ระบบและกลไก การกินป่าของคนไทย คนหนึ่งปีหนึ่งเฉลี่ยกินพื้นที่ปลูก 20 ตารางเมตร

ระบบข้าวโพด
ระบบข้าวโพด

เคยดูรายการ สามัญชนคนไทย
ตอน คนไทยกินป่าเป็นอาหาร

แล้วสนใจระบบและกลไกการกินป่าของคนไทย
ในรายการแจงไว้ชัดเจนว่ากลไกการสนับสนุนให้คนไทยกินป่ามี 5 กลุ่ม
1. กลุ่มชาวบ้าน
2. กลุ่มนายทุน/แปรรูป
3. กลุ่มเงินกู้/กองทุนทุกประเภท
4. กระบวนการส่งเสริม/นักส่งเสริมการเกษตร/นักวิจัย
5. นโยบายส่งเสริมจำนำ/ประกันราคา

หลังมีข่าว ก็มีการออกมาเคลื่อนไหวด้วยวิธีต่าง ๆ
ตามความสามารถของแต่ละบุคคล ผู้ว่าก็ทำอย่าง
นายกก็ทำอย่าง ทหารก็ทำอย่าง กรมป่าไม้ก็ทำอย่าง
ดาราก็ทำอย่าง โรงเรียนก็ทำอย่าง นักเลงคีย์บอร์ดก็ทำอย่าง
มีผลในแต่ละอย่างก็เพื่อช่วยป่า ช่วยเขา ไม่ให้โล้นไปกว่านี้

http://www.thaiall.com/blog/burin/7482/

หากมองระบบที่ทำให้เขาหัวโล้น ลองมามองภาพดู
ว่ามีขั้นตอนอย่างไร จะมองจากปัญหาไปต้นเหตุ หรือต้นเหตุไปปัญหาก็ได้
1. คนไทย ซื้อสัตว์มากินเป็นอาหาร
2. ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซื้ออาหารสัตว์สำเร็จรูป
3. โรงงานอาหารสัตว์ ซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง
4. คนปลูกข้าวโพด ซื้อที่ดินไว้ปลูก โค่นต้นไม้ใหญ่
5. ที่ดินไม่พอ ต้องไปบุกรุกพื้นที่ป่า

คนกินป่าเป็นอาหาร
คนกินป่าเป็นอาหาร

ต.ย.โครงการนาแลกป่า
เพื่อให้ได้พื้นที่ป่าคืนมา หลังได้มาแล้วก็ต้องดูแลให้ต้นไม้เติบโตเป็นป่า
ข้อมูลในปี 2556 พบว่าพื้นที่ป่าสงวนถูกนำไปปลูกพืชไร่สูงถึง 1.5 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 24% ของพื้นที่ป่าทั้งหมดในจังหวัดน่าน
โครงการนาแลกป่า ในปี 2558 สามารถคืนผืนป่ามาสู่การจัดการอย่างยั่งยืนได้ถึง 315.25 ไร่
1. กลยุทธ์นาแลกป่า เมื่อเกษตรกรคืนพื้นที่ป่า 4 ไร่ โครงการจะขุดนาให้ 1 ไร่
โดยขุดร่องน้ำ ปรับหน้าดิน เตรียมการจัดการน้ำ เพื่อให้ชาวบ้านปลูกข้าวหรือทำเกษตรแบบประณีต
2. กลยุทธ์ระบบน้ำแลกป่า เน้นการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ
เพื่อการเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อแลกกับพื้นที่ที่นำไปปลูกข้าวโพด
เนื่องจากมีน้ำไม่เพียงพอต่อการปลูกข้าวหรือพืชอื่นๆ
ซึ่งการมีน้ำพอใช้สำหรับการเกษตรก็ทำให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้นด้วยพื้นที่ที่น้อยลง
ปี 2558  โครงการขอคืนผืนป่าได้ทั้งหมด 108 ไร่
3. กลยุทธ์อาชีพทางเลือกแลกป่า เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่ก็อยากจะเลิกปลูกข้าวโพด
และมีอาชีพใหม่ทดแทน ทางโครงการจึงได้จัดหาอาชีพทางเลือก
ได้แก่ อาชีพปลูกพืชหลังนา เกษตรผสมผสาน
และการชดเชยเป็นค่าตอบแทนสำหรับเกษตรกรสูงอายุที่ไม่สามารถทำอาชีพทางเลือกอื่น ๆ ได้
ปี 2558  โครงการได้สร้างอาชีพทางเลือกและขอคืนผืนป่าได้ทั้งหมด 108 ไร่
http://www.schoolofchangemakers.com/home/knowledge?knowledge_id=389

