อันตราย! จัดฟันแฟชั่น

ทพ.ศิริชัย ธรรมชาติอารี
งานทันตกรรม

จัดฟัน
จัดฟัน

การดูแลสุขภาพปากและฟัน ปัจจุบันได้รับความนิยมจนกลายเป็นแฟชั่นการจัดฟัน ซึ่งมาพร้อมกับอันตรายที่หลายท่านยังไม่รู้

การจัดฟันแฟชั่น ไม่ใช่การรักษาทางทันตกรรม แต่เป็นการพยายามใส่เครื่องมือเข้าไปในช่องปากเลียน แบบการจัดฟันที่ทันตแพทย์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโดยผู้ที่ไม่ใช่ทันตแพทย์ ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพช่องปากและฟัน

การจัดฟันแฟชั่นที่พบทั่วไปมีอยู่หลายลักษณะ ตั้งแต่ใช้ลวดเส้นเล็กๆ ร้อยลูกปัดสีต่างๆ ซึ่งวัยรุ่นนิยมซื้อมาใส่เองหรือให้คนขายใส่ให้ หรือใช้เครื่องมือแบบติดแน่นโดยนำเครื่องมือที่เป็นโลหะรูปสี่เหลี่ยมที่มีร่องสำหรับใส่ลวดและคล้องยางสีสันต่างๆ ลงไป กระทั่งใช้เครื่องมือแบบถอดได้ ที่มีลักษณะคล้ายเครื่องมือคงสภาพฟันที่ทันตแพทย์ใช้ภายหลังการจัดฟัน

สำหรับอันตรายที่เกิดจากการจัดฟันแฟชั่น พบได้หลายส่วน ทั้งจากการใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดเพียงพอ เช่น ถาดพิมพ์ฟันไม่ได้ฆ่าเชื้อ ทำให้มีโอกาสที่ติดเชื้อโรคต่างๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบ วัณโรค อันตรายจากวัสดุที่ใช้จัดฟันแฟชั่น เครื่องมือจัดฟันแฟชั่นที่มีคุณภาพต่ำ มักปนเปื้อนสารเคมีรุนแรง เช่น สารปรอท สารตะกั่ว แคดเมียม หรือสารหนูที่จะไปสะสมในร่างกายมาก จนก่อให้เกิดอันตรายหรือกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ตามมาได้ และที่สำคัญคืออันตรายต่อฟันและเนื้อเยื่อในช่องปาก โดยเฉพาะลวดที่ใส่เข้าไปในช่องปาก หากปรับแต่งโดยผู้ที่ไม่มีความรู้ จะทำให้เกิดแรงกดตัวฟันมากเกินไป ฟันเคลื่อนผิดตำแหน่ง ไม่เป็นระเบียบ ทำให้มีอาการปวดฟันมาก มีฟันตายและเปลี่ยนเป็นสีคล้ำหรือมีรากฟันละลาย จนถึงขั้นต้องถอนฟันซี่นั้นออกไป

นอกจากนี้เครื่องมือจัดฟันแฟชั่น อาจทำให้เกิดการบาดที่กระพุ้งแก้ม หรือพลาสติกกดเหงือกจนกลายเป็นแผลเรื้อรัง ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเนื้อในช่องปาก อีกทั้งเครื่องมือที่ใส่ในปาก จะขัดขวางการทำความสะอาดฟัน ทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบบวมแดง มีกลิ่นปากได้ นอกจากนี้เครื่องมือจัดฟันแฟชั่นยังมีโอกาสหลุดลงคอหรือหลอดลม ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้คนมากมายทุ่มเทจัดฟันแฟชั่น เพื่อความสวยงามที่แฝงไว้ด้วยอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ความจริงแล้ว การจัดฟันเป็นการรักษาทางทันตกรรม เพื่อแก้ไขความผิดปกติการเรียงตัวของฟัน เช่น ฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง ฟันยื่น ซึ่งส่งผลต่อการบดเคี้ยวอาหาร สุขภาพของช่องปาก รวมถึงความสวยงามของใบหน้าที่ดีขึ้น ซึ่งผู้ให้การรักษาควรเป็นทันตแพทย์จัดฟันจึงจะปลอดภัย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000024434

หน้าร้อนนี้..ระวัง 4 โรคยอดฮิตถามหา

ในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ผู้คนมักเจ็บป่วยกันได้ง่าย ยิ่งปีนี้อากาศเมืองไทยทำท่าว่าจะร้อนมากเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดต่อเนื่องยาวหลายวัน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นจากการเจอแสงแดด อากาศร้อน รวมถึงการรับประทานอาหารนอกบ้าน

ร้อนจัด
ร้อนจัด

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย วันนี้มีสาระความรู้เกี่ยวกับโรคฮิตที่มักจะมากับหน้าร้อนจากโรงพยาบากรุงเทพมาฝากให้ผู้อ่านได้เตรียมรับมือกัน

โรคอาหารเป็นพิษ

เป็นโรคที่เกิดจากการรับประทานเชื้อโรคหรือสารพิษของเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารเข้าไปในร่างกาย ซึ่งมักพบได้มากในช่วงฤดูร้อน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไป โรคอาหารเป็นพิษอาจเกิดขึ้นทีละหลายๆ คน โดยการกินอาหารปนเปื้อนชนิดเดียวกัน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับอาหารปิกนิก อาหารที่ไม่ได้เก็บแช่ไว้ในตู้เย็น อาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านาน ๆ โดยไม่มีการแช่เย็น หรืออุ่นให้ร้อนอยู่เสมอ อาหารที่เตรียมขึ้นอย่างไม่สะอาด บางครั้งพบในอาหารที่ปรุงไม่สุก เด็กและคนชรามีโอกาสเสี่ยงสูง

อาการของโรคอาหารเป็นพิษมักเกิดขึ้นภายใน 2-6 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อหรือสารพิษของเชื้อ อาการที่พบ คือ มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย บางครั้งอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ถ้าถ่ายอุจจาระมากจะเกิดอาการขาดน้ำและสารเกลือแร่ในร่างกาย ร่างกายอ่อนเพลีย ทางป้องกัน คือ ควรทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่ทานอาหาร ที่เก็บไว้ค้างคืนนานๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคโดยไม่จำเป็น

โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ

เกิดจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน ส่วนใหญ่พบในสุนัข แมว ค้างคาว ติดต่อได้ทั้งการโดนกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณที่มีแผลถลอก หรือน้ำลายสัตว์ที่มีเชื้อเข้าตา ปาก หรือจมูก ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการภายใน 15-60 วัน บางรายอาจนานเป็นปี เมื่อเป็นโรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียารักษา ทำให้เสียชีวิตทุกรายภายใน 2-7 วันหลังแสดงอาการ จึงต้องรีบให้วัคซีนทันทีเมื่อได้รับเชื้อ และแจ้งให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบทันที เพื่อเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ หากถูกสัตว์กัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่ และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ และฉีดวัคซีนป้องกัน

ผิวหนังไหม้แดด หรือ Sun Burn

เกิดจากการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน โดยอาการไหม้แดดจะเกิดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสีผิวของแต่ละคน ถ้ายิ่งขาวมากเท่าไร ผิวจะยิ่งไหม้เร็วเท่านั้น และอาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ บวม แดง ร้อน และอาการปวดแสบปวดร้อน นอกจากนี้อาจมีอาการคันร่วมด้วย วิธีการรักษาควรหลีกเลี่ยงการออกแดด ทาครีมกันแดด ครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ครีมเคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำของผิวหนัง และทาพวกแอนตี้ฮีสตามีน เพื่อลดอาการคัน และสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ป้องกันแดด หลีกเลี่ยงการขัดถู และงดใช้สารต่างๆ ที่ทำให้ผิวหนังแห้ง เช่น สบู่ ตรงบริเวณที่เป็นผิวไหม้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นมากๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที

โรคอุจจาระร่วง

เป็นโรคติดต่อทางอาหารและน้ำที่สำคัญที่สุด อาจเกิดจากเชื้อโรคชนิดต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ เชื้อก่อโรคเหล่านี้สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป อาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นอาการสำคัญของโรคอุจจาระร่วง อาจถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกปนเลือด โดยทั่วไปมักจะอาเจียนร่วมด้วย ความรุนแรงของอาการแตกต่างกันได้มาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงมาก หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ทันที

เมื่อทราบอย่างนี้แล้วก็รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ หรือปีใหม่ของไทยได้อย่างเต็มที่ และจะทำสิ่งใดก็ขอให้มีสติ และที่สำคัญอย่าสนุกเพลินจนลืมความปลอดภัยของตัวท่านเองและผู้อื่นด้วย ขอให้มีความสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้กันแบปลอดโรคภัยไข้เจ็บ และกลับมาลุยงานต่อกันด้วยสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

http://www.manager.co.th/home/

ผมหงอก..ยิ่งถอนจะยิ่งหงอกจริงหรือไม่..ป้องกันอย่างไร

ในวัยที่เริ่มมีผมหงอกเรามักจะไม่กล้าถอนกัน เพราะเชื่อว่าเมื่อถอนผมหงอกเชื้อผมหงอกจะกระจายจากรากผมเส้นที่หงอก แล้วลามไปที่รากผมบริเวณใกล้เคียง(อย่างกับโรคติดต่อ) จนทำให้ผมหงอกทั้งศรีษะ

แต่ในความเป็นจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอน
ก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้น
จะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก
ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอก จึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจากปัจจัยอื่นๆ

การป้องกันที่สาเหตุ ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย

เราควรดูแลผมให้ดกดำ ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น งาดำ เป็นต้น
หรือถ้าหงอกมากแล้วไม่สบายใจจะพิจารณาเป็นการย้อมผมดำแทนก็ได้
แล้วแต่จะเลือกวิธีการที่สะดวก และเหมาะกับตนเอง

สาเหตุที่ทำให้ผมหงอก เกิดจากอะไร

โดยปกติผมหงอกตามธรรมชาติ เกิดจากเซลล์มิวเคอร์ (mucor) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารสีดำในร่างกายเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถสร้างสารสีดำได้ จึงทำให้เกิดผมหงอก เซลล์นี้จะเสื่อมสภาพตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น

ส่วนผมหงอกก่อนวัยจะพบในคนที่อายุยังน้อย โดยเกิดจากการที่ผมชั้นคอร์เท็กซ์ (cortex) ไม่สามารถสร้างเซลล์ที่คอยผลิตเม็ดสีชื่อเมลาโนไซท์ส (melanocytes) ที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผม หรือ เมลานิน (melanin) ได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้เม็ดสีผมในร่างกายค่อยๆ ลดจำนวนลงไปทีละน้อยๆ จนเป็นเหตุทำให้ผมหงอกในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ผมหงอกก่อนวัยมักไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารและยาบางชนิด มีความเครียดก็มีผลต่ออาการได้เหมือนกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งพบได้บ่อยในครอบครัวที่มีประวัติผมหงอกก่อนวัย ในผู้ชายมักจะเริ่มหงอกบริเวณขมับและเหนือจอน ส่วนผู้หญิงเริ่มจากบริเวณรอบๆ แนวไรผม ซึ่งจะเริ่มจากปลายผมก่อน แล้วค่อยๆ ลามไปที่โคนผม

นอกจากนี้ อาการผมหงอกก่อนวัย ยังเกิดจากโรคที่แฝงอยู่ในตัวคุณได้ด้วย เช่น โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง โรคซีด โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ในกรณีนี้เมื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่จนหายขาดแล้ว อาการผมหงอกจะหายไปเอง

วิตามินและแร่ธาตุต้านผมหงอกก่อนวัย

การที่ร่างกายจะสามารถสร้างเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผมได้อย่างเพียงพอนั้น คุณต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้อย่างเพียงพอก่อน

1. ทองแดง พบมากในถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วลันเตา เมล็ดทานตะวัน ลูกเกด ลูกพลับ กล้วยตาก แครอท หัวไชเท้า เผือก มัน ผลไม้สดทุกชนิด
2. ไอโอดีน พบมากในอาหารทะเลทุกชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือไอโอดีน
3. เหล็ก มีมากในปลา ลูกเกด ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง กวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง ใบชะพลู ผักโขมหนาม และผักกูด
4. กรดโฟลิก พบมากในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง แครอท ฟักทอง ไข่แดง และตับ
5. กรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบี 5 พบมากในข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด แอ๊ปเปิ้ล
6. พาบา อยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินเทียมที่ละลายในน้ำ พบมากในจมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง โยเกิร์ต และผักใบเขียว
7. ไบโอติน เป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ พบมากในอาหารจำพวกถั่วเหลือง และซีเรียล (การกินยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้การสังเคราะห์ไบโอตินในลำไส้ลดลง)

อาหารยับยั้งผมหงอกก่อนวัย

กลุ่มอาหารที่มีความจำเป็นต่อการยับยั้งผมหงอกก่อนวัย มีดังนี้

1. สาหร่ายทะเล นำมาปรุงเป็นอาหารจำพวกข้าวปั้น ต้มจืด หรืออบกรอบกินเป็นของขบเคี้ยวยามว่าง นอกจากจะช่วยยับยั้งผมหงอกก่อนวัยแล้ว ยังช่วยทำให้ผมดกดำด้วย เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และไอโอดีน
2. งา โรยงาลงในอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยยับยั้งปัญหาผมหงอกก่อนวัยได้ เพราะในงามีไขมันจากธรรมชาติ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี และเกลือแร่
3. เครื่องดื่มสมุนไพร ปั่นแครอทหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย หัวไชเท้าหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย และน้ำเย็นจัด 1 ถ้วยเข้าด้วยกัน กรองเอาแต่น้ำใส่ในแก้ว ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1/4 ช้อนชา ดื่มทันที

ครีมหมักผมสมุนไพรต้านผมหงอก

เพียงนำสมุนไพรที่เราแนะนำต่อไปนี้ มาทำเป็นครีมหมักผม จะช่วยต้านปัญหาผมหงอกก่อนวัยของคุณได้

1. นำใบบัวบกสดปั่นกับน้ำสะอาดปริมาณพอเหมาะให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว จากนั้นนำมาชโลมผม หรือนวดหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
2. นำใบบัวบกสดมาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ แล้วชโลมผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นสระผมตามปกติด้วยแชมพูสมุนไพร
3. นำน้ำมันมะกอกนวดหนังศีรษะ ใช้ผ้าโพกหัวทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำผลมะกรูด 2-3 ผล เผาไฟพอสุก จากนั้นนำมาขยำกับน้ำ และนำน้ำที่คั้นได้ไปสระผม
4. ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ชโลมผมจนทั่ว อย่าให้เปียกมากเกินไป ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ผมจะแห้งพอดี ทำเป็นประจำทุกเช้า-เย็น และหลังสระผม

เมื่อแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี นอกจากจะไร้ปัญหาเรื่องผมหงอกก่อนวัยแล้ว อาจส่งผลให้คุณมีผมดกดำสลวยอย่างคนสุขภาพดีได้อีกด้วย ส่วนคนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี แล้วมีปัญหาผมหงอกก่อนวัย ควรรีบไปพบแพทย์โรคผิวหนัง เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด และหาทางรักษาที่ถูกวิธีต่อไป

http://www.yanchaow.com/view686.aspx

การดูแลตนเองให้ห่างไกลมะเร็งปากมดลูก (โรงพยาบาลพญาไท)

ข้อมูลจาก ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลก และจะมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าปี 2548-2558 จะมีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งโดยไม่ได้รับการรักษาประมาณ 84 ล้านรายทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้ร้อยละ 40 เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ ดังนั้น องค์การอนามัยโลก มีนโยบายให้ทุกประเทศทั่วโลกรณรงค์เรื่องการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งตั้งแต่วัยเด็ก

