อึ้ง…พบเชื้อ HIV-HPV เพิ่มทุกปี “ออรัลเซ็กซ์” น่าห่วง

ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ เผยยอดชายซั่มชายใน กทม.มีสิทธิสูงกว่า 2 แสนราย พบสถิติติดเชื้อ HIV มากขึ้นทุกปี และ 85% มักพบเชื้อ HPV ร่วมด้วย เสี่ยงการเป็นมะเร็งปากทวารหนัก ด้านออรัลเซ็กซ์ก็น่าห่วง มีสิทธิเกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอหากไม่สวมถุงยางอนามัย แนะผู้มีความเสี่ยงตรวจคัดกรอง ด้านแพทย์ศิริราชชี้ฉีดวัคซีนช่วยลดอัตราการติดเชื้อใหม่ได้ และป้องกันมะเร็งได้ 78%

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วันนี้ (3 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่คลินิกนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ รองหัวหน้าหน่วยวิจัย SEARCH ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ กล่าวในการแถลงข่าว “ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย เสี่ยงเป็นมะเร็งปากทวารหนักจากไวรัส HPV” ว่า เชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) มีจำนวนมากกว่า 100 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของหูด โดยมีจำนวน 40 สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะเพศและทวารหนัก หากเป็นชนิดที่มีความเสี่ยงสูงจะมีประมาณ 13-15 สายพันธุ์ โดยการติดเชื้อ HPV ชนิดความเสี่ยงสูงแบบเรื้อรัง จะทำให้กลายเป็นเซลล์ระยะก่อนเป็นมะเร็ง ทั้งนี้ ในผู้หญิงพบว่ามีการติดเชื้อ HPV จนเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกในอัตรา 9.9 คนต่อแสนประชากร ช่องคลอดอัตรา 0.5 คนต่อแสนประชากร และทวารหนัก 2.5 คนต่อแสนประชากร ขณะที่ผู้ชายพบเชื้อ HPV จนเกิดเป็นมะเร็งปากทวารหนักในอัตรา 1.6 คนต่อแสนประชากร และในองคชาติอัตรา 1 คนต่อแสนประชากร แม้อัตราส่วนมะเร็งปากทวารหนักจากเชื้อ HPV ในผู้หญิงจะพบมากกว่าผู้ชาย แต่เมื่อดูในรายละเอียดแล้วจะพบว่าผู้ชายที่เป็นมะเร็งปากทวารหนัก ร้อยละ 70-90 เป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย

“จากสถิติของกรมควบคุมโรค ประมาณการว่าชายไทยอายุ 15-49 ปี เป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายขั้นต่ำประมาณ 3% แต่ถ้าใน กทม.ตัวเลขประมาณการอาจจะสูงกว่านี้ อาจจะอยู่ที่ 2 แสนกว่าราย ที่สำคัญพบว่าชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายพบการติดเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่ผู้หญิงติดเชื้อ HIV จากสามีลดลง นอกจากนี้ ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและติดเชื้อ HIV นั้นพบว่า จะมีการติดเชื้อ HPV ทุกชนิดร่วมด้วยถึง 85% เป็นเชื้อ HPV ชนิดที่มีความเสี่ยงสูง 58% หากเป็นระยะก่อนเป็นมะเร็งขั้นต่ำสามารถหายเองได้ แต่หากเป็นขั้นสูงจะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งปากทวารหนักในที่สุด” พญ.นิตยา กล่าว

พญ.นิตยา กล่าวอีกว่า เชื้อ HPV สามารถติดต่อกันได้ทางสัมผัส ที่สำคัญผู้ชายเป็นพาหะของเชื้อ HPV ทำให้เวลามีเพศสัมพันธ์มีโอกาสติดต่อได้ หากไม่มีการป้องกันที่ดี โดยเฉพาะบริเวณปากมดลูกและปากทวารหนัก เพราะเป็นโซนที่เซลล์มีการเปลี่ยนชนิดจากเยื่อบุเป็นผิวด้านนอก จึงเป็นแหล่งที่เชื้อชอบเข้าไปสะสม ทั้งนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ขอให้ทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากทวารหนัก (Anal Pap Smear) ซึ่งเป็นวิธีเก็บเซลล์มาตรวจหาความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของรอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง หากพบว่าผิดปกติจะมีการตรวจต่อว่า มีความผิดปกติในช่วงใดจากนั้นจะทำการรักษาที่บริเวณนั้นก่อนลุกลามกลายเป็นมะเร็ง เพราะโอกาสการเป็นมะเร็งภายใน 1 ปี หากเป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายจะมีโอกาส 1 ใน 600 คน หากไม่ใช่กลุ่มดังกล่าวจะมีโอกาสเพียง 1 ใน 4,000 คน เท่านั้น ซึ่งการรักษาสามารถทำได้ด้วยการใช้เครื่องจี้อิฟราเรด หรือการแต้มกรด TCA ฯลฯ

