ปัญหาที่พบวันนี้ มีเพื่อนเปิดแฟ้มเอกสาร 2 แฟ้ม แล้วต้องการคัดลอกข้อมูลจากต่างแฟ้มกัน ซึ่งแฟ้มหนึ่งมีบุคคลที่สามส่งมาให้ เมื่อคัดลอกข้อมูลจากในแฟ้มที่ได้รับมา แล้วนำไปแต่งในเอกสารที่มีอยู่ แล้วจะสั่ง Print หรือแม้แต่การบันทึกเป็น PDF พบปัญหาว่า โปรแกรมปิดตัวเองไปเฉย ๆ จากการตรวจสอบและทดสอบ พบว่า โปรแกรมที่ใช้อยู่เป็น Word 2013 และคาดว่าแฟ้มเอกสารที่ได้รับมาเป็น Word 2019 ทำให้การคัดลอกข้อมูลที่มาพร้อมกับรูปแบบที่ Word 2013 ไม่รู้จัก ทำให้มีปัญหาในการสั่งพิมพ์ แต่ปัญหานี้แก้ไขได้ ด้วยการสั่งวาง ข้อความที่ไม่จัดรูปแบบ (Paste text without formatting) หลังจากนั้นก็จัดรูปแบบใหม่ เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาได้ แต่มีอีกคำแนะนำหนึ่ง คือ ติดตั้ง Word 2019 หรือ Office 365 ในเครื่องของเรา เพื่อรับการวางข้อความและรูปแบบจาก Word รุ่นเก่าไปยัง Word รุ่นใหม่ที่เรามี ก็จะไม่พบปัญหาความเข้ากันไม่ได้อีก
Tag: fail
ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่จริง ๆ นะ ไม่ใช่เกณฑ์ 70%
เคยอ่านเม้นสเตตัสของคุณครูท่านหนึ่งในไต้หล้า
ท่านพบว่า นักเรียน หลายคนเข้าใจผิด
เรื่องเกณฑ์การให้คะแนน 70%
ถ้าถามว่า “มีด้วยเหรอ” ก็คงตอบว่า “มีนะ”
อ่านงานวิจัยของ นางฐานิตา ลอยวิรัตน์ แลเพื่อน ๆ เรื่อง การศึกษาสาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อการพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ม.สงขลา พบว่า ข้อมูล 14 คณะ ที่ ม.สงขลา ระหว่างปีการศึกษา 2554 – 2556 ได้ยื่นคำร้องขอลาออกทั้งหมด 600 คน คณะวิทยาศาสตร์ ยื่นคำร้องมากถึงร้อยละ 27.67 ตามมาด้วยคณะวิทศวกรรมศาสตร์ ร้อยละ 19.50 และนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ยื่นคำร้องมากถึงร้อยละ 73.00 นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ร้อยละ 21.67 โดยไปสถาบันอื่นมี 57.12 และ ไม่ถนัดในสาขาวิชาที่เรียนมีร้อยละ 28.79
+ http://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/
+ https://www.facebook.com/groups/thaiebook/
นักศึกษาที่ออกจากสถาบัน
มีทั้งย้ายที่เรียน ไม่ถนัด และผลการเรียนไม่ดี แล้วก็ชวนคิดในหลายกรณี ดังนี้
กรณี 1 ถ้าคิดว่าเข้าห้อง 70%
แสดงว่า เข้าเรียนทุกครั้ง เกรดคงเป็น C ลอยมาเห็น ๆ
ส่งงานอีกนิดหน่อย A ลอยมาที่หน้าตัก
กรณี 2 เคยอ่านเม้นของอาจารย์ที่กำแพงแสน
แสดงว่า นักเรียนไม่รู้ว่าทำไม F และไม่เข้าใจว่าทำไม
อาจารย์ไม่บวกคะแนนตนไม่ติด F
https://www.facebook.com/ajarnpiyapong.ku/
มีกรณีอีกมากมายเลยครับ
สงสัยต้อง ชวนคิดด้วยการสวมหมวก 6 ใบ
และมีประเด็นน่าสนใจชวนคิด ดังนี้
1. ครูเคยบอกไหมว่า เกณฑ์เท่าไรได้ A เท่าไรได้ F
2. ครูเคยบอกไหมว่า คะแนนเต็ม 100 จะเก็บอะไรบ้าง
3. ครูเคยบอกไหมว่า คะแนนแต่ละช่องได้เท่าไรกันบ้าง
4. ครูเคยบอกไหมว่า ตั้งใจเรียนนะ ไม่ถึง 50% ได้ F นะ
ครูบางคนเค้าก็คงไม่เคยบอกครับ ฟันธงได้เลย เพราะต้องรู้
บางสถาบัน นักเรียนเค้าถามแต่เกียรตินิยม
เพราะ A คือ ผ่าน B คือ ตกใจล่ะ ตามไม่ทันเพื่อน
https://www.thairath.co.th/content/527289