รศ.พญ.เยาวลักษณ์ ชาญศิลป์ ภาควิชารังสีรักษา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ให้ความเห็นว่า อันตรายของมะเร็งทุกชนิดคือการทำให้สูญเสียการทำงานของอวัยวะที่เกิดโรคหรือโรคแพร่กระจายไป ดังนั้นอันตรายของโรคมะเร็ง จึงขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เกิดมะเร็งและอวัยวะที่แพร่กระจาย

สำหรับมะเร็งปากมดลูกนั้น แม้ว่ามดลูกจะไม่ใช่อวัยวะสำคัญในการดำรงชีวิต แต่ก้อนมะเร็งเฉพาะที่สามารถทำให้เกิดการเสียเลือดทั้งเรื้อรังและรุนแรงที่อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต และยังทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน ไปจนถึงการกดเบียดท่อไตทำให้ไตวายได้ และอันตรายนอกจากนี้ก็คือการล้มเหลวของอวัยวะที่โรคกระจายไป

สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

โรคมะเร็งเกิดจากการที่เซลล์ถูกกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลานาน โดยสารก่อมะเร็งอาจเป็นเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัส สารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ ซึ่งในมะเร็งปากมดลูกนั้นเชื้อไวรัส เอชพีวี (Human Papilloma Virus) เป็นสารก่อมะเร็งที่สำคัญที่สุด

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก มีความเกี่ยวเนื่องกับเพศสัมพันธ์ ผู้มีอัตราเสี่ยงต่อโรคนี้ คือผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี โดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ผู้มีบุตรมาก ผู้มีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคน ผู้มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีคู่นอนหลายคน และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี จะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนปกติ 5-6 เท่า ส่วนในประเทศที่ผู้ชายได้รับการขริบปลายอวัยวะเพศ จะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกลดลง

สำหรับผู้หญิงที่มีครอบครัวและมีสามีเดียวก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน เพราะโรคมะเร็งปากมดลูกสัมพันธ์กับการบาดเจ็บหรือการระคายเคืองเรื้อรัง โดยเฉพาะถ้ามีบุตรมาก หรือสามีมีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี หรือสามีมีคู่นอนหลายคน

อาการของมะเร็งปากมดลูก ตั้งแต่ขั้นต้นจนรุนแรง

นับเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของผู้หญิง ที่มะเร็งปากมดลูกนี้สามารถตรวจได้ง่าย จึงตรวจพบได้ตั้งแต่ก่อนแสดงอาการ และยังสามารถตรวจพบภาวะผิดปกติของเซลล์ปากมดลูกได้ตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็ง ดังนั้น หากจะถามว่าอาการของมะเร็งปากมดลูกมีอะไรบ้าง

ไม่มีอาการ แต่ตรวจพบจากการตรวจภายใน

การมีเลือดออกทางช่องคลอด ทั้งเพียงเล็กน้อยหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือการมีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน การมีเลือดประจำเดือนมาก หรือนานกว่าปกติ

การมีของเหลวออกทางช่องคลอด หรือตกขาว ทั้งที่เป็นน้ำและข้น เป็นมูก เป็นหนอง มีเลือดปน มีเศษเนื้อปน แม้มีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่นก็ตาม

ในรายที่โรคมีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดการปวดถ่วงบริเวณท้องน้อย ปัสสาวะขัด หรือถ่ายอุจจาระลำบาก หรือกดเบียดท่อไตทำให้ไตทำงานผิดปกติ จนอาจถึงไตวายได้

ในระยะแพร่กระจาย อาจกระจายตามระบบน้ำเหลืองไปยังต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง เกิดอาการปวดหลัง ปวดจุกลิ้นปี่ หรือแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่ไหปลาร้า โดยเฉพาะข้างซ้าย และยังอาจกระจายตามกระแสเลือดไปยังปอด ตับ กระดูก และสมองด้วย

การรักษามะเร็งปากมดลูก

เนื่องจากมะเร็งปากมดลูก มีธรรมชาติของโรคเป็นการลุกลามเฉพาะที่มากกว่าการแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด ดังนั้นการรักษาจึงเป็นการรักษาเฉพาะที่ ซึ่งอาจเป็นการผ่าตัดหรือการฉายรังสี โดย การผ่าตัด จะใช้ในระยะ 0 และ 1 โดยระยะ 0 หมายถึงระยะที่โรคเริ่มเกิดที่ชั้นผิวเยื่อบุปากมดลูก ยังไม่ลุกลามลงสู่ชั้นใต้เยื่อบุ จึงอาจตัดออกเฉพาะปากมดลูกอย่างเดียวได้ แต่เมื่อโรคเป็นระยะที่ 1 คือลามลงชั้นใต้เยื่อบุมดลูก ต้องตัดมดลูกออกด้วย แต่การตัดมดลูกอย่างเดียวหรือเลาะต่อมน้ำเหลืองในช่องเชิงกรานออกด้วย ขึ้นอยู่กับความลึกของการลุกลามลงสู่ชั้นใต้เยื่อบุปากมดลูก

สำหรับการใช้รังสีรักษา ใช้ในการรักษาได้ทุกระยะ ตั้งแต่ 0 ถึง 4 (ระยะแพร่กระจาย) แต่ในระยะ 0 และ 1 จะนิยมใช้การผ่าตัดมากกว่า เพราะการผ่าตัดจะทำให้ได้ชิ้นเนื้อ รวมทั้งมดลูกหรือต่อมน้ำเหลืองมาตรวจ ทำให้ได้ข้อมูลของระยะโรคแม่นยำกว่าการรักษาด้วยรังสี แต่หากผู้ป่วยมีภาวะที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ การรักษาด้วยรังสีก็สามารถให้ผลการรักษาที่ดีไม่แพ้กัน

ส่วนเคมีบำบัด มีการใช้ในมะเร็งปากมดลูกที่ก้อนมีขนาดใหญ่หรือลุกลาม โดยให้ร่วมในช่วงการฉายรังสี โดยเคมีบำบัดจะช่วยให้ก้อนมะเร็งตอบสนองกับรังสีดีขึ้น นอกจากนี้ จะใช้ในกรณีที่มีการแพร่กระจายของโรค แต่ผลการรักษาไม่ดีนัก

ดังนั้น มะเร็งปากมดลูกสามารถรักษาได้ผลดีในระยะเริ่มต้น แต่แม้ในระยะลุกลามที่โรคยังไม่แพร่กระจายไป การใช้รังสีร่วมกับเคมีบำบัดก็ยังได้ผลค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับมะเร็งหลายชนิด
การป้องกันมะเร็งปากมดลูก

การป้องกันโรคมะเร็งชนิดใด ๆ ก็คือการหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งของโรคนั้น ๆ ซึ่งสำหรับในมะเร็งปากมดลูกก็คือเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดมะเร็งปากมดลูกลงกว่า 70% จึงน่าจะมีผลในการลดอุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกได้ในอนาคต และเพื่อช่วยให้การป้องกันมีประสิทธิภาพสูงสุด การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ควรทำร่วมกับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ

โดยควรจะเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตั้งแต่มีเพศสัมพันธ์ เพราะในการเกิดมะเร็งปากมดลูก จะผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มมีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเรื้อรัง และเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะอักเสบเรื้อรังที่นำไปสู่มะเร็ง การตรวจคัดกรองจะทำให้สามารถรักษาภาวะผิดปกติต่าง ๆ ก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็ง หรือตรวจพบมะเร็งระยะแรกเริ่ม ที่รักษาให้หายขาดได้ เพื่อป้องกันการเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามหรือแพร่กระจาย

