแล้วพลาดเลย
4. create community page (คือ fanbox) หรือ official page แล้วจะพบคำว่า Promote with Ad อยู่ใต้ภาพ profile ของ page นั้น สามารถหาคนมา like ได้หลาย 100 คน แต่ถ้าเขาไม่เข้ามายัง page นี้อย่างตั้งใจ ก็จะไม่มีผลอะไรกับไปยัง profile ของสมาชิก ต่างกับ profile ของบุคคลธรรมดา บริการเสริมเช่น สร้าง like box สำหรับเว็บไซต์ที่เรามีอยู่ได้
http://developers.facebook.com/docs/reference/plugins/like-box
http://www.facebook.com/pages/create.php
5. ผลจากข้อ 4 จะพบว่าโฆษณาได้ แต่มีค่าใช้จ่าย 2 แบบ คือ Pay for Impressions (CPM) แสดงมากเสียมาก  1000 impressions = $0.3 หรือ 10 บาท หรือถูกกว่า และ Pay for Clicks (CPC) จ่ายเมื่อมีคนคลิ๊ก 1 click = $0.3 หรือ 10 บาท หรือถูกกว่า มีรายละเอียดในหัวข้อ pricing ของ Advertise on Facebook
6. ตัวอย่างหนึ่งของ Quiz เป็น application ที่ถูกสร้างขึ้น แล้วเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถสร้างคำถามได้ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ invite เพื่อนด้วยการ post เข้า wall ของเพื่อนแต่ละคน
http://www.facebook.com/makequizzes
http://quiz.applatform.com/track/?i=2045175&o=0&h=1e06fd2d4a62c7ae5c09e29ffed82e8f

ดำเนินการปรับ yoso (wordpress)

นางนพมาศ 2553
นางนพมาศ 2553

23 พ.ย.53 เนื่องจากเว็บของ yoso.yonok.ac.th เป็นระบบที่ outsource โดยใช้ code หลักของ wordpress และมี plug-in เสริมหลายตัว โดยใช้ theme ของ solostream/wp-clear ที่แบ่ง column ได้เป็นระเบียบ เมื่อมีข้อมูลเพิ่ม ก็จะต้องปรับข้อมูลและเขียนวิธีการ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้ร่วมแลกเปลี่ยน ดังนี้ 1) หัวข้อที่หมดอายุ ผมเลือกสั่ง private แทน public ในการ edit post 2) ส่วนข่าวที่เพิ่มใหม่ ได้กำหนดกลุ่มเป็น news หรือห้องตามที่กำหนด และใช้ระบบ DM-Albums รู้สึกสะดวกมาก และสร้าง thumb nail อัตโนมัติด้วยการ upload ภาพเข้า post โดยตรง ซึ่งภาพแรกจะเป็น thumb nail 3) ส่วนข่าว camp ที่เขียนเป็น html ต่อท้ายสี่กลุ่มคอลัมในหน้าแรก ถ้าลบออกจะต้องเข้าไปแก้ไขแฟ้ม index.php ในห้อง themes/wp-clear 4) ส่วน slide มาจากระบบ gallery ของ DM-Albums การแก้ไขต้องเข้า Post, Categories, Gallery สามารถเลือก private ส่วนการจัดลำดับภาพใน Slide ใช้ PostMash เปลี่ยนตำแหน่งของหัวข้อใน Gallery ซึ่งระบบ Gallery ก็เพียงแต่ insert จาก DM-Albums เท่านั้น 5) กรณีของ ข่าว สะเปาลอยน้ำ ได้เพิ่มทั้ง news และ gallery สำหรับรูปที่ใช้กับ slide gallery ในหน้าแรก ต้องปรับขนาดให้ลงตัวกับการนำเสนอ
ผลการทำงานที่ http://yoso.yonok.ac.th/news/saplao53.html

ข้อสอบของ istockphoto.com

ข้อสอบของ istockphoto.com ในการเป็น Contributor ถ้าสอบไม่ผ่านก็ไม่ได้เป็นนะครับ แม้จะสอบผ่านก็ต้องมี passport ที่ scan แล้วส่งไปให้เข้าดูครับ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการสมัครเป็น contributor
# All recognizable faces require a model release, including crowds: All recognizable human faces require a model release, including public areas, crowds, self portraits and vintage photographs.
# Logos are acceptable in wide angle photographs: Any visible logo should be removed in royalty-free stock photography.
# Identifiable design marks, such as the 3 stripes for Adidas or the Nike swoosh, are allowed if the name is removed: All design elements that are recognizable to a company may also be protected by trademark, and should always be removed for royalty-free stock photography.
# Landmark buildings such as the Sydney Opera House or Empire State Building require a property release to be used as royalty-free stock: Famously recognized buildings and modern architecture may require a property release. Questionable buildings should be researched prior to uploading.
# A model release is required for a self portrait: All recognizable human faces require a model release, including public areas, crowds, self portraits and vintage photographs.
# The photographer can witness their own Model/Property Release: A model or property release cannot be witnessed by the photographer.
# A simple snapshot is acceptable; iStock does not require quality in composition: The iStock collection is a selection of the highest quality, both creative and technical, images submitted. Simple snap shots will not be accepted.
# It is acceptable to protest a rejection in the iStock forums: To protest an image, it should always be addressed through “Scout”, located in the Support section.
# It is acceptable to copy the composition of another photographer’s work : iStock respects the creative value of each original image and does not condone mimicking the work of others.
# Photographs should be upsampled or interpolated to the maximum XXL size: iStock will not accept images that have been upsampled or interpolated above their native resolution.
# The above example contains: Compression can be spotted in a photograph by the “chunking” of colors.
# The above example is: Harsh light or distracting shadows unintentional to the composition will be declined from the iStock collection.
# The above example is: The use of noise reduction should never create a “watercolor” or overly smoothed appearance.

สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่สมควรคิดค้น (itinlife 269)

ฟักทองยัก
ฟักทองยัก

ปัจจุบันมีสิ่งประดิษฐ์ที่ได้ถูกจดสิทธิ์บัตรแล้วมากมาย อาทิ โทรศัพท์ วิทยุ วีดีโอ เครื่องคอมพิวเตอร์ ยารักษาโรค วัคซีน แต่มีความพยายามประดิษฐ์อีกมากมายที่ยังไม่สำเร็จ จึงมีคนบางกลุ่มร่วมกันจัดอันดับสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ไม่ควรคิดค้นให้สำเร็จ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดปัญหากับมนุษย์เอง มีภาพยนตร์มากมายแสดงตัวอย่างให้เห็นปัญหาจากสิ่งประดิษฐ์บางประเภทที่มนุษย์อาจนำไปใช้ในมุมที่ไม่สมเหตุสมผล ตัวอย่างใกล้ตัว คือ อาวุธที่มนุษย์เลือกใช้ให้เกิดประโยชน์ก็เพื่อป้องกันตนจากสัตว์ร้าย แต่มนุษย์บางคนใช้อาวุธเพื่อเบียดเบียนกัน หรือละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

สิ่งประดิษฐ์ไฮเทคที่ไม่สมควรสร้างขึ้นมา ได้แก่ 1) Time Travel คือ พาหนะพาไปยังเวลาที่ต้องการ 2) Replicator คือ เครื่องจัดเรียงอนุภาคอะตอม เพื่อสร้างวัตถุใหม่ 3) Holodesks คือ เครื่องสร้างโลกเสมือนจริง 4) Genetic Engineering คือ พันธุวิศวกรรม สามารถสร้างสัตว์พันธุ์ใหม่ 5) Weather Control คือ เครื่องควบคุมสภาพอากาศ 6) Nanobots คือ หุ่นยนต์เล็กจิ๋วที่เข้าไปปฏิบัติการในร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้ 7) Teleportation Device คือ เครื่องเคลื่อนย้ายสสารจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง 8) Prediction of the future คือ เครื่องทำนายอนาคต 9) Artificial Intelligence คือ ปัญญาประดิษฐ์ 10) Cryogenic freezing คือ การแช่แข็งมนุษย์ และปลุกให้ตื่นในอนาคต

ในสิ่งประดิษฐ์ข้างต้น ถ้าพิจารณาว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว และมีกระแสต่อต้านจนเป็นข่าวอย่างกว้างขวาง พบว่าเป็น Genetic Engineering เพราะมนุษย์มีความเกรงกลัวว่าพืชที่ถูกตัดแต่งพันธุ์กรรมบางประเภทอาจทำให้มนุษย์เป็นหมัน เป็นมะเร็ง หรือลดภูมิคุ้มกัน นำไปสู่การสูญพันธุ์ได้ เช่น ผลไม้บางพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ รสชาติดี คงทนต่อโรคและแมลง มีการจำหน่ายพันธุ์โดยตรงจากบริษัท เมื่อนำมาปลูกแล้วพยายามขยายพันธุ์โดยเกษตรกร พบว่าไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ จำเป็นต้องซื้อต้นกล้ามาปลูกใหม่ทุกฤดูกาล แต่มนุษย์ก็ยังมีความสุขกับพืชหรือสัตว์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรม เพราะพอใจรูปลักษณ์ภายนอก โดยไม่ใส่ใจอย่างจริงจังต่อผลข้างเคียง มักคิดว่าใครต่อใครก็บริโภค เช่น สุรา หรือบุหรี่ ที่รู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แต่การบริโภคไม่ลดลงเท่าที่ควร ราคาสูงขึ้น แม้จะมีกฎหมายเข้ามาควบคุม แต่ดูจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร แล้วผลข้างเคียงของพืชตัดแต่งพันธุกรรมที่อาจใช้เวลาฟักตัวกว่า 10 ปี จึงเป็นเรื่องที่มนุษย์ให้ความใส่ใจน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

http://atcloud.com/stories/82517
http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1360
http://presurfer.blogspot.com/2009_08_01_archive.html