เค้าว่าคนไทยอ่อนเรื่องเทคโนโลยี แล้วเกมช่วยได้รึเปล่า

มีคำถามในใจ สำหรับกลุ่มเกมเมอร์
ว่าพวกเค้าใช้เทคโนโลยีกันไประดับไหนกันแล้ว
เพราะการมีเกมเข้ามา ทำให้ได้ใช้เทคโนโลยีกันข้ามวันข้ามคืนได้
น่าจะถามความเห็นของเกมเมอร์ซะหน่อยนะ
ว่าเกมแนว MOBA ช่วยพัฒนาทักษะด้านนี้รึเปล่า

ผมส่งคำถามไปในกลุ่มเฟส 2 กลุ่ม
1. RoV : Garena Thailand
2. RoV Thailand ( พูดคุย / หาทีม / ลงแข่ง ) by GAMER – Private

ทำให้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี
ทำให้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี

ใช้คำถาม ดังนี้

เค้าว่าเกมนี่ดีนะ
ช่วยให้ได้ใช้เทคโนโลยีกัน
ได้ใช้ไวไฟ ไฟเบอร์ สามจี สี่จี อีกสารพัด
ใกล้ชิดอุปกรณ์มากกว่าสมัยก่อน
เพราะเกมเดี่ยวนี้ พัฒนาไปมากมายนัก
ส่งผลต่อผู้เล่น “ทำให้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี”
ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด
นี่ถ้าไม่มีเกม ก็คงใช้ไม่คุ้มล่ะ จริงป๊ะ
ว่าแต่เพื่อน ๆ พัฒนากันไปถึงระดับไหนกันบ้างล่ะ
ปล. ภาพประกอบจาก @Lastshotdominate

RoV : Garena Thailand ทำให้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี ณ 4 มกราคม 2561
RoV : Garena Thailand
ทำให้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี
ณ 4 มกราคม 2561
RoV Thailand ( พูดคุย / หาทีม / ลงแข่ง ) by GAMER – Private ทำให้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี ณ 4 มกราคม 2561
RoV Thailand ( พูดคุย / หาทีม / ลงแข่ง ) by GAMER – Private
ทำให้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี
ณ 4 มกราคม 2561

 

สรุปสั้น ๆ โพนี่ หม่า บุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ที่อ่านจาก ceoblog.co

Ma Huateng หรือที่รู้กันในชื่อ Pony Ma
กลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียในเดือนสิงหาคม 2560
จากข้อมูลที่เขียนโดย Russell Flanney (Forbes staff)

Ma Huateng หรือที่รู้กันในชื่อ Pony Ma
Ma Huateng หรือที่รู้กันในชื่อ Pony Ma

ขึ้นมาแทน
แจ็ก หม่า (Alibaba)
ลี กาซิง (Cheung Kong Holdings)
หวัง เจี้ยนหลิน (ต้าเหลียนแวนด้า-บริษัทอสังหาริมทรัพย์)
หรือ ซู เจียหยิน (Evergrande Group-บริษัทอสังหาริมทรัพย์)

https://www.ceoblog.co/ma-huateng-story/
https://www.forbes.com/sites/russellflannery/2017/08/07/tencent-chairman-ma-huateng-overtakes-alibabas-jack-ma-as-chinas-richest-man/

– โพนี่ หม่า เป็นเจ้าของอาณาจักรออนไลน์ยักษ์ใหญ่ที่สุดของจีน นาม Tencent
– เคยเป็นโปรแกรมเมอร์ เงินเดือน 1,100 หยวน ($176 )
– เคยทำงานที่ บริษัท China Motion Telecom Development และ บริษัท Shenzhen Runxun Communications
– โพนี่ หม่า ร่วมกับเพื่อน 3 คน ก่อตั้งบริษัท Tencent ขึ้นมาในปี 1998
– รับบริการวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสำหรับองค์กร
– เปิดบริการ OICQ (หรือ Open ICQ) ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999
– เพิ่มทุนโดย Naspers จากแอฟริกาใต้ เข้ามาร่วมลงทุนกับ Tencent มีหุ้นถึง 46% แลกกับการพยุงธุรกิจ
– Naspers คือเจ้าของ Mweb และเข้าซื้อ Sanook.com และมี Sanook QQ
– ต่อมา MWeb ขาย sanook.com ให้กับ Tencent 341 ล้านบาท (เค้าว่าถูกมากในตอนนั้น)
– AOL (America Online) ซื้อ ICQ 1998 ฟ้อง Tencent ปี 1999 ที่จดโดเมน QICQ.com และ QICQ.net
– ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น QQ ให้เสียงพ้องกับ Cute และจด QQ.com ทำเป็น Portal website
– Tencent เริ่มมีกำไร 51 ล้านบาท จากค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น
– QQ ทำรายได้จากการขายการแต่ง Avatar ให้กับผู้ใช้ และมีรายได้ จึงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพทย์
– 2004 Tencent เข้าตลาดเกมออนไลน์ โดยซื้อลิขสิทธิ์เกมทั้งญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ไปให้บริการในจีน และเริ่มพัฒนาเกมของตนเอง
– 2005 เปิดตัวอีคอมเมิร์ซแบบ C2C : paipai.com ตั้งใจเป็นคู่แข่งกกับ taobao.com ของ alibaba
– 2006 ลงทุนสร้างสถาบันวิจัยด้านอินเทอร์เน็ตแห่งแรกของจีน และเปิด search engine อันดับ 3 คือ soso.com ที่รองจาก baidu และ google
– จีนมีกฎหมาย ตรวจทุกโพสต์ก่อนขึ้นออนไลน์ ทำให้ google, youtube และ facebook ยังเข้าจีนได้ไม่ 100%
– 2011 เปิดตัว wechat/weixin ที่มีผู้ใช้กว่า 800 บ้านคน หรือ 48% ของคนทั่วโลก เป็นตัวแรก
– และซื้อ Whatsapp ที่มีฐานผู้ใช้กว่า 800 ล้านเป็นตัวที่ 2
– ขยายตลาดทำ Fintech เป็นรองก็แต่ Alipay ของ Alibaba
– เริ่มลงทุนใน video, music, ebook, software ทั้ง pc และ mobile, antivirus, browser และ app store
– Tencent ยังเข้าซื้อบริษัทจำนวนมากอีกด้วย ทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว จนเป็นอันดับ 1 จากมูลค่าในหลักทรัพย์