นอกเหนือจากการฉีดวัคซีนแล้ว ควรมีชีวิตครอบครัวที่ถูกต้องและจะต้องเอาใจใส่ต่อสุขภาพ ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ แม้จะมีอายุมากแล้วและไม่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ คือไม่มีประจำเดือนและไม่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ก็ยังต้องตรวจคัดกรองตามระยะเวลาที่เหมาะสม ตามคำแนะนำของแพทย์ ก็จะช่วยให้หญิงไทยห่างไกลมะเร็งปากมดลูก

http://www.yanchaow.com/view1004.aspx

เร่งผมให้ยาวทันใจ

วันนี้เรามีเคล็ดลับในการเลี้ยงผมให้ยาวไวขึ้นกว่าเดิมมาบอกต่อกันค่ะ

ผม
ผม

ก้มหัวให้เลือดไหลเวียนสะดวก การจะทำให้เส้นผมยาวเร็วขึ้นนั้น ต้องดูแลหนังศีรษะและรากผมให้แข็งแรงด้วย ซึ่งมีวิธีช่วยให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงศีรษะได้ดี อย่างการก้มศีรษะสัก 30 วินาที แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ไม่ให้หน้ามืด จะช่วยให้หนังศีรษะมีสุขภาพดีผมก็จะยาวเร็วขึ้นได้ อย่าลืมทำทุกวันนะคะ

นวดศีรษะขณะสระผม การนวดศีรษะก็เป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนบนศีรษะได้ดีอีกวิธีหนึ่ง ลองเปลี่ยนวิธีการสระแบบเก่าที่แค่เกา ๆ ให้ทั่วแล้วจึงล้างออก มาเป็นการนวดกดจุดเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วมือให้ทั่วหนังศีรษะ จะช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึ่มทำงานได้เป็นปกติดีอีกด้วย

เพิ่มอาหารจำพวกโปรตีน สารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงเส้นผมคืออาหารจำพวกโปรตีน เพราะโปรตีนมีหน้าที่ปกป้องซ่อมแซมเส้นผม ป้องกันการหลุดร่วงและแตกหักของเส้นผม บำรุงให้เส้นผมแข็งแรง ดังนั้นถ้าอยากให้ผมยาวเร็วก็ต้องรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนให้เพียงพอ

ไม่หวีผมขณะผมเปียก หลังจากสระผมใหม่ ๆ ไม่ควรแปรงผมในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ หรือใช้แปรงซี่เล็กหวีหรือแปรงผมขณะผมเปียกหมาด เพราะจะทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงได้ง่าย หากไม่อยากให้ผมพันกันก็ควรใช้แปรงซี่ใหญ่และห่างในการหวี

เล็มปลายผมเสียเป็นระยะ ผมที่แตกปลาย หรือผมแห้งเสียควรจะมีการตัดเล็มปลายผมเป็นระยะ เพราะการตัดเล็มผมบ่อย ๆ จะทำให้ผมยาวเร็วขึ้น

บำรุงเส้นผมด้วยวิตามินอี วิตามินอีจะช่วยให้เส้นผมแข็งแรงและยาวได้ไวขึ้น ทั้งนี้การบำรุงผมด้วยวิตามินอีโดยตรงให้ทำอย่างสม่ำเสมอโดยใช้วิตามิน E ชนิดแคปซูลที่เราใช้สำหรับทาหน้านี่ล่ะ บีบและขยำทาให้ทั่วเส้นผม

ทุกเคล็ดลับอาจจะไม่ได้เห็นผลรวดเดียว แต่จะช่วยทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี แข็งแรง เงางาม อย่างช้า ๆ ถ้าทำสม่ำเสมอรับรองว่าผมยาวไวและแข็งแรงแน่นอนค่ะ

http://www.yanchaow.com/view1550.aspx

20 วิธีเสริมพลังสมองเด็ก (รักลูก)

โดย : นพ.อุดม เพชรสังหาร

ลูกรัก
ลูกรัก

กิจกรรมง่าย ๆ ที่พ่อแม่สามารถลงมือทำเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของสมองของลูกวัย 1-3 ปี

ช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ เป็นช่วงที่สมองของเด็กมีการเติบโตมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ หากพ่อแม่สร้างสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ให้เหมาะสม สมองของเขาก็จะเติบโตและพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ความสมบูรณ์ของสมองในช่วงนี้คือรากฐานสำคัญของชีวิตและความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ของคนเราเมื่อเติบโตขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้สมองจะมีความสำคัญปานนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีการที่ทำให้สมองมีพัฒนาการ มีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์จะมีความสลับซับซ้อนและยุ่งยากแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ทุกอย่างเป็นไปตาม หลักธรรมชาติ อะไรที่ฝืนธรรมชาติ อะไรที่เกินธรรมชาติ อาจส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของสมองได้

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ก็แปลว่าพ่อแม่ ครู ผู้คนรอบข้างสามารถช่วยเหลือเด็กในการสร้างและพัฒนาสมองของพวกเขาได้ ขอเพียง “เข้าใจในธรรมชาติของเด็ก และธรรมชาติสมองของพวกเขา” เท่านั้น

นั่นคือ หลักธรรมชาติที่ว่า “Use it or lose it.” ความหมายคือ สมองเติบโตและพัฒนาได้เพราะเราใช้งานมัน ตรงกันข้ามหากเราไม่ใช้งาน สมองก็จะลีบฝ่อและถูกทำลายไปในที่สุด

และหลักธรรมชาติที่ว่า สมองทำงานพร้อมกันทั้งสองข้าง ไม่มีแยกซ้ายแยกขวาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การพัฒนาสมองจึงต้องยึดหลักองค์รวม ไม่ใช่การแยกส่วนพัฒนา

รวมถึงหลักธรรมชาติที่ว่า สิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์จะช่วยให้สมองมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ในที่นี้หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่มีคนพูดคุยด้วย เล่นด้วย สิ่งแวดล้อมที่มีวัตถุดิบให้ได้สำรวจ เรียนรู้ ตามความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก สิ่งแวดล้อมที่ท้าทายความอยากรู้ สิ่งแวดล้อมที่มีความปลอดภัย ไม่กดดัน

ต่อไปนี้ คือ ตัวอย่างของกิจกรรมง่าย ๆ ที่พ่อแม่ สามารถลงมือทำเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของสมองของลูกได้ด้วย 20 วิธี ดังนี้

1. ดูแลเรื่องอาหารการกิน ให้เป็นไปตามธรรมชาติของวัย เด็กควรได้รับสารอาหารอะไร ควรเพิ่มสารอาหารอะไร แต่สิ่งที่อยากจะย้ำเกี่ยวกับเรื่องอาหารก็คือ “อย่าให้ลูกกินหวาน” โดยเฉพาะรสหวานที่มาจากน้ำตาล ซึ่งเป็นสารโมเลกุลเล็ก เพราะมันจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเกินความพอดี ทำให้ร่างกายต้องขับสารบางอย่างออกมาเพื่อขจัดน้ำตาลที่เกินพอดีนี้ ผลก็คือทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติภายในเวลาอันรวดเร็ว

ในการทำงานของสมองนั้น สมองต้องการน้ำตาลในระดับที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ส่วนรสหวานที่มาจากผลไม้ ผัก หรือธัญพืช เป็นสารที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ซึ่งจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการของสมอง

2. เวลาอาหารของลูกอย่าทำให้เป็นเวลาแห่งความทุกข์ หรือเป็นการบังคับขู่เข็ญ เพราะจะทำให้เขาปฏิเสธอาหาร ซึ่งจะมีผลเสียต่อพัฒนาการของสมอง ต้องทำให้ลูกรู้สึกว่าเวลาอาหารคือเวลาแห่งความสุข

3. พูดคุยเล่นกับลูก แม้เขาจะยังพูดไม่ได้ เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ของพ่อแม่จะกระตุ้นประสาทการได้ยิน ท่าทางประกอบคำพูดจะบ่งบอกความหมายของคำพูด มันคือจุดเริ่มต้นของการรู้ภาษา รวมทั้งความสามารถในการสื่อสาร

4. เล่นกับลูกบ่อย ๆ จับปูดำขยำปูนา ตบแผะ จ้ำจี้ ฯลฯ การเล่นเช่นนี้ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวมือ ขา ร่างกาย ส่งผลต่อพัฒนาการของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว

5. ฝึกอ่านใจลูก และตอบสนองต่อความต้องการของลูกให้ถูก การชี้นิ้วมือแบบนี้หมายถึงอะไร เสียงแบบนี้เขาต้องการอะไร การตอบสนองตรงกับความต้องการจะทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีค่า สิ่งนี้ช่วยพัฒนาสมองส่วนอารมณ์และความรู้สึกของเขาให้มีความสมบูรณ์

