ศธ. ยกเลิกนโยบายซื้อหนังสือเรียนฟรี หลังหมดงบซื้อซ้ำกว่า 5,000 ล้าน

กระทรวงศึกษาธิการ ยกเลิกนโยบายซื้อหนังสือเรียนฟรีรายบุคคล เปลี่ยนเป็นให้ยืมเรียนแทน หลังเสียงบประมาณซ้ำปีละ 5,000 ล้านบาท เริ่มใช้ปีการศึกษา 2560

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560  นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตอนนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินปรับรูปแบบการซื้อหนังสือเรียนฟรีใหม่ จากที่ซื้อให้นักเรียนเป็นรายบุคคล ต้องเสียงบประมาณซื้อซ้ำปีละ 5,000 ล้านบาท   เป็นการซื้อเข้าสถานศึกษาและให้นักเรียนยืมเรียน    ยกเว้นแบบฝึกหัดที่ต้องซื้อแจกรายบุคคล

สำหรับนโยบายดังกล่าว จะเริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2560   และจะใช้ในวิชาเรียนที่ไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาบ่อย ๆ

4 วิธีดูแลรอบดวงตาให้สดใส…ปิ้ง….

ดูแลรอบดวงตาแบบง่ายๆ  เพื่อให้ดวงตาของคุณกลับมาสื่ออารมณ์ พร้อมความสดใสได้อีกครั้ง

  1.  เติมความชุ่มชื่นให้ร่างกาย
    ปรับสมดุลขั้นสุดนอกจากการดื่มน้ำตามปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้นแล้ว น้ำยังช่วยทำให้ผิวมีน้ำ หล่อเลี้ยงด้วย คราวนี้ผิวรอบดวงตาก็จะชุ่มชื่นดูไม่เหี่ยว แถมยังกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย

2 . ลดเกลือได้ ถุงใต้ตาหายแน่นอน
อาหารที่แช่แข็ง  และรสเค็มถือเป็นหนึ่งสิ่งอันตรายต่อผิวรอบดวงตาของสาวๆ นั่นก็เพราะโซเดียมที่มากับเกลือที่สาวๆ รับประทานกับเกือบทุกวันจะเข้าไปดึงน้ำออกจากร่างกายของเรา ทำให้น้ำเข้าไปคั่งอยู่ในชั้นใต้ผิวหนังก่อให้เกิดอาการถุงใต้ตาบวมนั่นเอง

3.  พักผ่อนให้มากๆ บอกลาความดำคล้ำใต้ตา
เชื่อว่าสาวๆ ทุกคนคงไม่อยากที่จะมีถุงใต้ตาที่คล้ำ จนคนอื่นทักว่าไปอดหลับอดนอนมาจากที่ไหน หรือกลายร่างจากคนเป็นหมีแพนด้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ทางที่ดีคือ สาวๆ ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 5 – 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ผิวพรรณได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตามธรรมชาติ

4.  อายครีมที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ห้ามไม่ได้จริงๆ กับยุคสมัยนี้ ที่อะไรๆ ก็ดูเร่งรีบไปซะหมดจนทำให้ใครหลายคนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง รวมทั้งผิว  รอบดวงตา ถ้าชีวิตจะต้องเป็นแบบนี้ต่อไป เห็นทีต้องใช้ตัวช่วยเสริม อย่างอายครีมดีๆ ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวรอบดวงตาอันแสนบอบบาง แล้วยิ่งถ้าช่วยลดพวก ริ้วรอย ความบวม แถมช่วยให้ตาดูกระจ่างใสด้วย ก็ถือว่าเป็นอายครีมที่เลิศสุดๆ ไปเลย อย่าลืมนะคะ ว่าลงทุนกับเมคอัพตาเยอะแค่ไหน ก็ควรจะลงทุนกับการบำรุงผิวรอบดวงตามากเท่านั้นเช่นกัน แล้วคุณจะเซอร์ไพรส์ว่าถ้าดวงตาคุณดูดี เทรนด์หน้าสดจะกลายเป็นเทรนด์สุดโปรดของคุณแน่นอน

