โรคเสี่ยง..ของเด็กยุคดิจิตอล

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ปัจจุบันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันที่เด็กๆ จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์-ไอแพท  และก็โทรทัศน์  เรามาทำความเข้าใจกับเรื่องพวกนี้กันดีกว่าค่ะ ว่ามีผลกระทบต่อลูกรักของเราอย่างไรกันบ้าง….

1. เจ้าหนูกับการดูโทรทัศน์

ช่วง 1-3 ปี

การที่เด็กนั่งดูโทรทัศน์นาน ๆ เด็กจะขาดทักษะการใช้กล้ามเนื้อที่กำลังเจริญเติบโต เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ฉะนั้น ถ้าใช้เวลาในการนั่งดูโทรทัศน์นาน ๆ จะไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์จินตนาการ ซ้ำร้ายโทรทัศน์ยังทำลายศูนย์รวมความสนใจของเด็กอีกด้วย ขบวนการเรียนรู้ของเด็กเล็ก ๆ จะฝึกการเรียนรู้จากการลงมือกระทำ จากการเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเขา เด็กที่ดูโทรทัศน์จะไม่ได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ

ช่วง 3-5 ปี

เป็นช่วงเวลาที่เด็กพัฒนาอารมณ์ความรู้สึก จิตใจ และจังหวะการหายใจ หากเด็กติดโทรทัศน์จะส่งผลกระทบต่อระบบการหายใจของเด็ก เพราะภาพมีความเร็วเกินไป เมื่อระบบการหายใจของเด็กติดขัดจะนำผลไปสู่อารมณ์ความรู้สึกและจิตใจของเด็ก ทำให้เกิดความก้าวร้าว การเล่นที่รุนแรง แล้วยังกระทบต่อสุขภาพของเด็กดังนี้ค่ะ

โทรทัศน์กับพัฒนาการทางสมอง

สำหรับเด็กเล็กโทรทัศน์มีรังสีที่มีผลเสียต่อสายตา ในขณะที่จอรับภาพทางประสาทตาของเด็กเล็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้สายตาของเด็กก่อนขวบปีจะเห็นภาพและสีต่าง ๆ ได้อย่างลางเลือน และเหมือนคนสายตาสั้น คือ เด็กอายุเดือนแรกจะมองเห็นแต่สีขาวและดำในระยะ 12-15 นิ้วนานไม่เกิน 5 วินาที เด็กอายุ 2 เดือนมองเห็นสิ่งของและสีแดง สีเขียว สีเหลือง ได้ชัดเจนในระยะไม่เกิน 20 นิ้ว และอายุ 3 เดือน มองเห็นชัดเจนในระยะ 1 ฟุต

การให้เด็กเล็กดูโทรทัศน์จะได้รับแสงที่มากเกินไปจะส่งผลต่อสายตา เช่น ระบบประสาท การปรับแสงของเลนส์ตา กล้ามเนื้อตาเกร็ง สายตาสั้น เป็นต้น และอาจทำให้ดวงตาเกิดการเหนื่อยล้าและเสียเร็วขึ้นได้ เมื่อเด็กอยู่ในวัยที่เริ่มดูโทรทัศน์ได้ 2-3 ปีไม่เกิน 15 นาที, 3-5 ปีไม่เกิน 30 นาที และ 6-8 ปี ไม่เกิน 1 ชั่วโมง

โทรทัศน์จะกระตุ้นสมองส่วนเล็ก ๆ ส่วนหน้า เป็นการรับรู้ข้อมูลโดยปราศจากการวิเคราะห์อย่างตระหนักรู้ความเร็วของภาพที่เร็วเกินไปจะทำให้เซลล์สมองของเด็กรับภาพแล้วถูกตัดทิ้ง หากดูเกิน 20 นาที ประสาทหู และตาจะล้า

การดูโทรทัศน์เป็นการใช้สมองซีกขวามากเกินไป ในสมองเด็กที่กำลังพัฒนาต้องมีการเปลี่ยนถ่ายจากซีกขวาที่ไม่มีคำพูดมีภาวะฝันไปสู่ซีกซ้ายที่ใช้ตรรกะคำพูด ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการอ่านวิเคราะห์และการฟังแบบเชื่อมโยง โทรทัศน์ไม่มีสิ่งกระตุ้นให้เด็กได้พูดโต้ตอบ มีเพียงภาพและเสียงที่ผ่านลำโพง ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) ทำให้เด็กไม่ได้พูดโต้ตอบด้วย เด็กที่ติดโทรทัศน์มากเกินไปอาจส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาช้า เนื่องจากไม่ได้มีความจำเป็นที่จะโต้ตอบทางภาษา เด็กวัยนี้ยังต้องเรียนรู้ผ่านการสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) เพื่อกระตุ้นพัฒนาการทางภาษา

2.  สุขภาพเจ้าหนูกับโทรศัพท์มือถือ

เด็ก ๆ กับโทรศัพท์มือถือที่ต้องแนบหูนั้น แบตเตอรี่เกิดความร้อน ส่งผลให้หูและศีรษะสัมผัสความร้อนโดยตรง จะทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการรับ-ส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือกระทบกับอวัยวะโดยตรงทั้งบริเวณ หู ตา และเข้าไปถึงสมองส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์และเนื้อเยื้ออ่อน ๆ ในบริเวณนั้นได้

3. สุขภาพเจ้าหนูยุคคอมพิวเตอร์+ไอแพด

นอกจากผลเสียทางสายตาแล้ว ยังมีอาการท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง คือ คีย์บอร์ดมักมีแบคทีเรียสะสมอยู่ เมื่อเด็ก ๆ เล่นคอมพิวเตอร์ อาจจะหยิบอาหารกินระหว่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีคีย์บอร์ดตั้งอยู่ แบคทีเรียเหล่านี้อาจจะเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้

