เพื่อนบ่นเชิงสร้างสรรค์ จึงเล่าสู่กันฟัง

2 ก.พ.53 มีประเด็นที่อาจารย์หลายท่านบ่นที่เชื่อมโยงกับบริการในเว็บไซต์ ดังนี้ 1)อีเมลของมหาวิทยาลัยหายไปแล้วเหรอ 2)เว็บบอร์ดปิด 3)ระบบห้องภาพของประชาสัมพันธ์หายไป 4)ระบบสืบค้นงานวิจัย 5)ระบบสืบค้นหนังสือในห้องสมุด และ 6)อินทราเน็ตเข้าไม่ได้ 7)ระบบฐานข้อมูลประเมินตนเอง 8)แผนที่ไซต์หายไป คุณธรณินทร์ สุรินทร์ปันยศ ผู้พัฒนาระบบต่าง ๆ แจ้งให้ผมทราบว่าอาจารย์หลายท่านเข้าไม่ได้จริง เพราะพฤติกรรมเดิมคือเปิดหน้าแรกของเว็บไซต์แล้วก็คลิ๊กตามลิงค์ที่มีอยู่
     ผมก็แปลกใจที่เพื่อน ๆ เข้ากับไม่ได้ อาจเป็นเพราะโดยปกติผมจะเข้าตรงไม่เปิดผ่านหน้าเว็บไซต์หลัก เมื่อมีเหตุการณ์อะไรจะไปเขียนเล่าใน http://blog.yonok.ac.th หรือเว็บบอร์ด หรือไม่ก็สืบค้นผ่าน google.com ก็จะพบข้อมูลของมหาวิทยาลัยโดยง่าย  ประกอบกับเว็บไซต์อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับนโยบาย Creative Campus หากอะไรไม่ตรงกับนโยบาย ก็จะลดระดับความสำคัญในการพัฒนาออกไปก่อน

     ก็ถือเป็นโอกาสที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ที่จะส่งเสริมให้เรียนรู้และจดจำ Website Address ดังนี้
+ http://www.yonok.ac.th/mail
+ http://www.yonok.ac.th/webboard
+ http://www.yonok.ac.th/yonokroom
+ http://www.yonok.ac.th/wallpic
+ http://www.yonok.ac.th/nresearch
+ http://it.yonok.ac.th/doc/library/library.php
+ http://www.yonok.ac.th/intranet
+ http://www.yonok.ac.th/sar
+ http://www.yonok.ac.th/sitemap