เนื้อหา อ้างอิง จากบทความของ คชาราช วารีสุนทร ใน ceoblog.co
https://www.ceoblog.co/author/admin6/

แล้วผมแชร์ต่อที่ http://www.thaiall.com/digitalcommunity/

การเขียน shell script บน Android แบบไม่ต้องใช้ chmod

การเขียน shell script
การเขียน shell script

เคยมีนักศึกษาสายไอที ถามมา
เพราะสายอื่นเค้าคงไม่ถามแบบนี้หลอก
คำถาม “มีสมาร์ทโฟน เอามาทำอะไรได้บ้าง
แล้วก็คิดได้ว่า โทรศัพท์ที่เค้ามีเป็น android os
สามารถติดตั้ง app เพิ่ม จาก Google play store ได้
งั้นตอบว่า “ใช้เขียน shell script ได้ ลองดูนะ
ไม่ต้องกังวลเรื่อง root ด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องทำ
แนะนำว่าต้องโหลดแอพ ดังต่อไปนี้
1. Terminal Emulator
2. Droidedit Free
3. ES File Explorer File Manager
4. Palapa Web Server
อันที่จริง ใช้แอพในข้อ 1 เป็นหลัก
ที่เหลือแนะนำว่า Developer ควรมีไว้ในเครื่อง

ขั้นตอนการเขียน shell script
บน Android แบบไม่ต้องใช้ chmod
1. โหลดแอพ Terminal Emulator
เพื่อเข้าไปจัดการกับ Script ผ่าน Shell บน Android
2. โหลดแอพ Droidedit Free
เพื่อเป็นอีดิเตอร์สำหรับเขียน Script บน Android
เพราะโหลดมาแก้ไข และ Save as ได้
3. สำรวจห้องที่จะเก็บ shell script
โดยใช้เครื่องมือ คือ Terminal Emulator
หรือ ES File Explorer File Manager ก็ได้
เข้าไปดูห้อง /mnt/sdcard
พบว่ามีห้องเก็บข้อมูลมากมาย
อาทิ ห้อง /mnt/sdcard/pws
ที่สร้างจากแอพ Palapa Web Server
4. เขียน Shell script บนแอพ Droidedit Free
แล้ว Save as ชื่อ test1 วางไว้ในห้อง /mnt/sdcard

#!/system/bin/sh
read x
echo $x

5. ใช้ Terminal Emulator สั่ง execute shell script
โดยไม่ต้องใช้คำสั่ง chmod
เพราะใช้ไม่ได้และไม่จำเป็นต้องใช้
หากต้องการใช้ shell script ให้มีคำว่า sh นำหน้า
เช่น $sh test1

6. ตัวอย่าง รับค่าจากแป้นพิมพ์มาทดสอบ

#!/system/bin/sh
read x
echo $x
if [ “$x” == “1” ]
then
echo “one”
elif [ “$x” == “2” ]
then
echo “two”
else
echo “-”
fi

อธิบาย script ว่า
ถ้า execute แล้วเค้าหยุดถาม
หากกรอกเลข 1 จะพิมพคำว่า one ออกมา
หากกรอกเลข 2 จะพิมพคำว่า two ออกมา
หากกรอกอย่างอื่น จะพิมพคำว่า – ออกมา