ผลกระทบในระยะสั้น โรคเกี่ยวกับการปวด

เช่น อาการปวดหู ปวดศีรษะ มึนงง ขาดสมาธิ และเครียด เนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน

โรคเกี่ยวกับดวงตา

การจ้องหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานเกินกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการได้ตามมา คือ ตาพร่าและมองไม่เห็นชั่วคราว ระบบประสาท การปรับแสงของเลนส์ตากล้ามเนื้อตาเกร็ง สายตาสั้น เพราะกล้ามเนื้อตาจะบีบรัดเลนส์ตาจนล้า ถ้าระดับที่วางความสว่างไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อระบบของการกลอกตา ระบบกล้ามเนื้อและประสาท ซึ่งจะเกิดหลังจากใช้สายตานานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการดวงตาล้า ดวงตาตึงเครียด ตาช้ำ ตาแดง แสบ

สำหรับเด็กเล็กรังสีที่มาจากจอโทรทัศน์ มีผลเสียต่อสายตา เพราะจอรับภาพทางประสาทตาของเด็กเล็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้สายตาของเด็กก่อนขวบปีจะเห็นภาพและสีต่าง ๆ ได้อย่างลางเลือน และเหมือนคนสายตาสั้น

ผลกระทบในระยะยาว สมาธิสั้น

เด็กในวัยแรกเกิด ถึง 6 ปี เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดสำหรับพัฒนาการของเด็ก ซึ่งการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การกระตุ้นโดยพ่อแม่เป็นผู้สอน ดังนั้นการที่พ่อแม่ปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์นาน ๆ จะทำให้เด็กไม่มีพัฒนาการสมวัย และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคสมาธิสั้น เด็กมีสมาธิ และความจดจ่อแย่ลง จนอาจทำให้เกิดโรคความจดจ่อเสื่อมหรือสมาธิสั้น

โรคอ้วนและคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

การดูทีวีมาก ๆ สัมพันธ์กับโรคอ้วนและคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เนื่องจากการนั่งอยู่กับที่นาน ๆ การกินของขบเคี้ยวระหว่างดูทีวี และโรคอ้วนในเด็กจะมีแนวโน้มทำให้เป็นผู้ใหญ่อ้วนหรือเกิดโรคหลายโรค เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็งในลำไส้ มะเร็งเต้านม ปวดหลัง ตามมาอีก

ภาวะ “เคาช์โปเตโต้” (couch potato)

เด็กที่เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูโทรทัศน์ วิดีโอ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ไม่เคลื่อนไหวทำกิจกรรม ทำให้เป็นโรคอ้วน เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดจากภาวะเคาช์โปเตโต้ ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เด็ก ๆ ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมง เล่นเกมหรือดูทีวี เด็กเล็กไม่เกิน 30 นาที

Tips : คุณพ่อคุณแม่พาไปเรียนรู้ธรรมชาตินอกบ้าน สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น ที่สำคัญจำกัดช่วงเวลาการดูทีวี การใช้คอมพิวเตอร์และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมที่หลากหลายก็จะช่วยให้สมองของลูกรักได้มีการเรียนรู้อย่างสมดุลและป้องกันผลเสียกับสุขภาพของเด็ก ๆ ด้วยค่ะ

http://guru.thaibizcenter.com/articledetail.asp?kid=10777

ร้อยไหม…ช่วยให้กระชับได้จริงหรือ

โดย ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา ภาควิชาตจวิทยา

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

การร้อยไหม ช่วยยกกระชับได้จริงหรือ กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ว่า การร้อยไหมสามารถทำให้ผิวหนังเกิดการยกกระชับได้จริง หรือคงสภาพการกระชับได้นาน และจากรายงานผลการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยง ทำให้ผิวดูกระชับขึ้นในช่วงเดือนแรกหลังการร้อยไหม เชื่อว่าเกิดจากการที่ผิวเกิดการบวมและอักเสบจากการสอดไหม อย่างไรก็ตาม ผิวจะกลับสู่สภาพเดิมในเวลาต่อมา อีกทั้งยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเส้นใยคอลลาเจน ที่เชื่อว่ามีการสร้างใหม่จากการร้อยไหมละลายเป็นคอลลาเจนปกติของผิวหนัง หรือเกิดจากแผลพังผืดที่อาจส่งผลต่อผิวหนังในระยะยาวได้ ซึ่งการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้านั้นมีมานานแล้ว โดยในระยะแรกใช้ไหมชนิดมีเงี่ยง (barb) สอดเข้าไปในความลึกระดับชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกี่ยวชั้นใต้ผิวหนังเพื่อล็อกเนื้อเยื่อ ก็จะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ ซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยระดับหนึ่ง

ส่วนที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน จะเป็นไหมชนิดไม่มีเงี่ยง (non-barb) โดยจะสอดไหมในระนาบแนวความลึกของชั้นหนังแท้ ใช้เส้นไหมขนาดความยาวตั้งแต่ 2.5-6 มิลลิเมตร จำนวนตั้งแต่ 20 ถึงกว่า 100 เส้น สอดเข้าไปในผิวหนังที่แพทย์ผิวหนังต้องอาศัยทักษะความชำนาญสูง และยิ่งนำไหมทองมาใช้ ซึ่งไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว สิ่งที่ต้องทราบคือ การร้อยไหมทองไม่สามารถแก้ไขหรือเอาออกได้ เนื่องจากทองถูกพังผืดยึดเอาไว้ หากดึงออกมาจะทำให้ผิวบุ๋มจนเสียโฉมได้ ส่วนผลในระยะยาว หากเจ็บป่วยแล้วไม่บอกแพทย์ว่า เคยร้อยไหมทองมาก่อน เมื่อเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องมือที่ให้ความร้อน หรือเกิดกรณีรังสีแม่เหล็กวิ่งเข้าสู่ทองซึ่งเป็นโลหะ จะทำให้เกิดความร้อนจนไหม้ ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เนื่องจากรูปหน้าคนเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาที เมื่อร้อยไหมแบบถาวร หากวันหน้ามีการหย่อนคล้อยก็ต้องแก้ไปเรื่อยๆ สิ่งแปลกปลอมก็จะสะสมมากจนเกิดเป็น เนื้องอกขึ้นได้