ต.ย. ดารา ยอมควักเงินส่วนตัว ร่วมปลูกป่าน่าน
เฉพาะพื้นที่ที่เคยเป็นไร่ข้าวโพด เป็นจิตอาสาที่อยากรักษาป่าต้นน้ำ
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378498989/

ต.ย. กิจกรรมพิทักษ์ป่า
Nation TV – เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
“ร่วมโพสต์ท่าต้นไม้ ติด hashtag ‪#‎ปลูกเลย‬ แสดงพลัง!”ฟื้นฟูป่าให้ลูกหลาน
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378503463/
https://www.facebook.com/cartooneggcat/photos/a.136226233446771.1073741828.136187606783967/173673336368727/

ต.ย. อธิบายเรื่องข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ทำให้ผืนป่าที่หายไป ใครควรต้องรับผิดชอบบ้าง
สรุปว่า “คนไทย ที่บริโภคเนื้อไก่ขาวจากฟาร์มในระบบปิด
ซึ่งเลี้ยงด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด มีส่วนสนับสนุนการทำลายป่าจากการบริโภคเนื้อไก่ เฉลี่ยคนละประมาณ 20 ตารางเมตร
http://landjustice4thai.org/news.php?id=252

ต.ย. ลอยแพชาวบ้าน เมื่อทุนใหญ่ต้องการภาพลักษณ์ที่งามสง่า
มีหนังสือว่าต่อไปบริษัทจะรับซื้อข้าวโพดมีเงื่อนไขคือ
ต้องปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างในพื้นที่ที่มีเอกสิทธิ์ถูกต้อง
หรือพื้นที่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ
http://www.landjustice4thai.org/news.php?id=278

แนวความคิดทางการบริหารของ ฮาร์โรลด์ ดี คูนซ์ (Harold D. Koontz)

principles of management
Principles of Management

การบริหารเป็นการดำเนินการที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการรวมตัวกันของมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มนั้น จำเป็นที่มนุษย์ต้องพยายามหาแนวทางหรือวิธีการควบคุมดูแลกันเองภายในกลุ่มให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งตอบสนองความต้องการของตนเอง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องทำความรู้จักกับคำว่า “การบริหาร” เพื่อควบคุมดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ในสมัยอดีต มีความพยายามแสวงหาวิธีการในการบริหารให้ได้ผลตามที่ตนเอง กลุ่ม หรือองค์กรต้องการ การบริหารจึงเกิดขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคม เช่น การบริหารบุคคล การบริหารองค์กร และการบริหารประเทศ สำหรับแนวความคิดและทฤษฎีทางการบริหารในสมัยใหม่ที่เริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจังนั้น เริ่มขึ้นเมื่อราวหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมานี้เอง โดยแนวความคิดที่เป็นจุดเริ่มของการศึกษาทางการบริหารยุคใหม่ ได้แก่ แนวความคิดของ Frederick W. Taylor ซึ่งนำเอาหลักวิทยาศาสตร์มาใช้ในการบริหาร โดยเสนอแนวความคิด วิทยาศาสตร์การจัดการ (Scientific Management) ขึ้น และทำให้การศึกษาการบริหารมีการศึกษากันอย่างจริงจัง และมีการพัฒนาต่อเนื่องกันมาโดยตลอด พัฒนาการของแนวความคิดและทฤษฎีการบริหารจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และเทคโนโลยี การนำแนวความคิดและทฤษฎีการบริหารมาใช้ในการบริหารงานนั้น จะแตกต่างกันออกไปตามแนวทางหรือความสนใจของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ หรือผู้บริหารองค์กร

การบริหารองค์กรในทางวิชาการ เสนอว่า ควรดำเนินการเป็นกระบวนการ คือ ทำไปตามลำดับขั้นตอนต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่มีการขาดตอน การจำแนกขั้นตอนการบริหารที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ได้แก่ แนวความคิดทางการบริหารของ ฮาร์โรลด์ ดี คูนซ์ (Harold D. Koontz) ได้กำหนดกระบวนการบริหารไว้เป็น 5 ประการ คือ การวางแผน (Planning) การจัดองค์การ (Organizing) การเจ้าหน้าที่ (Staffing) การอำนวยการ  (Directing) และการควบคุมงาน (Controlling) โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. การวางแผน (Planning)
เป็นกระบวนการในการกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ นโยบาย โครงสร้าง และวิธีการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุผลในอนาคต ทั้งนี้ผู้บริหารต้องมีความสามารถในการพยากรณ์เหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง รวมทั้งต้องมีการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดมาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการคาดคะเนผลที่จะได้รับ ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

2. การจัดองค์กร (Organizing)
เป็นการกำหนดรูปแบบโครงสร้างขององค์กร  จัดระบบ ระเบียบการทำงานขององค์กร เพื่อให้เกิดความสะดวกในการมอบหมายงาน หรือการสั่งการ มีการกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละส่วนงานอย่างชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อน

