ประโยชน์ของข้าวไรซ์เบอร์รี่

images1

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูงเป็นอย่างมาก โดยคุณประโยชน์ที่เด่นชัดคือ ในน้ำมันรำข้าวและรำข้าวนั้นมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดี อุดมไปด้วยโฟเลตในปริมาณสูง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายได้แก่ เบต้าแคโรทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามินอี วิตามินบี 1 ลูทีน แทนนิน สังกะสี โอเมก้า 3 ธาตุเหล็ก โพลีฟีนอล และเส้นใยอาหาร เป็นต้น ซึ่งสารอาหารเหล่านี้นั้นมีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา บำรุงระบบประสาท และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง รวมถึงป้องกันโรคต่างๆมากมายได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคสมองเสื่อม และโรคโลหิตจาง เป็นต้น รวมทั้งมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน ช่วยชะลอความแก่ ลดระดับไขมัน และคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นทั้งข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยและเป็นสมุนไพรไทยไปในตัวกันเลยทีเดียว

ข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นข้าวที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ผู้สูงวัย ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และโรคโลหิตจาง รวมถึงสตรีมีครรภ์ เพราะอุดมไปด้วยโฟเลตในปริมาณสูง จึงช่วยป้องกันครรภ์เป็นพิษและช่วยให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่

นอกจากนี้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ยังได้รับความนิยมในการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยประโยชน์ที่มากมายจึงนิยมนำไปใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารโภชนบำบัดในทางการแพทย์ รวมถึงนำไปแปรรูปเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากมาย ได้แก่ ซูชิ โดนัท คุกกี้ เครื่องดื่มผงสำเร็จรูป และข้าวตัง เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88/

แจกสูตรวิธีทำกุ้งเด้ง กรอบ

เคล็ดลับ นั้นก็คือ เริ่มจากการเลือกซื้อกุ้ง คือ ต้องเป็นกุ้งสดเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับต้องเป็นกุ้งตัวเป็นๆ เพียงแค่การเลือกซื้อกุ้งนั้น ต้องเป็นกุ้งที่หัวติดแน่นกับลำตัว กุ้งสดหัวจะไม่เป็นสีดำ ตาต้องใส เนื้อแน่น ครีบและหางต้องไม่เป็นสีชมพู สีจะไม่ซีด และไม่มีกลิ่นเหม็น
จากนั้นเรามาเริ่มทำกุ้งเด้งกันเลย!!

สิ่งที่ต้องเตรียม
-กุ้งสด
-เกลือ
-น้ำแข็ง

วิธีทำกุ้งเด้ง

1. ทำการแกะเปลือกกุ้ง และเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้งออก (ถุงดำๆ บนหัวกุ้ง) เพราะในส่วนหัวของกุ้งจะมี ถุงขี้กุ้งอยู่ ซึ่งจะทำให้ตัวเอ็นไซม์กุ้ง ออกมาย่อยสลายเนื้อกุ้งโดยธรรมชาติของมัน ซึ่งถ้าเราซื้อกุ้งสดมา ถ้ายังไม่ได้นำไปประกอบอาหารอะไร ควรเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้ง นั้นออกเสียก่อน เพื่อให้กุ้งยังคงความสดอยู่ได้เพิ่มขึ้น จากปกติ

2. นำกุ้งไปคลุกเคล้ากับเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน และล้างออกด้วยน้ำเย็น นำไปคลุกเกลือเพราะจะทำให้กุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวได้ดียิ่งขึ้นนั้นเอง เนื่องจากถ้ากุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวน้อยเท่าไรก็จะทำให้ เนื้อกุ้ง ยิ่งแห้ง มากขึ้นเท่านั้น

3. นำกุ้ง ที่ล้างน้ำแล้ว มาแช่ไว้ในน้ำที่ใส่เกลือผสมอยู่ (ใส่น้ำให้พอมิดตัวกุ้ง) แล้วนำน้ำแข็งมาโปะไว้ด้านบน รอจนน้ำแข็งละลาย

