ร้อนระอุกว่าหมื่นปีก่อนถึง 80%

นักวิทยาศาสตร์ศึกษาแกนน้ำแข็งเก็บข้อมูลอุณหภูมิโลกในอดีต (โอเรกอนสเตท)

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

นักวิทยาศาสตร์เก็บข้อมูลแกนน้ำแข็งและตะกอนดิน จาก 73 แห่งทั่วโลก แล้วย้อนหาอุณหภูมิโลกไปจนถึงปลายยุคน้ำแข็ง ซึ่งผลการวิเคราะห์เผยว่า โลกเราทุกวันนี้ร้อนขึ้นจากเมื่อ 11,300 ปีก่อนถึง 70-80%

ข้อมูลดังกล่าวเป็นผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตท (Oregon State University) และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) สหรัฐฯ ซึ่งได้ตีพิมพ์ผลงานลงวารสารไซน์ (Science) โดย EarthSky ได้รายงานเรื่องนี้และอ้างข้อมูลจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ (NSF)

ฌอน มาร์คอตต์ (Shaun Marcott) จากโอเรกอนสเตท กล่าวว่า งานวิจัยเกี่ยวกับอุณหภูมิโลกที่ผ่านๆ มานั้น ส่วนใหญ่พิจารณาแค่ช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการย้อนหาอุณหภูมิโลกไปไกลถึงลายยุคน้ำแข็งนี้ เป็นการขยายให้เห็นสถานการณ์ที่กว้างขึ้น ซึ่งเราทราบว่าโลกทุกวันนี้ร้อนกว่าเมื่อ 2,000 ปีก่อน แต่ตอนนี้เราทราบด้วยว่าโลกยังร้อนกว่าเมื่อหมื่นปีก่อนมาก

ด้าน แคนแดซ เมเจอร์ (Candace Major) ผู้อำนวยการโครงการจากแผนกมหาสมุทรศาสตร์ ของมูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ กล่าวว่าในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้นับเป็นความวิปริตของอุณหภูมิโลกนับแต่ปลายยุคน้ำแข็ง

“งานวิจัยนี้เผยให้เห็นการเปลี่ยนของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในช่วงไล่เลี่ยกับการเริ่มต้นปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วมากเมื่อเทียบกับช่วงประวัติศาสตร์โลกกว่า 11,000 ปีที่ผ่านมา” เมเจอร์กล่าว

สำหรับงานวิจัยนี้ได้ทุนสนับสนุนจากโครงการภูมิอากาศดึกดำบรรพ์ ของแผนกบรรยากาศและภูมิศาสตร์ ในมูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ

ปีเตอร์ คลาร์ก (Peter Clark) นักบรรพชีวินวิทยาของโอเรกอนสเตทและเป็นผู้ร่วมเขียนรายงานวิจัยในวารสารไซน์ กล่าวว่างานวิจัยอุณหภูมิโลกที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในระดับภูมิภาค และไม่ได้ลงไปในระดับโลก

คลาร์กกล่าวว่า การศึกษาเพียงบางส่วนของโลกนั้น มักจะได้รับกระทบจากภูมิอากาศระดับภูมิภาคด้วย อย่างปัจจัยเรื่องเอลนีโญและมรสุมต่างๆ เป็นต้น แต่ห่างรวบรวมข้อมูลจากจุดต่างๆ ทั่วโลก ก็จะเฉลี่ยเอาความแปรปรวนในระดับภูมิภาคออกไป และได้ภาพรวมของประวัติศาสตร์อุณหภูมิเฉลี่ยระดับโลก

นักวิจัยระบุว่า ที่ประวัติศาสตร์อุณหภูมิโลกเผยออกมาคือ เมื่อช่วง 5,000 ปีก่อนโลกเย็นกว่านี้ 1.3 องศาฟาห์เรนไฮต์ หรือ 0.7 องศาเซลเซียส และเมื่อ 100 ปีก่อน อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นมาประมาณ 1.3 องศาฟาห์เรนไฮต์ โดยพื้นที่ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากทึ่สุดอยยู่ในซีกโลกเหนือ ที่มีแผ่นดินและประชากรมนุษย์อาศัยอยู่มากกว่าพื้นที่ในซีกโลกใต้

แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ว่า ก่อนสิ้นศตวรรษนี้อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 2-11.5 องศาฟาห์เรนไฮต์ หรือ 1.1-6.3 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มมากแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณมากน้อยในการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ

สิ่งที่แย่ที่สุดของคาดการณ์จากแบบจำลองคือ ความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นนี้จะเพิ่มสูงกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ 11,300 ปีที่ผ่านมา มาร์คอตต์ ยังบอกอีกว่าปัจจัยเดียวที่ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ที่โลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์โดยสัมพันธ์กับตำแหน่งของโลกและดวงอาทิตย์ด้วย

ในเบื้องต้น ทีมวิจัยซึ่งยังประกอบด้วย เจเรมี ชากุน (Jeremy Shakun) จากฮาวาร์ด และ อลัน มิกซ์ (Alan Mix) จากโอเรกอนสเตท ได้ใช้ฟอสซิลจากแกนตะกอนในมหาสมุทร และบนบกเพื่อหาอุณหภูมิโลกตั้งแต่อดีต

คุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของฟอสซิล ทั้งชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตและองค์ประกอบเคมี และอัตราส่วนไอโซโทป เป็นบันทึกข้อมูลอุณหภูมิในอดีตที่ยอมรับได้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่บันทึกข้อมูลในยุคปัจจุบัน

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจาก 73 แห่ง ได้เผยให้เห็นภาพใหญ่ของประวัติศาสตร์โลก และให้บริบทใหม่เกี่ยวกับการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

มาร์คอตต์กล่าวว่า ภูมิอากาศโลกนั้นซับซ้อนและตอบสนองต่อแรงขับที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงคาร์บอนไดออกไซด์และการรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทั้งสองปัจจัยเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ในช่วง 11,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจากการปลดปล่อยผ่านกิจกรรมของมนุษย์อย่างมากมายมหาศาล

“มันคือตัวแปรเดียวที่อธิบายได้ดีที่สุดถึงการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของอุณหภูมิโลก” มาร์คอตต์ชี้ต้นเหตุของอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นอย่างผิดปกติในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000029299

ปฏิบัติตัวอย่างไร..ในหน้าร้อน

โดย รศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม

ไปไหนมาไหนช่วงนี้ มีแต่คนบ่นว่าร้อนจนแสบผิว ปัญหานี้มีวิธีดูแลตัวเองมาฝากครับ

1. สวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่ง ไม่หนา ระบายอากาศดี สีอ่อน และสวมหมวก แว่นกันแดด หรือถือร่มในที่กลางแจ้ง รวมถึงใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 15 ซึ่งการทาครีมกันแดดหนาๆ และมี SPF สูงๆ จะช่วยป้องกันผิวหนังจากรังสียูวีได้ดีกว่า

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละประมาณ 2-3 ลิตร แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน โดยปกติแล้วร่างกายคนเรามีอุณหภูมิประมาณ 36 – 37 องศาเซลเซียส ถ้าอากาศร้อนมากจนร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ไม่ถึง 40 องศาเซลเซียส อาจเกิดอาการเพลียแดดได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียไม่มีแรง มีตะคริวและมีไข้ และถ้าสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ร่วมกับเริ่มมีอาการทางสมอง เช่น ซึม สับสน ชักเกร็งหรือหมดสติ เราเรียกว่าโรคลมแดด ภาวะนี้สามารถทำให้เกิดตับและไตวาย กล้ามเนื้อสลายตัว หัวใจเต้นผิดจังหวะ น้ำท่วมปอด เกิดลิ่มเลือดอุดตันในกระแสเลือดและช็อกได้

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

4. รังสียูวี (Ultraviolet) ในแสงแดดที่แผ่ลงมา จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งจะทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเหงื่อเป็นเวลานาน นอกจากนั้นการได้รับรังสียูวีเป็นเวลานานๆ ยังอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง โรคผิวหนังบางชนิดและผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนไวรวมถึงยังอาจมีผลต่อการเกิดต้อกระจกและต้อเนื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

5. ส่วนผู้ที่ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายในที่ร่ม โล่ง ถ้าเป็นกลางแจ้ง ให้ทำในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานานในช่วงที่อากาศร้อนจัด และควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังเสร็จสิ้น เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อหรือเชื้อราที่เกิดขึ้นได้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศร้อน อย่าเพิ่งออกกำลังกายหักโหม ให้ร่างกายได้มีการปรับตัวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์เสียก่อน

6. ระวังความสะอาดของอาหาร น้ำ น้ำแข็งที่รับประทาน เพราะอาจบูดเสียง่าย และทำให้เกิดอุจจาระร่วง

7. สุดท้ายผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย เด็กเล็ก และผู้มีโรคประจำตัว ควรระมัดระวังเรื่องอุณหภูมิอากาศ เพราะอากาศร้อนจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว เกิดความเครียด หัวใจทำงานหนักและควรให้รับประทานผักผลไม้ เพื่อเติมวิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกายในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ รวมถึงได้รับน้ำอย่างเพียงพอ สังเกตได้จากสีของน้ำปัสสาวะที่ออกมา ถ้าสีเหลืองใส แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ

ลองนำไปปฏิบัติ จะช่วยคลายร้อนได้

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000040051

แครอท..ผักสีส้มสารพัดประโยชน์

แครอท ผักสีส้มสารพัดประโยชน์ที่สามารถนำไปดัดแปลงเป็นอาหารได้หลายชนิด ไม่ว่าจะผัด ทอด แกง อีกทั้งยังสามารถกลายเป็นเครื่องดื่มแสนอร่อยได้อีกด้วย ทว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ นักกินเนื้อทั้งหลายที่ชอบเขี่ยแครอทในจานทิ้งอยู่เป็นประจำทราบหรือไม่ว่า ภายใต้สีสวย ๆ ของแครอทนั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่ามากมายหลายอย่างที่คุณคาดไม่ถึง พูดอย่างเดียวอาจจะไม่เชื่อ วันนี้เราก็เลยนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแครอทมาเปิดเผยให้คุณได้รู้กัน

แครอท
แครอท

1. บำรุงสายตา

เพราะในแครอทอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน หนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการอีกทั้งมีประโยชน์ที่ช่วยในเรื่องของการ บำรุงสายตาของเราด้วย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของดวงตา หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เรติน่า ซึ่งการที่คุณรับประทานแครอทบ่อย ๆ ยังช่วยถนอมดวงตาให้สามารถมองเห็นได้อย่างปกติไปอีกนานเท่านานเลยเชียวล่ะ

2. ป้องกันมะเร็ง

เป็นที่รู้กันดีว่าแครอทนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันโรคมะเร็งโดย เฉพาะการก่อตัวของมะเร็งปอด ทั้งนี้เป็นเพราะในแครอทเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง ฟาลคารินอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น ควรใส่แครอทเป็นส่วนผสมในอาหารจากหลักของคุณด้วยนะ

3. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบไหลเวียนของเลือด

เนื่องจากผู้คนในปัจจุบันไม่ค่อยใส่ใจกับการทานอาหารสักเท่าไหร่ ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ชอบทานของหวานและของทอด ทั้งนี้สารในแครอทจะเข้าไปกำจัดไขมันที่เกาะสะสมอยู่ในเส้นเลือด ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

4. รักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือด

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่และมีรูปร่างแบบใด ก็มีสิทธิ์ที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ เหล่านั้นก็ควรหมั่นทานแครอทอยู่เป็นประจำ เนื่องจากในแครอทมีสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเส้นเลือดของคุณนั่นเอง

5. ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร

สำหรับคนที่อยากจะมีหุ่นดี ๆ ฟิต แอนด์ เฟิร์มหรือคนที่อยากจะลดน้ำหนักล่ะก็ การทานแครอทถือเป็นตัวช่วยที่ดีเลยเชียวล่ะ เพราะแครอทจะเข้าไปเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานให้กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

6. บำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง

แครอท ยังมีสรรพคุณในเรื่องของการช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย เพราะทำให้ผิวชุ่มชื่น และดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ เพราะในแครอทชุ่มช่ำไปด้วยน้ำ เมื่อคุณทานเข้าไปก็เท่ากับว่าร่างกายได้รับน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้น น้ำและสารอาหารของแครอทยังมีประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงเส้นผมด้วย

7. เสริมความแข็งแรงของฟัน

แครอทไม่ได้มีประโยชน์แค่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของคุณเท่านั้น เพราะยังช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของอวัยวะต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยในระหว่างที่คุณกำลังกัด ขบ เคี้ยวแครอท ถือเป็นการเสริมสร้างสุขภาพฟันให้ดีขึ้นด้วย ฉะนั้นในแต่ละมื้ออย่าลืมหยิบแครอทมาเคี้ยวกันด้วยนะ

8. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับภูมิคุ้มกัน

อีกหนึ่งประโยชน์ที่ร่างกายของคุณจะได้รับจากแครอทนั่นก็คือ การมีภุมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง ทั้งนี้เป็นเพราะแครอทมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งมีคุณสมบัติในการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเป็นปกติรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะกินแครอทแบบดิบ ๆ หรือผ่านการปรุงสุกมาแล้วก็ตาม

9. มีฤทธิ์ขับพยาธิ

สำหรับคนที่ต้องการขับพยาธิ ยาถ่ายอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเสมอไป เพราะแครอทมีฤทธิ์ช่วยในการขับถ่ายพยาธิได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการรักษาที่ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายด้วย รับรองเลยว่าเป็นยาที่ปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่าลืมหามาทานกันนะ