พี่ ๆ สอนน้องปี 1 ตัดพื้นหลัง ให้เหลือแต่ตัว

freshman clip
freshman clip

25 ส.ค.59 เห็นคุณเบนซ์ กับคุณเปรม กำลังสอนนักศึกษาตัดต่อคลิ๊ป
ปีนี้จะให้น้องปี 1 ตัดพื้นหลังออก ซ้อนหลาย layer
ผมก็เข้าไปแจมด้วย ลอง import ภาพ .gif เป็น layer ใหม่
เข้าไปเป็นตัวเดินเรื่อง มีหน้าที่เดินอย่างเดียวเลย
แต่ใช้เสียง background จาก youtube.com
แล้วยก tense มาเป็นเนื้อหา ก็ลงตัวนะกับ 50 วินาที
ที่ https://www.youtube.com/watch?v=84-ffOEC90o
ส่วนคลิ๊ปแนะนำตัวของนักศึกษาที่หยิบมาเป็นตัวอย่าง 3 คน
1. ฝ้าย สาขาออกแบบ (571) ที่ตัดพื้นได้ดี

2. กาญจนา สาขาบัญชี (581) ที่แสดงออกได้ดี

3. บุญบง สาขาบริหาร (542) ตัดพื้นออกได้สะอาดดี

แจกลิงค์สไลด์หนังสือด้านคอมพิวเตอร์ 13 บท แบบ PPS

รวมสไลด์ประกอบหนังสือ โดย วิโรจน์ ชัยมูล และสุพรรษา ยวงทอง
บริษัท โปรวิชั่น จำกัด, กรุงเทพฯ, 2558.
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ISBN: 978-616-204-532-5

computer and it book
computer and it book

1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
http://goo.gl/KptNHX
2. องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
http://goo.gl/WWl2bf
3. ซอฟต์แวร์
http://goo.gl/fA9qz2
4. ฮาร์ดแวร์
http://goo.gl/eBGs3m
5. ระบบปฏิบัติการและหลักการทำงาน
http://goo.gl/3LoYfR
6. ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
http://goo.gl/y5bXBT
7. การวิเคราะห์และการพัฒนาระบบ
http://goo.gl/g7JNTL
8. การเขียนผังงาน
http://goo.gl/IYxSb8
9. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
http://goo.gl/FgaQN6
10. อินเทอร์เน็ต
http://goo.gl/IgBokw
11. ข้อมูลและสารสนเทศ
http://goo.gl/IQ9e5V
12. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
http://goo.gl/guQDfm
13. จริยธรรมและความปลอดภัย
http://goo.gl/lGwat3

Official site
http://www.provision.co.th/index.php?page=shop.product_details&product_id=555&flypage=flypage.tpl&pop=0&option=com_virtuemart&Itemid=31

ภาพปกที่ผมมี 1 เล่ม
https://www.facebook.com/thaiall/photos/a.10152593764617272.1073741865.350024507271/10153653486702272/

Google.com บริการหลายอย่าง บริการหนึ่งคือ URL Shortener
คือ การย่อ URL (Uniform Resource Locator) ให้สั้นลง
จะได้ใช้วางในสื่อสังคมได้ประหยัดพื้นที่
+ https://goo.gl
http://www.thaiall.com/google

Maysoon Zayid สั้นตลอดเวลา

Maysoon Zayid : shake all the time
Maysoon Zayid : shake all the time

ในเวทีที่มีคนพูด และมีคนฟัง
ก็เห็นจะมี TED : Technology, Entertainment, Design
ที่ได้รับความนิยม และยอมรับกันไปทั่วโลก
แต่ละท่านพูดกันประมาณ 15 นาที
มี 20 TED ยอดนิยมในปี 2014
Maysoon Zayid : shake all the time เป็น 1 ใน 20
http://www.ted.com/playlists/215/the_most_popular_talks_of_2014

Transcript : Hello, TEDWomen, what’s up.