เพียงแค่นี้ เราก็ได้กุ้งเด้งไว้ปรุงอาหารรับประทานกันแล้ว ง่ายมากๆเลยใช่ไหมค่ะ วิธีทำแสนง่าย แถมยังปลอดภัยจากสารเคมีอีกด้วย อย่าลืมลองไปทำกันดูนะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://newsupdate.thaiautocars.com/2016/03/blog-post_563.html

5 เคล็ดลับ ดูแลผิวหน้าร้อน

1. ครีมกันแดด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญแสงแดดก็คือครีมกันแดดค่ะ และสำหรับแสงแดดที่แผดจ้าอย่างนี้สาวๆ ต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปถึงจะพอค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะสู้แสงแดดแรงๆ ไม่ได้นะเออ

2. ดื่มน้ำให้ได้ 8-10 แก้ว การดื่มน้ำเยอะๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวในฤดูร้อนที่ผิวมักจะแห้งอย่างนี้ค่ะ

3. น้ำเย็นช่วยฟื้นฟูผิว ไม่ว่าคุณจะออกไปโดนแดดมาเป็นเวลานานหรือแดดจะแรงเท่าไหร่ กลับมาบ้านลองใช้น้ำเย็นล้างหน้ารับรองว่านอกจากจะรู้สึกผิวสดชื่นเย็นสบายแล้วน้ำเย็นยังจะช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้เป็นอย่างดีด้วยค่ะ

4. อย่าใช้รองพื้นที่หนาเกินไป เพราะคุณจะสวยได้ไม่นานหน้าก็จะมันเยิ้มจากการเผชิญแสงแดดร้อนจ้า ซึ่งแน่นอนว่า การที่ครีมรองพื้นละลายเข้ากับความมันบนใบหน้าแล้วใบหน้าคุณก็จะมีสิวเห่อเอาได้ง่ายๆ ดังนั้น ควรทาครีมกันแดดและรองพื้นบางๆ ก็พอค่ะ หรือไม่ก็ทาแป้งแบบชริมเมอร์ก็ช่วยเรื่องความสว่างสดใสได้เยอะส่วนเครื่องสำอางนั้น ลองเลือกที่กันน้ำได้ก็จะลดปัญหาเครื่องสำอางละลายเปื้อนใบหน้าได้ค่ะ

5. ทานผลไม้หรือน้ำผลไม้กันบ่อยๆ เช่น แตงโม แคนตาลูป หรือผลไม้ธาตุเย็น เพราะผลไม้ประเภทนี้จะอุดมไปด้วยน้ำที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพอๆ กับน้ำเลยล่ะ แต่ดีตรงที่มันมีรสชาติดีและอาหารบำรุงผิวที่คุณจะได้มาพร้อมกับความหวานอร่อยของมันนั่นเอง ดังนั้น ทานผลไม้เยอะๆ กันให้ได้ทุกวันนะค่ะ

-ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/vanatoey/2014/02/07/entry-4

ข้อดีข้อเสียของเบียร์

เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนติดใจเป็นหนักหนา เพราะรสชาติที่มันนุ่มลิ้นดีแท้ นักวิจัย กล่าวว่า เบียร์นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดีต่อหัวใจ จากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Emory กล่าวว่าผู้หญิงและผู้ชายสูงอายุ 2,200 คน ที่ดื่มเบียร์วันละ 1.5 แก้วต่อวัน จะมีการเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ เบียร์ยังดีต่อสมองอีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ในบอสตัน พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์ตั้งแต่หนึ่งถึง 6 แก้วต่อสัปดาห์ จนถึงผู้ที่ดื่ม 7-14 แก้วต่อสัปดาห์ จะเกิดอาการชักได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเลย แต่ถ้าผู้ที่ดื่มเกินกว่านี้ก็จะมีอาการชักได้มากที่สุด เพราะเบียร์สามารถช่วยลดขนาดเม็ดเลือดและไม่ทำให้เลือดไปครั่งที่สมองได้