ช่างง่ายและใช้เวลาน้อยเหลือเกิน แบบนี้สาวๆ คงจะไม่มีข้ออ้างให้กับตาที่ดูโทรมและอ่อนล้าอีกต่อไปนะคะ

—————————ขอบคุณข้อมูลจาก http://women.sanook.com/56841/

พบฟอร์มาลีนในปลาหมึกกรอบ ที่ตลาดวโรรส – พ่อค้าแม่ค้ามีสารเคมีปนเปื้อนในเลือด

วันที่ 24   มกราคม 2560    รายการวันใหม่  Thai PBS  รายงานว่าทางเทศบาลนครเชียงใหม่รณรงค์ตลาดสะอาด อาหารปลอดภัย รับวันตรุษจีน เพื่อให้ผู้ค้าตระหนักถึงความปลอดภัยของอาหาร    โดยลงพื้นที่ตลาดวโรรส  อ.เมือง จ.เชียงใหม่  สุ่มตรวจหาสารปนเปื้อนในอาหารจำนวน 174 ตัวอย่าง  ผ่านเกณฑ์ตรวจ 170  ตัวอย่าง  และไม่ผ่านเกณฑ์ 4 ตัวอย่าง  โดยกลุ่มอาหารที่พบสารเคมีปนเปื้อนเป็นกลุ่มอาหารทะเล พบฟอร์มาลีนปนเปื้อนในปลาหมึกกรอบ  จึงให้เก็บสินค้าออกจากแผง และจะมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง  หากร้านใดฝ่าฝืน และพบว่าอาหารที่วางขายไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมาย

ขณะเดียวกันได้มีการเจาะเลือดพ่อค้าแม่ค้า  เพื่อตรวจหาสารเคมีตกค้างในร่างกาย   พบว่า พ่อค้าแม่ค้ากว่า  80%   มีสารเคมีปนเปื้อนในเลือด   แต่อยู่ในระดับปลอดภัย,   10% พบสารเคมีปนเปื้อนในระดับอันตราย   และอีก 10% ไม่พบสารเคมีปนเปื้อนในเลือด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com/view/148231

คลิปแนะนำตัว น้ำตาล ชลิตา เล่าชีวิตลูกแม่บ้าน สู่สาวงามระดับโลก

กองประกวด มิสยูนิเวิร์ส 2016 เผยคลิปของ น้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์ เล่าเรื่องราวชีวิตที่ต้องสู้ตั้งแต่วัยเยาว์ สู่การเข้ามาเป็นหนึ่งในนางงามบนเวทีประกวดระดับโลก ไม่หวือหวา แต่น่าประทับใจมาก

ใครที่คอยเชียร์ น้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์ สาวงามจากไทยที่เป็นตัวแทนไปประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2016 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ คงไม่ต้องรอคอยกันอีกต่อไป เมื่อล่าสุด (19 มกราคม 2560) ทางกองประกวดมิสยูนิเวิร์ส ได้ปล่อยคลิปแนะนำตัวของน้ำตาล ที่แม้จะเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ถือว่าสร้างเสียงฮือฮาและน่าประทับใจเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ น้ำตาล ได้เผยถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอเลือกเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ สาขาจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่า ตอนเด็ก ๆ นั้น คุณแม่ของเธอเป็นแม่บ้าน และทำให้เธอได้ติดตามคุณแม่ไปช่วยทำงานบ้าน และทำให้เธออยากรู้ว่าฝุ่นมาจากไหน และจะทำอย่างไรถึงจะช่วยขจัดฝุ่นได้ ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะไปทำงานที่ไหน แม่ก็จะพาน้ำตาลไปด้วย และบางครั้งน้ำตาลก็ต้องไปแทนคุณแม่บ้าง เพราะคุณแม่ทำหลายอาชีพ