0:13 (Cheers)
0:15 Not good enough. Hello, TEDWomen, what is up?
0:18 (Cheers)
0:20 My name is Maysoon Zayid, and I am not drunk, but the doctor who delivered me was. He cut my mom six different times in six different directions, suffocating (หอบ, สำลัก) poor little me in the process. As a result, I have cerebral palsy (สมองพิการ), which means I shake all the time. Look. It’s exhausting (ใช้หมด). I’m like Shakira, Shakira meets Muhammad Ali. (Laughter)
0:53 C.P. is not genetic (พันธุกรรม). It’s not a birth defect. You can’t catch it. No one put a curse(คำสาป) on my mother’s uterus (มดลูก), and I didn’t get it because my parents are first cousins (ญาติ), which they are. (Laughter) It only happens from accidents, like what happened to me on my birth day.
1:15 Now, I must warn you, I’m not inspirational (ที่เร้าใจ), and I don’t want anyone in this room to feel bad for me, because at some point in your life, you have dreamt of being disabled. Come on a journey with me. It’s Christmas Eve, you’re at the mall, you’re driving around in circles looking for parking, and what do you see? Sixteen empty handicapped (พิการ) spaces. And you’re like, “God, can’t I just be a little disabled?” (Laughter) Also, I gotta tell you, I got 99 problems, and palsy is just one. If there was an Oppression (การบีบคั้น) Olympics, I would win the gold medal. I’m Palestinian, Muslim, I’m female, I’m disabled, and I live in New Jersey. (Laughter) (Applause) If you don’t feel better about yourself, maybe you should.
2:22 Cliffside Park, New Jersey is my hometown. I have always loved the fact that my hood (ผ้าคลุมหน้า) and my affliction (ความทุกข์) share the same initials. I also love the fact that if I wanted to walk from my house to New York City, I could.
2:36 A lot of people with C.P. don’t walk, but my parents didn’t believe in “can’t.” My father’s mantra was, “You can do it, yes you can can.” (Laughter) So, if my three older sisters were mopping (ถูพื้น), I was mopping. If my three older sisters went to public school, my parents would sue the school system and guarantee that I went too, and if we didn’t all get A’s, we all got my mother’s slipper (รองเท้าแตะ). (Laughter) My father taught me how to walk when I was five years old by placing my heels on his feet and just walking. Another tactic that he used is he would dangle (ห้อย) a dollar bill in front of me and have me chase it. (Laughter) My inner stripper (ผู้เปลื่อง) was very strong, and by — (Laughter) Yeah. No, by the first day of kindergarten, I was walking like a champ who had been punched one too many times.
3:37 Growing up, there were only six Arabs in my town, and they were all my family. Now there are 20 Arabs in town, and they are still all my family. (Laughter) I don’t think anyone even noticed we weren’t Italian. (Laughter) (Applause) This was before 9/11 and before politicians thought it was appropriate to use “I hate Moslems” as a campaign slogan. The people that I grew up with had no problem with my faith. They did, however, seem very concerned that I would starve (อดมื้อกินมื้อ) to death during Ramadan. I would explain to them that I have enough fat to live off of for three whole months, so fasting from sunrise to sunset is a piece of cake.
4:25 I have tap-danced on Broadway. Yeah, on Broadway. It’s crazy. (Applause) My parents couldn’t afford physical therapy (การบำบัดโรค), so they sent me to dancing school. I learned how to dance in heels, which means I can walk in heels. And I’m from Jersey, and we are really concerned with being chic, so if my friends wore (สวม) heels, so did I.
4:47 And when my friends went and spent their summer vacations on the Jersey Shore, I did not. I spent my summers in a war zone, because my parents were afraid that if we didn’t go back to Palestine every single summer, we’d grow up to be Madonna. (Laughter) Summer vacations often consisted of my father trying to heal (รักษา) me, so I drank deer’s milk, I had hot cups on my back, I was dunked in the Dead Sea, and I remember the water burning my eyes and thinking, “It’s working! It’s working!” (Laughter)
5:28 But one miracle cure we did find was yoga. I have to tell you, it’s very boring, but before I did yoga, I was a stand-up comedian (ตัวตลก) who can’t stand up. And now I can stand on my head. My parents reinforced (เสริมสร้าง) this notion (ความคิด) that I could do anything, that no dream was impossible, and my dream was to be on the daytime soap opera “General Hospital.” I went to college during affirmative  (ซึ่งยืนยัน) action and got a sweet scholarship to ASU, Arizona State University, because I fit every single quota. I was like the pet lemur (สัตว์จำพวกลิง) of the theater department. Everybody loved me. I did all the less-than-intelligent kids’ homework, I got A’s in all of my classes, A’s in all of their classes. Every time I did a scene from “The Glass Menagerie (โรงละครสัตว์),” my professors would weep (ร้องไห้). But I never got cast (โยน). Finally, my senior year, ASU decided to do a show called “They Dance Real Slow in Jackson.” It’s a play about a girl with C.P. I was a girl with C.P.
So I start shouting (เสียงร้อง) from the rooftops, “I’m finally going to get a part! I have cerebral palsy! Free at last! Free at last! Thank God almighty (ยิ่งใหญ่), I’m free at last!” I didn’t get the part. (Laughter) Sherry Brown got the part. I went racing to the head of the theater department crying hysterically (อย่างบ้าคลั่ง), like someone shot my cat, to ask her why, and she said it was because they didn’t think I could do the stunts (การแสดงความสามารถ). I said, “Excuse me, if I can’t do the stunts, neither can the character.” (Laughter) (Applause) This was a part that I was literally born to play and they gave it, they gave it to a non-palsy actress. College was imitating (เลียนแบบ) life. Hollywood has a sordid (สกปรก) history of casting able-bodied actors to play disabled onscreen.