6. ใช้หนังสือภาพ (Picture Book) หมั่นชวนลูกดูหนังสือภาพ เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นสายตาและการมองแล้ว ยังช่วยให้เขาได้เรียนรู้ภาษา เรียนรู้สิ่งรอบตัวผ่านหนังสือภาพได้อีก

7. เล่านิทานให้ลูกฟัง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของภาษาและการสื่อสาร กระตุ้นการคิด จินตนาการ สมาธิ และที่สำคัญทำให้เขารู้ว่าเรารักเขา ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย อบอุ่น

8. ร้องเพลงกล่อมลูก เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ แถมมีจังหวะด้วย ช่วยกระตุ้นสมองได้ดี พัฒนาการของภาษา สมาธิ การคิด ความจำจะถูกกระตุ้นจากเสียงเพลง ข้อสำคัญยังตอกย้ำว่าเรารักเขา

9. หาของเล่นที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ของเล่นที่ช่วยพัฒนาความคิด จินตนาการ ฝึกความอดทน ฝึกการแก้ปัญหามาให้ลูกเล่น ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงหรือมีกลไกซับซ้อน ขอเพียงช่วยสร้างสิ่งที่กล่าวไว้ให้ลูกเราได้ก็พอ

10. การโอบกอด สัมผัส ลูบผม หอมแก้ม ดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ช่วยกระตุ้นการหลั่ง Nerve Growth Factor ซึ่งจะไปกระตุ้นสมองให้มีพัฒนาการและเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ข้อสำคัญคือส่งสัญญาณให้เขารับรู้ว่าเรารักเขา

11. เวลาลูกร้อง ตอบสนองให้ไว เพราะเด็กทุกคนต้องการความปลอดภัย เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองปลอดภัย สมองของเขาก็จะพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย สมองจะพัฒนาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหนีภัยเท่านั้น

12. การนวดตัว เวลาที่เด็กเครียดช่วยให้เด็กผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี เวลาเขาไม่สบาย เวลาที่เขาเสียใจ ลองช่วยนวดก็น่าจะดี อย่าลืมว่าเวลาเด็กเครียดสมองของเขาจะไม่พัฒนา

13. สร้างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ปลอดภัย เพื่อให้เขาได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างอิสระ โดยที่เราไม่ต้องกังวล หรือต้องคอยห้ามปราม สมองของเด็กเติบโตเพราะการได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ปลั๊กไฟ ของมีคม ของที่จะทำให้เกิดอันตราย ต้องแยกออกไป

14. ทำความเข้าใจพื้นอารมณ์ (Temperament) ของลูก เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนขี้โมโห บางคนขี้อาย บางคนกล้าที่จะแสดงออก ยอมรับความเป็นตัวเขาแล้วค่อย ๆ พาเขาพัฒนาตนเองไปสู่สิ่งที่ทุกคนยอมรับ การฝืนและบังคับให้เป็นไปตามที่เราต้องการทันที จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ และไม่สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งที่เราอยากให้เป็นได้

15. มีความคงเส้นคงวา ตอบสนองต่อเด็กอย่างชัดเจนและในทัศนะท่าทีแบบเดิมต่อพฤติกรรมแบบเดิมของเด็ก ความคงเส้นคงวาของเราจะทำให้เด็กสามารถคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไม่สับสน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรียนรู้ของเขา

16. “จับถูก” อย่า “จับผิด” เพราะมนุษย์พัฒนาได้ดีจากจุดแข็ง ให้รางวัลในสิ่งที่เขาทำได้และเราอยากให้ทำ และต้องไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขายังทำไม่ได้

17. เป็นต้นแบบในการแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้ลูกเห็น และในจังหวะที่เหมาะที่ควร การสอนให้ลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสอนได้ด้วยการทำให้เห็น ไม่ใช่สอนด้วยคำพูด

18. ให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ เช่น เล่นกองทราย เล่นน้ำ (เวลาอาบน้ำ) เพราะช่วยบ่มเพาะสมองส่วนจินตนาการ

19. ทำตัวของเราให้สนุกไปกับกิจกรรมของลูก เพราะการช่วยบอกเขาว่า “เรื่องของหนู น่าสนใจจริง ๆ” ทำให้เขาเกิดความมั่นใจ ซึ่งจะเป็นแรงเสริมต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก

20. ทำทุกอย่างที่ว่ามาทั้งหมดด้วยความรัก และความเข้าใจในตัวเขา อย่าเอาลูกไปเทียบกับคนโน้นคนนี้ เพราะเขาก็คือเขา ไม่มีทางที่จะเหมือนคนอื่นไปทั้งหมด

หวังว่าคงช่วยให้พ่อแม่เกิดความสบายใจว่า การพัฒนาสมองลูก การช่วยให้สมองของลูกมีความสดใสกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลานั้น ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงเราเข้าใจหลักธรรมชาติ ของสมองเท่านั้นเอง

http://www.yanchaow.com/20-view1858.aspx

วิธีหมักผมด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ

เพราะเส้นผมเป็นส่วนหนึ่งที่ใคร ๆ สามารถมองเห็นได้เป็นอย่างแรก ดังนั้นการดูแลเส้นผมให้นุ่มสลวยมีน้ำหนักจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ

ไม่ควรละเลยเลยทีเดียวค่ะ ยิ่งผมยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใส่ใจกับสุขภาพผมมากเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะ ว่าเส้นผมที่ยิ่งสวยเงางามเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างเสน่ห์ให้กับตัวคุณมากมายเลยทีเดียว

แล้วอย่างนี้จะรอช้าอยู่ใยๆ สาว ๆ ที่กำลังประสบสารพัดปัญหาเส้นผมมาดูวิธีดูแลผมสวยกันดีกว่า วันนี้มีวิธีหมักผมด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติที่เหมาะกับสภาพผมแต่ละประเภทมาฝากกัน ไปดูกันดีกว่าว่า สภาพผมแบบไหนควรหมักผมด้วยอะไรกันบ้าง

Hair
Hair

สาวผมแห้ง

ปัญหาใหญ่ของสาวผมแห้งคงจะหนีไม่พ้นสภาพผมที่แห้งพันกันยุ่งเหยิง โดยเฉพาะเวลาโดนลมหนัก ๆ เข้าหน่อยก็หวียากซะแล้ว

ดังนั้น การหมักผมที่ดีที่สุดก็ควรจะใช้น้ำมันหมักค่ะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา หรือน้ำมันมะกอก โดยหมักทิ้งไว้ก่อนสระผมประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วนวดให้น้ำมันซึมเข้าสู่เส้นผม เสร็จแล้วล้างออก ทำอย่างนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และหลีกเลี่ยงการไดร์ผมอย่างเด็ดขาดจะดีที่สุดค่ะ เพราะยิ่งทำให้ผมแห้งเข้าไปใหญ่นะเออ

สาวผมแตกปลาย

สำหรับสาว ๆ ที่มีผมแตกปลาย ให้นำไข่แดงมาตีเข้ากับน้ำส้มสายชู หรืออาจผสมน้ำส้มสายชูลงในแชมพูซัก 1 ช้อนโต๊ะก็ได้ จากนั้นให้สระผมแล้วนวดให้ทั่วโดยเฉพาะบริเวณปลายผม น้ำส้มสายชูจะช่วยให้เส้นผมคุณเงางามขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ วิธีนี้สามารถทำได้ทุกวันค่ะ

สาวผมมัน

สำหรับสาวผมมัน ให้คุณใช้ไข่ขาวผสมกับน้ำอุ่นดูค่ะ โดยผสมไข่ขาว 1 ฟองกับน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่ากัน หลังจากนั้นนำไปชโลมให้ทั่วศีรษะ แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นให้สระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ผมจะค่อย ๆ ดีขึ้นค่ะ

สาวที่มีปัญหารังแค

น้ำมันมะพร้าวเป็นกุญแจสำคัญเลยล่ะค่ะ เพราะมันจะทำให้รังแคบนหนังศีรษะของคุณค่อย ๆ หายไปอย่างไม่น่าเชื่อ