“ที่น่าห่วงคือการเกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอจากเชื้อ HPV ซึ่งเกิดการจากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (ออรัลเซ็กซ์) ซึ่งในเร็วๆ นี้ จะพยายามเร่งผลักดันให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งในช่องปากและลำคอจากเชื้อ HPV ด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับหญิง หรือกับผู้ชายด้วยกันเอง ขอให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ด้วยการใส่ถุงยางอนามัย แม้แต่การทำออรัลเซ็กซ์ก็เช่นกัน ควรใส่ถุงยางอนามัยเพื่อความปอลดภัยด้วย” พญ.นิตยา กล่าว

รศ.นพ.มงคล เบญจาภิบาล ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การฉีดวัคซีน HPV ในผู้ชายสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากทวารหนักสูงถึงร้อยละ 78 อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนเป็นเพียงการป้องกันและลดโอกาสการติดเชื้อใหม่ ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาหรือช่วยลดเชื้อเดิมที่มีอยู่ ที่สำคัญเป็นวัคซีน HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ดังนั้น การตรวจคัดกรองยังเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน เพราะยังมีโอกาสติดเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นได้เช่นกัน

http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000040418

ข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพ

วันนี้เรานำความรู้มาบอกถึงข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพของคุณมาบอกค่ะ เพราะปัจจุบันนิยมดื่มกาแฟกันอย่างแพร่หลาย   วันนี้เราได้นำข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพมาให้ทุกๆ ได้อ่านกันค่ะ

กาแฟร้อน
กาแฟร้อน

เริ่มจากผลดีกันก่อนเลยค่ะ
ผลที่มีต่อถุงน้ำดี จากการที่ทำการวิจัยโดยอาสาสมัครชาย 45,000คน ดื่มกาแฟวันละสองแก้วต่อวัน จะสามารถลดการเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ถึง 40% และถ้าดื่มวันละ สี่แก้วสามารถลดได้ถึง 45% เลยทีเดียว โดยกาแฟที่ดื่มเข้าไปนั้นจะเข้าไปป้องกันการตกตะกอนของคลอเรสเตอรอล ลดการดูดซึมของเหลวเพิ่ม การไหลของน้ำดีที่กรวยไต ซึ่งทั้งหมดเป็นสาเหตุของการยับยั้งการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

ลดการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดิื่มกาแฟวันละสี่แก้ว จะสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 24% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลย เพราะกาแฟจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ผลิตสารที่มีผลยับยั้งการก่อตัวของเนื้อเยื่อที่กลายพันธุ์จากเซลล์ธรรมดากลายไปเป็นเซลล์มะเร็์ง และในกาแฟยังสามารถยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ในลำไส้อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งอีกด้วย

บรรเทาอาการปวดศีรษะ สารคาเฟอีนมีส่วนสำคัญที่สามรถบรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ แต่สารคาเฟอีนในกาแฟเพียงอย่างเดียวไม่สามารถที่จะยับยั้งอาการปวดหัวได้ แต่ถ้าคุณรับประทานพร้อมกับยาแก้ปวด ก็จะมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็วขึ้น

มาพูดถึงข้อสียกันบ้างนะค่ะ
เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายต้องใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมงในการสลายคาเฟอีนถ้าร่างกายไดรับคาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000-10,000 มิลลิกรัมจะทำให้ตายในระยะเวลาอันสั้นได้

ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2-2 1/2 ถ้วย จะกระตุ้นประสาทให้ตื่น ลดความเหนื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด3-7 ถ้วย ทำให้มือสั่น กระวนกระวาย โกรธง่ายและปวดศีรษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือด คือทำให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้น
เป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มหรือลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายแก่ผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้ กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ
คาเฟอีนยังมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีไขมันในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะจึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตไม่ทำงาน