10. ของว่างเพื่อสุขภาพ

ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าแครอทสามารถนำไปประกอบอาหารคาวได้เพียงอย่าง เดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วแครอทสามารถนำมาทำขนมได้เหมือนกัน เช่น ขนมปังโฮลวีทแครอท หรือดื่มน้ำแครอทหวาน ๆ สักแก้วในระหว่างมื้อ สามารถช่วยดับหิวและดับกระหายได้ไม่ต่างจากขนมหวานและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เลย

เพราะมี ประโยชน์มากมายหลากหลายแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้แครอทเป็นผักยอดนิยมของผู้คนมากมาย สำหรับคนที่ยังไม่เคยลองทานหรือไม่ชอบทานแครอท ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินสักหน่อย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองค่ะ

น้ำแครอท
น้ำแครอท

http://www.healthmee.com/ForumId-449-ViewForum.aspx

เรื่องของ..สาหร่ายทะเล

สาหร่ายทะเล เป็นอีกหนึ่งทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพ และยังมีรสชาติที่อร่อย จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหาร ที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารของเราที่มีให้เลือกทำได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะใส่สาหร่ายลงในแกงจืด หรือผัดผักต่างๆ นอกจากนี้ สาหร่ายทะเลยังมีแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายที่คนเราต้องการอยู่มากถึง 18 ชนิด อย่างเช่น แคลเซียม เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม และโซเดียม เป็นต้น แต่สารหาอารที่สาหร่ายมีมากเป็นพิเศษ และมีความสำคัญต่อร่างกายของเรา ได้แก่สารอาหารดังต่อไปนี้

ยำสาหร่ายทะเล
ยำสาหร่ายทะเล

ไอโอดีน โดยปกติแล้ว คนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน ถ้าหากเราเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่น ขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร มันก็จะเพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายเราในแต่ละวัน และช่วยในการป้องกันโรคคอพอกได้

สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลากหลายชนิดในร่างกาย ที่จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย

ใยอาหาร ยิ่งได้รับใยอาหารมากยิ่งทำให้ท้องของเราไม่ผูก และช่วยในการเร่งการขับถ่ายสารพิษภายในร่างร่างกาย ในระบบทางเดินอาหารของเราอีกด้วย

ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารที่มีอยู่มากในสาหร่ายทะเล มีส่วนช่วยให้บำรุงผิวพรรณของเราให้แลดูเปล่งปลั่ง แลดูมีน้ำมีนวล รวมทั้งยังช่วยในการบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางามขึ้นด้วยอีกนะ

ทองแดง มีหน้าที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก และช่วยในการสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก ถ้าหากว่าร่างกายของเราเกิดขาดธาตุอาหารชนิดนี้ ก็จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง และเกิดผมร่วงได้ง่ายอีกด้วย

การทานสาหร่าย เราควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะว่าในสาหร่ายมีปริมาณโซเดียมที่สูง ผู้ที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงจึงควรระมัดระวัง ในการทานด้วย

สาหร่ายทะเล (Seaweeds)
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสาหร่ายเป็นแหล่งผลิตก๊าซออกซิเจนให้กับโลกของเราถึง 70% เลยทีเดียว นอกจากจะสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์แสงแล้ว สาหร่ายทะเลก็สามารถ สร้างอาหารโดยการดูดซึม (osmosis) เอาแร่ธาตุและสิ่งมีประโยชน์ทั้งหลายโดยตรง มาจากทะเลด้วย ดังนั้นคุณค่า และคุณประโยชน์ของสาหร่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ น้ำทะเลเป็นสำคัญ แหล่งที่เก็บเกี่ยวสาหร่ายจึงจัดว่า มีความสำคัญอย่างมาก ในการพิจารณาถึงคุณประโยชน์ของสาหร่ายด้วย (คัดลอก จากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2540)
สาหร่ายทะเล เป็นพืชชั้นต่ำ ไม่มีระบบท่อลำเลียงอาหารจากรากสู่ลำต้นและใบแบบพืชชั้นสูงเช่นหญ้าทะเล แต่จะใช้วิธีดูดซับน้ำและแร่ธาตุจากน้ำทะเลสู่เซลล์ต่าง ๆ โดยตรง พืชกลุ่มนี้ไม่มีดอกและผล แต่แพร่กระจายพันธุ์ด้วยการสร้างสปอร์และแบ่งตัว สาหร่ายทะเลมีลักษณะมากมายหลายแบบ ตั้งแต่แบบที่เป็นแพลงก์ตอนลอยไปมาในน้ำ ซึ่งมีขนาดเล็กมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บางชนิดเป็นเซลล์เดี่ยว บางชนิดจับตัวกันเป็นกลุ่มเซลล์ หรือเป็นสาย จนถึงชนิดที่เป็นต้นดูคล้ายพืชชั้นสูง