การเชื่อมโยงระหว่างชุมชน อาจารย์ และนักศึกษา

ชุมชน อาจารย์ และนักศึกษา

23 ม.ค.53 องค์ความรู้ในชุมชนมีซ่อนบ่มอยู่มากมาย และหลากหลายสาขาวิชา สิ่งเหล่านั้นเริ่มถูกยกระดับคุณค่าหลังจากมีการพัฒนาชุมชนเมืองเพียงด้านเดียวมาระยะหนึ่ง โดยปล่อยปะละเลยคุณค่าของชุมชนชนบท ทิ้งไว้แต่คำร่ำลือถึงความศิวิไลที่ทุกคนต่างโหยหา แต่ขาดการดำเนินการเพื่อรักษาสิ่งเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม จึงมีคำถามว่าใครจะเข้าไปเป็นกลไกในการพัฒนา รักษา และมีกระบวนการอย่างไร ให้เกิดการทำนุบำรุงรักษาศิลปวัฒนธรรม และองค์ความรู้ของชุมชนให้ดำรงอยู่ต่อไป เพื่อให้เยาวชนและชุมชนเองได้ชื่นชมตราบนานเท่านาน
      การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และองค์ความรู้ของชุมชนต้องเริ่มต้นจากการเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่โดยชุมชน ดังคำว่ามีหนึ่งสมอง สองมือกับหนึ่งใจย่อมทำกิจการงานทุกอย่างได้สำเร็จ ดังนั้นชุมชนต้องมีใจรักที่จะรักษาและชื่นชมสิ่งที่มีอยู่เป็นทุนเดิม องค์ความรู้ที่เปรียบได้กับสมองของชุมชน ซึ่งปัจจุบันมักรู้จักกันในนามของปราชญ์ชาวบ้านที่จำเป็นต้องอนุรักษ์ให้เกิดการสืบทอดเป็นภารกิจเร่งด่วน เนื่องจากจำนวนปราชญ์ชาวบ้านเริ่มลดลงตามข้อจำกัดเรื่องอายุ แล้วกระบวนการหรือกลไกหรือมือที่จะเข้ามาทำให้ใจและสมองเชื่อมโยงด้วยความเข้มแข็งและขยายผลให้เกิดการยอมรับสืบทอด บอกต่อ แล้วเพิ่มมูลค่าอย่างยั่งยืนเป็นประเด็นของการพัฒนาชุมชนในปัจจุบัน ซึ่งทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล เอกชน ชุมชนข้างเคียง และสถาบันการศึกษาให้ความตระหนักและขยายการมีส่วนร่วมทั้งด้านนโยบาย งบประมาณ และกระบวนการเข้าสู่ชุมชนอย่างชัดเจน เพราะเป็นทางออกของการอยู่รอดในสังคมโลกร่วมกันอย่างมีความสุข
      นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy Policy) ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากความคิดสร้างสรรค์หรือความคิดใหม่ ก็คือการส่งเสริมให้คนไทยคิดใหม่ทำใหม่อย่างสร้างสรรค์ การทำให้สังคมชุมชนฐานรากของมนุษย์มีความเข้มแข็งย่อมส่งผลต่อความเข้มแข็งของสังคมเมืองและสังคมโลกเป็นลูกโซ่ มีความคิดใหม่มากมายที่มีต้นกำเนิดจากในชุมชน แล้วต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่ยั่งยืนโดยเกิดจากการมุ่งมั่นของคนในชุมชนร่วมกับการหนุนเสริมจากภายนอกให้เกิดการคิดต่อจนประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจจนหลายชุมชนสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขบนความพอเพียง ดังนั้นคำว่าความพอเพียงจึงเป็นหนึ่งในคำสำคัญที่ชุมชนต้องเข้าใจและสอดรับกับหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) ที่จะใช้เป็นฐานคิดในการดำรงชีวิต การบริหารจัดการ และการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นทางสายกลางที่สอดรับกับ 3 เรื่องคือ  ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว
      ปัจจุบันสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ให้การสนับสนุนบุคลากรในสถาบันการศึกษาได้เข้าไปบูรณาการองค์ความรู้ที่มีอยู่ระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชน ทำให้ชุมชนและสถาบันการศึกษาเกิดการเชื่อมโยงองค์ความรู้ ทั้งชุมชนเกิดความเข้าใจในกระบวนการทำงานอย่างมีขั้นตอน ส่วนอาจารย์ในสถาบันการศึกษาก็จะได้เข้าใจองค์ความรู้และธรรมชาติของชุมชน ได้นำสิ่งที่ได้ไปปรับการเรียนการสอนแล้วเกิดการแลกเปลี่ยนในสถาบันการศึกษา ทำให้เกิดการพัฒนาการเรียนการสอนที่ตรงกับความต้องการของชุมชน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Learning Exchange) อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่คือวัตถุประสงค์หนึ่งของการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community-Based Research: CBR) ที่เปิดให้อาจารย์จากมหาวิทยาลัยได้ลงไปทำงานในชุมชนที่ตนเองรักและต้องการพัฒนาโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมและองค์ความรู้ในสาขาวิชาของตน
      เมื่ออาจารย์จากมหาวิทยาลัยเริ่มเข้าใจในชุมชนผ่านงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น แล้วนำประสบการณ์ไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนอาจารย์ และนักศึกษาในชั้นเรียน ประกอบกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเปิดให้ทุนสนับสนุนนักศึกษา (Community-Based Projects for Undergraduate Student : CBPUS) ได้ทำวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับวิชาโครงงานที่เป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษา ทำให้มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเข้าไปเรียนรู้ชุมชนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนโดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นเครื่องมือ ผ่านการหนุนเสริมอย่างจริงจังของอาจารย์ที่ปรึกษา เป็นนวัตกรรมในการเรียนการสอน การวิจัย และการพัฒนาชุมชนไปพร้อมกัน สิ่งที่นักศึกษาได้รับคือการเรียนรู้ชุมชนผ่านการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการวิจัยร่วมกับชุมชนอย่างแท้จริงเป็นระยะเวลาหนึ่งร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา และศูนย์ประสานงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
      ผลของงานวิจัยเกิดผลในหลายมิติทั้งการเรียนรู้ชุมชนโดยนักศึกษา ประสบการณ์ในการพัฒนาการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา มิติใหม่ของการวิจัยที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และการพัฒนาชุมชนด้วยกระบวนการวิจัยผ่านบทบาทของสถาบันการศึกษา ทั้งหมดคือการเชื่อมโยงของการพัฒนาชุมชนที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของปราชญ์ชาวบ้าน การพัฒนานักศึกษาซึ่งเป็นเยาวชนได้เข้าเรียนรู้ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม การพัฒนาการเรียนการสอนมิติใหม่ในสถาบันการศึกษา และการพัฒนากระบวนการพัฒนาชุมชนฐานรากเชิงบูรณาการอย่างแท้จริง
โดย อาจารย์ที่ชักชวนนักศึกษาเข้าทำงานวิจัยในบ้านไหล่หิน
+ บทความจาก http://www.thaiall.com/research

การบูรณาการวิชาโครงงานกับงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น

15 ม.ค.53  บทความเผยแพร่เสนอลงใน นิตยสาร Eduzones ฉบับพิเศษ มหาวิทยาลัยโยนก เขียนโดย นายกร ศิริพันธุ์ และน.ส.อรพรรณ สงเคราะห์ธรรม แล้วส่งให้  คุณศักดิ์รพี วดีศิริศักดิ์ บก. Eduzones Journal ซึ่งมีอาจารย์ผู้สอบโครงงานคือ อ.วิเชพ ใจบุญ และ อ.เกศรินทร์ อินเพลา ได้รับทราบความก้าวหน้าของการทำโครงงาน
    
จากการลงทะเบียนเรียนในวิชา โครงงานระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ (CPIS 412) ซึ่งเป็นการเรียนที่เน้นการศึกษาค้นคว้า ศึกษาความต้องการขององค์กรทางธุรกิจ ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองแล้วพัฒนาเป็นโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ตอบความต้องการขององค์กร ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่มีโอกาสสัมผัสหรือทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ต่อมาอาจารย์ในคณะได้นำประสบการณ์ในการทำวิจัยเพื่อท้องถิ่นมาชวนให้แลกเปลี่ยนในชั้นเรียน จึงเกิดความสนใจในโครงการหนึ่ง คือ โครงการวิจัยรูปแบบการจัดการงานศพโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงบ้านไหล่หิน ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง
     เมื่อตัดสินใจเลือกทำงานวิจัยเพื่อชุมชนเป็นโครงงานจบตามหลักสูตร จึงเข้าไปศึกษาชุมชนบ้านไหล่หิน เพื่อเขียนข้อเสนอโครงการแล้วพบว่ามีประเด็นและลักษณะของชุมชนเหมาะสมกับงานนี้ เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่บ้าน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร คือ บ้านไหล่หิน หมู่ 2  และบ้านไหล่หินตะวันตกหมู่ 6  ประชากรส่วนใหญ่เป็นไทยพุทธที่ศรัทธาในวัดไทย   2   วัด  ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันคือ  วัดเสลารัตนปัพพะตาราม (วัดไหล่หินหลวง) และวัดชัยมงคลธรรมวราราม ในด้านสถานศึกษามีโรงเรียนบ้านไหล่หินเปิดสอนในระดับก่อนประถมศึกษาถึงระดับประถมศึกษา และโรงเรียนไหล่หินวิทยาเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งวัดและโรงเรียนตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน  คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม อยู่กันอย่างเกื้อกูลเสมือนญาติพี่น้อง และมีความสามัคคี เมื่อมีงานที่เป็นงานส่วนรวม เช่น งานขึ้นบ้านใหม่  งานแต่งงาน หรืองานศพ  จะมีชาวบ้านไปร่วมงานจำนวนมาก แล้วเจ้าภาพจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี  ทั้งด้านสถานที่  ด้านอาหาร และการต้อนรับ  เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานมีความพึงพอใจในทุกด้านเเท่าเจ้าภาพจะจัดหาให้ได้
     จากสภาพเศรษฐกิจ ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาความยากจนเป็นอย่างมาก แต่ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ เมื่อครอบครัวใดมีคนเสียชีวิตจะต้องจัดงานศพ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าภาพไม่ได้มีการตระเตรียมเงินไว้ล่วงหน้าเหมือนงานบุญหรืองานมงคล ด้วยค่านิยมที่หลั่งไหล่เข้าสู่ชุมชน คนรุ่นใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับวัตถุมากขึ้นและเชื่อว่าการจัดงานศพที่ใหญ่โตแสดงถึงความมีหน้ามีตาของเจ้าภาพ ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เจ้าภาพต้องแบกรับ โดยละลายพฤติกรรมทางสังคมที่เป็นตัวบ่มเพาะชุมชนที่อยู่อย่างเกื้อกูลและความพอเพียงให้จางหายไป
     ต้นปีพ.ศ.2550 ผู้นำหลากหลายบทบาทในหมู่บ้านทั้งบ้าน วัด โรงเรียน ตลอดจนผู้นำองค์กรที่อยู่ในพื้นที่ได้รวมตัวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายในงานศพที่สูงขึ้นตามการบริโภควัฒนธรรมที่สวนทางกับกระแสเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้กระบวนการวิจัยอย่างมีส่วนร่วมของคนในชุมชนมาเป็นเครื่องมือ โดยขอรับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)  ภายใต้โครงการวิจัย “รูปแบบการจัดการงานศพโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงบ้านไหล่หิน ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง”  หลังจากการดำเนินงานโครงการสิ้นสุดลงทีมวิจัยได้ร่วมกันทบทวนการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่า การขยายผลประเด็นการจัดการงานศพโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนโดยใช้งานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเป็นเครื่องมือนั้น ยังขาดการนำเสนอที่เป็นรูปธรรม และเข้าใจง่าย