7:41 Upon graduating, I moved back home, and my first acting gig (เรือพาย) was as an extra on a daytime soap opera. My dream was coming true. And I knew that I would be promoted from “diner diner” to “wacky (แปลกประหลาด) best friend” in no time. But instead, I remained a glorified (สรรเสริญ) piece of furniture that you could only recognize from the back of my head, and it became clear to me that casting directors didn’t hire fluffy (ปุย), ethnic (หลักจริยธรรม), disabled actors. They only hired perfect people. But there were exceptions to the rule. I grew up watching Whoopi Goldberg, Roseanne Barr, Ellen, and all of these women had one thing in common: they were comedians. So I became a comic. (Laughter) (Applause)
8:30 My first gig was driving famous comics from New York City to shows in New Jersey, and I’ll never forget the face of the first comic I ever drove when he realized that he was speeding down the New Jersey Turnpike with a chick (ลูกเจี๊ยบ) with C.P. driving him. I’ve performed in clubs all over America, and I’ve also performed in Arabic in the Middle East, uncensored and uncovered. Some people say I’m the first stand-up comic in the Arab world. I never like to claim first, but I do know that they never heard that nasty (น่ารังเกียจ) little rumor (เล่าลือ) that women aren’t funny, and they find us hysterical. In 2003, my brother from another mother and father Dean Obeidallah and I started the New York Arab-American Comedy Festival, now in its 10th year. Our goal was to change the negative image of Arab-Americans in media, while also reminding casting directors that South Asian and Arab are not synonymous (ตรงกัน).
(Laughter) Mainstreaming Arabs was much, much easier than conquering (พิชิต) the challenge against the stigma (ปาน)  gainst disability.
9:49 My big break came in 2010. I was invited to be a guest on the cable news show “Countdown With Keith Olbermann.” I walked in looking like I was going to the prom (พรหม), and they shuffle (สับเปลี่ยน) me into a studio and seat me on a spinning, rolling chair. So I looked at the stage manager and I’m like, “Excuse me, can I have another chair?” And she looked at me and she went, “Five, four, three, two …” And we were live, right? So I had to grip (ด้ามจับ) onto the anchor’s desk so that I wouldn’t roll off the screen during the segment, and when the interview was over, I was livid (ซีด). I had finally gotten my chance and I blew it, and I knew I would never get invited back. But not only did Mr. Olbermann invite me back, he made me a full-time contributor (ผู้สนับสนุน), and he taped down my chair. (Laughter) (Applause)
10:48 One fun fact I learned while on the air with Keith Olbermann was that humans on the Internet are scumbags (ก้าวร้าว). People say children are cruel, but I was never made fun of as a child or an adult. Suddenly, my disability on the world wide web is fair game. I would look at clips online and see comments like, “Yo, why’s she tweakin (บิด)?” “Yo, is she retarded (ชะลอ)?” And my favorite, “Poor Gumby-mouth terrorist (ผู้ก่อการร้าย). What does she suffer from? We should really pray for her.” One commenter even suggested that I add my disability to my credits: screenwriter, comedian (ตัวตลก), palsy.
11:31 Disability is as visual as race. If a wheelchair user can’t play Beyoncé, then Beyoncé can’t play a wheelchair user. The disabled are the largest — Yeah, clap (ตบมือ) for that, man. C’mon. (Applause) People with disabilities are the largest minority (ชนกลุ่มน้อย) in the world, and we are the most underrepresented (บทบาท) in entertainment.
11:57 The doctors said that I wouldn’t walk, but I am here in front of you. However, if I grew up with social media, I don’t think I would be. I hope that together we can create more positive images of disability in the media and in everyday life. Perhaps if there were more positive images, it would foster (อุปภัมภ์) less hate on the Internet. Or maybe not. Maybe it still takes a village to teach our children well.
12:27 My crooked (คด) journey has taken me to some very spectacular (น่าตื่นเต้น) places. I got to walk the red carpet flanked (ขนาบข้าง) by soap diva Susan Lucci and the iconic Lorraine Arbus. I got to act in a movie with Adam Sandler and work with my idol, the amazing Dave Matthews. I toured the world as a headliner on Arabs Gone Wild. I was a delegate (ผู้แทน) representing the great state of New Jersey at the 2008 DNC. And I founded Maysoon’s Kids, a charity (การกุศล) hat hopes to give Palestinian refugee (ผู้ลี้ภัย) children a sliver (เศษไม้) of the chance my parents gave me. But the one moment that stands out the most was when I got — before this moment — (Laughter) (Applause) — but the one moment that stands out the most was when I got to perform for the man who floats (ลอย) like a butterfly and stings (ต่อย) like a bee, has Parkinson’s and shakes just like me, Muhammad Ali. (Applause)
13:42 It was the only time that my father ever saw me perform live, and I dedicate this talk to his memory. (In Arabic)
13:52 My name is Maysoon Zayid, and if I can can, you can can. (Applause)
http://www.ted.com/talks/maysoon_zayid_i_got_99_problems_palsy_is_just_one

