โลภ โกรธ หลงใน fb

คำว่า fb ย่อมาจาก facebook.com เป็นคำย่อที่นิยมใช้ในการเขียนข้อความเพื่อการสื่อสารในเว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ดทั่วไป เว็บไซต์ facebook.com เป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งในขณะนี้ ส่วนกิเลสที่มักใช้อธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ คือ โลภ โกรธ และหลง ก็ถูกพบเห็นได้ในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเช่นกัน ถ้าท่านเป็นสมาชิกของ fb ที่เข้าเครือข่ายเป็นประจำ และมีเพื่อนระดับหลักร้อยขึ้นไป จะเข้าใจในพฤติกรรมที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้

ความโลภเป็นเครื่องชี้นำพฤติกรรมของมนุษย์ และพบเห็นได้จากการคืบคลานเข้าเว็บไซต์เครือข่ายสังคม โดยผู้มีความโลภจะหาภาพสวย หรือภาพการไปท่องเที่ยวต่างประเทศมานำเสนอ และเลือก tag ภาพดังกล่าวไปกับเพื่อนที่เคยขอเป็นเพื่อน หลายครั้งที่ผู้เขียนรู้สึกเห็นใจผู้มีความโลภเหล่านี้ เพราะพวกเขาคงคาดหวังว่าการกระทำดังกล่าวจะได้ผลลัพธ์เชิงบวก แต่ผลที่ได้อาจไม่เป็นไปตามที่หวัง เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายอาจไม่สนใจ และใช้เวลาดำเนินการมากกว่าเทคนิคการทำธุรกิจลักษณะนี้ด้วยเครื่องมืออื่น อาทิ เว็บบอร์ด อีเมล หรือโฆษณาตรงกับสื่อทั่วไป นอกจากระดับบุคคลที่เข้ามาใช้ fb เป็นเครื่องมือทำธุรกิจแล้ว ยังพบผู้ใช้ระดับองค์กรมากมายเข้ามาใช้ fb เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ fb มีเพื่อการสื่อสารระหว่างเพื่อนนั้นเป็นอุปสรรคที่อาจทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย ที่ตั้งไว้

โกรธ และหลงอาจเกิดขึ้นกับหลายคนโดยไม่ทันตั้งตัว ปัจจุบันมีการใช้ fb เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างคนที่รู้จักทั้งคนที่รักและไม่รัก บางครั้งได้เห็นการปะทะคารมเชิงลบของเพื่อน ถกเถียง ด่าทอ หรือถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า ซึ่งมีเหตุมาจากความเครียด ความไม่พอใจ ความหลง บนความคิดเห็นที่แตกต่าง เช่น การเมือง การปกครอง ความเชื่อ กีฬา ดารา การทำงาน ความรัก แต่เท่าที่เห็นจะมีการปะทะที่ไม่รุนแรง ด้วยช่องว่างของเวลาทำให้อารมณ์ร้อนที่มีอยู่เย็นลงจนสามารถใช้เหตุผลเข้า ควบคุมอารมณ์ได้ทัน นั่นแสดงว่า fb คืออีกทางออกหนึ่งของมนุษย์ที่ต้องการระบายออก มีเพื่อนที่พร้อมรับฟัง และแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกันอย่างคนที่รู้ใจ