3. การจัดคนเข้าทำงาน (Staffing)
การจัดคนเข้าทำงาน หรือการบริหารงานบุคคล เป็นการจัดการเกี่ยวกับบุคคล นับตั้งแต่การสรรหา คัดเลือกบุคคลเข้าปฏิบัติงาน การดูแลบำรุงรักษา การแต่งตั้ง โยกย้าย การพัฒนา จนกระทั่งพ้นไปจากการปฏิบัติงาน นับว่าเป็นกระบวนการบริหารจัดการทั้งหมดเกี่ยวกับคน หรือ บุคลากร ที่จะสามารถปฏิบัติงานให้กับองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

4. การอำนวยการ (Directing)
การอำนวยการ หรือการสั่งการ เป็นภาระหน้าที่ของผู้บริหารในการใช้ความสามารถชักจูงบุคลากรให้ ปฏิบัติงานและมีความกระตือรือร้นในการที่จะทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้องค์กรสามารถทำงานบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ดังนั้นผู้บริหารจึงต้องมีภาวะผู้นำ  มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และใช้ศิลปะในการบังคับบัญชา

5. การควบคุม (Controlling)
การควบคุม เป็นการติดตาม ตรวจสอบการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์กรเพื่อให้งานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีการปฏิบัติงานตามหน้าที่ได้รับมอบหมายหรือหน้าที่ที่กำหนดไว้หรือไม่ การทำงานเป็นไปตามมาตรฐานที่องค์กรกำหนดหรือไม่ มีข้อบกพร่องอย่างไรเพื่อนำไปสู่การทำการแก้ไข การควบคุมอาจตรวจสอบจากการใช้งบประมาณ การตรวจงาน  การรายงานผลการปฏิบัติงาน หรือการประเมินผลการปฏิบัติงาน

เรียบเรียงโดย ปฏิญญา ธรรมเมือง



หนังสือ Principles of management , Fourth Edition
หน้า 3 พูดถึง Process of Managment โดย Harold D. Koontz
+ https://books.google.co.th/books?id=trMz8Jy89C8C
+ https://en.wikipedia.org/wiki/Harold_Koontz
+ http://hacha555.blogspot.com/2013/07/harold-koonz.html

ระบบรับข้อมูลหนึ่ง ถูก แ+ฮ+ก ด้วย script

process of solution
process of solution

วันนี้ได้รับแจ้งว่าระบบเก่า ถูก post h-a-c-k_e-d
จึงเข้าไปแกะ script แบบค่อย ๆ ไล่ไปทีละแฟ้ม
เพราะเขียนไว้นาน และหลายคน จำอะไรไม่ได้เลย

1. ดู source ซึ่งเป็นผลลัพธ์ พบว่า
script ไม่ได้เสียหาย แต่มีการ post script เข้ามาเป็นข้อมูล

2. ในข้อมูลมี script จริง แสดงว่าไม่มีการ convert ข้อมูลก่อน insert

3. เข้าไปดูระบบรับข้อมูลพบว่าติด captcha แต่เป็น plain text แบบง่าย
แสดงว่า script ที่เข้ามาในระบบเป็นขั้นเทพ ถึงแกะ captcha ออกได้

4. เพิ่มการป้องกันใน form รับข้อมูล
โดยกำหนดเงื่อนไขว่า form ต้องถูกเรียกจาก script ที่กำหนด
ถ้าเรียกจากที่ไหน ๆ ก็จะไม่เปิดฟอร์ม

5. อันที่จริงควรเปลี่ยนข้อมูลด้วย stripslashes เข้าฐานข้อมูล
เพื่อล้าง script แต่นั่นเป็นการแก้ปลายเหตุ
จึงแก้ต้นเหตุ คือ ไม่ให้ข้อมูลเข้า จากขั้นตอนที่ 4
หรือเพิ่มการตรวจสอบก่อน insert ซึ่งมีอีกหลายวิธี

ชีวิตอยู่กระบวนการของ flip flop ที่เชื่อมโยงกัน

ชีวิตอยู่ใน flip flip
ชีวิตอยู่ใน flip flip

เห็น ฟลิปฟล็อป (flip flop) แล้วทำให้นึกถึง 3 เรื่อง
1. pager
2. โทรเลข (Telegram)
3. ความคิดเห็นของน้องชายคนหนึ่ง