วันนี้เรานำเกร็ดความรู้มีประโยชน์ และโทษของการดื่มเบียร์มาฝากกัน…

เริ่มจากประโยชน์ของเบียร์ก่อนเลยค่ะ

ประโยชน์ของเบียร์มีมากมายเลยทีเดียวค่ะ นอกจากจะมีสารต่าง ๆ มากกว่า 1,000 ชนิด อีกทั้งมีทั้งวิตามิน เกลือแร่ ที่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง ใครที่ชอบดื่มเบียร์คงจะถูกใจมิใช่น้อย เมื่อได้ยินว่า เบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะมีข้อดียังไงก็ควรดื่มแค่ควรก็พอค่ะ วันนี้เราจึงแนะนำ ประโยชน์ของเบียร์ ให้ได้ศึกษาเอาไว้ ดังนี้

ป้องกันโรคหัวใจ

จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 – 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต

แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน

ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึง ไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์

ช่วยให้กระดูกแข็งแรง

เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน

จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 – 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง

โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต

นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรค นิ่วในไตได้ถึง 40%

ป้องกันโรคนอนไม่หลับ

สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง

เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็งโดยการดักจับอนุมูลอิสระตัว ร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย

ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

ทุกๆ อย่างในโลกของเราก็จะมีทั้งให้ประโยชน์ และให้โทษเสมอนะค่ะ มาศึกษาถึงผลเสียของการดื่มเบียร์กันบ้างค่ะ ดังนี้เลยค่ะ

ผลเสียของเบียร์ :
ไม่ใช่เฉพาะเบียร์ที่จะทำให้เกิดผลเสียเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทำให้เกิดผลเสียทุกชนิด โดยเฉพาะกับตับ  ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เข้าไป
ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเสียหาย ร่างกายก็จะเต็มไปด้วยพิษ แถมที่สำคัญเบียร์ทำให้บวมอ้วนอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะดื่มเบียร์ครั้งต่อไป ก็ลองคิดให้ดีๆ  ว่าร่ายกายเราพร้อมแค่ไหนก่อนดื่มนะค่ะ

เพื่อสุขภาพที่ดีต้องดื่มให้เป็น  และพอประมาณนะค่ะ  ถ้าอะไรที่มากเกินไปก็จะส่งผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพเราได้ค่ะ….

– See more at: http://www.thaiall.com/blogacla/nok/3092/#sthash.SoHqXJlV.dpuf

วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้แบนราบอย่างรวดเร็ว

คนส่วนใหญ่โดยทั่วไป มักจะมีไขมันส่วนเกินสะสมตัวอยู่ริเวณหน้าท้องส่วนล่างอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งเจ้าไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นเสมือนเบาะ ที่คอยรองรับป้องกันอวัยวะบริเวณนั้นจากแรงกระแทกภายนอกร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไขมันเหล่านั้นมีการสะสมตัวจนมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า “ลงพุง” ยื่นออกมาน่าเกลียด จนทำให้ร่างกายโดยรวมดูไม่สวยงาม สวยเป๊ะ อย่างที่ควรจะเป็น แถมพุง ยังเป็นบ่อเกิดของการเกิดโรคภัยต่างๆ อีกมามาย ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลืองสมอง เป็นต้น ดังนั้น วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้อยู่ในเกณฑ?มาตราฐาน จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณให้ความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง

วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง
ให้แบนราบอย่างรวดเร็วมีเคล็ดลับอย่างไรบ้าง?
สำหรับ วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้ลดลงอย่างรวดเร็วนั้น มีขั้นตอน และข้อปฎิบัติที่ไม่ได้ยากเย็นจนเกินเกินไป เพียงแค่ทำตามหลักการ วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ดังต่อไปนี้

1.ปรับสมดุลอาหาร การทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารที่มีไขมันน้อย มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย และที่สำคัญทำให้รู้สึกอิ่มง่าย ได้แก่ ทูน่า แอปเปิ้ลเขียว ไข่ต้ม อาหารลดพุงมีส่วนช่วยลดไขมันได้ดี แถมยังช่วยร่างกายไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก

2.ชาสมุนไพรช่วยลดพุงได้ การดื่มชาสมุนไพรเป็นประจำ สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญอาหาร ช่วยทำความสะอาดอวัยวะภายในร่างกาย ลดความเครียด อย่างเช่น ชาเขียว ที่มีสาร EGCG อยู่มากกว่าชาชนิดอื่น ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ดังนั้นการดื่มชาเขียวเป็นวิธีลดหน้าท้องแบบธรรมชาติที่ดีวิธีหนึ่ง

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม เริ่มต้นด้วยท่าแรก “บริหารเอว” ให้นอนหงาย แล้วยกขาขวาขึ้นโดยให้ตาตุ่มของขาขวาวางอยู่บนเข่าซ้าย เหยียดมือซ้ายไปทางด้านหลังศีรษะ ส่วนมือขวาวางไว้กับพื้น ยกไหล่ซ้ายขึ้นเหนือพื้นจนกระทั่งไหล่ของคุณแตะกับเข่าขวา แล้วลงนอนราบกับพื้นเหมือนเดิม ทำซ้ำให้ครบหนึ่งเซ็ตสำหรับข้างนี้ แล้วทำสลับอีกข้าง

ต่อมาให้บริหารหน้าท้อง โดยนอนหงายระนาบไปกับพื้น ไขว้ขาโดยวางส้นเท้าซ้ายทับบนหัวแม่เท้าขวา ใช้มือซ้ายวางรองใต้คอ ส่วนมือขวาถือดัมเบลล์หรือขวดน้ำขนาดพอเหมาะยกขึ้นบนอากาศ ยกไหล่ขึ้นจากพื้นจนคุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อท้องส่วนล่างเกร็ง และค้างไว้ในท่านี้สักหนึ่งวินาที แล้วลงนอนราบ นับเป็นหนึ่งครั้ง

สุดท้ายจบด้วยท่ากระชับหน้าท้องส่วนกลาง ให้นั่งตัวตรงพร้อมกับเหยียดขาและแขนทั้งสองออกไปด้านหน้า ค่อยๆโน้มตัวลงจนถึงพื้น โดยพยายามให้แขนทั้งสองข้างลงอยู่เหนือศีรษะ หายใจออกแล้วยืดตัวขึ้นกลับเข้าสู่ท่านั่งเดิม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ลดคอเลสเตอรอล

แม้ว่าคอเลสเตอรอลจะมีประโยชน์ในด้านการเสริมสร้างพลังงานแก่ร่างกายของคน แต่ถ้ามีมากจนล้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอเลสเตอรอลตัวที่ไม่ดีนั้น อาจส่งอันตรายถึงชีวิต และนี่ก็คือสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนไทยตายปีละหมื่นๆ แสนๆ คน
แพทย์หญิง คุณสวรรยา เดชอุดม ประธานโครงการอาหารไทยหัวใจดี มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความรู้ว่า คอเลสเตอรอลในร่างกายคนเรามีอยู่สองแบบด้วยกัน คือ

1.  Low-density lipoprotein หรือ LDL คือคลอเลสเตอรอลที่ไม่ดี เพราะสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและอุดตันเส้นเลือดแดงได้
2.  High-density lipoprotein หรือ HDL เป็นคอเลสเตอรอลที่ดีต่อร่างกาย เพราะช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกไปจากระบบการทำงาน

“คอเรสเตอรอลมีทั้งที่มีประโยชน์ ถ้ามีในปริมาณที่พอดี แต่ก็เป็นโทษได้ หากมากเกินไป เพราะมันอาจจะทำให้เกิดตะกรันในหลอดเลือด ทำให้เกิดอันตราย อย่างถ้าไปขังกันเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ก็อาจจะทำให้เสียชีวิตกะทันหัน หรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้” แพทย์หญิง คุณสวรรยา กล่าว   โดยหลักการ 80% ของคอเลสเตอรอลนั้น ถูกผลิตขึ้นมาจากตับ แต่อีก 20% นั้นก็มาจากอาหารที่คุณเลือกรับประทานเข้าไป ดังนั้น หลักง่ายๆ ในการดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้คอเลสเตอรอลสูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่บริโภคไขมันอิ่มตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้ตับผลิตคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกมามากมาย

แพทย์หญิง คุณสวรรยา กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การมีคอเลสเตอรอลที่สูงจนเป็นปัญหา มีอยู่ 10 ประการด้วยกัน คือ
1.บุหรี่    2.ความดัน      3.ไขมันปกติ ทั้งดีและเลว    4.เบาหวาน    5.ไตรกีเซอไรด์    6.อ้วนลงพุง    7.ความเครียด  8.เกลือ       9.น้ำตาล     10.ไม่ออกกำลังกาย

“จำไว้ว่า คอเลสเตอรอลอย่างเดียวไม่ให้โทษ เช่น ถ้าเรามีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความดันไม่สูงด้วย ก็ไม่เป็นไร หรือไม่มีเบาหวานและไขมันในร่างกายปกติ ก็ไม่เป็นไร และเหนืออื่นใด คอเลสเตอรอลจะสูงหรือไม่นั้นก็เกิดจากน้ำมือของเราเอง มือของเราที่หยิบอาหารใส่ปาก” คุณหมอประธานโครงการอาหารไทยหัวใจดี กล่าว

ทั้งนี้ อาหารที่กินแล้วดีมีประโยชน์ ไม่ให้โทษในด้านคอเรสเตอรอล จะต้องกินอะไรบ้าง? คุณหมอบอกไว้ ดังนี้
1.  ทานปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
2.  ทานถั่วเมล็ดแห้งสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
3.  ทานผักในตระกูลครูซิเฟอรัสทุกวัน ได้แก่ ผักคะน้า บร็อกโคลี ดอกกะหล่ำ แขนงผัก กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
4.  ทานผักที่มีสีสันต่างๆ และผลไม้ให้หลากหลายทุกวัน
5.  ผลิตภัณฑ์ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสีทุกวัน เช่น ข้าวซ้อมมือ
6.  เลือกน้ำมันในการประกอบอาหาร
7.  รับประทานผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย หรือนมขาดไขมันแทนผลิตภัณฑ์นมเต็มไขมัน
8.  ควบคุมปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ไม่เกินวันละ 200 กรัม
9.  ทานกระเทียมสดเป็นประจำ

—————————–ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000091023

คาถาเสริมโชคลาภประจำวันเกิด

เสริมดวงการเงินด้วยการสวดมนต์ เพื่อรับทรัพย์ร่ำรวยกันตั้งแต่ต้นปีกับ “คาถาเสริมโชคลาภประจำวันเกิด”  เกิดวันไหนเลือกกันได้เลยค่ะ

สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ สวดในวันอาทิตย์ 6 จบ

ฉิมพะลี จะมะหานามัง สัพพะลาภัง ภะวิสสะติ เถรัสสานุภา เวนะ สะทาโหนติ ปิยังมะมะฯ

สำหรับคนที่เกิดวันจันทร์ สวดในวันจันทร์ 15 จบ

ยังยัง ปุริโสวา อิตถีวา ทูเรหิวา สะมิเปหิวา เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยังมะมะฯ

สำหรับคนที่เกิดวันอังคาร สวดในวันอังคาร 8 จบ

ฉิมพลี จะ มะหาเถโร โสระโหปัจจะยาทิมหิ ไชยยะลาโภ มะหาลาโภ สัพพะลาภา ภะวันตุ สัพพะทาฯ

สำหรับคนที่เกิดวันพุธ สวดในวันพุธ 17 จบ

ทัตติถะภะเวราชา ปิยาจะ คะระตุเม เย สะรัตติ นิรันตะรัง สัพพะสุขาวะหาฯ

สำหรับคนที่เกิดวันพฤหัส สวดในวันพฤหัสบดี 19 จบ

ฉิมพะลี จะ มหาเถโร ยักเขเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ สัพพะทาฯ