สำหรับวิธีการหมักผมนั้น ให้คุณใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย ชโลมผมทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงหรือหากเป็นวันหยุดก็สามารถหมักไว้ทั้งวันได้ ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้งจะทำให้ปัญหารังแคบนหนังศีรษะของคุณค่อย ๆ หายไป และยังช่วยให้ผมคุณมีน้ำหนักขึ้นอีกด้วยค่ะ

สาวผมเสีย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีผมเสียอย่างหนักไม่ว่าจากการดัด ทำสี ย้อม ยืด ก็ตาม ใจเย็น ๆ ค่ะ สมุนไพรที่นำมาหมักผมนั้นอาจจะเยอะหน่อยแต่รับรองว่าได้ผลเลยทีเดียว สำหรับสาวผมเสียนั้น ให้คุณหมักผมได้วันเว้นวันโดยใช้วัตถุดิบในการหมักผมที่ต่างกันไป

โดยแบ่งเป็น 2 สูตร ดังนี้ สูตรแรกให้คุณใช้ไข่แดงผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมันมะกอก ผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วสระตามปกติ จากนั้นให้เว้น 1 วัน ก่อนจะใช้สูตรที่สองคือ น้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าวและไข่แดง ผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้นาน ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำอย่างนี้ไม่เกิน 2 สัปดาห์คุณจะเริ่มเห็นผลค่ะ

สาวที่มีปัญหาผมร่วง

เพราะผมร่วงบ่งบอกให้เห็นว่าผมของเรานั้นอ่อนแออย่างมาก ดังนั้นสิ่งแรกที่สาว ๆ ที่มีผมร่วงควรจะทำนั่นคือ การหาแชมพูสูตรอ่อนโยนมาใช้เสียก่อนค่ะ โดยอาจจะใช้เป็นสมุนไพรที่มีส่วนผสมของอัญชัน หรือขิง ซึ่งช่วยในเรื่องของผมร่วงได้ดีเลยทีเดียว เมื่อใช้ยาสระผมสูตรอ่อนโยนแล้ว ต่อไปให้คุณหมักผมด้วยขิงค่ะ คือ ให้ใช้ขิงสดมาเผาไฟแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาผสมน้ำแล้วชโลมให้ทั่วศีรษะทุกวัน ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่เกิน 2 สัปดาห์ผมก็จะร่วงน้อยลง  หรือคุณอาจจะใช้น้ำมันมะพร้าวหมักผมควบคู่กันไปด้วยก็ได้ค่ะ

คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า สาวๆ ที่มีปัญหาเส้นผมทั้งหลายจะขยันหมักผมให้สม่ำเสมอหรือเปล่า แต่ถ้าทำได้อย่างนั้น รับรองเลยค่ะว่า คุณจะมีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา
http://women.kapook.com/view15456.html

http://www.yanchaow.com/view494.aspx

อาการนอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับ (insomnia) โดยทั่วๆไปจะหมายถึง การที่นอนหลับยาก หลับๆ ตื่นๆ หรือตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วหลับต่อไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้รู้สึกเพลีย หลับได้ไม่เต็มอิ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น

นอนไม่หลับ
นอนไม่หลับ

ในผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยควรนอนให้ได้ประมาณ 7-8 ชม. โดยให้สังเกตว่าตราบใดที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วมีความสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย สมองแจ่มใส ทำงานได้ดีตามปกติ ไม่ง่วงหวาวหาวนอน มีการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ดี ถือว่าได้นอนเพียงพอแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะนอนเพียง 5-6 ชม. เท่านั้น

ผู้ที่นอนไม่หลับจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล แม้ขณะที่นอนหลับก็จะตื่นบ่อยกว่าปกติ ในช่วงเวลากลางวันจะง่วงนอนมากผิดปกติ อัตราเมตาบอลิสซึมของร่างกายตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น และเมื่อไปตรวจคลื่นสมอง จะพบลักษณะของ beta EEG activity เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน

ประเภทของการนอนไม่หลับ

1.แบบชั่วคราว หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ หลายคนอาจจะเคยประสบกับปัญหานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน มีปัญหากับที่ทำงาน หรือใกล้ๆวันสอบ หรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้น ก็สามารถหยุดยาได้

2.แบบระยะต่อเนื่อง หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียด หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น ตกงาน ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของตน เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง

3.แบบเรื้อรัง เกิดขึ้นต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน

นอกจากนี้แล้วยังพบได้อยู่เรื่อยๆว่า สาเหตุทางร่างกายบางอย่างก็เป็นต้นเหตุทำให้นอนไม่หลับเรื้อรังได้ เช่น การหายใจผิดปกติขณะหลับ กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างนอน อาการปวด หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคปอด เป็นต้น

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

ได้แก่ สาเหตุทางด้านจิตใจ ปัญหาทางจิตเวช รูปแบบการใช้ชีวิต และความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ซึ่งถ้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากปัญหาข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้อ จะช่วยให้แก้ไขปัญหาให้ลุล่วงลงไปได้

ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ ปัญหาในเรื่องการทำงานที่ยังมีความกังวลอยู่ ปัญหาในครอบครัวที่ยังไม่ได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน ปัญหาความเจ็บป่วยของตนเอง และบุคคลในครอบครัวที่ยังไม่หายเป็นปกติดี ปัญหาทางจิตใจ หรือมีภาวะซึมเศร้าที่ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างได้ผล บางคนอาจลืมนำยานอนหลับที่เคยรับประทานประจำติดตัวมา บางคนอาจรับประทานอาหารก่อนเข้านอนมากเกินไป และบางคนอาจจะรับประทานเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิดอาจทำให้นอนไม่หลับได้ เช่น ยาแก้หวัด ยารักษาโรคหอบหืด และยาลดความดันโลหิตบางชนิด

1.สาเหตุทางด้านจิตใจ
ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับได้บ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว การงาน หรือครอบครัว หลายครั้งที่การได้รับการช่วยเหลือ โดยคำปรึกษาแนะนำให้รู้จัก และเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา จะช่วยทำให้ปรับตัวกับปัญหาได้ดีขึ้น

แนวโน้มของแต่ละบุคคล บางคนมีแนวโน้มง่ายมากที่จะนอนไม่หลับ เช่น ชอบคิดมากคิดเล็กคิดน้อย หรือร่างกายไวหรือตื่นตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้เร็ว เช่น ได้ยินเสียงอะไรเล็กน้อยก็จะรู้สึกตัวตื่นอยู่เรื่อยๆ

2.ปัญหาทางจิตเวช
โรคซึมเศร้า นอนไม่หลับโดยเฉพาะหลับแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหลับต่อยาก เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในคนที่มีภาวะโรคซึมเศร้า ซึ่งอาการอื่นๆ ของโรคซึมเศร้าก็จะประกอบไปด้วย ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง พร้อมๆ กับใจคอที่หดหู่ เศร้า ไม่เบิกบาน ไม่สดชื่นเหมือนเมื่อก่อน ความคิดช้า ความจำไม่ค่อยดี ใจจดใจจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ มักมีเบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย โดยปกติแล้วการรักษาที่สาเหตุของภาวะเหล่านี้ จะช่วยทำให้การนอนหลับกลับมาเป็นปกติอย่างเดิมได้

โรควิตกกังวลชนิด somatized tension พบได้บ่อยที่เป็นสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ ผู้ป่วยมักพบว่าอาการนอนไม่เป็นอาการเด่นเป็นอาการเดียว ในขณะที่ผู้ป่วยโรควิตกกังวลโดยทั่วไปมักจะมีอาการหลายชนิดมาปรึกษาแพทย์
3.รูปแบบการใช้ชีวิต
การใช้สารกระตุ้นสมอง ปัจจุบันพบว่าเป็นปัญหามากขึ้น เนื่องจากสารเสพติดหลายชนิดมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง โดยความไวของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ ขึ้นกับโปรตีนตัวรับในสมอง