นอกจากนี้  น้ำตาลยังบอกว่า มีบางครั้งที่เธอเองก็คิดว่า ทำไมชีวิตของเธอจึงไม่เหมือนคนอื่น ต้องทำงานตั้งแต่เด็ก แต่เธอเองก็คิดว่านี่คือผลดี เพราะทำให้เธอมีประสบการณ์ และรู้คุณค่าของเงิน

“ถ้าหนูได้อยู่ในจุดที่สามารถช่วยเหลือคนได้ หนูก็อยากช่วยเหลือคนจนค่ะ เพราะหนูมีความรู้สึกว่า หนูได้สัมผัสว่า คนไม่มีจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร”

 สำหรับคนที่อยากโหวตนั้น สามารถโหวตให้น้ำตาลได้ ดังนี้

1. ดาวน์โหลดแอพฯ Vodi แล้วคลิกที่ปุ่ม โหวต

2. เข้าไปที่เว็บไซต์ missuniverse.com ซึ่งจะเปิดให้โหวตในวันที่ 23 มกราคม 2560

3. โหวตผ่านแอพพลิเคชั่น MissU

4. ทวีตข้อความ #Missuniverse โดยจะมีแฮชแท็กประจำตัวของนางงามแต่ละคนออกมาทีหลัง ซึ่งสามารถรีทวีตได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view164678.html

พยากรณ์อากาศ 7 วันข้างหน้า

ประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศ
วันที่ 11 มกราคม 2560  สภาพอากาศ 7 วันข้างหน้า
เผื่อเพื่อน ๆ จะได้เตรียมตัวกันนะจ้า ตามนี้เลย

คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 11-13 ม.ค. 60 ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนเกิดขึ้นในระยะนี้ สำหรับภาคใต้จะมีฝนน้อย ส่วนในช่วงวันที่ 14-17 ม.ค. 60 ประเทศไทยตอนบน จะมีอากาศเย็นลง โดยอุณหภูมิจะลดลง 3-6 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 16-17 ม.ค. 60 ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง และคลื่นลมมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร

ร้อนก็กางจ้อง (Umbrella)
ร้อนก็กางจ้อง (Umbrella)

ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ ในช่วงวันที่ 16-17 ม.ค. 60 ประชาชนในภาคใต้ตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และปริมาณฝนที่ตกสะสม ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.tmd.go.th/thailand.php

ฝนตกก็กางจ้อง (Umbrella)
ฝนตกก็กางจ้อง (Umbrella) ภาพจาก http://thaiabc.com/lampangnet/admin/2548/

 

เห็นฝนตกแล้วนึกถึงเพลง เล่าสู่กันฟัง ของ พี่เบิร์ด ธงชัย

“ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว
เธอลำบากอะไรไหม เธอสู้ไหวหรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง”

https://www.youtube.com/watch?v=9SM2hywQIVo

กรมอุตุฯ ระบุอากาศหนาวถึง 31 ธ.ค. เหนือ-อีสาน อุณหภูมิต่ำสุด 3-8 องศา

%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a7

กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม โดยภาคเหนือและภาคอีสาน อุณหภูมิต่ำสุด 3-8 องศาเซลเซียส

วันที่ 29 ธันวาคม 2559 กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน ฉบับที่ 2 เรื่องอากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน ฝนตกหนักถึงหนักมากภาคใต้ตอนล่าง และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย ดังนี้

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนแล้ว และจะปกคลุมจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ลักษณะเช่นนี้ ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป   อุณหภูมิจะลดลงอีก 2-4 องศาเซลเซียสกับมีลมแรง โดยบริเวณเทือกเขาในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 3-8 องศาเซลเซียส   ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงในระยะนี้

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ประกอบกับในช่วงวันที่    30 ธันวาคม 2559 – 1 มกราคม 2560 จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง และประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ปริมาณฝนที่ตกสะสม น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก และติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 มกราคม 2560 ไว้ด้วย

ประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา  2016-12-29_15393

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.tmd.go.th/list_warning.php

 