สำหรับคนที่เกิดวันศุกร์ สวดในวันศุกร์ 21 จบ

ฉิมพะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มะหาลาภัง กะโรเนตุ เม ลาเภนะ อุตตะโม โหติ สัพพะ ลาเภ ภะวันตุ สัพพะทาฯ

สำหรับคนที่เกิดวันเสาร์ สวดในวันเสาร์ 10 จบ

ฉิมพะลี จะ มะหานามัง อินทราพรหมา จะปูชิตัง สัพพะ ลาภัง ประสิทธิเม เถรัสสานุภาเวนะ สะทา สุขี ปิยังมะมะฯ

สวดมนต์กราบพระทุกวันก่อนออกจากบ้านเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ตน ตื่นแต่เช้าสวดมนต์ประจำวัน อานิสงส์คือสมาธิแน่วแน่ สติมั่นคงจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง สวดเป็นประจำ จะประสบโชคลาภ…

—————————–ขอบคุณข้อมูลจาก myhora.com

7 สัญญาณจากเล็บ บอกว่าร่างกายเริ่มไม่ดี

1. เล็บแตก

เล็บแตกปลาย เล็บอ่อนแอจนหัก นอกจากจะบอกว่าคุณควรพักการทำเล็บได้แล้ว ยังเป็นสัญญาณเตือนเรื่องปัญหาผิวด้วย ตามที่ดร.จูเลียบอก มันคือโรค Darier’s Disease ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมเกิดจากยีนผิดปกติ อาการคือเป็นตุ่มแดงขึ้นทั่วตัว

2. เล็บมีรอยบุ๋ม

หรือที่เรียกว่า “spoon nails” คือบุ๋มลงไปเป็นหลุมตื้นๆ หรือเล็บแบนติดกับเนื้อนิ้วเลย มันบอกเราว่าร่างกายกำลังขาดธาตุเหล็ก

3.  เล็บกระบอง

อาการคือเล็บและปลายนิ้วจะบวมเป็นตุ้มกลมๆ และเล็บแบบนี้กำลังเตือนเธอว่า ร่างกายเธอไม่ปกติแล้วแหละ ส่วนใหญ่จะลิงค์กับปัญหาหัวใจ ปอด และตับ

4. เล็บเหลือง

ถ้าเหลืองแบบจางๆ คุณควรจะพักเล็บจากการทาสีทาเล็บเคลือบเอาไว้ เพราะเล็บขาดออกซิเจน แต่ถ้าเหลืองแบบออกสีชัดเจนเลย คือเล็บเป็นเชื้อรา และอาจจะบอกถึงปัญหาที่ปอด รีบหาหมอด่วนๆ

5.  เล็บขาวซีด

“ถ้าทั้งเล็บกลายเป็นสีขาวซีด นั่นคือเชื้อรา แต่ถ้ากดลงไปแล้วเล็บยังเปลี่ยนเป็นสีชมพูเพราะแรงกด ต้องระวังเรื่องตับให้ดี” ดร.จูเลียบอก

6.  เล็บเขียว

เราว่ามาถึงขั้นนี้ได้ เธอก็น่าจะต้องสังเกตเห็นแล้วเพราะถึงขั้นผิดปกติมากๆ !! สีเขียวคืออาการติดเชื้อ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนให้เล็บกลายเป็นสีเขียว เจอปุ๊บ รีบวิ่งไปโรงพยาบาลด่วน

7.  เล็บเป็นคลื่น เป็นริ้ว

โดยธรรมชาติอยู่แล้วที่ทุกคนจะมีริ้วๆ อยู่บนหน้าเล็บ แต่เมื่อไรที่ริ้วเริ่มชัด จับแล้วรู้สึกได้ มันคือสัญญาณบอกถึงปัญหาผิว อาจจะเป็นผื่นคันได้