ว่าไปแล้วมีหลายวิธีที่ช่วยให้ผิวใส กระชับ และปลอดภัย เช่น ทำความสะอาดใบหน้าให้ถูกวิธี ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะกับผิวและวัย รับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และคุณประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ที่สำคัญพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะช่วงเวลาขณะหลับเป็นเวลาที่ผิวฟื้นฟูตนเองให้กลับสดใสแข็งแรง กล้ามเนื้อใบหน้าผ่อนคลายเต็มที่ ไร้ริ้วรอย โดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมค่ะ

———

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000044447

ชีวิตประสบผลสำเร็จ ด้วย 10 วิธี

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. อย่านอนดึกตื่นสาย

เป็นเรื่องธรรมดาที่หลังจากวันทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย ใครๆก็อยากนอนแหมะอยู่กับเตียงในช่วงวันสุดสัปดาห์กันแทบทั้งนั้น แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Rush University ในสหรัฐฯ เผยว่าการนอนดึกตื่นสายทำให้ความสามารถในการจดจำลดลง และถ้าช่วงสุดสัปดาห์คุณเอาแต่นอนตื่นสาย มันก็จะส่งผลต่อการทำงานในวันจันทร์ต่อมาอีกด้วย ดังนั้นถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ตั้งนาฬิกาปลุกซะ แล้วก็อย่าจมอยู่กับเตียงนานเกินไปด้วย

2. อย่าหมายคว้าดาวที่สูงเกินไปนัก

แม้เราๆแทบทุกคนจะอยากควงคู่คนสวยๆหล่อๆระดับพระเอกนางเอกซุปเปอร์สตาร์ แต่ผลการวิจัยชี้ว่าการตั้งเป้าหมายจะหาคนรักที่เลิศเลอแตกต่างกับตัวเราเองจนเกินไป มักจะนำไปสู่ความรักแบบปรบมือข้างเดียวได้เท่านั้น ทางที่ดีเราควรมองคนที่อยู่ในระดับที่ใครเคียงกับเราซะจะดีกว่า เพื่อที่ชีวิตของคุณจะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความฝันลมๆแล้งๆจากเรื่องแบบนี้ด้วยไงล่ะ

3. เกาะติดเทรนด์

การตามเทรนด์แฟชั่นคงไม่ใช่อะไรที่มีประโยชน์ต่อชีวิตการงานเท่าไหร่นัก แต่การตามเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตการงานจะช่วยทำให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการอ่านข่าวเป็นประจำ ติดตามข่าวสาร กฎเกณฑ์ใหม่ๆที่เพิ่งประกาศใช้ ฯลฯ ให้คุณสามารถเก็บเกี่ยวสิทธิประโยชน์ต่างๆที่คุณควรจะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

4. กินปลาเยอะๆ

มีงานวิจัยจำนวนนับไม่ถ้วนค้นพบว่าการกินปลาช่วยให้คุณฉลาดขึ้นได้ ล่าสุดบทความที่ลงตีมพิมพ์ในนิตยสาร British Journal of Nutrition  ระบุว่าอาหารที่อุดมไปด้วยสาร โอเมกา-3 จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของความคิด และยังเพิ่มอัตราความเร็วของปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าคุณอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ควรกินปลาที่มีน้ำมันปลาสูงๆอย่างแมคเคอเรล, ทูน่า, หรือปลาแซลมอน

5. ตั้งเป้าหมายในชีวิต

น่าเศร้าที่แค่ความต้องการจะประสบความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จจริงๆได้ ดังนั้นถ้าคุณอยากไปถึงฝั่งฝันก็ควรวางแผนการชีวิตให้เป็นรูปเป็นร่าง ตั้งเป้าหมายแล้วกำหนดเป็นขั้นตอน กำหนดวันที่คุณหวังไว้ว่าจะทำมันได้สำเร็จ เพื่อช่วยเป็นแรงบันดาลใจและดึงให้คุณโฟกัสอยู่ที่เป้าหมายตามที่ได้วาดฝันไว้

6. หารายได้เพิ่ม

พอเราหมายถึงการประสบความสำเร็จ เราไม่ได้หมายความแต่ถึงเรื่องเงิน แต่แน่นอนว่าพลังทางการเงินก็ช่วยให้คุณมีอิสรภาพและความมั่นคงเพียงพอที่จะเรียกได้ว่าคุณประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าคุณอยากจะมีเงินมากขึ้น ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการจัดการบัญชีรายรับรายจ่ายต่างๆในชีวิต ออมเงินทุกเดือน ลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นออก

ถ้าทุกคนได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายดูแล้ว คุณก็จะรู้เองว่า ในทุกๆวันคุณต้องหมดเงินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากแค่ไหน ยกตัวอย่างง่ายๆก็เครื่องดื่มน้ำตาลเยอะทุกๆแก้วที่คุณซื้อมากินตอนบ่าย เรียนรู้ที่จะหักห้ามใจตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก ถ้าทำได้ซักเดือนก็ลองเอาไปเปรียบกับเดือนก่อนๆดูซิว่าคุณเก็บเงินได้มากขึ้นแค่ไหน?