สาหร่ายทะเล แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามโครงสร้างและสีของสารสังเคราะห์แสง ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
• สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (blue-green algae)
• สาหร่ายสีเขียว (green algae)
• สาหร่ายสีน้ำตาล (brown algae)
• สาหร่ายสีแดง (red algae)
โดยทั่วไป เราสามารถจำแนกกลุ่มสาหร่ายได้จากสีที่เห็น แต่ในประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อนซึ่งมีแสงจัด บางครั้งสาหร่ายจะมีสีเปลี่ยนไปจากที่ควรจะเป็น

ประโยชน์ของสาหร่าย
• เป็นอาหารพื้นฐานของสัตว์ทะเล ทั้งที่กินสาหร่ายโดยตรง หรือที่กินสัตว์อื่นที่กินสาหร่ายอีกต่อหนึ่ง
• เป็นอาหารโดยตรงของคน ใช้ทำวุ้น เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางหรือเวชภัณฑ์ยาหลายชนิด

สาหร่ายทะเล มีแร่ธาตุซึ่งร่างกายมนุษย์ต้องการครบถ้วนแร่ธาตุ ซึ่งต้องการมีอยู่ 18 ชนิด อาทิ แคลเซียม คลอรีน โครเมียม โคบอลต์ ทองแดง (คอปเปอร์) ไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม โซเดียม ซัลเฟอร์ วาเนเดียม และสังกะสี (ซิงค์) เป็นต้น

ทำไมคนเกาหลีต้องกิน ซุปสาหร่าย ในวันเกิด

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไม เวลาดูละคร หรือ ซีรีส์ เกาหลี แล้วมีฉากงานวันเกิดของตัวละครในเรื่อง แทนที่จะยกเค้กวันเกิดมาฉลองกันตามธรรมเนียมสากล แต่เกาหลี กลับ ยก ‘ซุปสาหร่าย’มาให้แทน ! วันนี้มา เฉลยคำตอบที่สงสัยกันให้ฟังแล้วจ้า!!

ซุปสาหร่าย นั้น จะเป็นอาหารที่คนเกาหลี จะต้องกินในวันคล้ายวันเกิด เรียกว่าสำคัญกว่าขนมเค้กด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ’ซุปสาหร่าย’ จะต้องทำขึ้นเพื่อมอบให้กับเจ้าของวันเกิดโดยใครสักคนในครอบครัว ดังนั้นจึงถือว่าสำคัญมากและห้ามลืมโดยเด็ดขาด

ที่มาของซุปสาหร่ายสำหรับวันเกิดคือ หญิงที่ตั้งครรภ์จะรับประทานซุปสาหร่ายเพื่อบำรุงร่างกาย เพราะสาหร่ายมีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม และ ไอโอดีน ดังนั้นจึงเป็นอาหารชนิดแรกจากแม่สู่ลูกในครรภ์ นอกจากนี้หลังจากคลอดลูกแล้วจะต้องเตรียมซุปสาหร่าย พร้อมข้าวเพื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้การคลอดนั้นราบรื่นปลอดภัย ปกปักษ์ให้ทารกนั้นสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืน รวมทั้งช่วยบำรุงให้คุณแม่มีน้ำนมมากๆด้วย

ดังนั้น การรับประทานซุปสาหร่ายในวันเกิดจึงเป็นการระลึกถึงอาหารมื้อแรกในชีวิตนั่นเอง

http://www.healthmee.com/ForumId-495-ViewForum.aspx

ลดค่าไฟ..

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ การลดค่าไฟฟ้านั้นทำได้ง่ายแสนง่ายเพียงปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ด้วย 7 ข้อคำนึงที่ต้องลงมือปฏิบัติ รับรองบิลเดือนหน้า ลด..ลด..ลด..และลด!!!