16 ข่าวเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันเป็นภาษาอังกฤษ โดย Sean Banville

http://www.breakingnewsenglish.com/1406/140618-wearable-health-device.html
http://www.breakingnewsenglish.com/1406/140618-wearable-health-device.html

รวมข่าวด้านเทคโนโลยีจาก breakingnewsenglish.com
เป็นเว็บสอนภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติ สอนโดย Sean Banville
เจ้าของเว็บไซต์บอกว่า ตอนเรียนโทที่ Birmingham University
ได้อ่านหนังสือ “Appropriate Methodology and Social Context
ทำให้คิดเกี่ยวกับข่าวหนังสือพิมพ์ประจำวันที่อ่านไปก็นั่งดื่มชาไปด้วย
แล้วทำให้นึกถึงบทเรียนข่าวภาษาอังกฤษ
จากนั้นอีก 18 เดือนก็ทำเป็นหัวข้อวิทยานิพนท์
เขาทำข่าวภาษาอังกฤษสำหรับโรงเรียนสอนภาษาในญี่ปุ่น และมีคุณครูมากมายให้คำแนะนำต่าง ๆ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.breakingnewsenglish.com/about.html
http://www.breakingnewsenglish.com/technology.html

ถ้าคุยกับนักศึกษา ผมจะเคยเรื่องข่าว แล้วให้นักศึกษานำเสนอเรื่องหมวก 6 ใบ
ว่าคิดอย่างไรกับข่าวที่ผมเล่าไปนั้น โดยให้นักศึกษาเลือกสีหมวกกันเอง

1. White Hat: ใช้ข้อมูลข่าวสาร
2. Red Hat: ใช้อารมณ์ความรู้สึก
3. Black Hat: ใช้การตั้งคำถามหรือตั้งข้อสงสัยมุมลบ
4. Yellow Hat: ใช้การมองในแง่ดี และมีความหวัง
5. Green Hat: ใช้การคิดอย่างสร้างสรรค์
6. Blue Hat: ใช้การควบคุมความคิดทั้งหมดให้มองเห็นภาพรวมของการคิด
http://www.thaiall.com/blog/admin/4249/

1. ไม่เป็นธรรมถ้าถูกไล่ออกเพราะใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่

ไม่เป็นธรรมถ้าถูกไล่ออกเพราะใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่