จะเห็นได้ว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีและผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้ามก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

http://i-lovecoffee.blogspot.com/2009/03/blog-post_9017.html

เคล็ดลับ..เรียนเก่ง

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคน หัวไม่ดี แต่เรียนเก่ง? ตัวเราเองก็พอฟัดพอเหวี่ยงกะเพื่อนคนนี้ แต่เขามักจะได้คะแนนสอบ หรือเกรดดีกว่าเราเสมอๆ มันมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในกอไผ่? วันนี้นายติวฟรีจะมาแฉให้หมดเปลือกเลยว่า ความลับนั้นคืออะไร ด้วยเทคนิคสั้นๆ 7 ข้อนี้ เกิดมาหัวไม่ดีก็สามารถเรียนเก่งได้ หากเราปฎิบัติตามเคล็ดลับสั้นๆ 7 วิธีนี้ เรียนเก่งได้ไม่ยาก เกรดดีๆอยู่แค่เอื้อมแล้ว

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. นอนให้เพียงพอ
เป็นการเริ่มต้นข้อแรกสำหรับวิธีเรียนเก่งที่เรานำมาแนะนำกันวันนี้ เราต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง/วัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้ว่าหากเราต้องตื่นตอนเช้าต้องเข้าโมงไม่เกินกี่โมง แต่ทั่วๆ ไปโดยเฉลี่ยแล้วจะไม่เกิน 5 ทุ่ม เพราะหากเราพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองไม่โลดแล่นและหากเราเข้านอนและตื่นตรงเวลาทุกวันจะทำให้เกิดความเคยชินและไม่อ่อนเพลีย สมองสามารถทำงานได้เต็มที่ ส่วนอีกอย่างก็สำคัญมาก ๆ ก็คือ ต้องทานอาหารเช้าทุกวัน เพื่อร่างกายจะได้มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน

2. การปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในห้องเรียน
แนะนำว่าใหเลือกที่นั่งด้านหน้าและใกล้คุณครูให้มากที่สุดเป็นดีเพราะหากเรานั่งด้านหลังอาจจะโดนเพื่อน ๆชวนคุย รบกวนสมาธิได้ หรือ หาก นั่งข้างหน้าต่าง หรือ ข้างประตู อาจทำให้เราสนใจสิ่งต่าง ๆด้านนอกมากกว่าบทเรียนในห้องเรียน และหากมีข้อสงสัย “อย่าอาย” ที่จะถามอาจารย์ เพื่อที่จะได้คำตอบในสิ่งที่เราไม่รู้ได้อย่างถูกต้อง

3. ตาดู หูฟัง มือเขียน
กล่าวคืออันดับแรกเราต้องมีสมาธิในการฟังเสียก่อน หลังจากนั้นก็ทำความเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด เสร็จแล้วก็จดสิ่งที่เราเข้าใจลงไปในสมุด กันลืม แต่ไม่ควรฟังไปเขียนไป เพราะเราจะไม่มีเวลาทำความเข้าใจ และไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เราจดมานั้นหมายความว่าอย่างไรวิธีเรียนเก่งวิธีนี้ ได้ผลแน่นอน รับรอง

4. การเตรียมตัวสำหรับชั่วโมงต่อไป
เป็นวิธีเรียนเก่งที่ได้มาจากเจ้าของเกียตนิยมอันดับหนึ่งมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ อันดับแรก ในจดโน้ตหัวข้อที่เรายังไม่เข้าใจในคาบนี้เก็บไว้ถามอาจารย์ในคาบหน้า เสร็จแล้วเขียนเป็นหัวข้อใหญ่ ๆ ว่าวันนี้เรียนอะไรไปบ้างเผื่อที่จะสามารถกลับไปทบทวนบทเรียนที่เรียนมาในวันนี้ที่บ้านได้ และต้องตัดความไม่สบายใจ หรือ เรื่องที่ค้างคาใจในชั่วโมงก่อนหน้านี้ให้หมด

5.จุดประสงค์ของหลักสูตร
ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าหลักสูตรในชั่วเรียนนั้น ๆ มีจุดประสงค์เพื่ออะไรเราจะได้รู้ว่าเราควรเรียนอะไร เพื่อนบรรลุจุดประสงค์ของหลักสูตรนั้น ๆ

6. จับประเด็น
ควรสังเกตว่าอาจารย์เน้น หรือย้ำคำไหนเป็นพิเศษ ตรงไหนที่อาจารย์ย้ำมากกว่าหนึ่งรอบ และหัวข้อไหนที่อาจารย์บอกว่าจะออกสอบให้บันทึกไว้เพื่อจะได้กลับเป็นทบทวนเป็นพิเศษและอย่าลืมสังเกตแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้มาทำที่บ้าน เพราะนั่นก็คือแนวข้อสอบเช่นกัน