ปิดหน้าจอคอมฯ เมื่อไม่ใช้งาน ประหยัดไฟถึง ร้อยละ 60
อย่าเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวทิ้งไว้ เพราะระบบอุ่นจะทำงานจะกินไฟมาก
ปิดทีวีเมื่อไม่ดู เพราะนอกจากสิ้นเปลืองส่งผลให้พังเร็วด้วย
ใช้เครื่องซักผ้า ต้องใส่ผ้าให้เต็มกำลัง จะมากจะน้อยก็เปลืองไฟเท่ากัน
ใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟคู่กับหลอดผอมประหยัดอีกหลายตังค์
ปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเลิกใช้งานเล็กน้อย
ปลูกต้นไม้คลายร้อน รู้มั้ย? ต้นไม้ใหญ่ 1 ต้น ให้ความเย็นเท่ากับแอร์ 1 เครื่อง (12,000 บีทียู)

ที่มา : กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039539

กฎการใช้ จอในครอบครัว

family 1960
family 1960

http://simple.wikipedia.org/wiki/Leave_It_to_Beaver

ยุคที่หน้าจอ ทั้งโทรทัศน์ ไอโฟน ไอแพด แท็บเล็ต ล้วนดึงดูดสายตาเราไปจากเรื่องรอบตัว แต่สำหรับความสัมพันธ์ในครอบครัว การสบตา พูดคุย สร้างความสัมพันธ์ ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญ คนในครอบครัวจึงควรควบคุมการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เหมาะสม ซึ่งเรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันเช่นเคย

1. พึงระวังทุกหน้าจอ

เป็นที่ทราบกันดีว่าจอโทรทัศน์ไม่ดีสำหรับสายตาและพัฒนาการของเด็ก แต่คุณพ่อคุณแม่จำนวนมากกลับปล่อยให้ลูกน้อยเล่นไอแพด ไอโฟน กันได้โดยไม่จำกัดเวลา แต่หน้าจอเหล่านี้ก็เป็นอันตรายต่อสายตาและพัฒนาการของลูกน้อยเช่นกัน หากเป็นไปได้จึงไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ ใช้หน้าจอเลย หรือหากจำเป็นก็ควรจำกัดเวลาและจำนวนชั่วโมงที่จะให้เด็กๆ เล่นกับอุปกรณ์เหล่านี้ได้

2. สบตากันให้มากขึ้น

คงคุ้นตากันดีกับภาพทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างคนต่างจ้องหน้าจอ หรือคนที่คุยกันโดยตายังจ้องหน้าจออยู่ แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว เราควรหันมาสบตากัน เพราะบ่อยครั้งที่การสื่อสารทางกายและสายตา สำคัญกว่าปากมากนัก และสำหรับเด็กๆ แล้ว การที่คุณพ่อคุณแม่สบตา มีทีท่าใส่ใจยามที่เขาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง หรือเล่นกับเขานั้น สำคัญมาก ถือเป็นการยอมรับในตัวเขาอย่างหนึ่งทีเดียว

3. กำหนดเวลาใช้อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์

เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้คือความเคยชิน การกำหนดเวลาสำหรับการใช้ก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่ช่วยจำกัดเวลาได้ดี อาจกำหนดเป็นเวลาหลังทำการบ้านเสร็จ เพื่อช่วยให้ลูกอยากทำการบ้าน และตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็ควรจำกัดเวลาสำหรับตัวเองเช่นกัน เช่นหากลูกยังไม่หลับจะไม่แตะเครื่องมือเหล่านี้ เป็นต้น

4. พึงระวังเรื่องความเป็นส่วนตัว

หากเสพติดการใช้เฟซบุ๊ก ควรระมัดระวังที่จะจัดการกำหนดคนที่จะเข้ามาดูไทม์ไลน์ของเรา หรือเข้าถึงข้อมูลของเราได้ ยิ่งเมื่อคุณมักจะโพสรูปของคนในครอบครัว ก็ยิ่งควรระมัดระวังให้มากขึ้นเป็นพิเศษ อย่าลืมว่าโลกออนไลน์จะทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณที่อาจไม่อยากให้คนไม่รู้จักได้รู้เห็นหลุดออกไปได้ ซึ่งนั่นหมายถึงข้อมูลและรูปของเจ้าตัวน้อยของคุณด้วย

5. ระวังข้อมูลที่ลูกได้รับ

แม้คุณพ่อคุณแม่จะระมัดระวังการรับข้อมูลข่าวสารของลูกน้อย แต่บางโอกาสก็ทำได้ยากยิ่ง เมื่อปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์ หรือใช้คอมพิวเตอร์ คุณพ่อคุณแม่จึงควรอยู่ด้วยทุกครั้ง เพื่อคอยอธิบายหากเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และควรเลือกสื่อที่ลูกรับให้เหมาะสม โดยเฉพาะโฆษณา และละครโทรทัศน์

6. จัดที่ทางสำหรับอุปกรณ์เทคโนโลยี

หากจัดที่ที่ใช้โทรทัศน์ และอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ให้เป็นที่เป็นทาง และกำหนดไว้ว่าเมื่อออกจากบริเวณเหล่านี้จะไม่ใช้ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยจำกัดเวลาและโอกาสที่ใช้ได้ดี เช่นในห้องนอนเป็นสถานที่ที่ปลอดอุปกรณ์ไฮเทค เป็นต้น