     จึงมีแนวคิดที่จะจัดทำสื่อวีดีทัศน์เพื่อขยายผล แต่เนื่องจากทีมวิจัยชาวบ้านมีข้อจำกัดในการพัฒนาสื่อด้วยตนเอง ดังนั้นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ ได้แก่ นายกร ศิริพันธุ์  และ น.ส.อรพรรณ สงเคราะห์ธรรม ได้อาสาเข้าเติมเต็มต่อยอดงานวิจัยเดิมให้มีความสมบูรณ์ โดยเน้นไปที่การจัดทำสื่อขยายผลองค์ความรู้ จึงขอรับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น เพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีควบคู่กับงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นสร้างเครื่องมือนำเสนอบทเรียนจากโครงการที่มีผลชัดเจนด้วยสื่อวีดีทัศน์เกี่ยวกับประเด็นข้อตกลงในการจัดการงานศพ และกระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น แล้วขยายผลสู่โรงเรียนเป้าหมายในชุมชน
     โครงการวิจัยเพื่อท้องถิ่นได้รับอนุมัติ คือ เรื่อง “แนวทางการผลิตสื่อวีดีทัศน์เพื่อขยายผลองค์ความรู้เรื่องการจัดการงานศพบ้านไหล่หิน ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง” เลขที่โครงการ PDG52N0013 มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อคือ 1)เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการหาประเด็นข้อตกลงในการจัดการงานศพโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงบ้านไหล่หิน ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง  2) เพื่อจัดทำสื่อวีดีโอเผยแพร่ประเด็นข้อตกลง และกระบวนการทำงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นของโครงการวิจัยรูปแบบการจัดการงานศพโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงบ้านไหล่หิน ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง  3) เพื่อศึกษาทิศทาง หรือแนวโน้มในการขยายผลการนำสื่อวีดีโอที่จัดทำไปใช้ในกลุ่มเป้าหมาย
     กระบวนการทำงานมีขั้นตอนดังนี้ นักศึกษาเข้าเก็บรวบรวมข้อมูล สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง เรียนรู้ชุมชน รวมถึงการเรียนรู้เรื่องการจัดงานศพในหมู่บ้าน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และใช้ในการจัดทำโครงเรื่อง (Story Board) แล้วบันทึกวีดีโอของคนในชุมชนตัดต่อเป็นสื่อวีดีทัศน์เผยแพร่ประเด็นข้อตกลง และกระบวนการทำงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ซึ่งจากการเข้าทำงานในชุมชน พบว่า ชาวบ้านให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและทุกคนที่เข้าร่วมโครงการมีความสุข เนื่องจากเป็นโครงการมีประโยชน์ต่อชุมชน สามารถเชื่อมโยงผู้คนหลากหลายบทบาทให้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งการทำงานอย่างมีส่วนร่วมทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกที่คนในชุมชนจะใช้ประสบการณ์ที่ได้รับไปเป็นบทเรียนในการแก้ไขปัญหาอื่นได้อย่างมีส่วนร่วมเชิงบูรณาการต่อไป 
     หลังจัดทำสื่อวีดีทัศน์สำเร็จได้นำไปทดลองฉายให้กับคนในชุมชน ในโรงเรียนบ้านไหล่หิน และในโรงเรียนไหล่หินวิทยา พบว่านักเรียนมีความเข้าใจและสนใจที่จะเรียนรู้ทั้งรูปแบบในการจัดการงานศพที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และกระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น จึงสรุปได้ว่างานวิจัยเพื่อท้องถิ่นโครงการนี้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยนำข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวนการวิจัยไปจัดทำสื่อได้อย่างถูกต้องในรูปสื่อวีดีทัศน์ที่เข้าใจง่าย เผยแพร่ง่าย ใช้ขยายผลเข้าไปในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายได้ตามความมุ่งหวัง ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนมีจิตสำนึกสาธารณะมีความรักชุมชนอย่างเข้าใจและร่วมกันพัฒนาชุมชนของตนให้ยั่งยืนสืบไป
+ http://blog.eduzones.com/magazine/
+ http://www.thaiall.com/research/vdo_aricle_yookmag.doc