กาแฟที่มีคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นสมอง ทำให้มีผลต่อการนอนหลับ โดยพบว่าจะหลับได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการดื่มกาแฟใกล้เวลาเข้านอน ผลดังกล่าวเกิดขึ้นได้แม้จะเป็นกาแฟที่สกัดคาเฟอีนก็ตาม

สารนิโคตินในบุหรี่จะออกฤทธิ์กระตุ้นสมอง ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่บ่อยมักมีปัญหาหลับได้ยากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

การดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ก่อนนอน อาจช่วยทำให้ง่วงหรือรู้สึกหลับได้ง่ายขึ้น แต่ผลที่ตามมาหลังจากแอลกอฮอล์ถูกเผาผลาญในร่างกายประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังจากนั้น จะทำให้เกิดสารที่ไปรบกวนการนอนหลับ โดยมักจะหลับๆ ตื่นๆ หลับไม่ลึก ตลอดทั้งคืน

เวลาการเข้านอน หลายคนมักเข้านอนไม่เป็นเวลาและแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละคืน รวมถึงคนที่ต้องทำงานเป็นกะด้วย อาจจะทำให้มีผลต่อการนอน คือ นอนไม่หลับได้ การพยายามปรับเวลาเข้านอน-ตื่นนอนให้สม่ำเสมอ จะช่วยให้ปัญหานี้ดีขึ้นได้

พฤติกรรมการเรียนรู้ หลายคนนอนไม่หลับหลังจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นคลี่คลายลงไปแล้ว การนอนไม่หลับยังคงดำเนินอยู่ และอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน คือ ความวิตกกังวลว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ใจจดใจจ่อกับนาฬิกาว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว บางคนถึงกับกลัวห้องนอน หรือการนอนเลยทีเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะหลับ เช่น นอนอ่านหนังสือบนโซฟา หรือนอนฟังวิทยุนอกห้องนอน กลับเผลอหลับได้ง่ายขึ้น

พฤติกรรมการเรียนรู้เหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง การรักษาปัญหานอนไม่หลับลักษณะนี้จะมุ่งที่พฤติกรรมการนอน, การลดความวิตกกังวล และการทำให้บรรยากาศของห้องนอนของเดิมนั้นเปลี่ยนไปและทำให้เกิดความรู้สึกง่วง สงบ และอยากนอน

ความเจ็บป่วยทางกาย

อาการปวด ไม่ว่าจะเป็นจากอาการปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ จะรบกวนคุณภาพและประสิทธิภาพการนอนหลับอย่างมาก

สาเหตุของนอนไม่หลับเรื้อรังเกิดจากกลุ่มอาการหายใจผิดปกติในขณะหลับ หรือหยุดหายใจเป็นพักๆ ในขณะหลับ ทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นพักๆ อาจรู้สึกได้ว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดีพอ หลับได้ไม่ลึก ไม่สดชื่น อาการหยุดหายใจจะเกิดขึ้นเป็นพักๆ อาจหลายสิบครั้งจนกระทั่งถึงหลายร้อยครั้งได้ในแต่ละคืน

ขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างหลับ ในบางรายจะพบว่าในขณะที่หลับนั้น กล้ามเนื้อที่ขาจะมีอาการกระตุกเร็วๆ เป็นพักๆ ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณทุกๆ 30-45 วินาที และอาจจะต่อเนื่องเป็นชั่วโมง หลายรอบต่อคืน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จะทำให้สมองตื่นเป็นพักๆ โดยที่คนผู้นั้นอาจไม่รู้สึกตัวตื่น ผลในตอนเช้าก็คือ จะรู้สึกว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดี

เมื่อไหร่จึงควรมาปรึกษาแพทย์

เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องการนอนที่รบกวนและมีผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างต่อเนื่อง 2-3 อาทิตย์ ขึ้นไปนั้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที หลายครั้งที่ปัญหาการนอนไม่หลับสามารถดีขึ้นได้ เพียงเข้าใจธรรมชาติของการนอน หรือปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม หรือทัศนคติบางอย่างที่มีต่อการนอนหลับ

แต่ในบางครั้งแพทย์อาจจะพิจารณาใช้ยาบางอย่าง เพื่อช่วยทำให้ปัญหาการนอนดีขึ้น หรืออาจจะต้องส่งตรวจเพื่อประเมินสภาพการนอนหลับให้ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ส่งตรวจห้องปฏิบัติการนอนหลับ เป็นต้น ปัจจุบันถือเป็นการตรวจมาตราฐานที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง สามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งของรัฐและเอกชน

พึงระลึกไว้เสมอว่าอาการนอนไม่หลับอาจเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ โดยเฉพาะโรคทางจิตเวชบางชนิด

ข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนไม่หลับ โดยเฉพาะในการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆ คลี่คลายลงไปได้ไม่มากก็น้อย การรักษาปัญหานอนไม่หลับมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร ผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ

1.เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง
2.ถ้าจะงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 นาฬิกา เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้นๆได้
3.ไม่ควรใช้เวลาอยู่บนเตียงนานๆ โดยที่ไม่หลับ ไม่ควรนอนค้างอยู่บนเตียงทั้งที่ไม่หลับ ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะชดเชยการนอนให้มากที่สุด เพราะการกระทำลักษณะนี้จะยิ่งทำให้คุณภาพการนอนยิ่งแย่ลง และเกิดความไม่ต่อเนื่องของการหลับได้มากขึ้น
4.ควรตื่นนอนในตอนเช้าให้เป็นเวลาทุกวันสม่ำเสมอ
5.พยายามหาเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีขึ้น
6.หลีกเลี่ยงยาหรือสารเคมีบางตัวที่จะมีผลต่อการนอนหลับ เช่น กาแฟ บุหรี่ เป็นต้น
7.ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้นจะไปมีผลรบกวนต่อการนอนหลับของเราเองได้ …

(จาก นสพ. ไทยรัฐ)

http://zybernia.wordpress.com/2009/07/05/sleepless-2/

นอนดึก…อันตรายกว่าที่คิด

การนอนน้อยมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันจะมีอายุสั้นกว่าวัยอันควร เนื่องจากร่างกายของเรามีกลไกทุกอย่างคล้ายนาฬิกา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรานอนผิดเวลาจะทำให้ระบบนาฬิกาตรงนี้เสียส่งผลให้ระบบของร่างกายแปรปรวน เพราะนอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ยังส่งผลดังนี้

ระบบแรกเลยที่จะต้องกระทบก็ คือ ระบบการย่อยอาหารจะสูญเสียไป ดังนั้น ถ้าวันไหนต้องนอนน้อยให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่ย่อยยาก เช่นเนื้อสัตว์ แล้วหันมารับประทานอาหารย่อยง่าย จำพวก ธัญพืช ข้าว ข้าวต้ม ไข่ นม ผลไม้ เพื่อช่วยระบบย่อย

นอกจากนี้การนอนดึกทำให้ร่างกายเสียน้ำมาก เนื่องจากร่างกายต้องใช้ “น้ำ” ในการสร้างพลังงาน,ระบายความร้อนและของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เป็นเช่นนี้มากเข้าทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดูดซึมน้ำในทางเดินอาหารซึ่งส่งผลให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนอีก เพราะฉะนั้นหากต้องนอนดึกเราต้องดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำแร่ แต่ไม่ควรดื่มน้ำเกลือแร่ประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะมีคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวขับน้ำออกมาเกิดภาวะขาดน้ำมากขึ้น

นอกจากผลกระทบทางด้านร่างกายแล้วยังส่งผลถึงผิวพรรณให้ดูไม่สดใส ขอบตาดำ มีสิวฝ้าขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อน้ำในร่างกายไม่พอก็ต้องดูดน้ำจากทางเดินอาหารซึ่งโดยปกติแล้วทางเดินอาหารส่วนปลายเป็นช่วงที่จะไม่มีการดูดซึมแล้ว แต่เมื่อไม่พอใช้ก็จะถูกดูดซึมกลับเข้ามาอีกและในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของเสียจึงเป็นการดูดของเสียเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองเมื่อน้ำเหลืองคั่งเสียทำให้เกิดภาวะสิวฝ้าขึ้นนั่นเอง