มนุษย์ผู้ไม่ใช้สารสนเทศ

7 ก.พ.53 แล้วผมก็ได้ตระหนักว่า มนุษย์บางคนขาดความสามารถในการใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ใช้ความเชื่อ และความรู้สึกเป็นฐานคิด แม้แต่ผมเองก็ยังใช้ความเชื่อและความรู้สึกเช่นกัน ทำให้ทราบว่าเผ่าพันธุ์เดียวกับผมมีคิดไปแนวใด ตัวอย่างแรกที่เห็นชัด คือ สุรา แม้ในทีวีจะออกมาบอกว่าดื่มสุราขณะขับรถนั้นอันตราย ก็ยังมีคนตายกันหลายร้อยคนปีละ 2 เทศกาล แสดงว่าพวกเขาขาดความตระหนักในโทษของสุรา ไม่เชื่อฟังในคำสอนทางศาสนา และไม่รักชีวิตเหนือสิ่งอื่นใด ตัวอย่างที่สอง คือ เรารู้ว่าอาหารมัน กินไหม้ กินดิบ กินรสจัด กินอาหารขยะ กินไม่เป็นเวล่ำเวลา กินเกินกว่าที่ร่างกายต้องการนั้นเป็นภัยต่อสุขภาพ เคยได้ยินหลายคนบอกว่าก็ชอบนี่ .. แล้วสารสนเทศที่เรารับมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่ซึมเข้าไปในสายเลือดเลยหรือว่ากินอย่างไรให้คุ้มค่า
     ตัวอย่างที่สาม คือ การพนัน (การที่รัฐบาลจำหน่ายฉลากกินแบ่งนั้นผมถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึง ) เรารู้กันดีว่า หวยใต้ดินเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตำรวจจับถ้าไปซื้อก็คือผิดกฎหมายและไม่ใช่สิ่งจำเป็น ถึงซื้อถูกก็ได้ไม่กี่บาท ก็รู้กันอยู่ว่าได้ไม่คุ้มเสีย มีสารสนเทศว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม และส่งเสริมกิเลสในใจเรา ทำให้ใจไม่สงบ แล้วเมื่อไรจะลดกิเลสให้เบาบางลงได้ ตัวอย่างที่สี่ คือ ใส่เกียร์ว่างในการทำงาน คอรัปชั่น ทุจริต ปล่อยให้องค์กรหรือท้องถิ่นของตนเสียหาย ก็จะทำให้ที่พึ่งพิงของตนบกพร่อง มีสารสนเทศมากมายว่า การไม่วางระบบเป็นขั้นตอนย่อมไม่มีแนวปฏิบัติให้ดำเนินการ การคอรัปชั่นย่อมเสี่ยงต่อการถูกจับ แต่ก็ต้องทำใจเพราะมนุษย์มีความมักง่าย ไม่รู้จักวางแผน เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า และมีความโลภเป็นที่ตั้ง เหมือนมีคนถามว่าเมื่อใดเมืองไทยจะไม่ซื้อเสียง  สรุปได้ว่ามนุษย์ไม่ตระหนักในผลข้างเคียงของกิจกรรมที่ทำในวันนี้ ไม่พะวงถึงสิ่งที่ทำวันนี้ว่าจะมีผลต่อวันพรุ่งนี้ เพราะไม่เชื่อในอนาคต แล้วคุณล่ะเชื่อในอนาคตหรือไม่ .. ผมพูดกับเพื่อนหลายท่านว่ามนุษย์บางคน “กินบนเรือนขี้บนหลังคา”  ซึ่งผมดีใจที่คิดคำเปรียบเปรยนี้ออก เพราะเป็นคำพูดที่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ของผม มากกว่าคำอื่นที่ผมคิดก่อนหน้านี้
+ http://www.thaiall.com/mis/mis02.htm

ลุแก่อำนาจ

ภาพยนต์เรื่องนี้เป็นการแย่งชิงอำนาจในครอบครัว

28 ม.ค.53 ลุแก่อำนาจเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ทั่วไป เป็นรูปแบบชีวิตที่พบเห็นได้บ่อยในตำรวจยศสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้อำนวยการ ผู้มีฐานะดีมาก มักเป็นผู้ใช้อำนาจเกินบทบาทที่ควรเป็น เป็นพฤติกรรมที่ขาดความสมเหตุสมผล
เช่น ไม่รู้จักประมาณตน ไม่เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ชอบการถูกยกยอปอปั้น พอใจที่มีคนหมอบคลานเข้าไปเยี่ยงทาส ขึ้นเสียงต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเคยชิน ชักสีหน้าไม่เลือกที่เลือกเวลา ใช้อำนาจที่มีโดยมิชอบ เป็นรูปแบบชีวิตที่พบเห็นได้บ่อยในภาพยนตร์อาจมีมากกว่า 80% และ มากกว่า 90% ที่คนกลุ่มนี้จะล้มเหลวตามบทบาท ที่ได้รับในภาพยนตร์ แต่ในชีวิตจริงคนเหล่านี้คิดว่าตนทำถูกต้องเหมือนในภาพยนตร์เปี๊ยบ .. แบบดื้อตาใส
    