เกณฑ์ กยศ.ใหม่ เพิ่มดอกเบี้ย-เผยข้อมูลผู้กู้-ให้ที่ทำงานหักเงินเดือนจ่ายหนี้

พ.ร.บ. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาฉบับใหม่ ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้กลางปีหน้า ปรับการติดตามหนี้จากผู้กู้หลังจบการศึกษา ขยับเพดานอัตราดอกเบี้ยเป็นไม่เกิน 7.5% ให้สถานประกอบการหรือนายจ้างหักเงินจากลูกจ้างที่เป็นลูกหนี้ ส่งคืนให้กองทุนฯ

Photo of human hands holding pencil and marking numbers in documents

นายปรีชา บูชางกูร รองผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า พ.ร.บ. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือ กยศ.ฉบับใหม่ มีการปรับปรุงให้กองทุนฯ มีการบริหารจัดการที่คล่องตัวมากขึ้น มีประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ โดย หนึ่งในมาตรการที่นำมาใช้ คือ การเปิดเผยข้อมูลผู้กู้กับสถานประกอบการ โดยกองทุนจะแจ้งสถานประกอบทั้งภาครัฐ และเอกชนให้เป็นตัวกลางในการหักเงินจากลูกจ้างซึ่งเป็นลูกหนี้ กยศ.และนำเงินส่งโดยตรงกับกรมสรรพากร หากสถานประกอบการละเลยหรือไม่ปฎิบัติ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย และต้องรับผิดชอบในการชดใช้หนี้งวดที่ลูกหนี้ผิดนัดค้างชำระพร้อมเบี้ยปรับ

สำหรับการเปิดเผยข้อมูลผู้กู้ รองผู้จัดการกองทุน กยศ. ระบุว่าข้อมูลที่เปิดเผยจะเป็นไปเพื่อการติดตามหนี้เพื่อให้รู้หลักแหล่งที่ทำงาน ส่วนการที่สถานประกอบต้องหักเงินนำส่งสรรพากรนั้น ถือเป็นหน้าที่ที่ระบุไว้ในกฎหมาย แต่ไม่มีบทลงโทษต่อผู้กู้ มีเพียงบทลงโทษนายจ้างเท่านั้น

“กฎหมายใหม่กำหนดว่า ผู้กู้ทำงานที่ไหนมีหน้าที่แจ้งนายจ้างว่าเป็นหนี้ กยศ.และยินยอมให้หักเงินเดือนนำส่งสรรพากรเพื่อชำระหนี้กับกองทุน หลักการใหม่จะเป็นอย่างนี้”   นายปรีชา กล่าว

ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นในกฎหมายระบุไว้ไม่เกินร้อยละ 7.5 ซึ่งอัตรานี้ มีการเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยเดิมที่อยู่ร้อยละ 1 ซึ่งการเพิ่มอัตรดอกเบี้ย ก็เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้กู้ไม่ผิดค้างชำระ ซึ่งตัวเลขนี้ จะมีการกำหนดก่อนมีการทำสัญญาระหว่างกู้ในแต่ละปี โดยจะยึดตามสภาวการณ์ หรือการพิจารณาร่วมกันของบอร์ดกรรมกองทุนฯ )

ด้านโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือไอลอว์ เปิดเผยว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้ผ่านความเห็นชอบประกาศใช้เป็นกฎหมายจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา เหลือเพียงขั้นตอนการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น

———–ขอบคุณข้อมูลจาก http://news.thaipbs.or.th/content/259012

พระราชประวัติ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่” ของปวงชนชาวไทย

bb1

พระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิต กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ พระขนิษฐา 2 พระองค์

วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับทราบการแจ้งมติคณะรัฐมนตรี กราบบังคมทูลอันเชิญ  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร องค์ผู้สืบสันตติวงศ์ ขึ้นทรงราชย์  “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ของประชาชนชาวไทย

สำหรับพระราชประวัติสังเขป “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”  รัชกาลใหม่ 

พระราชสมภพ

พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17 นาฬิกา 45 นาที ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต  เป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิต กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ พระขนิษฐา 2 พระองค์