5. ครูเคยบอกไหมว่า สอบตก แล้วติด P ไม่ต้อง F
แก้ไขจนกว่าจะผ่าน เคยเห็นในหนังเรื่อง Swing girl
https://www.youtube.com/watch?v=0yMCg7Hk8iA
เป็นกลุ่มเด็กที่ตกคณิต ได้เลือกว่าจะเรียน หรือ ดนตรี
เป็นเด็ก หันไปเอาดีทางดนตรี สมองซีกขวาดนตรี
ส่วนครูสอนคณิต กลับสอบตกทางดนตรี สมองซีกซ้ายคณิต
แต่ในระดับที่สูงขึ้น เกณฑ์บอกว่าสอบตก ต้องเรียนใหม่
https://www.youtube.com/watch?v=QYKY9q_BfY4
เว็บไซต์ล่มเพราะ upgrade jetpack
2 ต.ค.59 เว็บไซต์ lampang.net หายไปเกือบทั้งวัน เพราะช่วงเช้าได้ upgrade wordpress และ plugin jetpack กับหลายไซต์ แต่พบปัญหาที่ lampang.net โดย error ครั้งแรกแจ้งว่า service unavailable แล้วก็เงียบไปเลย ก็เป็นที่ server สิ่งที่ทำได้คือรอให้ server มีการ recover folder ต่าง ๆ กลับมาให้ครบ แต่หลังจากกลับมาทำงานปกติ พบว่าห้อง jetpack กลับไม่เหมือนเดิม
วิธีแก้ไข
1. ลบแฟ้ม jetpack.php พบว่าระบบมาทำงานปกติ แต่ jetpack หายไป
2. ลงใหม่ทับไม่ได้ ระบบไม่ยอม ฟ้องว่ามีของเก่าอยู่
3. ไปลบห้อง jetpack ในเครื่องออก แล้วสั่งลงใหม่
4. หลังลงใหม่ ต้อง activate อีกหลายขั้นตอน
– หน้า Dashboard ต้องกดปุ่ม Connect Jetpack
– แล้ว Log in เข้าระบบด้วย wordpress account
– แล้ว approve
– แล้ว Select Free
– แล้ว Activate Recommended Features
– เรียบร้อย
Plugin : Jetpack ของ wordpress คือ บริการเพิ่มการเข้าใช้งาน
ดูสถิติ เพิ่มความเร็วให้เว็บไซต์ และป้องกันการถูกจู่โจมจากผู้ไม่หวังดี
(Jetpack will be increase your traffic, view your stats, speed up your site, and protect yourself from hackers with Jetpack)
https://th.wordpress.org/plugins/jetpack/
Topics for upgrade member
– Traffic Growth & Insights
– Security
– Image Performance
– Centralized Management
– A few more things that our users love
– Dedicated Support
– Contributing to Jetpack
ครูรักศิษย์ แต่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
เป็นมนุษย์ก็มักจะมีอารมณ์เป็นธรรมดา
อย่างคุณครูท่านนี้ก็มีหน้าที่ทำให้ศิษย์เก่งขึ้น
มีความรักต่อศิษย์ อยากให้เด็กเรียนรู้สิ่งที่ครูทุ่มเทถ่ายทอด
แต่พอเด็กเรียนรู้ได้ช้ากว่าที่คาดหวัง ก็จะเกิดอารมณ์ เกิดโทสะ
แล้วใช้กำลังกระทำไปตามอารมณ์
แต่ทำไปแล้วก็กลับเป็นความผิด
เพราะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ รู้เท่าไม่ถึงการณ์
เป็นความผิดที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ
สรุปว่า “เกิดเป็นครู ก็อย่าไปใช้กำลังกับศิษย์
อย่ายึดมั่นถือมั่น และปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติบ้าง”
กรณีตีเด็กจนเป็นรอยเขียวช้ำที่หน้า
“เด็ก 6 ขวบถูกครูลงโทษเพียงแค่เพราะเขียนคำตอบช้า และสะกดคำผิด ๆ ถูก ๆ
ในระหว่างการทดสอบสะกดคำ”
เหตุเกิดที่ อำเภอบ๊าตสาต จังหวัดหล่าวกาย ประเทศเวียดนาม
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1460122548
https://blog.eduzones.com/moobo/138742
โฆษณาในเฟสบุ๊ค (itinlife454)