7. อย่ามีอคติกับผู้สอน
เพราะจะทำให้ เราไม่อยากเรียนวิชานั้น ๆ จะรู้สึกว่าการเรียนในชั่วโมงนั้นน่าเบื่อหน่าย ซึ่งจะทำให้มีผลต่อคะแนน และความเข้าใจของเราเอง เราควรปรับใจเพื่อทำให้การเรียนของเราออกมาสมบูรณ์ที่สุด

http://www.tewfree.com/7-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87/

สถาบันมะเร็งฯ เร่งศึกษายีนมนุษย์..ไวต่อสารก่อมะเร็ง

สถาบันมะเร็งฯ เร่งศึกษายีนมนุษย์มีความไวต่อสารก่อมะเร็งอย่างไร เชื่อบางคนมียีนกำจัดได้ ชี้เหมือนคนสูบบุหรี่ทั้งชีวิตแต่ไม่เป็นมะเร็ง ย้ำยังคงต้องระวังอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ทั้งไส้กรอกอีสาน กุนเชียง ปลาร้า หมูปิ้ง หมูกระทะ ระบุทานได้แต่อย่าเยอะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า แม้โรคพยาธิใบไม้ตับจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับและโรคมะเร็งท่อน้ำดี แต่ตัวการที่สำคัญคือ สารก่อมะเร็งที่อยู่ในอาหารหรือที่เรียกว่าสารดินประสิว (สารไนโตรซามีน) เพราะการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า เมื่อหนูมีการติดพยาธิใบไม้แล้วโอกาสการเป็นมะเร็งมีน้อย แต่หากได้รับสารก่อมะเร็งร่วมด้วยหนูจะเป็นมะเร็งทันที ดังนั้น การรับประทานอาหารนอกจากจะต้องระวังเรื่องพยาธิใบไม้ ซึ่งอยู่ในปลาน้ำจืดดิบแล้ว ยังต้องระวังอาหารที่ใส่สารดินประสิวด้วย เช่น ไส้กรอกอีสาน กุนเชียง ปลาร้า เป็นต้น

“หากจะรับประทานปลาร้าต้องทำให้สุกก่อน เพราะพยาธิสามารถอยู่ในตัวปลาร้าได้นานถึง 6 เดือน แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนแล้วกลับสามารถอยู่ได้นานเป็นปี บางคนอาจคิดว่ารับประทานเข้าไปครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่ปลาบางตัวมีไข่พยาธิเป็นหมื่นๆ ฟอง เมื่อมันเข้าไปก็จะสร้างลูกหลานออกมา ผ่านไป 30-40 ปี ตัวมันก็ใหญ่และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ เพราะแม้จะรับประทานน้อยก็ยังถือว่ามีความเสี่ยง” ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว

นพ.ธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับสารก่อมะเร็งมีโอกาสก่อให้เกิดเป็นมะเร็งได้มากน้อยเพียงใด ต้องดูที่ปริมาณและความถี่ในการทาน คือต้องทานบ่อยและปริมาณมาก แต่ไม่ใช่ทานทีเดียวแล้วจะเป็น เพราะร่างกายจะสามารถขับสารก่อมะเร็งออกมาได้ แต่ถ้าทานบ่อยๆ ก็จะเข้าไปสะสมเรื่อยๆ โดยเฉพาะทุกวันนี้ในชีวิตประจำวันเรามีสารก่อมะเร็งเยอะ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าจำเป็นก็อย่าทานบ่อย เหมือนบุหรี่ที่สูบเข้าไปครั้งเดียวไม่เป็นไร แต่ถ้าสูบเข้าไปนานๆ ก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็ง

“อย่างหมูปิ้ง หมูกระทะ ก็จะมีสารก่อมะเร็งจากการที่ไขมันหรือโปรตีนของเนื้อถูกเผาไหม้ หรือที่เรียกว่าสารเฮเทอโรไซคลิก ดังนั้น ข่าวที่ว่ามีถ่านชนิดใหม่ปลอดมะเร็ง เพราะไม่มีควันแสดงว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะสารก่อมะเร็งเกิดจากความร้อน นอกจากการปิ้งย่างแล้ว การรมควันก็ถือว่าไม่ดี เพราะมีสารก่อมะเร็งอยู่เช่นกัน หากจะรับประทานอาหารที่ปรุงจากการรมควันก็ไม่ควรทานบ่อยหรือเยอะ อย่างต่างประเทศตอนนี้ก็มีการรณรงค์อยู่” นพ.ธีรวุฒิ กล่าว