นิทาน

1. น้องชายเล่าว่า เขาอยู่ในองค์กรที่พัฒนา pager
โดยเขาเป็นกลไกหนึ่งร่วมขับเคลื่อนและดำเนินการเป็นประจักษ์ช่วงนั้น
ต่อมาเขาออกจากองค์กร แล้ว pager ก็หายไปจากสังคม
ไม่มีทายาทรักษาให้ pager คงอยู่ต่อไป
2. น้องชายเล่าต่อ เขาขยับไปอยู่ในองค์กรที่บริการ โทรเลข (Telegram)
โดยเขาเป็นกลไกหนึ่งร่วมขับเคลื่อนและดำเนินการเป็นประจักษ์ในปัจจุบัน
ปัจจุบันเขาเป็นเฟืองตัวหนึ่ง แต่เฟืองอื่น ๆ ฝืดไปหมด ไม่มีน้ำมัน ไม่มีเฟืองที่ลื่น
คาดว่า ถ้าเขาไม่ขับเคลื่อน ก็คาดว่า โทรเลข (Telegram) คงหายไป
เพราะเฟือนตัวอื่นก็คงไม่มาเป็นกลไกขับเคลื่อนในฐานะทายาท
3. น้องชายสรุปตอนท้ายว่า ต้อง change
เขามีฝันอื่น ๆ อีกสารพัดที่จะไปขับเคลื่อน เพื่อพัฒนาตนเองในชีวิตที่เหลืออยู่

ผมสรุปว่า ไปแปลก ทุกอย่างมีเหตุผล มีที่มา และมีที่ไป
1. pager ไม่มีใครสนใจ ทุกคนในสังคมมีของใหม่ที่ดีกว่า พร้อมใจปล่อยให้หายไป
2. telegram หายไป เพราะไม่มีใครใช้ หรือต่อยอด เมื่อปิดบริการก็สมเหตุสมผล
3. การเลือกที่จะเรียนรู้ ไม่มีการควบคุม ปัจจุบันมนุษย์มีอิสระที่จะเลือก และมีสิทธิ์ที่จะไม่เลือก


ชีวิตคนก็เหมือน flip flip มีเงื่อนไข

มี input process และ output
ถ้า input ผิด ก็เชื่อได้ว่า output จะผิด
ถ้า process ผิด ก็เชื่อได้ว่า output จะผิด
บางทีทุกอย่างถูกหมดแต่ outcome ผิด ก็มี
ก็ต้องย้อนไปดูตั้งแต่ objective ตั้งแต่ต้น

กระบวนการจัดการความรู้

กระบวนการจัดการความรู้
กระบวนการจัดการความรู้

14 พ.ย.52 การจัดการความรู้หรือเคเอ็ม (KM = Knowledge Management) คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสารมาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดย นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ระบุว่าการจัดการความรู้สามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ 1) บรรลุเป้าหมายของงาน 2) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน 3) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรียนรู้ 4) บรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน
     การจัดการความรู้เป็นเรื่องใหม่ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ อาจฝืนธรรมชาติของมนุษย์บางท่าน แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะสนับสนุนให้มนุษย์มีความเอื้ออาทรเพิ่มขึ้นในจิตใจ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และเห็นเป้าหมายขององค์กรเป็นที่ตั้ง ซึ่งมี กระบวนการที่ยอมรับทั่วไป 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การบ่งชี้ความรู้ คือ การระบุประเด็นความรู้ รูปแบบ และผู้รู้ที่สอดรับกับนโยบาย ขอบเขตและเป้าหมายขององค์กร 2) การสร้างและแสวงหาความรู้ คือ การรวบรวมความรู้ใหม่ รักษาความรู้เดิม และกรองความรู้ที่ไม่ใช้ออกจากแหล่งรวบรวม 3) การจัดความรู้ให้เป็นระบบ คือ การวิเคราะห์และคัดแยกความรู้เป็นกลุ่มประเด็นให้ง่ายต่อการเข้าถึงอย่างมีขั้นตอน 4) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ คือ การปรับปรุงให้ความรู้มีรูปแบบมาตรฐาน ไม่ซ้ำซ้อน มีความสมบูรณ์ มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ 5) การเข้าถึงความรู้ คือ การสร้างแหล่งเผยแพร่ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา
      หลังเผยแพร่ความรู้ที่รวบรวมได้ก็เข้าสู่ขั้นตอนที่ 6) การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ คือ การนำความรู้เข้าสู่เวทีแลกเปลี่ยนที่มีฐานความรู้หรือฐานข้อมูลรองรับให้ง่ายต่อการเข้าถึงและสืบค้น 7) การเรียนรู้ คือ การใช้ความรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เป็นวงจรความรู้ที่มีการเรียนรู้และพัฒนาให้เกิดประสบการณ์ใหม่อยู่เสมอ การจัดการความรู้เป็นงานบูรณาการที่จะสำเร็จได้ต้องอาศัยความเข้ากันได้ของขอบเขต เป้าหมาย เครื่องมือ ผู้รู้ ผู้เรียนรู้ และผู้บริหารที่เห็นชอบร่วมกันทั้งองค์กร
+ http://www.thaiall.com/km/handbook_2549.doc