http://www.breakingnewsenglish.com/0909/090904-capital_letters.html

2. นักเล่นเกมเกาหลีตายหลังเล่นต่อเนื่องยาวนานกว่า 50 ชั่วโมง

นักเล่นเกมเกาหลีตายหลังเล่นต่อเนื่องยาวนานกว่า 50 ชั่วโมง



http://www.breakingnewsenglish.com/0508/050811-gaming-e.html

3. นกโกรธถูกดาวน์โหลดไปครึ่งพันล้านแล้ว

นกโกรธถูกดาวน์โหลดไปครึ่งพันล้านแล้ว


http://www.breakingnewsenglish.com/1111/111103-angry_birds.html


4. เตือนผู้หญิงในการใช้สื่อสังคม

เตือนผู้หญิงในการใช้สื่อสังคม


http://www.breakingnewsenglish.com/1202/120225-social_media.html


5. ผู้ประดิษฐ์อุปกรณ์ควบคุมทางไกลเสียชีวิตด้วยวัย 96 ปี

ผู้ประดิษฐ์อุปกรณ์ควบคุมทางไกลเสียชีวิตด้วยวัย 96 ปี


http://www.breakingnewsenglish.com/1205/120523-remote_control.html


6. รถโตโยต้านำเสนอวีดีโอการทำงานของรถไร้คนขับ

รถโตโยต้านำเสนอวีดีโอการทำงานของรถไร้คนขับ


http://www.breakingnewsenglish.com/1301/130108-driverless_car.html


7. คิดจากสมองส่งรหัสผ่านแทนการพิมพ์รหัสผ่าน

คิดจากสมองส่งรหัสผ่านแทนการพิมพ์รหัสผ่าน


http://www.breakingnewsenglish.com/1304/130412-passwords.html


8. เครื่องพิมพ์ดีดจะช่วยหยุดการรั่วไหลของข่าวสาร

เครื่องพิมพ์ดีดจะช่วยหยุดการรั่วไหลของข่าวสาร


http://www.breakingnewsenglish.com/1307/130715-computer_leaks.html


9. ซัมซุงเปิดเผยสมาร์ทนาฬิกาเครื่องใหม่

ซัมซุงเปิดเผยสมาร์ทนาฬิกาเครื่องใหม่


http://www.breakingnewsenglish.com/1309/130907-smartwatch.html


10. ตำรวจจับมะพร้าวลูกหนึ่งไปไว้ที่สถานีตำรวจ

ตำรวจจับมะพร้าวลูกหนึ่งไปไว้ที่สถานีตำรวจ


http://www.breakingnewsenglish.com/1309/130909-coconuts.html


11. เว็บไซต์ขายหนังสือระดับโลกทดสอบใช้ drone ให้บริการส่งหนังสือ

เว็บไซต์ขายหนังสือระดับโลกทดสอบใช้ drone ให้บริการส่งหนังสือ


http://www.breakingnewsenglish.com/1312/131204-drone-delivery-service.html


12. หุ่นจะฉลาดกว่ามนุษย์ในปี 2029

หุ่นจะฉลาดกว่มนุษย์ในปี 2029


http://www.breakingnewsenglish.com/1402/140226-artificial-intelligence.html


13. ส่งข้อความไปเดินไปอันตรายนะ เข้าโรงพยาบาลกว่า 6000 คนทีเดียว

ส่งข้อความไปเดินไปอันตรายนะ เข้าโรงพยาบาลกว่า 6000 คนทีเดียว


http://www.breakingnewsenglish.com/1403/140312-texting-while-walking.html


14. อียูโหวตให้มีการใช้ที่ชาร์ตโทรศัพท์แบบมาตรฐาน

อียูโหวตให้มีการใช้ที่ชาร์ตโทรศัพท์แบบมาตรฐาน


http://www.breakingnewsenglish.com/1403/140318-phone-charger.html


15. กูเกิ้ลออกอุปกรณ์ตรวจสอบสุขภาพแบบสวมใส่

กูเกิ้ลออกอุปกรณ์ตรวจสอบสุขภาพแบบสวมใส่


http://www.breakingnewsenglish.com/1406/140618-wearable-health-device.html


16. เด็กอังกฤษหกขวบ รู้ว่าจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรเท่าผู้ใหญ่วัย 45 ขวบ

เด็กอังกฤษหกขวบ รู้ว่าจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรเท่าผู้ใหญ่วัย 45 ขวบ


http://www.breakingnewsenglish.com/1408/140809-sleeping.html

ยิ่งใช้เทคโนโลยีมาก ยิ่งหลับน้อยลง

หัวข้อข่าวว่า “ยิ่งใช้เทคโนโลยีมาก ยิ่งหลับน้อยลง
ประเด็นที่น่าสนใจคือ

ศูนย์วิจัย พบว่าชาวอังกฤษใช้เทคโนโลยีมากกว่านอนหลับไป 20 นาที
เพราะใช้เวลากับเทคโนโลยีไป 8 ชั่วโมง 41 นาที
แต่ใช้เวลานอนเฉลี่ย 8 ชั่วโมง 21 นาที
แล้วเขายังพบอีกว่า เด็กหกขวบ รู้ว่าจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรในระดับเดียวกับผู้ใหญ่วัย 45 ขวบ
แล้วยังพบว่าใช้เทคโนโลยีมากสุดตอนอายุ 14 – 15 ขวบ

People use technology more, sleep less   (9th August, 2014)

ผู้คนในอังกฤษเดี๋ยวนี้ใช้เวลาในการดูทีวี เล่นเกม และสมาร์ทโฟน และเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่านอนหลับซะอีก

People in Britain now spend more time watching TV, gaming, and using their mobile phones and computers than sleeping.

ผลวิจัยโดยบริษัทออฟคอม พบว่า ชาวอังกฤษใช้เทคโนโลยี มากกว่านอนหลับ 20 นาที

Research by the British communications agency Ofcom found that Britons use technology for 20 minutes longer than they spend sleeping.

เฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ใช้เทคโนโลยี 8 ชั่วโมง 41 นาทีในแต่ละวัน

The average U.K. adult uses technology for eight hours and 41 minutes a day.

พวกเขาหลับประมาณ 8 ชั่วโมง 21 นาที

They sleep for an average of eight hours and 21 minutes.

เหตุผลหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด คือ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และใช้ไวไฟ

One of the biggest reasons for this is broadband and wi-fi.

ผู้คนสามารถได้รับการเชื่อมต่อเกือบทุกที่ ดังนั้นจึงใช้เวลาเชื่อมต่อออนไลน์ยิ่งขึ้น

People can get online almost anywhere, so they spend more time online.

คนจำนวนมากใช้โทรศัพท์ หรือท่องเว็บ ขณะกำลังนั่งดูทีวี

Many people make telephone calls or surf the web while watching television.

ดูทีวีเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมที่สุด

Television was the most popular activity.

ผู้ใหญ่ดูทีวีราว 3 ชั่วโมงในแต่ละวัน

Adults watched an average of three hours a day.

ผลการศึกษาพบว่าการใช้เทคโนโลยีแตกต่างไปตามกลุ่มอายุ

The study looked at technology and different age groups.

เด็ก 6 ขวบจะเข้าใจวิธีใช้เทคโนโลยีใกล้เคียงกับคนอายุ 45 ปี

It found that six-year-olds understand how to use technology at the same level as 45-year-olds.

การค้นพบอีกอย่าง คือ คนที่เข้าใจเทคโนโลยีดิจิทัลที่สุดคือ 14 หรือ 15 ปี

Another finding was that people understand digital technology most when they are 14 or 15.

หมอพูดว่าเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนวิธีในการติดต่อสื่อสารกัน

A doctor said technology is changing the way people communicate with each other.