นพ.ธีรวุฒิ กล่าวด้วยว่า โรคมะเร็งนั้นไม่ได้มีแต่ปัจจัยเฉพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับยีนส์ของแต่ละคนด้วย เพราะทุกวันนี้เราไม่รู้ว่ายีนส์ของแต่ละคนมีความไวต่อสารก่อมะเร็งเป็นอย่างไร บางคนอาจมียีนที่กำจัดสารก่อมะเร็งได้ เหมือนคนที่สูบบุหรี่จนแก่ทำไมถึงไม่เป็นมะเร็ง แต่คนที่สูบไม่นานกลับเป็นมะเร็ง ซึ่งตอนนี้สถาบันมะเร็งแห่งชาติกำลังมีการศึกษาในเรื่องนี้อยู่ร่วมกับญี่ปุ่น สถาบนวิจัยจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา

“ในอนาคตเราอาจรู้ได้ว่าคนไหนมียีนที่มีความไวต่อมะเร็ง เพราะทุกวันนี้ทุกคนได้รับสารก่อมะเร็งกันหมด แต่บางคนอาจมียีนที่สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งได้ ลักษณะเหมือนกับการแพ้ยา ทำไมบางคนแพ้ บางคนไม่แพ้ ซึ่งตอนนี้ก็มีการศึกษาอยู่ เพื่อนำมาใช้เช็กยีนส์ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ เพราะการสกรีนดังกล่าวมีราคาแพงมาก” ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000042463

“ไม่พอใจอะไรก็โพสต์” ค่านิยมใหม่

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วิจัยพบการกระหน่ำโพสต์ระบายความรู้สึกด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือแสดงความกราดเกรี้ยวผ่านทางอินเทอร์เน็ตไม่ได้ช่วยให้จิตใจดีขึ้น แต่กลับทำให้จมอยู่กับปัญหา หรือความรู้สึกแย่ๆ นานมากขึ้นแทน

เป็นค่านิยมของสังคมยุคใหม่ไปเสียแล้ว กับการพบเจอเรื่องราวใดๆ ที่ไม่พอใจ ถูกแซงคิว รถถูกปาดหน้า ฯลฯ หรือถูกทำให้โกรธ ผิดหวัง ก็มาโพสต์ระบายอารมณ์กันบนโลกออนไลน์ ซึ่งหลายคนยอมรับว่าทำไปแล้วก็ได้รับความพอใจกลับมา บางครั้งอาจมีสะใจเล็กๆ เสียด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นหนทางแก้ไขปัญหาหรือเปล่า คำตอบคือ คงไม่ใช่ และอาจไม่ใช่หนทางที่จะทำให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้ แถมเป็นไปได้ด้วยว่า มันทำให้คุณจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นนานมากขึ้น

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากงานวิจัยเผยว่า การโพสต์ข้อความรุนแรง หรือข้อความเชิงลบผ่านทางโลกออนไลน์อาจทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นในช่วงสั้นๆ แต่ในระยะยาวแล้ว มีแนวโน้มว่าผู้โพสต์จะยังยึดติดอยู่กับความโกรธ หรือความทุกข์นั้นๆ อยู่

นอกจากนั้นยังพบว่า การอ่านข้อความที่โพสต์ด้วยความรู้สึกในแง่ลบของคนอื่นๆ ในโลกออนไลน์ก็มีผลต่อจิตใจไม่แตกต่างจากการเป็นผู้โพสต์ข้อความในลักษณะนั้นๆ เช่นกัน

งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ใน the journal Cyberpsychology, Behavior, and Social Networking โดยศาสตราจารย์ไรอัน มาร์ติน ผู้เชี่ยวชาญในสาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-กรีนเบย์ หัวหน้าคณะวิจัยได้กล่าวว่า “เราพบว่าเว็บไซต์ส่วนหนึ่งกระตุ้นให้คนเข้ามาใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์ และสนับสนุนให้ใช้วิธีการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับความโกรธ โดยพวกเขามองว่าการเข้ามาระบายความโกรธนั้นเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่”