7. หาหนุ่ม/สาวในฝัน

ถ้าคุณตัดสินว่าสุขภาพที่ดีกับชีวิตที่ยืนยาวเป็นหนึ่งในปัจจัยของความสำเร็จในชีวิต เห็นทีคุณคงต้องหารักแท้ให้ได้แล้วล่ะ เพราะสถิติเผยให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตของชายโสดอายุระหว่าง 30-59 ปี สูงกว่าชายที่มีคู่แล้วถึง 2.5 เท่า! ส่วนสาวๆก็คล้ายๆกัน เพราะหญิงโสดก็มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าหญิงที่สละโสดไปแล้วถึง 23% ดังนั้นถ้าคุณอยากจะอยู่บนโลกใบนี้ไปนานๆก็คงต้องหาแฟนดีๆ ซักคนให้ได้นะ

8. ออกกำลังกายกลางสัปดาห์

จริงอยู่ที่พอเลิกงานแล้ว เราๆส่วนใหญ่ก็อยากจะรีบตรงดิ่งกลับบ้านไปพักผ่อน ไม่ก็นั่งดูทีวีรายการโปรด แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย University of Bristol ในอังกฤษค้นพบว่าคนที่ออกกำลังกายในช่วงวันทำงานจะมีความสุขมากกว่าและเครียดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย

9.  เปลี่ยนพฤติกรรม

การมีตังค์เหลือมากขึ้นจะช่วยให้คุณตามไล่ล่าความฝันได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นคุณก็ควรลองเปลี่ยนพฤติกรรมที่ฟุ่มเฟือยๆบางอย่างเพื่อให้เก็บตังค์ได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เลิกไปยิมแพงๆหรูๆแล้วหันไปหาอุปกรณ์ออกกำลังกายไว้ใช้เองที่บ้านหรือตามสวนสาธารณะก็ได้ หรือจะเลิกไปกินอาหารร้านเว่อร์ๆแล้วลองเปลี่ยนมาทำอาหารเองอยู่บ้านดูดีกว่ามั๊ย? สังเกตตัวเองแล้วหาจุดด้อยมาแก้ไขเปลี่ยนพฤติกรรม ให้คุณได้เข้าใกล้ความฝันของคุณได้ไม่มากก็น้อย

10. กลับไปวัยเรียน

ว่ากันว่าชีวิตคือการเรียนที่ไม่สิ้นสุด และถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต คุณก็ต้องไปหาวิชาความรู้เพิ่มเติม ลองไปหาข้อมูลคอร์สเรียนที่เปิดสอนในวิชาที่จะช่วยยกระดับคุณสมบัติและความสามารถของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาขาวิชาที่ดูดีเป็นที่ต้องการเวลาคุณกรอกข้อมูลลงใบสมัครงานในฝันของคุณ ศึกษาเปรียบเทียบของแต่ละสถาบันดูเพื่อให้ได้คอร์สที่ดูมีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมที่สุด

และที่สำคัญที่สุดต้องมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำในสิ่งนั้นๆ นะค่ะ รับรองประสบผลสำเร็จแน่นอนค่ะ


http://lifestyle.th.msn.com/beauty/10-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88#image=11

ดาราไทยกับอาหารสดในต่างแดน

dog in china
dog in china

ไปเดิน bigc หรือ lotus ในแผนกอาหารสด ก็เห็นแต่สัตว์ที่ตายแล้วเต็มไปหมด ปลาหมึก หมู วัว ไก่ ปลา ก็เห็นจะมีปลาบางตัวที่ยังว่ายน้ำอยู่ หากท่านใดสนใจก็จะชี้ปลาตัวนั้น ผมว่านั่นสดจริง ๆ

ย้อนนึกถึงสุนัขที่คนไทยบางกลุ่มส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเป็นลำรถที่เดียว และออกเป็นข่าวบ่อย ๆ เนื่องจากคนไทยไม่นิยม เมื่อค้นดูก็พบว่ามีการห้อยสุนัขเหมือนเป็ด เหมือนไก่ เหมือนข้าวขาหมู ก็คงเป็นอาหารที่ไม่สด เนื่องจากไม่ได้ฆ่าสัตว์นั้นตรงนั้น แล้วกินกันเลย แต่มีการฆ่าแล้วก็หั่นเอาเฉพาะส่วนที่น่าทานเสิร์ฟไปยังร้านอาหารต่าง ๆ ก็คงเหมือนกับ KFC หรือ MK หรือ PIZZA หรือ Shabushi หรือ Santafe ที่ต้องฆ่าสัตว์นั้น ๆ ก่อน แล้วก็คงแช่แข็งไว้ หากมีลูกค้าสั่งถึงจะนำออกมาวางให้หยิบเข้าปาก

เคยมีรายการเที่ยวต่างประเทศ ที่ดาราไปเกาหลีแล้วเข้าร้านเปิปพิสดาร ทานปลาหมึกลวก (live octopus) ประเด็นที่น่าสนใจคือ ปลาหมึกตัวนั้นยังไม่ตาย ยังสด ๆ แล้วดาราคนนั้นก็ทานไม่ลง แต่คนในร้านทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เรียกว่าวัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่แตกต่างกัน ซึ่งดาราไทยปรับตัวไม่ได้ในระหว่างท่องไปในต่างแดน