การศึกษา

ระหว่างพุทธศักราช 2499-2509

– ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต และโรงเรียนจิตรลดา

มกราคม – กันยายน 2509

– ทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน คิงส์ มิด  เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกส์ ที่ประเทศอังกฤษ

กันยายน 2509-กรกฎาคม 2513

– ทรงเข้ารับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลล์ฟิลด์ เมืองสตีท แคว้นซอมเมอร์เซท ประเทศอังกฤษ

สิงหาคม 2503-พฤษภาคม 2504

– ทรงเข้าศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์สคูล นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย

มกราคม 2515 -ธันวาคม 2519

– ทรงเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร) คณะการศึกษาด้านทหาร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย

นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำชุดที่ 56 ระหว่าง พ.ศ. 2520 – 2521 และทรงได้รับปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อปี 2530ครั้งถึงปี 2533 ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักรด้วย

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ปวงชนชาวไทยต่างมีความปลาบปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามาภิไธย ตามจารึกพระสุพรรณบัฎว่า

“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒฯ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร”

ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ดังประกาศระหว่างพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณในการพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ความว่า

“ข้าพเจ้าผู้เป็นสยามมกุฎราชกุมารจะรักษาเกียรติยศและอริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานไว้ด้วยชีวิตจะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่าง โดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญสงบสุขและความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่”

ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมงกุฎราชกุมาร

เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ได้โดยเสด็จ ฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ  เมื่อทรงพระเจริญวัยได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ นานัปการ เพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยมิได้ย่อท้อ

ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เอง ทั้งด้านการพระศาสนา การศึกษา การแพทย์และสาธารณสุข การทหาร ฯลฯ ล้วนนำมาซึ่งความผาสุกสงบแก่ประชาชน นำความเจริญไพบูลย์และความมั่นคงมาสู่บ้านเมือง

digi2

ที่มาภาพ:จากหนังสือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร สโมสรไลออนส์ดุสิต กรุงเทพฯ จัดพิมพ์เฉลิมพระเกียรติ

ตร.ออกหมายเรียก”บอล-กฤษณะ”แล้ว รวมทั้งดาราที่อยู่ในมาลินสกาย

bb1 digi2

จากกรณีนายอิศราชนุวัฒภ์ วรรคาวิสันต์ หรือเจมส์ อายุ 23 ปี ลูกของพล.ต.วิทยา วรรคาวิสันต์ ผบ.มทบ.38 ถูกการ์ดของมาลินสกายกลางเมืองเชียงใหม่รุมทำร้ายร่างกายจนเจ็บสาหัส ดั้งจมูกหัก ฟันแตกและตาซ้ายมีปัญหามองไม่เห็น เหตุเกิดกลางดึกวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยเหยื่ออ้างจะเข้าห้องน้ำในผับแต่การ์ดห้ามไว้ เพราะกลุ่มดาราชื่อดังใช้อยู่จนกลายเป็นข่าวครึกโครม

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 28 พย 59 ที่ สภ.ช้างเผือกเชียงใหม่ พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย รรท.ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้ง พนักงานสอบสวน ชุดสืบสวน ทั้งของท้องที่และของจังหวัดโดยมี พ.ต.อ.อดุลย์ สมนึก ผกก.สภ.ช้างเผือกร่วมให้ข้อมูลและรายละเอียดด้วย การประชุมใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ

พ.ต.อ.สรายุทธเปิดเผยว่า คดีนี้ยังอยูในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐาน ในส่วนของที่เกิดเหตุ ตอนนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียก หรือการแจ้งข้อหาเพิ่ม ยังอยู่ในเรื่องเดิมอยู่ ทุกอย่างยังอยู่ในระหว่างของการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งในด้านของพยานบุคคลและพยานวัตถุ ที่จะดำเนินการต่อไป สำหรับเรื่องของสถานบันเทิงนั้นเป็นเรื่องของทางอำเภอทางเจ้าหน้าที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายเฉย ๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้กำชับตำรวจอย่าไปเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ให้เร่งรัดคดี พ.ต.อ.สรายุทธ กล่าวว่า เรื่องนี้ทางเราได้ดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายอยู่แล้ว เราได้เร่งรัด และวันนี้ตนก็ได้มาเร่งรัดอีกครั้งและได้มอบหมายหน้าที่กันให้ไปดำเนินการ ไม่ได้เกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ คดีนี้เราต้องสอบพยานบุคคลและพยานแวดล้อมพยานวัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของพนักงานเอง หรือว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางร้านด้วย เพื่อจะได้รวบรวมพยานหลักฐานที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.สรายุทธกล่าวว่า สำหรับเรื่องกล้องวงจรปิดของทางร้านนั้นที่แจ้งว่าเสียนำไปซ่อมได้ 2-3 เดือนนั้น ตอนนี้ตนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนต่อไป สำหรับนายกฤษณะ หรือบอล นั้น ตำรวจเรากำลังจะออกหมายเรียกเพื่อให้มาพบกับพนักงานสอบสวนในขณะนี้ในฐานะผู้เกี่ยวข้อง

สำหรับพยานที่จะออกหมายเรียกให้มาพบกับพนักงานสอบสวนนั้นก็จะเป็นพยานทั้งหมดที่อยู่ในที่เกิดเหตุทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดาราเอง กลุ่มพนักงานในร้านเอง เราคงต้องเรียกมาสอบสวนปากคำทั้งหมด ตอนนี้ได้เรียกมาพบพนักงานสอบสวนในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.น่าจะได้ความคืบหน้ามาบ้าง คือใครที่ไปที่ร้านในวันที่เกิดเหตุจะต้องถูกเรียกมาสอบปากคำทั้งหมด ตอนนี้สอบปากคำพยานไปแล้วประมาณ 16 ปาก

ส่วนสำหรับการ์ดที่ถูกระบุว่ามี 4 คนนั้น ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่คน เรากำลังอยู่ในขั้นตอนสืบสวนติดตามและรวบรวมพยานหลักฐานที่จะดำเนินการตามกฏหมาย ส่วนเรื่องคุ้มครองพยานนั้นหากมีการร้องขอมาเราก็จะดำเนินการ ส่วนประวัติของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนทางเราได้มีการตรวจสอบประวัติย้อนหลังอยู่ในขณะนี้

——————————–

ขอบคุณข้อมูลจาก khaosod.co.th

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ประโยชน์จากฟักทอง…รู้แบบนี้แล้วต้องหาทานด่วน

%e0%b8%9f%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87

ฟักทอง ถือเป็นพืชที่เป็นทั้งผักและผลไม้ มีสีเหลือง สำหรับฟักทองนั้นเราสามารถใช้เป็นผักได้เช่นเอามาแกง อย่างนี้เขาเรียกฟังทองเป็นผัก แต่ถ้าเอามานึ่งทานทำขนม อันนี้เรียกเป็นผลไม้ นอกจากนี้ ฟักทองนั้นเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงตัวหนึ่งที่เราควรทำความรู้จัก ทั้งในแง่ของสารอาหารและในแง่ของพืช สมุนไพรไทย

1.เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ในฟักทองไม่ได้มีเพียงแค่วิตามินเอแต่เพียงเท่านั้น หากยังมีวิตามินซีอยู่มากและวิตามินซีก็จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะการป้องกันหวัด ใครไม่อยากเป็นหวัดง่ายๆ แนะนำให้หมั่นกินฟักทองเป็นประจำค่ะ

2.ช่วยบำรุงสายตา
เพราะฟักทองนั้นมีวิตามินเอสูงมาก โดยฟักทองบด 1 ถ้วยจะให้วิตามินเอสูงมากถึง 200% จากปริมาณที่แนะนำใน 1 วัน และเราก็ทราบกันดีแล้วใช่มั้ยล่ะว่าวิตามินเอจะช่วยบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นแม้แต่ในที่มืดชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มันยังช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ในลูกตาได้อีกด้วย