โดยผู้เชี่ยวชาญท่านนี้เผยว่ามีวิธีที่ดีต่อสุขภาพ และให้ผลในเชิงบวกสำหรับจัดการกับความโกรธอยู่มากมาย แต่การเข้ามาระบายความรู้สึกในโลกออนไลน์ มีแต่จะทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้น และไม่ได้ทำให้จิตใจของคนๆ นั้น จดจ่ออยู่กับการแก้ปัญหา แต่ไปจดจ่ออยู่กับ “ปัญหา” มากกว่าจะลงมือแก้ไข

นอกจากนั้น การโพสต์ข้อความเชิงลบในอินเทอร์เน็ตยังแสดงให้เห็นถึงภาวะอ่อนแอทางจิตใจของมนุษย์อีกด้วย

“ในโลกนี้ มีผู้คนที่รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ปัญหาการแย่งที่ทำกิน ปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ผู้คนเหล่านั้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ชอบใจต่างก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง และมองว่า การระบายความรู้สึก หรือการไปแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์จะสามารถช่วยได้ แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า การโพสต์ข้อความแย่ๆ หรือโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทผู้อื่นนั้นได้ทำร้ายคนรอบข้าง รวมถึงตัวพวกเขาด้วย เพราะเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวหากได้มาอ่านข้อความรุนแรง ก็จะเกิดความเจ็บปวดที่ได้รับรู้่ว่า คุณกำลังมีปัญหา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างปัญหาต่อไปไม่รู้จบ ขณะที่คนที่ทำให้คุณรู้สึกโกรธนั้น ไม่ได้มารับรู้อะไรด้วยเลย”

กระทั่งคนที่สร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาในโลกออนไลน์ และหวังจะใช้ตัวตนที่คิดว่า ไม่มีใครรู้จักนี้ไปทำร้ายใครก็ได้ ศาสตราจารย์ไรอัน ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า มันไม่จริงเสมอไป เพราะในโลกออนไลน์ที่คุณคิดว่าไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณนั้น สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างสามารถ “ตรวจสอบได้” อยู่ดี และหากมีการใช้ตัวตนเหล่านั้นเพื่อกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม สุดท้ายก็ต้องเป็นผู้โพสต์ที่จะต้องรับผลของกรรมนั้น

ดังนั้น ก่อนโพสต์คิดให้ดี เพราะหากโพสต์ไปแล้ว คุณจะหนีจากมันไปไม่ได้จนวันตาย

เรียบเรียงจากเดลิเมล

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000036458

พอกหน้าให้ผิวขาว

สารพัดสูตรพอกหน้า สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
วิธีทําให้ผิวขาว
สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม

น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ
กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

http://women.kapook.com/view742.html

เคล็ดลับการดูแล“จุดซ่อนเร้น”

การดูแลทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น  คุณสาวๆ อย่ามองข้ามกันเลยทีเดียว เพราะถ้าล้างไม่สะอาด ดูแลไม่ถูกวิธี โรคไม่พึงประสงค์จะถามหาเอาได้นะค่ะ  จึงมีเคล็ดลับในการดูแล ทำความสะอาดมาฝากกัน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ทำความสะอาดทุกวัน เช้าและเย็นด้วยน้ำและสบู่  แล้วซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวที่สะอาด และอ่อนนุ่ม ไม่ควรเช็ดถูแรงๆ เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้ละเอียดอ่อนมาก

บริเวณซอกหลืบ และรอยพับของแคมนอก ถ้ามีคราบไคลหมักหมม ก็ให้ล้างด้วยน้ำอุ่นๆ หรือจะใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นเช็ด หากจะใช้น้ำยาอนามัยควรเลือกที่มีความเป็นกรดด่างใกล้เคียงกับผิวหนัง คือประมาณ 5.5

ไม่สวนล้างช่องคลอด ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและสารเคมีในน้ำยาจะไปทำลายแบคทีเรีย “แลคโตแบซิลลัส”  ซึ่งช่วยปรับสภาพในช่องคลอดให้เป็นกรดอ่อนๆ ทำให้เชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายไม่สามารถเจริญเติบโตได้  และช่องคลอดจะมีการทำความสะอาดภายในตัวเองอยู่แล้ว โดยขับออกมาเป็นตกขาว ซึ่งมีน้อยมากต่างกันไป

ขนอ่อนๆ ภายนอกนั้น ธรรมชาติมีไว้เพื่อความสวยงามและป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกมา จึงไม่ควรถอนโกน หรือย้อมสี เพียงแค่เล็มตัดแต่งก็พอแล้ว