อ่านหนังสือเรื่องการประชาสัมพันธ์ ที่เขียนโดย รศ.วิรัช ลภิรัตนกุล สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่พิมพ์ครั้งที่ 12 แล้ว ท่านชี้ให้เห็นคำสำคัญในความหมายของการประชาสัมพันธ์ว่าต้องมีการวางแผน การจูงใจ การสื่อสารและกลุ่มเป้าหมาย เมื่อมองออกไปในชีวิตจริงก็พบการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมากมาย และสื่อที่ชาวไทยกล่าวถึงมากที่สุดสื่อหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นเฟสบุ๊ค รวมถึงเหล่าเว็บไซต์เครือข่ายสังคม สำหรับเรื่องของน้องฝ้าย เวฬุรีย์ หรือน้องหมาก กับน้องมิ้นต์ ต่างก็มีประเด็นในเครือข่ายสังคมในทำนองโพสต์ก่อนคิด จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมองเข้าไปในเครือข่ายสังคมที่ประกอบด้วยเพื่อน และข้อความที่เพื่อนโพสต์ทิ้ง ก็ทำให้เห็นถึงคำว่าการวางแผน การจูงใจ การสื่อสาร และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป บางคนมาพร้อมโลโก้ที่เสมือนติดไว้ที่หน้าผากว่าเขาคือคนขององค์กร มาอย่างมีแผนที่จะชี้ประเด็น ประชาสัมพันธ์พร้อมกับการสื่อสารที่ผ่านการกลั่นกรอง โดยมองเราท่านเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็มีอีกมากที่มาแบบนิรนามคือดูไม่ออกว่าเป็นใคร ไม่รู้เพศ ไม่รู้ชื่อ ไม่โพสต์อะไรที่แสดงความเป็นตัวตนเลย รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีอะไรจะบอกเกี่ยวกับตัวเอง สามารถจัดอยู่ในกลุ่มคนไร้อัตตาได้
พบบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเครือข่ายสังคมพยายามประชาสัมพันธ์ว่าเฟสบุ๊คสามารถใช้เป็นแหล่งโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ทำการตลาด หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ด้วยต้นทุนต่ำ แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่าบริการอื่น อาทิ adsense ของกูเกิ้ล หรือป้ายโฆษณาตามเว็บไซต์ ก็คงต้องยอมรับว่าทุกสื่อมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันไป ทั้งสาร สื่อ และกลุ่มเป้าหมายก็มีลักษณะเฉพาะที่ต้องผ่านการวิเคราะห์และเลือกใช้ เหมือนตัวอย่างที่ว่าถ้าจะโฆษณาขายขนมให้กับเด็กควรเลือกทีวีการ์ตูน มากกว่าไปลงโฆษณาในวารสาร หรือเว็บไซต์ทั่วไป เพราะเด็กไทยอาจไม่นิยมอ่านหนังสือ และอายุน้อยก็อ่านได้ไม่แตกฉาน ทำให้การเลือกสื่อสำหรับโฆษณาต้องพิจารณาให้มาก โดยเฉพาะเฟสบุ๊คที่ไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ผู้รับผิดชอบงานด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์จึงต้องหาข้อมูลให้รอบด้านมาประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจ เพราะผู้รับสารคือเป้าหมายที่แท้จริง
ประเมินคุณภาพการศึกษารอบสาม ประจำปี 2554
เพลง สอบตก ของ ดิอินโนเซ็นท์
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
เผยผลประเมินภายนอกสถานศึกษาในรอบ 3 ประจำปี 2554
พบสถานศึกษาไม่ผ่านการประเมินจำนวนมาก เตรียมสรุปผล หาจุดอ่อน-แข็งการศึกษาไทย
28 มิ.ย.2555 ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์
ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)
เปิดเผยว่า หลังจากที่ สมศ.