3.ลดน้ำหนักได้ผล
อาหารลดน้ำหนักนั้นมีมากมายและฟักทองก็คือ หนึ่งในอาหารที่สาวๆ สามารถกินยามลดน้ำหนักได้ผล เพราะฟักทองมีไฟเบอร์สูงมากถึง 3 กรัมต่อ 1 ถ้วย และยังให้แคลอรี่แค่ 49 แคลอรี่เท่านั้น กินแล้วจึงรู้สึกอิ่มท้องนานและช่วยลดอาการหิวโหยระหว่างมื้อได้ดีทีเดียว

4.ดูแลสุขภาพหัวใจ
งานวิจัยได้ชี้แจงอย่างแน่ชัดแล้วว่า สารจากธรรมชาติที่ชื่อว่า ‘ไฟโตสเตอรอล’ (Phytosterols) ที่พบจากเมล็ดธัญพืชและถั่วเปลือกแข็งจะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ได้ ดังนั้น มันจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งแน่นอนว่าเมล็ดฟักทองก็คือ หนึ่งในเมล็ดธัญพืชที่คนรักสุขภาพไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง

5.ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
ในฟักทองยังพบว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งนอกจากจะช่วยด้านการบำรุงสายตาแล้ว มันยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ดีอีกด้วย โดยมีผลการวิจัยบอกไว้ว่า สารดังกล่าวจะสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็ง และกรดโปรไพโอนิคจากฟักทองก็ยังช่วยให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง ทั้งนี้ ในผู้ชายการกินฟักทองเป็นประจำจะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากโตและช่วยป้องกันการเป็นหมันได้

6.บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
อนุมูลอิสระเป็นตัวการทำลายเซลล์ให้เสื่อมสภาพและกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด เช่นเดียวกันกับเซลล์ผิว หากมันถูกทำลายไปแล้ว สภาพผิวพรรณก็ย่อมหม่นหมอง ไม่เปล่งปลั่งสดใสและยังเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย แต่หากสาวๆ หมั่นกินฟักทองซึ่งมีสารแคโรทีนอยด์ก็จะช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ลงได้ ดังนั้น มันจึงช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล

9.ป้องกันการเกิดนิ่ว
เมล็ดฟักทองเม็ดเล็กๆ ที่หลายคนอาจเคยมองข้าม ไม่เพียงจะมีแป้ง โปรตีน วิตามินและฟอสฟอรัสแต่เพียงเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีสารที่ชื่อว่า “คิวเคอร์บิติน” ซึ่งสารนี้เป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยฆ่าพยาธิตัวตืดได้ และยังทำหน้าที่ช่วยขับปัสสาวะ จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคนิ่วและโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้นั่นเอง

10.ฟื้นพลังหลังออกกำลังกาย
ใครที่ชอบออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายก็มักอ่อนเพลียเป็นธรรมดาและแน่นอนค่ะว่าเรามักจะต้องกินอาหารเสริมพลังเข้าไป หลายคนนิยมหันมากินกล้วยเติมพลัง ทว่าหากใครที่ไม่ชอบกล้วย คุณสามารถกินฟักทองนึ่งแทนได้นะคะ เพราะฟักทองนั้นมีโพแทสเซียมสูงถึง 564 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่ากล้วยที่มีแค่ 422 มิลลิกรัมเท่านั้น สารโพแทสเซียมจะเข้าบำรุงและฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังจากออกกำลังกายมาอย่างหนักได้ดี อีกทั้งยังดูแลการทำงานของกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดังเดิมได้ด้วย

ข้อควรระวังในการทาน “ฟักทอง”

เนื่องจาก “ฟักทอง” มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ “กระเพาะร้อน” คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

ใครที่อยากสุขภาพดีห่างไกลจากโรค ก็อย่าลืมหาซื้อมาประกอบอาหารกินกันบ้างนะคะ อย่างน้อยฟักทองก็ยังเป็นผักที่หาซื้อง่ายและราคาถูก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kaewsaiidea.com/