ในชีวิตจริงเราจะพบเห็นพฤติกรรมแบบนี้ได้ไม่บ่อยนัก อาจเป็นเพราะมนุษย์เคยชินกับรูปแบบชีวิตของคนที่ลุแก่อำนาจ หรือมีพฤติกรรมไม่สมเหตุสมผลในภาพยนตร์หลายพันเรื่องหรือละครทีวี หากมีใครไปพบว่าใครสักคนทำตัวเป็นแม่ปูจนลูกปูไม่อยากอยู่ใกล้ เป็นแม่ปูที่ไม่มีความสมเหตุสมผลแล้วมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็มองเป็นเรื่องปกติ แต่คนทั่วไปที่คาดหวังความสมเหตุสมผลจากแม่ปูก็จะเป็นเดือนเป็นร้อน .. ผมก็อุทานในใจว่า คนเคยกินข้าวก็ต้องกินข้าววันยันค่ำ หรือ คนเคยกินขนมปังก็ต้องกินขนมปัง หรือ คนเคยกินข้างเที่ยงก็ต้องกินข้างเที่ยงไปชั่วชีวิต .. แพ้ภัยตนเองเป็นคำกล่าวที่พบได้บ่อยในชีวิตจริง แบบไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า เช่น กินเหล้าเมาแฟนก็ทิ้ง ซื้อหวยไม่ถูกก็ต้องเสียเงิน กินหมูกะทะก็จะเป็นมะเร็ง เป็นต้น ถ้ามีแม่ปูลุแก่อำนาจก็จะไม่มีลูกปูตัวใดเดินตามยกเว้นอยู่ในภาวะจำยอมเหมือนกบในกระทะ พอไม่มีหนักเข้าก็จะลือหึ่งกันไปทั้งชายหาด .. ก็เป็นนิทานสอนเด็กเรื่องลูกปูกับแม่ปูในชายหาดบางแสน .. ที่ผมจะเอาไปเล่าให้เพื่อนอาจารย์ฟัง แลกกับนิทานเรื่องตัดต้นไม้เพราะหวังเบียดบังชีวิตนกบนต้นไม้ของท่าน

กิเลสและอัตตาในตัวเรา .. ที่น่ารังเกียจ

28 ก.ย.52 น่าแปลกมาก ที่ใครต่อใคร เช่น เสื้อแดง เสื้อเหลือ นักการเมือง คนในหนังสือพิมพ์ ดาราเซ็กซี่ มักพูดถึง หรือถูกเล่าในเรื่องราวความผิดของคนอื่น นินทา ให้ร้ายด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ใช้ฐานคิดของตนเองเป็นหลัก เป็นเรื่องไม่น่ารื่นรมอย่างยิ่ง แต่จิตใต้สำนึกของผมกลับรู้สึกสนุกไปกับความวุ่นวายภายนอก เท่ากับขาดอุเบกขา ที่ไม่อาจวางเฉยหรือทำตัวเป็นกลาง ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวและจิตว่าง ก็จะนึกทบทวนกิจกรรมของมนุษย์จนเผลอรู้สึกรังเกียจ และขยะแขยงความเป็นมนุษย์ของตนเองก็หลายครั้ง อาทิ 1)รู้ว่าตนเอง ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง เห็นพฤติกรรมของดาราสาวเป็นเรื่องไม่สมควร แต่แก้ไขอะไรไม่ได้ 2)แก้ไขสัจธรรมที่ว่าตนเองต้องตายไม่ได้ ยังทำใจไม่ได้ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย 3)มองเห็นความไม่รู้จักสงบในผู้สูงอายุรอบตัว เช่นคนในครอบครัว เมื่อผมชวนเข้าวัด “ก็บอกว่า ไปทำไม ไปแล้วได้อะไร” 4)ส่วนตัวผมก็ยังลดการอุปโภคและบริโภคเป็น 0 ไม่ได้สักที แค่ลดลงคนรอบข้างก็มองผมเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว .. รำพึงรำพัน