ได้จัดทำการประเมินภายนอกสถานศึกษาในรอบ 3 ประจำปี 2554
ขณะนี้ได้ทำการสรุปรวมผลการประเมินเบื้องต้นแล้ว พบว่า
ผลการประเมินสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1. รับการประเมินจำนวน 7,985 แห่ง
2. ได้รับการรับรองจาก สมศ. จำนวน 5,690 แห่ง
3. ไม่ผ่านการรับรอง จำนวน 2,295 แห่ง
ผลการประเมินสถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา
1. เข้ารับการประเมินทั้งหมด จำนวน 179 แห่ง
2. ผ่านการรับรอง จำนวน 106 แห่ง
3. รับรองแบบมีเงื่อนไขอีก จำนวน 53 แห่ง
4. ไม่ผ่านการรับรอง จำนวน 20 แห่ง
ผลการประเมินสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา
1. เข้ารับการประเมินจำนวนทั้งหมด 72 แห่ง
2. เสนอกรรมการพิจารณาแล้ว จำนวน 47 แห่ง
3. ผ่านการรับรอง จำนวน 45 แห่ง
4. รับรองแบบมีเงื่อนไขอีก จำนวน 2 แห่ง
ได้แก่ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ และวิทยาลัยลุ่มน้ำปิง
ระดับดีมากคือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ระดับดีมากที่สุดของกลุ่มราชภัฎคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
http://www.manager.co.th/QOL/viewnews.aspx?NewsID=9550000085777
http://edunews.eduzones.com/socialdome/94390
http://www.thairath.co.th/content/edu/271862
http://www.cheqa.mua.go.th/
แนวทางการแก้ไขนักเรียนที่ติด 0,ร,มส
แนวทางการแก้ไขนักเรียนที่ติด 0,ร,มส ด้วยวิธีการสอนซ่อมเสริมและกระบวนการติดตามผล เนื่องจากในแต่และภาคเรียนมีนักเรียนที่ติด 0, ร, มส จำนวนมาก โรงเรียนได้จัดสอบแก้ตัว 2 ครั้ง แต่ยังมีนักเรียนอีกหลายคนสอบแก้ตัวไม่ผ่าน หรือไม่ดำเนินการสอบแก้ตัว จึงทำให้นักเรียนเหล่านั้นไม่สามารถจบหลักสูตรได้ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว งานวัดผลจึงกำหนดขั้นตอนและแนวทางการสอบแก้ตัวของนักเรียนที่ติด 0 , ร , มส ตามแนวทางของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นพุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง 2533) และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายพุทธศักราช 2524 (ฉบับปรับปรุง 2533) ซึ่งกำหนดแนวทางการเปลี่ยนระดับผลการเรียน “0” โดยให้สถานศึกษาจัดสอนซ่อมเสริมในจุดประสงค์ที่ผู้เรียนสอบไม่ผ่านก่อน แล้วจึงสอบแก้ตัวและให้สอบแก้ตัวได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นในภาคเรียนถัดไป ถ้าผู้เรียนไม่มาดำเนินการสอบแก้ตัวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้นี้ ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าสถานศึกษาที่จะพิจารณาขยายเวลาการแก้ “0” ออกไปอีกหนึ่งภาคเรียน เพื่อให้วิธีการดังกล่าวปฏิบัติได้จริง มีผลดีต่อนักเรียนช่วยลดจำนวนติด “0” ให้น้อยลง จึงกำหนดแนวทางของโรงเรียนดังนี้