ระบบการปรับปรุงรายงานขาดลาสายออนไลน์

22 ม.ค.53 วัตถุประสงค์ของระบบคือ ปรับปรุงข้อมูลที่ใช้รายงานจำนวนวันและชั่วโมง ที่บุคลากร ขาด ลา และสาย ให้บริการแก่บุคลากร หัวหน้างาน และผู้บริหาร ให้เป็นข้อมูลอ้างอิงที่สรุปภาพรวมของแต่ละเดือน กลไกที่รับผิดชอบในการดำเนินการตามระบบ คือ บุคากรที่หัวหน้างานทรัพยากรบุคคลมอบหมายให้ดำเนินการมีหน้าที่ดำเนินการทุกสิ้นเดือน และทำไปพร้อมกับการจัดทำรายงานการขาดลาสายของบุคลากรเสนอต่อผู้บริหาร
     มีขั้นตอนดังนี้ ๑) จัดทำรายงานการขาดลาสายของบุคลากรเสนอต่อผู้บริหาร แล้วบันทึกข้อมูลด้วย MS Excel ๒) เปิดแฟ้มข้อมูลต้นแบบ ๔ แฟ้มในเครื่องของตนเอง คือ ๒.๑ แฟ้มข้อมูลบุคลากร (empl.csv) ๒.๒ แฟ้มข้อมูลการขาดลาของเจ้าหน้าที่ (leavework_officer.csv) ๒.๓ แฟ้มข้อมูลการขาดลาของพนักงาน (leavework_empl.csv) ๒.๔ แฟ้มข้อมูลการขาดลาของอาจารย์ (leavework_ajarn.csv) แล้วปรับปรุงข้อมูลด้วยการเพิ่มข้อมูลเดือนใหม่ หรือเพิ่มลบบุคลากร ๓) เข้าสู่ระบบ e-document ของมหาวิทยาลัยในห้อง person ๔) upload แฟ้มทั้ง ๔ ที่มีรูปแบบเป็น CSV ๕) เข้าระบบอินทราเน็ตตรวจสอบการปรับปรุงว่ามีการรายงานข้อมูลการขาดลาสายถูกต้องหรือไม่ ๖) แจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ

ระบบหรือขั้นตอนการปรับปรุงผลการเรียนออนไลน์

ตัวย่างแฟ้ม csv ที่เปิดด้วย excel

22 ม.ค.53 นำขั้นตอนเดิมที่เผยแพร่เมื่อ 25 พ.ย.2552 มาปรับปรุง และประชาสัมพันธ์ให้เกิดการคิดต่อในการเขียนระบบและขั้นตอนของงานหน่วยอื่นต่อไป โดยมีรายละเอียดใหม่ดังนี้ วัตถุประสงค์ของระบบคือ ปรับปรุงข้อมูลผลการเรียนของนักศึกษา ที่ให้บริการแก่นักศึกษาตรวจผลการเรียนด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ให้เป็นข้อมูลล่าสุดหลังจากคณะวิชาส่งผลการเรียนทุกสิ้นภาคการศึกษา กลไกที่รับผิดชอบในการดำเนินการตามระบบ คือ บุคลากรที่หัวหน้างานทะเบียนมอบหมายให้ดำเนินการมีหน้าที่ดำเนินการทุกสิ้นภาคการศึกษา และหลังเปิดภาคเรียนไปแล้วประมาณ ๓ สัปดาห์
     มีขั้นตอนดังนี้ ๑) งานทะเบียนรับผลการเรียนจากอาจารย์ผู้สอนในแต่ละคณะวิชา ๒) ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แล้วกรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล ๓) เลือกส่งออกข้อมูลที่จำเป็นไปเป็นแฟ้มข้อมูลเฉพาะเรื่อง ได้แก่ แฟ้มผลการเรียน แฟ้มอาจารย์ และแฟ้มวิชา ให้อยู่ในแฟ้มที่มีรูปแบบเป็น CSV ๔) เข้าสู่ระบบ e-document ของมหาวิทยาลัยในห้อง grade ๕) upload แฟ้มผลการเรียนเฉพาะเรื่องที่มีรูปแบบเป็น CSV สำหรับแฟ้มผลการเรียนให้แยกเป็นภาคเรียนละ ๑ แฟ้ม ๖) สั่งปรับปรุงข้อมูลในเครื่อง yn1 โดยใช้ข้อมูลจากเครื่อง it ให้มีข้อมูลตรงกัน โดยมีตัวอย่าง URL ดังนี้ http://yn1.yonok.ac.th/grade/_regist20083.php ๗) ตรวจสอบผลการปรับปรุงว่านักศึกษาได้ข้อมูลผลการเรียนล่าสุดของตนหรือไม่ จาก URL ดังนี้ http://www.yonok.ac.th/grade ๘) ประชาสัมพันธ์ให้คณะวิชา และนักศึกษาได้รับทราบ

พบ ดร.ณรงค์เดช รัตนานนท์เสถียร ที่โยนก ลำปาง

เพื่อนรุ่นพี่ ร่วมอาชีพ19 ม.ค.53 ในการอบรมผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาระหว่าง 18 – 20 มกราคม 2553 ได้พบกับ ดร. ณรงค์เดช รัตนานนท์เสถียร ซึ่งท่านมีตำแหน่งเป็น รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี กลุ่มของท่านได้เข้าสังเกตการสอนของอาจารย์ทนงศักดิ์ เมืองฝั้น ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ซึ่งรับผิดชอบฝึกประเมินด้านการเรียนการสอน แต่ผมมีโอกาสพบกับกลุ่มบริหารจัดการ และกลุ่มวิจัยก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อได้พบและพูดคุยกับท่านก็รู้สึกดี เพราะเรามีความสนใจในเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์คล้ายกันและทำงานด้านการศึกษาเหมือนกัน .. แล้วท่านยังได้ชวนไปเที่ยวเมืองกาญจนบุรี .. ในใจผมก็คิดว่ายินดีครับ

อบรมการเขียนรายงานโครงการ cbpus

 

การอบรมเชิงปฏิบัติการ เขียนรายงานสรุป cbpus
การอบรมเชิงปฏิบัติการ เขียนรายงานสรุป cbpus