ผมเองก็ทานอาหารสด จำไ้ด้ว่าเคยไปกว้านพะเยา แล้วมีแม่ค้าเอากุ้งเต้นมาขาย ใส่กล่องโฟมแบบยำแล้ว ราคาประมาณ 30 บาทในสมัยนั้น บางตัวก็เต้นอยู่ แต่เพราะอยู่กับพริก จึงทะยอยหยุดเต้นจนเหลือมีชีวิตอยู่ไม่กี่ตัว .. ภาคหลังไ้ด้ค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ได้ข้อมูลว่าในกุ้งเต้นมีพยาธิปริมาณมาก และอาจเป็นเหตุของโรคภัยสารพัด จึงต้องหยุดเป็นลูกค้าในเวลาต่อมา

http://dailykimchi.com/buzz/china-food-festival-over-15000-dogs-on-the-menu/

ของขวัญ..ที่มาจากใจ

“ของขวัญ” อย่างที่ทราบกันว่าเราจะมอบให้กันในวาระพิเศษต่าง ๆ เช่น แสดงความยินดีในโอกาสต่าง ๆ  หรือวันปีใหม่  วันเกิด วันวาเลนไทน์… ซึ่งแต่ละโอกาสก็จะพยายามสรรหาของขวัญที่แตกต่างกันออกไป  ซึ่งแน่นอนผู้ได้รับย่อมมีความยินดี ปลาบปลื้มค่ะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

และในวันนี้เราจะมาพูดถึงของขวัญที่สามารถมอบให้กันได้ทุกวัน  ไม่ต้องรอมอบในช่วงเทศกาล   เราสามารถมอบให้กันได้ตลอดทั้งปี และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แล้ว ผู้รับเกิดคุณค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียวค่ะ  ไม่ยากเลยค่ะ ลองอ่านต่อเลยนะค่ะ

ของขวัญจาก “การฟัง” จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก อย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอคนอื่น พูดให้น้อย ฟังให้มาก

ของขวัญจาก “ภาษากาย “ อย่าอายที่จะแสดงความรักแก่ครอบครัว หรือเพื่อนของคุณ การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้ จับมือ โอบไหล่ สวมกอด หอมแก้ม ฯลฯ

ของขวัญจาก “ความเบิกบาน” แบ่งปันเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานให้คนรอบข้าง มีเรื่องสนุก อย่าแอบหัวเราะคนเดียว

ของขวัญจาก “การเขียน” กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง เช่น ฉันรักคุณจังเลย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอ่านได้ไม่น้อย

ของขวัญจาก “คำชม” ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากจะได้รับคำชม เช่น ผมทรงนี้ดูดีจัง กับข้าวอร่อยมากเลยนะ

ของขวัญจาก “ความมีน้ำใจ” ความจริงพวกเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ สภาพสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอด ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการหลับใน การแบ่งปันให้กัน จะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น

ของขวัญจาก “เวลาส่วนตัว” บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง อย่าลืมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เมื่อเขาต้องการ

ของขวัญจากการ “ให้กำลังใจ” คนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด ช่วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้ ยากกว่านี้ เธอยังทำได้เลย สักวันรถคุณเองก็อาจจะขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้

ของขวัญจาก “มธุรสวาจา” คำพูดดีๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ขอบคุณ ขอโทษ คุณอยากฟังคำพูดดีๆ คนอื่นเขาก็เหมือนกัน

ช่วยกันมอบของขวัญที่มาจากใจให้กันและกันทุกวันนะค่ะ….โลกของเราจะได้มีแต่รอยยิ้ม..

http://variety.teenee.com/foodforbrain/51951.html

อึ้ง…พบเชื้อ HIV-HPV เพิ่มทุกปี “ออรัลเซ็กซ์” น่าห่วง

ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ เผยยอดชายซั่มชายใน กทม.มีสิทธิสูงกว่า 2 แสนราย พบสถิติติดเชื้อ HIV มากขึ้นทุกปี และ 85% มักพบเชื้อ HPV ร่วมด้วย เสี่ยงการเป็นมะเร็งปากทวารหนัก ด้านออรัลเซ็กซ์ก็น่าห่วง มีสิทธิเกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอหากไม่สวมถุงยางอนามัย แนะผู้มีความเสี่ยงตรวจคัดกรอง ด้านแพทย์ศิริราชชี้ฉีดวัคซีนช่วยลดอัตราการติดเชื้อใหม่ได้ และป้องกันมะเร็งได้ 78%

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วันนี้ (3 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่คลินิกนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ รองหัวหน้าหน่วยวิจัย SEARCH ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ กล่าวในการแถลงข่าว “ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย เสี่ยงเป็นมะเร็งปากทวารหนักจากไวรัส HPV” ว่า เชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) มีจำนวนมากกว่า 100 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของหูด โดยมีจำนวน 40 สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะเพศและทวารหนัก หากเป็นชนิดที่มีความเสี่ยงสูงจะมีประมาณ 13-15 สายพันธุ์ โดยการติดเชื้อ HPV ชนิดความเสี่ยงสูงแบบเรื้อรัง จะทำให้กลายเป็นเซลล์ระยะก่อนเป็นมะเร็ง ทั้งนี้ ในผู้หญิงพบว่ามีการติดเชื้อ HPV จนเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกในอัตรา 9.9 คนต่อแสนประชากร ช่องคลอดอัตรา 0.5 คนต่อแสนประชากร และทวารหนัก 2.5 คนต่อแสนประชากร ขณะที่ผู้ชายพบเชื้อ HPV จนเกิดเป็นมะเร็งปากทวารหนักในอัตรา 1.6 คนต่อแสนประชากร และในองคชาติอัตรา 1 คนต่อแสนประชากร แม้อัตราส่วนมะเร็งปากทวารหนักจากเชื้อ HPV ในผู้หญิงจะพบมากกว่าผู้ชาย แต่เมื่อดูในรายละเอียดแล้วจะพบว่าผู้ชายที่เป็นมะเร็งปากทวารหนัก ร้อยละ 70-90 เป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย

“จากสถิติของกรมควบคุมโรค ประมาณการว่าชายไทยอายุ 15-49 ปี เป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายขั้นต่ำประมาณ 3% แต่ถ้าใน กทม.ตัวเลขประมาณการอาจจะสูงกว่านี้ อาจจะอยู่ที่ 2 แสนกว่าราย ที่สำคัญพบว่าชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายพบการติดเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่ผู้หญิงติดเชื้อ HIV จากสามีลดลง นอกจากนี้ ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและติดเชื้อ HIV นั้นพบว่า จะมีการติดเชื้อ HPV ทุกชนิดร่วมด้วยถึง 85% เป็นเชื้อ HPV ชนิดที่มีความเสี่ยงสูง 58% หากเป็นระยะก่อนเป็นมะเร็งขั้นต่ำสามารถหายเองได้ แต่หากเป็นขั้นสูงจะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งปากทวารหนักในที่สุด” พญ.นิตยา กล่าว

พญ.นิตยา กล่าวอีกว่า เชื้อ HPV สามารถติดต่อกันได้ทางสัมผัส ที่สำคัญผู้ชายเป็นพาหะของเชื้อ HPV ทำให้เวลามีเพศสัมพันธ์มีโอกาสติดต่อได้ หากไม่มีการป้องกันที่ดี โดยเฉพาะบริเวณปากมดลูกและปากทวารหนัก เพราะเป็นโซนที่เซลล์มีการเปลี่ยนชนิดจากเยื่อบุเป็นผิวด้านนอก จึงเป็นแหล่งที่เชื้อชอบเข้าไปสะสม ทั้งนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ขอให้ทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากทวารหนัก (Anal Pap Smear) ซึ่งเป็นวิธีเก็บเซลล์มาตรวจหาความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของรอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง หากพบว่าผิดปกติจะมีการตรวจต่อว่า มีความผิดปกติในช่วงใดจากนั้นจะทำการรักษาที่บริเวณนั้นก่อนลุกลามกลายเป็นมะเร็ง เพราะโอกาสการเป็นมะเร็งภายใน 1 ปี หากเป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายจะมีโอกาส 1 ใน 600 คน หากไม่ใช่กลุ่มดังกล่าวจะมีโอกาสเพียง 1 ใน 4,000 คน เท่านั้น ซึ่งการรักษาสามารถทำได้ด้วยการใช้เครื่องจี้อิฟราเรด หรือการแต้มกรด TCA ฯลฯ

“ที่น่าห่วงคือการเกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอจากเชื้อ HPV ซึ่งเกิดการจากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (ออรัลเซ็กซ์) ซึ่งในเร็วๆ นี้ จะพยายามเร่งผลักดันให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งในช่องปากและลำคอจากเชื้อ HPV ด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับหญิง หรือกับผู้ชายด้วยกันเอง ขอให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ด้วยการใส่ถุงยางอนามัย แม้แต่การทำออรัลเซ็กซ์ก็เช่นกัน ควรใส่ถุงยางอนามัยเพื่อความปอลดภัยด้วย” พญ.นิตยา กล่าว

รศ.นพ.มงคล เบญจาภิบาล ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การฉีดวัคซีน HPV ในผู้ชายสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากทวารหนักสูงถึงร้อยละ 78 อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนเป็นเพียงการป้องกันและลดโอกาสการติดเชื้อใหม่ ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาหรือช่วยลดเชื้อเดิมที่มีอยู่ ที่สำคัญเป็นวัคซีน HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ดังนั้น การตรวจคัดกรองยังเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน เพราะยังมีโอกาสติดเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นได้เช่นกัน

http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000040418

ข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพ

วันนี้เรานำความรู้มาบอกถึงข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพของคุณมาบอกค่ะ เพราะปัจจุบันนิยมดื่มกาแฟกันอย่างแพร่หลาย   วันนี้เราได้นำข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพมาให้ทุกๆ ได้อ่านกันค่ะ

กาแฟร้อน
กาแฟร้อน

เริ่มจากผลดีกันก่อนเลยค่ะ
ผลที่มีต่อถุงน้ำดี จากการที่ทำการวิจัยโดยอาสาสมัครชาย 45,000คน ดื่มกาแฟวันละสองแก้วต่อวัน จะสามารถลดการเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ถึง 40% และถ้าดื่มวันละ สี่แก้วสามารถลดได้ถึง 45% เลยทีเดียว โดยกาแฟที่ดื่มเข้าไปนั้นจะเข้าไปป้องกันการตกตะกอนของคลอเรสเตอรอล ลดการดูดซึมของเหลวเพิ่ม การไหลของน้ำดีที่กรวยไต ซึ่งทั้งหมดเป็นสาเหตุของการยับยั้งการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

ลดการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดิื่มกาแฟวันละสี่แก้ว จะสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 24% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลย เพราะกาแฟจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ผลิตสารที่มีผลยับยั้งการก่อตัวของเนื้อเยื่อที่กลายพันธุ์จากเซลล์ธรรมดากลายไปเป็นเซลล์มะเร็์ง และในกาแฟยังสามารถยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ในลำไส้อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งอีกด้วย

บรรเทาอาการปวดศีรษะ สารคาเฟอีนมีส่วนสำคัญที่สามรถบรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ แต่สารคาเฟอีนในกาแฟเพียงอย่างเดียวไม่สามารถที่จะยับยั้งอาการปวดหัวได้ แต่ถ้าคุณรับประทานพร้อมกับยาแก้ปวด ก็จะมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็วขึ้น

มาพูดถึงข้อสียกันบ้างนะค่ะ
เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายต้องใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมงในการสลายคาเฟอีนถ้าร่างกายไดรับคาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000-10,000 มิลลิกรัมจะทำให้ตายในระยะเวลาอันสั้นได้

ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2-2 1/2 ถ้วย จะกระตุ้นประสาทให้ตื่น ลดความเหนื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด3-7 ถ้วย ทำให้มือสั่น กระวนกระวาย โกรธง่ายและปวดศีรษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือด คือทำให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้น
เป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มหรือลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายแก่ผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้ กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ
คาเฟอีนยังมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีไขมันในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะจึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตไม่ทำงาน

จะเห็นได้ว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีและผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้ามก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

http://i-lovecoffee.blogspot.com/2009/03/blog-post_9017.html

สถาบันมะเร็งฯ เร่งศึกษายีนมนุษย์..ไวต่อสารก่อมะเร็ง

สถาบันมะเร็งฯ เร่งศึกษายีนมนุษย์มีความไวต่อสารก่อมะเร็งอย่างไร เชื่อบางคนมียีนกำจัดได้ ชี้เหมือนคนสูบบุหรี่ทั้งชีวิตแต่ไม่เป็นมะเร็ง ย้ำยังคงต้องระวังอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ทั้งไส้กรอกอีสาน กุนเชียง ปลาร้า หมูปิ้ง หมูกระทะ ระบุทานได้แต่อย่าเยอะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า แม้โรคพยาธิใบไม้ตับจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับและโรคมะเร็งท่อน้ำดี แต่ตัวการที่สำคัญคือ สารก่อมะเร็งที่อยู่ในอาหารหรือที่เรียกว่าสารดินประสิว (สารไนโตรซามีน) เพราะการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า เมื่อหนูมีการติดพยาธิใบไม้แล้วโอกาสการเป็นมะเร็งมีน้อย แต่หากได้รับสารก่อมะเร็งร่วมด้วยหนูจะเป็นมะเร็งทันที ดังนั้น การรับประทานอาหารนอกจากจะต้องระวังเรื่องพยาธิใบไม้ ซึ่งอยู่ในปลาน้ำจืดดิบแล้ว ยังต้องระวังอาหารที่ใส่สารดินประสิวด้วย เช่น ไส้กรอกอีสาน กุนเชียง ปลาร้า เป็นต้น

“หากจะรับประทานปลาร้าต้องทำให้สุกก่อน เพราะพยาธิสามารถอยู่ในตัวปลาร้าได้นานถึง 6 เดือน แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนแล้วกลับสามารถอยู่ได้นานเป็นปี บางคนอาจคิดว่ารับประทานเข้าไปครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่ปลาบางตัวมีไข่พยาธิเป็นหมื่นๆ ฟอง เมื่อมันเข้าไปก็จะสร้างลูกหลานออกมา ผ่านไป 30-40 ปี ตัวมันก็ใหญ่และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ เพราะแม้จะรับประทานน้อยก็ยังถือว่ามีความเสี่ยง” ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว

นพ.ธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับสารก่อมะเร็งมีโอกาสก่อให้เกิดเป็นมะเร็งได้มากน้อยเพียงใด ต้องดูที่ปริมาณและความถี่ในการทาน คือต้องทานบ่อยและปริมาณมาก แต่ไม่ใช่ทานทีเดียวแล้วจะเป็น เพราะร่างกายจะสามารถขับสารก่อมะเร็งออกมาได้ แต่ถ้าทานบ่อยๆ ก็จะเข้าไปสะสมเรื่อยๆ โดยเฉพาะทุกวันนี้ในชีวิตประจำวันเรามีสารก่อมะเร็งเยอะ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าจำเป็นก็อย่าทานบ่อย เหมือนบุหรี่ที่สูบเข้าไปครั้งเดียวไม่เป็นไร แต่ถ้าสูบเข้าไปนานๆ ก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็ง

“อย่างหมูปิ้ง หมูกระทะ ก็จะมีสารก่อมะเร็งจากการที่ไขมันหรือโปรตีนของเนื้อถูกเผาไหม้ หรือที่เรียกว่าสารเฮเทอโรไซคลิก ดังนั้น ข่าวที่ว่ามีถ่านชนิดใหม่ปลอดมะเร็ง เพราะไม่มีควันแสดงว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะสารก่อมะเร็งเกิดจากความร้อน นอกจากการปิ้งย่างแล้ว การรมควันก็ถือว่าไม่ดี เพราะมีสารก่อมะเร็งอยู่เช่นกัน หากจะรับประทานอาหารที่ปรุงจากการรมควันก็ไม่ควรทานบ่อยหรือเยอะ อย่างต่างประเทศตอนนี้ก็มีการรณรงค์อยู่” นพ.ธีรวุฒิ กล่าว

นพ.ธีรวุฒิ กล่าวด้วยว่า โรคมะเร็งนั้นไม่ได้มีแต่ปัจจัยเฉพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับยีนส์ของแต่ละคนด้วย เพราะทุกวันนี้เราไม่รู้ว่ายีนส์ของแต่ละคนมีความไวต่อสารก่อมะเร็งเป็นอย่างไร บางคนอาจมียีนที่กำจัดสารก่อมะเร็งได้ เหมือนคนที่สูบบุหรี่จนแก่ทำไมถึงไม่เป็นมะเร็ง แต่คนที่สูบไม่นานกลับเป็นมะเร็ง ซึ่งตอนนี้สถาบันมะเร็งแห่งชาติกำลังมีการศึกษาในเรื่องนี้อยู่ร่วมกับญี่ปุ่น สถาบนวิจัยจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา

“ในอนาคตเราอาจรู้ได้ว่าคนไหนมียีนที่มีความไวต่อมะเร็ง เพราะทุกวันนี้ทุกคนได้รับสารก่อมะเร็งกันหมด แต่บางคนอาจมียีนที่สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งได้ ลักษณะเหมือนกับการแพ้ยา ทำไมบางคนแพ้ บางคนไม่แพ้ ซึ่งตอนนี้ก็มีการศึกษาอยู่ เพื่อนำมาใช้เช็กยีนส์ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ เพราะการสกรีนดังกล่าวมีราคาแพงมาก” ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000042463

“ไม่พอใจอะไรก็โพสต์” ค่านิยมใหม่

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วิจัยพบการกระหน่ำโพสต์ระบายความรู้สึกด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือแสดงความกราดเกรี้ยวผ่านทางอินเทอร์เน็ตไม่ได้ช่วยให้จิตใจดีขึ้น แต่กลับทำให้จมอยู่กับปัญหา หรือความรู้สึกแย่ๆ นานมากขึ้นแทน

เป็นค่านิยมของสังคมยุคใหม่ไปเสียแล้ว กับการพบเจอเรื่องราวใดๆ ที่ไม่พอใจ ถูกแซงคิว รถถูกปาดหน้า ฯลฯ หรือถูกทำให้โกรธ ผิดหวัง ก็มาโพสต์ระบายอารมณ์กันบนโลกออนไลน์ ซึ่งหลายคนยอมรับว่าทำไปแล้วก็ได้รับความพอใจกลับมา บางครั้งอาจมีสะใจเล็กๆ เสียด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นหนทางแก้ไขปัญหาหรือเปล่า คำตอบคือ คงไม่ใช่ และอาจไม่ใช่หนทางที่จะทำให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้ แถมเป็นไปได้ด้วยว่า มันทำให้คุณจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นนานมากขึ้น

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากงานวิจัยเผยว่า การโพสต์ข้อความรุนแรง หรือข้อความเชิงลบผ่านทางโลกออนไลน์อาจทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นในช่วงสั้นๆ แต่ในระยะยาวแล้ว มีแนวโน้มว่าผู้โพสต์จะยังยึดติดอยู่กับความโกรธ หรือความทุกข์นั้นๆ อยู่

นอกจากนั้นยังพบว่า การอ่านข้อความที่โพสต์ด้วยความรู้สึกในแง่ลบของคนอื่นๆ ในโลกออนไลน์ก็มีผลต่อจิตใจไม่แตกต่างจากการเป็นผู้โพสต์ข้อความในลักษณะนั้นๆ เช่นกัน

งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ใน the journal Cyberpsychology, Behavior, and Social Networking โดยศาสตราจารย์ไรอัน มาร์ติน ผู้เชี่ยวชาญในสาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-กรีนเบย์ หัวหน้าคณะวิจัยได้กล่าวว่า “เราพบว่าเว็บไซต์ส่วนหนึ่งกระตุ้นให้คนเข้ามาใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์ และสนับสนุนให้ใช้วิธีการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับความโกรธ โดยพวกเขามองว่าการเข้ามาระบายความโกรธนั้นเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่”

โดยผู้เชี่ยวชาญท่านนี้เผยว่ามีวิธีที่ดีต่อสุขภาพ และให้ผลในเชิงบวกสำหรับจัดการกับความโกรธอยู่มากมาย แต่การเข้ามาระบายความรู้สึกในโลกออนไลน์ มีแต่จะทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้น และไม่ได้ทำให้จิตใจของคนๆ นั้น จดจ่ออยู่กับการแก้ปัญหา แต่ไปจดจ่ออยู่กับ “ปัญหา” มากกว่าจะลงมือแก้ไข

นอกจากนั้น การโพสต์ข้อความเชิงลบในอินเทอร์เน็ตยังแสดงให้เห็นถึงภาวะอ่อนแอทางจิตใจของมนุษย์อีกด้วย

“ในโลกนี้ มีผู้คนที่รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ปัญหาการแย่งที่ทำกิน ปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ผู้คนเหล่านั้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ชอบใจต่างก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง และมองว่า การระบายความรู้สึก หรือการไปแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์จะสามารถช่วยได้ แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า การโพสต์ข้อความแย่ๆ หรือโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทผู้อื่นนั้นได้ทำร้ายคนรอบข้าง รวมถึงตัวพวกเขาด้วย เพราะเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวหากได้มาอ่านข้อความรุนแรง ก็จะเกิดความเจ็บปวดที่ได้รับรู้่ว่า คุณกำลังมีปัญหา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างปัญหาต่อไปไม่รู้จบ ขณะที่คนที่ทำให้คุณรู้สึกโกรธนั้น ไม่ได้มารับรู้อะไรด้วยเลย”

กระทั่งคนที่สร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาในโลกออนไลน์ และหวังจะใช้ตัวตนที่คิดว่า ไม่มีใครรู้จักนี้ไปทำร้ายใครก็ได้ ศาสตราจารย์ไรอัน ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า มันไม่จริงเสมอไป เพราะในโลกออนไลน์ที่คุณคิดว่าไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณนั้น สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างสามารถ “ตรวจสอบได้” อยู่ดี และหากมีการใช้ตัวตนเหล่านั้นเพื่อกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม สุดท้ายก็ต้องเป็นผู้โพสต์ที่จะต้องรับผลของกรรมนั้น

ดังนั้น ก่อนโพสต์คิดให้ดี เพราะหากโพสต์ไปแล้ว คุณจะหนีจากมันไปไม่ได้จนวันตาย

เรียบเรียงจากเดลิเมล

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000036458

พอกหน้าให้ผิวขาว

สารพัดสูตรพอกหน้า สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
วิธีทําให้ผิวขาว
สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม

น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ
กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

http://women.kapook.com/view742.html