แนวทางการแก้ “0”
1. การแก้ “0” ครั้งที่ 1 ให้อาจารย์ประจำวิชาสอนซ่อมเสริมในจุดประสงค์ที่นักเรียนสอบไม่ผ่านโดยใช้เวลาในคาบที่ 8 หรือ ในวันหยุด โดยใช้ระยะเวลาในการซ่อม 1 เดือน แล้วให้บันทึกผลการสอนซ่อมเสริมและผลการสอบซ่อมตามแบบที่ฝ่ายวัดผลกำหนด
2. ถ้านักเรียนสอบซ่อมครั้งที่ 1 ไม่ผ่านหรือไม่ดำเนินการสอบซ่อม ให้นักเรียนลงทะเบียนสอบซ่อมใหม่ โดยนำผู้ปกครองมารับทราบปัญหาและวิธีการสอบซ่อมในครั้งที่ 2
3. การแก้ “0” ครั้งที่ 2 ให้อาจารย์ประจำวิชาสอนซ่อมเสริมในจุดประสงค์ที่นักเรียนยังสอบไม่ผ่านโดยใช้เวลาในคาบที่ 8 หรือในวันหยุด ใช้ระยะเวลาในการสอนซ่อมเสริมและสอบซ่อมให้เสร็จสิ้นก่อนการสอบปลายภาคเรียนนั้นๆ ทั้งนี้การสอนซ่อมเสริมและสอบซ่อมต้องให้ผู้ปกครองนักเรียนรับทราบ และให้มีบันทึกผลการสอนซ่อมเสริมและผลการสอบซ่อม
4. หากดำเนินการสอบซ่อมทั้ง 2 ครั้ง หรือเลยเวลาสอบซ่อมที่โรงเรียนกำหนด แต่นักเรียนไม่สามารถแก้ “0” ได้ และเป็นรายวิชาที่จะทำให้ไม่จบหลักสูตรจะต้องกลับไปเรียนซ้ำชั้นใหม่
สาเหตุการให้ผลการเรียน “ร”
1. ผู้เรียนไม่ได้วัดผลกลางภาคเรียนหรือปลายภาคเรียน (กลางภาคควรดำเนินการได้ก่อน)
2. ผู้เรียนไม่ได้รับการประเมินผลตามจุประประสงค์การเรียนรู้ ในช่องของคะแนนวัดผลระหว่างเรียน รวมกันตั้งแต่ร้อยละ 20 ของคะแนนรวมทั้งหมด
3. ผู้เรียนไม่ส่งงานชิ้นสำคัญของรายวิชานั้น
กรณีที่ 3 ให้ “ร” เพราะไม่ส่งงานชิ้นสำคัญที่มีคะแนนไม่ถึงร้อย 20 ของคะแนนทั้งหมด ต้องขออนุมัติจากผู้หัวหน้าสถานศึกษาก่อน
แนวทางการแก้ “ร”
การเปลี่ยนผลการเรียน “ร” ให้กระทำให้เสร็จสิ้นภายในเดือนแรกของภาคเรียนถัดไป ถ้านักเรียนแก้ “ร” แล้วเป็น “0” ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับการแก้ “0” และให้เสร็จในภาคเรียนเดียวกัน ถ้าผู้เรียนไม่มาดำเนินการแก้ “ ร ” ภายในเดือนแรกของภาคถัดไปนั้นให้แจ้งผู้ปกครองรับทราบเพื่อแก้ปัญหาต่อไป
แนวทางการแก้ “มส”
แนวทางการแก้ “มส” ที่มีเวลาเรียนไม่ครบ 80% ให้ครูประจำวิชาสอนเพิ่มเติมในคาบเรียนที่ 8 หรือชั่วโมงซ่อมเสริม หรือเวลาว่าง หรือวันหยุด หรือมอบหมายงานให้ทำจนมีเวลาครบตามที่กำหนดไว้ในรายวิชานั้น แล้วจึงดำเนินการสอบแก้ “มส” ผลการสอบแก้ “มส” ให้ได้ระดับผลการเรียนไม่เกิน “1” และดำเนินการให้เสร็จสิ้นในภาคเรียนถัดไป ถ้าผู้เรียนไม่มาดำเนินการแก้ “มส” ตามระยะเวลาที่โรงเรียนกำหนดให้เรียนซ้ำ ยกเว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าสถานศึกษาที่จะขยายเวลาการแก้ “มส” ออกไปอีก 1 ภาคเรียนแต่เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้เรียนซ้ำ หรือให้เปลี่ยนรายวิชาใหม่ในกรณีที่ไม่ใช่วิชาบังคับจบ ถ้านักเรียน แก้ “มส” แล้ว เป็น “0” ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับการแก้ “0” ถ้าแก้ไม่ทันให้ขยายเวลาไปอีก 1 ภาคเรียน