————–ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sanook.com

วิธีการทำบุญ โดยไม่ต้องไปวัด

การทำบุญทำทานนั้นสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลาที่คุณมีโอกาส วันนี้ มีวิธีการทำบุญให้ได้บุญโดยไม่ต้องไปวัดมาบอกกันค่ะ  วิธีเหล่านี้ขอเพียงมีจิตใจที่บริสุทธิ์เเละมีความตั้งใจก็จะได้บุญมหาศาลเเล้วล่ะค่ะ

1. ดูเเลพ่อเเม่ ปู่ย่าตายาย ที่อยู่ในบ้านให้ท่านมีความสุข อย่าทำให้ท่านเดือดร้อนใจหรือเป็นทุกข์ ถ้ามีโอกาสอาจซื้อของมาฝากเเละเรียกพวกท่านให้รับประทานอาหารที่เราซื้อมา

2. ตักบาตรตอนเช้าก่อนที่จะไปทำงาน

3. สวดมนต์ วันละ 1 บท

4. ถวายน้ำเปล่า 1 เเก้ว หรือ อาหารคาวหวาน หรือจะเป็นดอกไม้ พวงมาลัย ให้พระพุทธรูปที่บ้าน

5. นั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที

6.ไม่กินเนื้อสัตว์

7.พูดคุยหรือสั่งสอนเรื่องธรรมะ

8. ทำบุญกับพระสงฆ์ที่พบระหว่างการเดินทาง เช่น หากพบเจอพระสงฆ์ ยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก็อาจจะไปบอกท่านว่า เราต้องทำบุญ เนื่องจากไม่มีเวลาจะไปที่วัดเเละขอเสนอตัวไปขับรถไปส่งท่าน ณ จุดหมายหรืออาจถวายเงิน ผ้าไตร ผ้าจีวร หากพบว่าท่านกำลังซื้ออยู่หรือมีร้านอยู่ใกล้ๆ พอดี

9. ถ้าทราบว่าใครเดือดร้อนเรื่องใดๆ ก็ให้เหลือด้วยความเต็มใจเเละเราก็จะต้องไม่เดือดร้อน ทำตามกำลังความสามารถของเรา อาทิ ช่วยคนเเก่ให้ข้ามถนน เเอบได้ยินคนคุยกันว่าไม่มีเงินกินข้าวหรือเดินทาง

กลับบ้านที่ต่างจังหวัดก็ให้เงินเขาไปทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เดินมาขอ เป็นต้น

10. ให้คำเเนะนำที่ดีๆ กับผู้ที่มีความทุกข์เเละมาขอคำเเนะนำจากเราให้มีความสบายใจโดยที่คำเเนะนำจากเรานั้นจะต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

11. ช่วยคนที่เขาเอาของมาขายกับเรา (ยกเว้น ลอตเตอรี่นะคะ เพราะเราหวังผล การกระทำนี้จะต้องไม่หวังผลใดๆ ทั้งสิ้น)

12. ดูเเลสัตว์เลี้ยงที่บ้านเป็นอย่างดี

13. จาน ชาม กินเสร็จเเล้วควรล้างทันทีหรือถ้าไม่มีเวลาอย่างน้อยที่สุดก็ควรล้างเอาเศษอาหารออกให้หมด เพราะมดจะได้ไม่ขึ้นมาบนเศษอาหาร ทำให้เวลาล้าง ต้องราดน้ำไปที่มดทั้งหมด

14. ถือศีล 5

15. ให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นมาว่าเราไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม

16. สิ่งของที่เราไม่ใช้ก็ให้คนอื่นไปใช้ประโยชน์ นำไปบริจาค

—————ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.deedaily.com/entertainment/1483

ผักโขม ผักเพื่อสุขภาพชั้นยอด

วันนี้เราจะพามารู้จักพืชผักสมุนไพรไทย ชนิดหนึ่งกัน นั่นก็คือผักโขม หรือผักขมนั่นเองครับ ผักโขมนั้นมีหลายชนิด พอที่จะแยกได้ดังนี้