ดอกเตอร์อาร์เทอร์เตือนว่า เรากำลังต่อต้านสังคมมากขึ้นและมากขึ้น

Dr.Arthur Cassidy warned that we are becoming more and more anti-social.

เขาว่า เรากำลังถอยห่างจากการสื่อสารแบบเผชิญหน้าเพราะเทคโนโลยี

He said we are moving away from face-to-face conversations because of technology.

เขาเพิ่มเติมว่า ผู้คนกำลังเสพติดสมาร์ทโฟนของพวกเขา

He added that people are becoming addicted to their smart phones.

เทคโนโลยีทำให้ผู้คนทำงานที่บ้านหลังจากพวกเขากลับจากที่ทำงาน

Technology also means people are working at home after they get home from work.

http://www.breakingnewsenglish.com/1408/140809-sleeping.html
http://www.breakingnewsenglish.com/1408/140809-sleeping.mp3

http://www.breakingnewsenglish.com/technology.html

: 1 : 2 : 3 : 4 : 5 : 6 : 7 : 8 : 9 : 10 : 11 : 12 : 13 : 14 : 15 : 16 :
http://www.thaiall.com/quiz/terms.php

ประชุมร่วมกับอาจารย์จาก fukui university of technology

fukui & ntu meeting
fukui & ntu meeting

21 พ.ค.57 ที่มหาวิทยาลัยเนชั่นทั้งผู้บริหาร และคณาจารย์
นำโดย ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม อธิการบดี ได้ประชุมร่วมกับ
Prof.Fumio Nakayasu (Head of International Center of FUT)
และ Ms.Ayako Kobayashi (Chief of an International Center)
จากมหาวิทยาลัย fukui ประเทศญี่ปุ่น
http://www.fukui-ut.ac.jp
เกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวิชาการ
การจัดประชุมวิชาการร่วมกัน การแลกเปลี่ยนนักศึกษา อาจารย์ หลักสูตรร่วม
จัดกิจกรรมศึกษาในต่างประเทศทั้งระยะสั้น ทั้งตรีและโท และการโอนหน่วยกิต เป็นต้น

fukui document
fukui document
fukui document
fukui document

ตามเอกสารนำเสนอข้อมูลมหาวิทยาลัย Fukui
ทำให้ทราบว่าที่ fukui กำลังดำเนินการเปิดหลักสูตร
ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์กีฬาและสุขภาพ (Sport & Health Science)
ซึ่งเชื่อมโยงกับ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ของมหาวิทยาลัยเนชั่นได้เป็นอย่างดี
ซึ่งก่อนหน้านี้มีคณะออกแบบ และคณะไอทีให้ความสนใจ เสนอหัวข้อ
โดยผลการประชุม ทางญี่ปุ่นจะนำไปหารือกับคณะวิชาต่าง ๆ
และจัดทำแผนต่อไป ซึ่งมีเงื่อนไขเรื่องช่วงเวลาและรูปแบบเป็นสำคัญ
ซึ่งฝ่ายเมืองไทยได้กำหนดแผนจัดประชุมวิชาการ ntc2014
ในวันที่ 6-8 ธันวาคม 2557 ณ มหาวิทยาลัยเนชั่น
หากติดขัดเรื่องการเปิดปิดภาคเรียนก็อาจกำหนดเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2558
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.637111256365963.1073741984.228245437252549

ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านอธิการบดี  Prof. Dr.Yotaro Morishima
ของ Fukui University of Technology
ได้มาเป็น keynote speaker ในงานประชุม ntc2014
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2557 ในหัวข้อ
Challenges of Japanese Universities in the Borderless Era
http://www.thaiall.com/blog/burin/5733/
http://blog.nation.ac.th/?p=2887

ภัยจากเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Disaster)

ขั้นตอนการปฏิบัติการตามวัฏจักรของสาธารณภัย
ขั้นตอนการปฏิบัติการตามวัฏจักรของสาธารณภัย

วัฏจักรของสาธารณภัย
1. เกิดสาธารณภัย
2. การตอบโต้และบรรเทาทุกข์
3. การฟื้นฟูบูรณะและก่อสร้างใหม่
4. การป้องกันและลดผลกระทบ
5. การเตรียมความพร้อมรับภัย

เล่าสู่กันฟัง
ว่าพบนิยามของ คำว่า ภัยจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
(Information Technology Disaster)
ในบทที่ 24 หมายถึง ภัยที่เกิดขึ้นกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยอาจเกิดความเสียหายขึ้นกับระบบ Hardware, Software, Network, Peopleware
แฟ้มข้อมูล และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ถูกทำลาย ทำให้เกิดความเสียหาย
และเป็นสาธารณภัยที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้เกิดผลกระทบ
และความเดือดร้อนต่อการดำรงชีวิตของประชาชน

+ http://61.19.100.58/cpn/anewweb/Policy/Draft%20Cpn_DPM_Plan53-57.pdf

+ https://www.facebook.com/groups/thaiebook/281685345315624/