ข้อมูลจาก http://gpa.tmk.ac.th/downlode/evalution3.htm
http://www.thairath.co.th/content/edu/111241
http://www.sw-sch.net/new_www/text/11.doc
การใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ (itinlife325)
14 มกราคม 2555 นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Sphere ที่มนุษย์ได้แก้วสารพัดนึกมา 1 ลูก แต่คนกลุ่มหนึ่งเป็นระดับหัวกะทิของโลกได้สัมผัสแก้วนี้แล้วพบว่าขาดความพร้อม หรือใช้ไม่ถูกวิธี จนเป็นภัยต่อตนเองและกลุ่ม ในบทสรุปของภาพยนตร์พบว่ากลุ่มที่เหลือรอดพร้อมใจกันทิ้งลูกแก้วนี้ออกไปนอกโลก เพราะมนุษย์ในปัจจุบันยังไม่พร้อมที่จะใช้แก้วสารพัดนึกอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วทำให้นึกถึงเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมากมายในปัจจุบันว่ามีคุณอนันต์ และโทษมหันต์ ตัวอย่างของโทษเช่นอาวุธร้ายที่คิดค้นขึ้นเพื่อทำลายทั้งร่างกายและทรัพย์สิน อินเทอร์เน็ตที่ผู้คนมากมายหลงใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมจนเสียการเรียน เสียคน เสียเงิน หรือเสียงาน
ประโยชน์ของเทคโนโลยีนั้นชัดเจน เพราะเราใช้งานอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพอาจมีประเด็นให้พูดคุยกันหลากหลาย ตัวอย่างปัญหาของการใช้เทคโนโลยี อาทิ การใช้เครือข่ายสังคมในเวลางานจนทำให้ผลงานลดลง ผิดพลาด หรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ การติดเกมในรูปแบบใหม่ทำให้เยาวชนใช้เวลาว่างอย่างไม่เหมาะสมเป็นเหตุให้พ้นสภาพการศึกษา หรือผลการเรียนตกต่ำ การแสดงความคิดเห็นเชิงลบผ่านเครือข่ายสังคมอาจทำให้ตนเองหรือครอบครัวเสื่อมเสีย ซึ่งล้วนเป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
ปัญหาใหญ่ของการใช้เทคโนโลยีในการจัดการความรู้เกิดจากการมีอัตตาในตัวบุคคลที่ไม่นิยมแสดงความคิดเห็นให้ผู้อื่นได้นำไปใช้ประโยชน์ มีการพัฒนาเทคโนโลยีรองรับการจัดการความรู้ทั้งในกลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา นักวิจัย แต่การใช้งานก็ยังเป็นความนิยมในระดับบุคคลมากกว่ากลุ่มองค์กร และมักไม่พบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านสื่อสาธารณะที่จะนำไปใช้เป็นข้อสรุปประกอบการตัดสินใจขององค์กร พบว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านบล็อก (Blog) หรือเครือข่ายสังคมมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการแลกเปลี่ยนในห้องประชุมที่มีสมาชิกไม่เกินสิบคน แม้เครือข่ายสังคมจะเป็นเทคโนโลยีที่รองรับจำนวนคนได้พร้อมกันจำนวนมาก กลับพบว่ามีน้อยครั้งที่จะเห็นการใช้ประโยชน์เพื่อหาข้อสรุปจากประเด็นกำหนด แต่ถ้ามีการรวมกลุ่ม กำหนดเป้าหมายตรงกันชัดเจน มีบทบาทหน้าที่ให้แต่ละคน ก็เชื่อได้ว่าจะเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
การใช้ facebook ทำให้เกรดตก
http://ac219pyu22553s1.blogspot.com/2010/11/facebook.html
งานวิจัยระบุว่า ขณะทำการบ้าน ถ้าเปิด facebook ทิ้งไว้เฉย ๆ จะส่งผลให้การเรียนตกต่ำกว่าเพื่อน ๆลง 20 เปอร์เซ็นต์ เทียบระหว่างเด็กที่ใช้ และ ไม่ใช้ ถ้าใช้เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.06 ถ้าไม่ใช้อยู่ที่ 3.82
ผลกระทบต่อการทำงาน พบว่า บริษัทที่อนุญาติให้พนักงานใช้ facebook.com ขณะทำงาน ผลผลิตของพนักงานลดลง 1.5 เปอร์เซนต์จากผลผลิตทั้งหมด และมีองค์กรอีกมากที่ไม่ทราบเรื่องนี้
เขาว่า facebook ทำให้การเรียนเสีย ผลงานตก แต่เจ้าตัวไม่รู้
ผมว่าปัญหาใหญ่คือ เจ้าตัวรู้ แต่ผู้ปกครองไม่รู้
ผลประเมินโครงการวิพากษ์ระบบฐานข้อมูล
26 ต.ค.52 โครงการนี้มีตัวบ่งชี้ 2 ตัว คือ จำนวนคน กับ ความพึงพอใจ พบว่าผลประเมินความพึงพอใจตกครับ อันที่จริงมีประเด็นให้วิเคราะห์กันต่อได้ และมีวิธีปรับแบบสอบถามที่สมเหตุสมผลกว่านี้ได้ แต่ตั้งตัวบ่งชี้ไว้ 3.5 ของภาพรวม แล้วผลได้เพียง 3.04 ส่วนจำนวนคนไม่มีปัญหา เพราะตั้งไว้ 30 คนแต่เข้ามา 40 กว่าครับ โดยสรุปคือตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ มี 2 ข้อ ได้แก่ 1)มีผู้เข้าร่วมอบรมอย่างน้อย 80% ของเป้าหมาย 2) ความพึงพอใจโดยรวมไม่ต่ำกว่า 3.5 จากคะแนน 5 ระดับ ซึ่งโครงการบรรลุตามตัวบ่งชี้ของโครงการเพียง 1 ตัวบ่งชี้
ประเมินความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรม พบว่า ห้องอบรมมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง (X=2.64, S.D=0.93) วิทยากร มีความพึงพอใจในระดับมาก (X= 3.2, S.D= 0.63) หัวข้อที่บรรยาย มีความพึงพอใจในระดับมาก (X= 3, S.D= 0.69) ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรม มีความพึงพอใจในระดับมาก(X= 3.08, S.D= 0.79) สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ มีความพึงพอใจในระดับมาก (X= 3.2, S.D= 0.8) ภาพรวมของโครงการ มีความพึงพอใจในระดับมาก (X= 3.04, S.D= 0.66)
ส่วนประเมินความเข้าใจ พบว่า ความเข้าใจหลังวิพากษ์สูงกว่าก่อนเข้าโครงการมีร้อยละ 64 มีความเข้าใจเท่าเดิมร้อยละ 32 และมีความเข้าใจลดลงร้อยละ 4