ช่วงเวลาที่มีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดควรเลือกที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐาน  และไม่ควรเก็บผ้าอนามัยในที่อับชื้น เพราะจะทำให้เป็นเชื้อราได้ง่าย และการใช้ผ้าอนามัยแผ่นเล็กๆ  ทุกวัน จะทำให้อับชื้นและติดเชื้อได้

กางเกงในควรมีเนื้อผ้าบางเบา เพื่อช่วยลดความอับชื้นของอวัยวะเพศ ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป และซักตากให้แห้งก่อนนำมาใช้ เพราะจะช่วยฆ่าเชื้อรา และไม่ควรใช้กางเกงในร่วมกับคนอื่น

ทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ควรใช้น้ำล้างให้สะอาดแล้วใช้กระดาษชำระซับให้แห้ง โดยเช็ดจากอวัยวะเพศไปทวารหนัก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักติดต่อมายังช่องคลอด

ควรรู้จักสังเกตความผิดปกติต่างๆ บริเวณอวัยวะเพศ เช่น คันในช่องคลอด ตกขาวมากจนผิดสังเกต อวัยวะเพศมีกลิ่นเหม็นมาก ตกขาวมีสีผิดไปจากเดิม หรือเวลาปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บเหมือนปัสสาวะไม่สุด ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

เรื่องโดย : จารุทรรศน์ สิทธิสมบูรณ์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก talkaboutsex.thaihealth.co.th

http://sex.sanook.com/sex/womenhealthclub/44271.php

วิธีลดต้นขา

วิธีลดต้นขาง่ายๆ ได้ในไม่กี่ขั้นตอน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

สาวๆ ส่วนมาก มักจะกังวลกับช่วงล่างมากๆ เลยนะค่ะ นั่นก็ คือ ขาของเรานั่นเอง ผู้หญิงทุกคนถ้าเป็นไปได้อยากจะมีรูปร่างที่สวยงาม ขาเรียวสวยกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะค่ะ

วันนี้มีวิธีง่ายๆ ในการลดต้นขาให้ดูเรียวสวยมาฝากทุกคนค่ะ เรามาดูกันเลยค่ะว่าจะมีวิธีการลดตั้นขาของเรายังไงบ้าง

1.  เริ่มจากให้สาวๆ นอนราบลงกับพื้นค่ะ
2. ให้ไขว้ข้อเท้าทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
3. งอเขาทั้งสองเข้ามาให้ชิดกับลำตัวให้มากที่สุดเลยค่ะ โดยที่ข้อเข่าทั้งสองยังไขว้กันอยู่นะค่ะ
4. ค่อยๆ ยืดขาออก แล้วคลายเข่าและข้อเท้าทั้งสองข้างออกจากกันช้าๆ กลับสู่ท่าเริ่มต้นอีกครั้งค่ะ

เสร็จแล้วค่ะ เห็นไหมค่ะ 4 ขั้นตอนง่ายๆ เองค่ะ แต่สาวๆ ต้องฝึกฝนเป็นประจำนะค่ะอย่างน้อย 24 – 30 ครั้ง/วันค่ะ เพื่อที่จะทำให้ต้นขาของเราดูเรียวสวยงามอย่างที่ผู้หญิงอย่างเราๆ จะได้นุ่งกางเกงขาสั้น อวดเรียวขาสวยๆ ได้อย่างมั่นใจค่ะ

http://www.pink.in.th/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99/2/

น้ำผลไม้ช่วยคลายร้อน

ในช่วงนี้อากาศเมืองไทยร้อนมากๆ ร้อนสุดๆ ขนาดนี้ เรามาหาอะไรคลายร้อนกันดีกว่า แล้วอะไรที่ว่านั้นก็คือ น้ำผลไม้เย็นๆ  นั่นเองค่ะ   อีกทั้งสรรพคุณของน้ำผลไม้ดังต่อไปนี้ยังดีต่อผิวพรรณ  และสุขภาพอีกด้วย

น้ำส้มคั้น

น้ำส้มคั้น
น้ำส้มคั้น

– การดื่มน้ำส้มจะช่วยทำให้คุณอารมณ์ดี สดใส อีกทั้งเมื่อรับประทานส้มทุกๆ วันจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น ช่วยให้ผิวพรรณของคุณผุดผ่อง เพราะส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง เพราะ ในส้มมีไบโอเฟลโวนอยด์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำแตงโม
น้ำแตงโม