10 ม.ค.53 นายกร ศิริพันธุ์ นางสาวอรพรรณ สงเคราะห์ธรรม อ.วิเชพ ใจบุญ และ อ.อัศนีย์ ณ น่าน พร้อมเพื่อนที่รับทุน cbpus ที่เชื่อมผ่านโหนด (node) ลำปาง ซึ่งดูแลโดย อ.ฉิ่ง ของราชภัฏเชียงใหม่ โดยมีนางสาวภัทรา มาน้อย เป็นผู้ประสานงานของโหนด ทำหน้าที่ดูแลผู้รับทุนจากกลุ่มต่าง ๆ อาทิ กลุ่มราชภัฏ กลุ่มราชมงคล กลุ่มมจร. กลุ่มโยนก วัตถุประสงค์การอบรมครั้งนี้ เพื่อให้การปิดโครงการในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เป็นไปตามกำหนดการ จึงต้องทำความเข้าใจ ติดตาม ซักซ้อม ลงมือเขียนรายงานให้ไปในทางเดียวกัน และส่งเอกสารทางการเงิน โดยนัดหมายนำเสนอสรุปโครงการแต่ละโครงการในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ราชภัฏลำปาง 
    นางสาวรัตติกร บุญมี ผู้บรรยายได้ให้แนวการเขียนรายงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่นแก่นักวิจัยชุดนี้ โดยให้แนวการเขียนรายงานการวิจัยแบ่งเป็น 5 บท คือ 1) บทนำ 2) แนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3) วิธีการดำเนินงาน 4) ผลการดำเนินงานวิจัย 5) สรุปอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ภาคผนวกมี 3 ส่วนคือ 1) บทความเผยแพร่ 2) ภาพกิจกรรม 3) ประวัตินักวิจัย .. แนวการทำงานของการวิจัยเพื่อท้องถิ่น กับวิจัยเชิงวิชาการอาจแตกต่างกันบ้าง แต่ถ้าปรับให้การเขียนรายงานเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ คนที่มีเป้าหมายเพื่องานวิชาการก็จะนำไปใช้ในด้านวิชาการได้
+ http://thaiall.com/research/hidden/training_cbpus_report_530110.zip

อภิปรายผลการวิจัย การศึกษาการประยุกต์ไอทีสำหรับผู้บริหาร

เหตุเกิดในต่างประเทศ
เหตุเกิดในต่างประเทศ

2 ม.ค.53 มีโอกาสช่วย ยกร่างอภิปรายผลการวิจัย ของกลุ่มเพื่อนที่ศึกษาการใช้ไอทีของผู้บริหารในองค์กรหนึ่ง เมื่ออ่านรายละเอียดในรายงานแล้ว ทำให้เข้าใจว่าการดำเนินงานและผลการวิจัยเป็นอย่างไร แต่ก็เขียนได้เพียงระดับหนึ่ง เพราะไม่ได้เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และวิพากษ์ว่าสิ่งที่ผมยกร่างขึ้นมานั้น  ทีมวิจัยทั้ง ๓ ท่านที่ศึกษาวิจัยครั้งนี้จะเห็นตรงหรือไม่ แต่นี่เป็นเพียงการยกร่างของการอภิปรายผล ที่หวังจะให้เกิดการพัฒนา และนำไปต่อยอดต่อไป จะปรับเปลี่ยนประการใดก็สุดแล้วแต่ทีมวิจัยท่าน
     โดยมีประเด็นอภิปรายแบ่งเป็น ๔ เรื่อง ดังนี้ ๑. ผู้บริหารสามารถใช้งานโปรแกรมสำนักงานในกลุ่มของไมโครซอฟท์ เพื่อพิมพ์เอกสาร ตารางคำนวณ และงานนำเสนอมัลติมีเดีย ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับการเรียนการสอน และงานบริหารในองค์กร แล้วยังสามารถสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต และสื่อสารด้วยอีเมลได้ ๒. ผู้บริหารเห็นความสำคัญจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ซึ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากโปรแกรมสำเร็จรูป และมองไปที่ภาพรวมของเทคโนโลยี แต่การระบุปัญหาส่วนใหญ่เน้นไปที่ปัญหาด้านอุปกรณ์มากกว่าปัญหาด้านสารสนเทศที่มาจากระบบฐานข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ ซึ่งไม่พบการชี้ชัดที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาจากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะช่วยสนับสนุนการทำงานให้บรรลุสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ๓. ผู้บริหารยังใช้งานโปรแกรมประยุกต์หรือระบบฐานข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจในรูปของสถิติยังไม่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจตามความต้องการของผู้บริหาร และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับผู้บริหารที่จะทำความเข้าใจในประโยชน์ของระบบฐานข้อมูลแต่ละระบบ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถกำหนดความต้องการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน ๔. ผู้บริหารไม่ต้องการพัฒนาตนเองในการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูป ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปโดยทั่วไปไม่ช่วยสนับสนุนการใช้ระบบเพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารที่ชัดเจน โดยวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ให้น้ำหนักของการศึกษาวิจัยเพื่อวางแผนการจัดอบรมและจัดหลักสูตรด้านไอทีให้กับผู้บริหารโดยให้ความสำคัญกับโปรแกรมสำเร็จรูปโดยทั่วไป มากกว่าการศึกษาความต้องการของผู้บริหารที่ต้องการเติมเต็ม แล้วนำไปช่วยให้การตัดสินใจที่นำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร

ผลประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ DB

ผลประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูล
ผลประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูล

29 ธ.ค.52 พรุ่งนี้ผมจะปิดเล่มรายงานการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูล จึงเลือกบางส่วนมาเล่าสู่ กันฟัง มีการประเมินทั้งหมด ๑๙ ระบบฐานข้อมูล และรายงานนี้เป็นรายงานผลฉบับสุดท้ายของโครงการประเมิน ๓ อย่างเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลในปีการศึกษา ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๑)ประเมินประสิทธิภาพ ๒)ประเมินความปลอดภัย ๓)ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูล ซึ่งผลประเมินเป็นไปตามการประกันคุณภาพ และหน่วยงานเข้าของระบบใช้เป็น KPI ของตนได้
     ผลการประเมินความพึงพอใจจำแนกตามประเด็นคำถาม ๖ ประเด็นเรียงจากความพึงพอใจมากไปน้อย พบว่า ๑) ความถูกต้องของข้อมูลหรือสารสนเทศที่ท่านได้รับ มีความพึงพอใจในระดับมาก (X=๓.๕๔) ๒) สารสนเทศมีประโยชน์ และช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน มีความพึงพอใจในระดับมาก (X=๓.๕๒) ๓) ความทันสมัยของข้อมูลหรือสารสนเทศที่ท่านได้รับ มีความพึงพอใจในระดับมาก (X=๓.๔๗) ๔) สารสนเทศถูกนำมาใช้ตามแผนงานของท่าน ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ มีความพึงพอใจในระดับมาก (X=๓.๔๕) ๕) ความง่ายในการได้มาซึ่งข้อมูลหรือสารสนเทศจากระบบ มีความพึงพอใจในระดับมาก (X=๓.๔๒) ๖) มองเห็นความเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายของข้อมูลกับระบบต่าง ๆ มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง (X=๓.๓๕) โดยภาพรวมของความพึงพอใจต่อทุกระบบอยู่ในระดับมาก (X=๓.๔๖)
     การประเมินครั้งนี้ อ.วิเชพ ใจบุญ รักษาการคณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงความห่วงใยว่า รายงานผลการประเมินทั้ง ๓ เรื่องที่ปิดรายงานไปจะไม่มีผลในรอบการประเมินตามแผนพัฒนาคุณภาพ ปีพ.ศ.๒๕๕๓ ทำให้ผมได้ทราบความจริงข้อนี้และเป็นผลให้ต้องวางแผนทำโครงการนี้อีกครั้งในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ เพื่อให้เข้ารอบเวลาของคณะวิทย์ และรอบเวลาของการประเมินตามเกณฑ์ของสกอ.ปีการศึกษา ๒๕๕๓ ซึ่งทุกคณะวิชาจะได้นำรายงานผลไปใช้ในฐานะที่ร่วมเป็นคณะกรรมการทำงานเชิงบูรณาการ ซึ่ง อ.เกศริน อินเพลา ร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาระบบฐานข้อมูลชุดนี้ ก็คาดว่าท่านจะได้นำเรียนในที่ประชุมคณะในลำดับต่อไป

ออกบูธงานฤดูหนาวและกาชาดลำปาง 2553

โยนกออกบูธงานฤดูหนาว ปี 2553
โยนกออกบูธงานฤดูหนาว ปี 2553

26 ธ.ค.2552 คุณพัชรินทร์ สันสุวรรณ ตัวแทนคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปร่วมดูแลบูธ (Booth) ของมหาวิทยาลัยร่วมกับคุณแอ๋ม และนักศึกษา โดยมีอ.บอย ผู้อำนวยการสำนัก และอ.เอก ผู้ประสานตรวจบูธ Creative Campus@Yonok ไปร่วมตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นวันแรก ปีนี้เราจ้างเหมามืออาชีพมาช่วยจัดบูทตามแบบที่ อ.หนุ่ย ออกแบบโดยมี Theme เป็นแบบ Creative Campus ซึ่งหลายอย่างไม่อาจมองด้วยตาเปล่าได้ .. รายละเอียดเป็นอย่างไรขอเชิญไปชมที่บูธได้ครับ
+ http://www.yonok.ac.th/yonokenlarge