  • ผักโขมบ้าน เป็นผักโขมชนิดที่ใบกลมเล็ก มีลำต้นขนาดเล็ก ก้านของใบเป็นสีแดง ใบมีสีเขียวเหลือบแดง
  • ผักโขมหนาม มีลำต้นสูง ใบใหญ่ จะมีหนามที่ช่อของดอก จึงเป้นที่มาของชื่อ ผักโขมหนาม ใช้เฉพาะส่วนยอดอ่อนมาประกอบอาหาร
  • ผักโขมสวน ใบมีสีเขียว บริเวณเส้นกลางใบมีสีแดง เมื่อปรุงสุกแล้ว จะมีสีแดงอมม่วง
  • ผักโขมจีน เป็นผักโขมที่มีต้นใหญ่ ใบเป็นสีเขียวเข้มขอบใบหยัก ใบสดมีรสเผ็ด และมีกลิ่นฉุน

แต่ถ้าจะบอกว่าชนิดไหนเป็นที่นิยม ก็คงจะเป็น ผักโขมสวน เพราะมีใบที่โต และอ่อนนุ่ม รสชาติดี และมีคุณค่าทางอาหารทีสูงเอาเรื่อง เพราะในผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด กรดโฟเลต วิตามินซี โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม สังกะสี และโปรตีน นี่แค่ย่อยๆ ที่เด็ดกว่านั้นล่ะ เรามาดูกัน

คุณค่าทางอาหารของผักโขม

ผักโขมยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป้นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม ในคุณสุภาพสตรี

  1. ผักโขมมีสาร ซาโปนิน(Saponin)ที่ช่วยลดคอเรสเตอรอล ในเลือดได้เป็นอย่างดี และยังช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์
  2. วิตามินเอในผักโขม ช่วยในการมองเห็น และช่วยบำรุงสายตา
  3. วิตามินซี นอกจากในเรื่องป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันแล้ว ยังช่วยเสริมสร้าคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
  4. ในผักโขมนั้นอุดมไปด้วยเส้นใย จึงช่วยในระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

นอกจากผักโขมจะมีคุณค่าในด้านสารอาหารต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ผักโขมยังมีคุณค่าในด้านสมุนไพรไทยหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งตำราประมวลสรรพคุณยาไทย ของ สมาคมแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน ได้กล่าวถึงประโยชน์ด้านสมุนไพรไทยของผักโขมเอาไว้ดังนี้

ผักโขมหัด(น่าจะเป็นผัโขมบ้าน) ใช้รากปรุงเป็นยาถอนพิษร้อนใน แก้ไข้ต่างๆ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ เมื่อต้มเอาน้ำมาอาบ มีสรรพคุณในการแก้คันได้เป็นอย่างดี

ผักโขมหนาม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ตกเลือด แก้หนองใน แก้แน่นท้อง แก้กลากเกลื้อน ขับน้ำนม ระงับความร้อน แก้ไข้ แก้อาการลิ้นเป็นฝ้าในเด็ก

การนำผักโขมไปใช้ ประกอบอาหาร

ถ้าจะให้พูดคงหลายเมนู ยกตัวอย่างที่เด็ดๆ แล้วกันนะครับ เช่น ผักโขมผัดน้ำมันหอย แกงจืดผักโขมหมูบะช่อ สลักผักโขม ซุปผักโขม ยำผักโขม นำมาต้มจิ้มน้ำพริกต่างๆก็อร่อย นี่แค่อาหารไทย ถ้าใครไปทานในร้านพิซซ่า ก็จะเจอเมนูผักโขมอบชีส อร่อยไม่เบา อ้อลืมบอกในสมัยก่อน(จนถึงปัจจุบัน) นิยมทำแกงเลียงผักโขมให้แม่ที่พึงคลอดรับประทาน เพราะเชื่อกันว่าช่วยบำรุงเลือดและ เรียกน้ำนม ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงเพราะในผักโขมอุดมด้วยธาตุเหล็ก จึงสามารถช่วยตรงนี้ได้

–ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://xn--o3cepkej9b3gpeg.net/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%A1/