น้ำแตงโม

– น้ำแตงโมมีฤทธิ์เย็น อีกทั้งร่างกายสามารถดูดซึมน้ำแตงโมได้เร็วมาก จึงช่วยให้ร่างกายของคุณรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว อีกทั้งแตงโมยังเต็มไปด้วยวิตามินต่างๆ คือ วิตามินซี และวิตามินบีรวม ทำให้เมื่อรับประทานน้ำแตงโมบ่อยๆ จะสามารถช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก ช่วยให้ผิวพรรณดี อีกทั้งยังช่วยล้างพิษอีกด้วย

น้ำกระเจี๊ยบน้ำกระเจี๊ยบ

– น้ำกระเจี๊ยบเมื่อรับประทานแล้วจะช่วยให้รู้สึกกระปรี่กระเปร่า สดชื่นสดใส เพราะ รสชาติน้ำกระเจี๊ยบจะออกเปรี้ยวๆ หวานๆ นอกจากการช่วยคลายร้อนแล้ว น้ำกระเจี๊ยบยังสามารถช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยบรรเทาอาการไอและอาการเจ็บคอ

น้ำสับปะรด

น้ำสับปะรด
น้ำสับปะรด

– น้ำสับปะรดนอกจากจะช่วยในการคลายร้อนแล้ว ยังมีประโยชน์ทางด้านสุขภาพ คือ ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม ไม่หลุดร่วง และเล็บแข็งแรง ไม่เปราะหัก หรือฉีกขาดง่าย

รู้แบบนี้แล้วลองหาน้ำผลไม้ที่คุณชอบดื่มคลายร้อนกันนะค่ะ

http://instapuper.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/

ทำสีผมให้สวยติดทนนาน

การเปลี่ยนสีผมทำให้คุณมีภาระเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง คือการย้อมผมซ้ำเป็นระยะ เพื่อรักษาสีผมให้สวยอยู่เสมอ ไม่ซีดจาง ไม่กระดำกระด่างเป็นหย่อม ๆ แต่อย่างไรก็ดี การทำสีผมซ้ำบ่อย ๆ ก็จะทำให้ผมของคุณแห้งเสียได้ง่าย หากเป็นไปได้จึงควรเว้นระยะห่างระหว่างการทำสีผมแต่ละครั้งออกไปให้นานที่สุดค่ะ แต่ในระหว่างนั้นสีผมเองก็ยังต้องสวยสดอยู่ทนด้วยเช่นกัน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ขอนำวิธีการดูแลผมที่ทำสีเพื่อให้สีผมอยู่ติดทนได้นาน ยืดเวลาการทำสีผมครั้งต่อไปให้นานกว่าเดิม ทั้งยังเป็นการประหยัดค่าน้ำยาทำสีผมด้วยคะ

1. สวมหมวก-กางร่ม เลี่ยงไม่ให้ผมถูกแดด

ลองสังเกตเสื้อผ้าที่ตากแดดจัดนาน ๆ ดูสิคะ สีมันจะซีดจางลงได้ไว เช่นเดียวกับเส้นผมที่ต้องปะทะกับแสงแดดบ่อย ๆ อันจะทำให้สีผมซีดลงได้ไวเช่นกัน คุณจึงควรมีตัวช่วยสำคัญอย่างหมวก และร่ม ที่จะช่วยป้องกันเรือนผมจากแสงแดดและรังสียูวีได้เป็นอย่างดี

2. ไม่สระผมทันทีในวันที่เพิ่งทำสีผมมาใหม่ ๆ

เพื่อให้แน่ใจว่าสีผมที่ได้ทำนั้น ติดทนซึมเข้าไปในเส้นผมของคุณอย่างแน่นอน ให้ล้างผมด้วยน้ำสะอาดหรือหมักผมทิ้งไว้เช่นนั้น 1 คืน และมาสระผมในตอนเช้า แทนการสระผมทันทีหลังทำสีผมเสร็จ

3. สระผมด้วยน้ำเย็น

การสระผมด้วยน้ำเย็นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมทำสี มันจะช่วยให้สีผมที่ทำมาสวยทนได้ยาวนาน ใครติดอาบน้ำอุ่นคงต้องก็ลองปรับตัวเองให้อาบน้ำและสระผมที่อุณหภูมิปกติกันดูนะคะ

http://women.kapook.com/view59600.html