การนอนที่มีผลต่อสุขภาพคือการนอนระดับใด?
โดยปกติแล้วเวลาที่คนเรานอนหลับช่วงแรกที่นอนนั้น คลื่นสมองจะอยู่ในระดับตื้น แล้วลงไปเป็นลึก สลับกันอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เราหลับลึกจริงๆ นั้น อยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง/วัน ดังที่เราเคยได้ยินว่า พระธุดงค์ โยคี ที่ฝึกมาดี ท่านจะใช้เวลานอนน้อยมาก หรือไม่นอนเลยก็มี เพราะจริงๆ แล้ว เวลาที่สมาธิลงไปถึงคลื่นลึกนั้น คือ การนอนนั่นเอง ซึ่งร่างกายคนเราก็ต้องการอย่างนั้นวันละ 3-4 ชั่วโมงเอง แล้วเวลาท่านนั่งสมาธิลงไปลึกขนาดนั้นร่างกายซ่อมเลยกระบวนการของร่างกายดีขึ้นมาหมด สำหรับคนทั่วไปที่ทำสมาธิจิตไม่ได้ถึงระดับนั้นการนั่งสมาธิก่อนนอนก็ช่วยนำจิตให้ดิ่งไปสู่คลื่นที่ลึกลงไปทำให้ได้การนอนที่มีคุณภาพ “หลับก็ในอู่ทะเลบุญ” ตื่นมาก็สดชื่น

“ความจริงแล้วถ้าเรานอนให้พอ แล้วพอถึงคราวทำงานสามารถทำงานได้อย่างตั้งใจ และมีประสิทธิภาพที่ดีจะเป็นประโยชน์มากกว่า  สังเกตชาวเยอรมันจะเป็นคนที่มีวินัยดีมาก ถึงคราวทำงานทำจริงจัง ทำเต็มที่แต่เมื่อถึงเวลาพัก กล้าพักเลย ประเทศอื่นเวลาทำงานจะทำจันทร์-ศุกร์ แล้วพักเสาร์-อาทิตย์ แต่ของชาวเยอรมันถึงช่วงบ่ายของวันศุกร์พักแล้ว เย็นวันอาทิตย์ก็กลับมา พอถึงเวลาทำงานก็ทำอย่างจริงจัง รวมเวลาทำงานแล้ว 4 วันครึ่ง แต่ได้ผลงานมากกว่าคนที่ทำงาน 5-6 วันเสียอีก เพราะเวลาทำงานไม่มีอู้เลยทุ่มเต็มที่ แต่พอถึงเวลาพัก กล้าพัก อย่างนี้กลับมีประสิทธิภาพและคุณภาพในการดำเนินชีวิตดีกว่า”…

http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99.html

วิธีการขจัดกลิ่นปาก

กลิ่นปากเป็นปัญหาหนึ่งที่สร้างความกังวลใจ และความรู้สึกไม่มั่นใจ สำหรับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะพยายามใช้น้ำยาบ้วนปาก ยาอม หรือสเปรย์ดับกลิ่นปาก ก็ให้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้ายังไม่ได้รับการแก้ไขที่สาเหตุที่ถูกต้อง กลิ่นปากก็ยังคงอยู่ ซึ่งกลิ่นเหม็นนี้เกิดขึ้นได้คล้าย ๆ กับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นผลมาจากแบคทีเรียกลุ่มที่ทำให้เกิดการย่อยสลายโดยไม่ต้องการอากาศ

ดังนั้น บริเวณใดที่มีเศษอาหารตกค้าง แบคทีเรียก็ทำให้เกิดการบูดเน่าและมีกลิ่นเหม็นขึ้นได้ อะไรก็ตามที่มีผลให้มีเศษอาหารตกค้างหมักหมมก็จะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ บริเวณที่จะพบบ่อย ๆ คือที่ลิ้น ร่องเหงือก ใต้ขอบเหงือก ส่วนอื่นที่สามารถพบได้อีกคือ บริเวณที่อุดฟัน ครอบฟันไม่พอดี การเป็นโรคปริทันต์ เหงือกอักเสบ มีฟันผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ ทำให้มีเศษอาหารตกค้างในบริเวณดังกล่าว จึงเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกตกค้าง ที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้

การแก้ปัญหามีกลิ่นปาก ด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปาก สเปรย์ หรือลูกอมรสมินต์ เป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมากด้วย การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมคลอเฮ็กซิดีนในระยะยาวจะมีผลเสีย ทำให้เกิดคราบสีที่ฟัน ซึ่งน้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้กำจัดสาเหตุที่แท้จริงออกไป ทำให้อาการของโรคถูกปิดบังจนเกิดอาการรุนแรงได้โดยไม่รู้ตัว และในบางครั้งกลิ่นของน้ำยาบ้วนปากก็อาจผสมกับกลิ่นปากจนทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดของการรักษากลิ่นปากก็คือ การค้นหาและกำจัดโรคที่เกิดขึ้น และการแปรงฟันที่สะอาดอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

แปรงฟัน
แปรงฟัน

จึงสรุป 10 วิธีของการขจัดกลิ่นปาก ดังนี้ค่ะ
1. ดูแลใส่ใจสุขภาพในช่องปากให้ดี ด้วยการแปลงฟันอย่างน้อยวันล่ะสองครั้ง เช้าและก่อนนอน หรือแปลงฟังทุกครั้งหลังอาหารก็จะช่วยทำให้ไม่เกิดการสะสมของเศษอาหารในช่องปาก

2. โคนลิ้นเป็นที่อยู่ของแบคทีเรีย อาจจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ การทำความสะอาดโคนลิ้นทุกครั้งหลังที่แปลงฟัน จึงมีความสำคัญมาก โดยใช้แปลงสีฟัน หรือแปลงทำความสะอาดลิ้นโดยเฉพราะก็จะได้ผลดี

3. หลังแปลงฟันตอนก่อนนอน ควรที่จะกลั่วปากด้วยน้ำยาทำความสะอาดทุกครั้ง เพราะว่าน้ำยาจะเคลือบอยู่ในปากเราได้นานในเวลานอน นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดกลิ่นปากในเวลานอนที่มีน้ำลายหลั่งออกมาน้อยได้อีกด้วย

4. น้ำจะช่วยล้างแบคทีเรียที่ออมาจากน้ำลาย ถ้าเราปล่อยให้ปากแห้ง แบททีเรียในปากก็จะเพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นปาก เพราะฉะนั้นในแต่ละวัน เราจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงวพอ

5. ควรงดอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียม หอมใหญ่ เนยแข็งพริกไทย และอาหารที่ให้เกิดกลิ่นฉุนผักชีฝรั่งที่ใช้โรยหน้าอาหารนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะมันจะเป็นตัวช่วยระงับกลิ่น ปากหลังมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี

6. ใบสะระแหน่ หรือใบมิ้นท์ ก็เป็นผักอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถช่วยให้ลมหายใจของเรา หอมสดชื่นขึ้นได้

7. การพกหมากฝรั่งหรือลูกอมกลิ่นมิ้นท์ติดตัวได้ จะช่วยเรื่องกลิ่นปากได้เยอะ แต่ต้องเป็บแบบไม่มีน้ำตาลนะครับ จะฟันผุครับ

8. ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ รับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากๆ เพราะการรับประทานอาหารที่ดีนี่แหละ ที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างปกติ

9. เลิกไปเลยดีกว่าสำหรับพวกชา กาแฟ และเครื่องพวกที่มีแอลดฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงการสูบบุหรี่ด้วย เพราะว่าการบริโภคสิ่งเหล่านี้ อาจจะทำให้สุขภาพในช่องปากไม่ดีได้

10. ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันทุกหกเดือนเพื่อรักษาสุขภาพปากและฟันให้ดีที่สุด

หมดปัญหากลิ่นปาก
หมดปัญหากลิ่นปาก

แหล่งที่มา : http://www.krabork.com/2012/05/11/วิธีการขจัดกลิ่นปาก/

http://health.kapook.com/view31533.html

http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81/