อ้างอิงบางส่วนจาก parenting.com

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032394

เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง

6  เคล็ดลับเลี้ยงลูกไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. จัดกฎเกณฑ์กับลูกให้เหมาะสมกับพัฒนาการและวัยของเด็ก

2. ตั้งกฎเรื่องความปลอดภัยให้แก่ลูก เช่น อย่าใช้นิ้วมือจับเตาไฟร้อนๆ ห้ามวิ่งเล่นที่ถนน ถือเป็นกฎเหล็ก เราจะไม่อะลุ้มอล่วยในเรื่องกฎเหล็กแห่งความปลอดภัย

3. เน้นเรื่องการสร้างพฤติกรรมทางสังคมเชิงบวก โดยให้ลูกพูดคำว่า ขอโทษ หรือขอบคุณอย่างสุภาพกับเพื่อนๆ และคนขอบข้าง

4.คุยกับลูกถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมอย่างชัดเจน เด็กวัยเรียนหรือเด็กโตแล้วจะเริ่มมีสมาธิ ตัวอย่างเช่น เมื่อถามลูกว่าทำไมลูกทำอย่างนั้น ลูกอาจจะไม่สามารถตอบได้ แต่หากตั้งคำถามใหม่ว่าแม่สงสัยจังเลยว่าทำไมเกิดสิ่งนี้บ่อยจัง การตั้งคำถามปลายเปิดแบบนี้ทำให้เด็กเริ่มใช้เวลาคิด และคุณพ่อคุณแม่อาจแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ

5. สงบ เมื่อคุณพ่อคุณแม่เริ่มหงุดหงิดต่อพฤติกรรมของลูกจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีและควบคุมตัวเองไม่ได้ (ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่เริ่มมีอาการเหมือนเวลาลูกเอาแต่ใจตัวเองแล้วล่ะค่ะ) และสิ่งนั้นไม่ได้สอนอะไรให้แก่ลูกเลย

6. สม่ำเสมอ เมื่อพูดอะไรแล้วต้องทำตามที่พูด หากเรามีความคาดหวังพฤติกรรมอะไรให้ลูก เราต้องทำตามนั้นจริง ๆ คุณแม่จะไม่ให้ลูกเล่นของเล่นนี้อีกหากลูกไม่รักษาของ หากพูดบ่อยๆ เกิน 10 ครั้งแสดงว่าไม่ได้ผลแล้วนะคะ

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ให้เราเริ่มสอนตั้งแต่ลูกอายุยังน้อย และทำอย่างสม่ำเสมอ เข้าใจความต้องการและรู้พัฒนาการของลูกอย่างละเอียดอ่อน โดยให้อยู่ภายในขอบเขตที่เหมาะสม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000126184

การมีเซ็กซ์ดีต่อสุขภาพอย่างไร?

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

จากหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่าการมีเซ็กซ์ส่งผลดีต่อสุขภาพถึง 9 ประการดังนี้

1. ลดความเครียด การมีเซ็กซ์สามารถลดความเครียด และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตด้วย จากงานวิจัยของชาวสกอตแลนด์ที่ทำการวิจัยกับผู้ชายจำนวน 22 คน และผู้หญิงจำนวน 24 คน ซึ่งคนเหล่านี้มีการจดบันทึกการมีเซ็กซ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้น ได้จัดให้กลุ่มทดลองอยู่ในภาวะของความเครียด เช่น การพูดในที่สาธารณะ การคำนวณคณิตศาสตร์พร้อมการออกเสียงดังๆ และได้จัดให้มีการตรวจสอบความดันโลหิต ผลปรากฏว่า คนที่มีเซ็กซ์จะตอบสนองต่อความเครียดได้ดีกว่าคนที่ไม่มีเซ็กซ์ และยังพบด้วยว่าผู้หญิงที่ได้รับการกอดจากคู่รักจะมีความดันโลหิตที่ดีกว่าคนที่ไม่ได้รับการกอด

2. ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ การมีเซ็กซ์ 30 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ถึง 85 แคลอรี่ หรืออาจมากกว่านั้น อาจฟังดูเหมือนไม่มากเท่าไร แต่หากใช้เวลา 42 ครั้ง จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ ถึง 3,750 แคลอรี่ ประมาณเกือบจะ 1 กิโล เราสามารถลดได้เกือบจะ 1 กิโลต่อ 21 ชั่วโมง เพราะการมีเซ็กซ์ ก็คือ การออกกำลังกายนั่นเอง นักวิเคราะห์ทางเพศศึกษา กล่าวว่า การมีเพศสัมพันธ์ช่วยทั้งทางด้านร่างกายและทางจิตใจด้วย

3. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน การมีเซ็กซ์ 1 หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน อีกทั้งสามารถช่วยป้องกันหวัด หรือการติดเชื้ออื่นๆ ได้ด้วย

4. เป็นยาแก้ปวด ผลของฮอร์โมนออกซิโตซินไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องความรักเท่านั้น แต่ยังเป็นยาแก้ปวดขนานดี ซึ่งเรียกว่าเอนโดฟิน หากเราปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือมีอาการเครียดก่อนมีประจำเดือน อาจเป็นเพราะเราไม่มีเซ็กซ์

5. ช่วยสร้างคุณค่าในตัวเอง จากการศึกษาของมหาวิทยาลัย เทกซัส พบว่า การมีเซ็กซ์เป็น 1 ใน 237 เหตุผลของการสร้างคุณค่าในตัวเอง และยังกล่าวอีกว่าสำหรับคนที่มีคุณค่าของตัวเองอยู่แล้ว จะยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่ามากขึ้นไปอีกด้วย เพราะการมีเซ็กซ์ช่วยทำให้พวกเขารู้สึกดีต่อตัวเอง แน่นอนเราไม่จำเป็นต้องมีเซ็กซ์บ่อยๆ เพื่อเสริมสร้างคุณค่าในตัวเอง แต่หากเรามีเซ็กซ์ด้วยความรัก การเชื่อมโยงความรู้สึก จะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง

6. มีผลต่อสุขภาพหัวใจ การศึกษาจากประเทศอังกฤษเป็นเวลาถึง 20 ปี พบว่า ผู้ชายที่มีเซ็กซ์ 2 ครั้ง หรือมากกว่านั้นใน 1 สัปดาห์จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวมากกว่าผู้ชายที่มีเซ็กซ์น้อยกว่าเดือนละครั้ง

7. ทำให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากขึ้น การมีเซ็กซ์ช่วยยกระดับฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก ซึ่งช่วยให้คนสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และสร้างความไว้วางใจ จากการศึกษาผู้หญิงถึง 59 คน ในระดับฮอร์โมนออกซิโตซินก่อนและหลังการได้รับการกอดพบว่า ผู้หญิงเหล่านี้มีระดับฮอร์โมนเพิ่มสูงมากขึ้นหลังจากการสัมผัสทางด้านร่างกายกับคนรัก

8. การหลั่งช่วยลดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก การหลั่งบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้ชายในช่วงวัย 20 ปี อาจจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในปั้นปลายชีวิต จากการศึกษาในนิตยสารการแพทย์ของอเมริกาพบว่าผู้ชายที่หลั่งมากกว่า 21 ครั้งต่อเดือน จะมีอัตราการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าผู้ชายที่หลั่งประมาณ 7 ครั้งต่อเดือน

9. ช่วยให้หลับสบาย สารออกซิโตซินจะไหลออกมาในขณะถึงจุดสุดยอดซึ่งจะช่วยให้นอนหลับสบาย งานวิจัยแสดงให้เห็นอีกว่าการนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยส่งผลที่ดีต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย เช่นการมีน้ำหนักที่สมดุลการไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ดี

ในแง่ของทางวิทยาศาสตร์การมีเซ็กซ์ดูเหมือนจะเป็นผลดีมากมายต่อสุขภาพกายและจิตใจ แต่ก็ไม่ควรหมกหมุ่นในเรื่องเซ็กซ์มากเกินไป หากต้องควรระมัดระวังในเรื่องของความสะอาดด้วย ซึ่งทางที่ดีที่สุดนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงจากการส่ำส่อนทางเพศ เพราะโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากการมีเซ็กซ์ก็มีอยู่มากมายเหลือเกิน ดังนั้นการรักษาชีวิตที่สมดุล ครองคู่ไปด้วยความรักและความเข้าใจระหว่างสามีและภรรยา ถือว่าเป็นเรื่องที่มีสำคัญยิ่งกว่าเรื่องใดๆ ขอให้ทุกครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง
http://www.webmd.com/sex-relationships/guide/10-surprising-health-benefits-of-sex

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138072

เก่งทั้งบ้าน..ด้วยพลังสมองซีกซ้าย

โดย  ดร.นพ.ยุทธนา ภาระนันท์

ช่วงที่ผ่านมา ท่านทำงานค่อนไปทางข้างไหนมากกว่ากัน ระหว่าง Work hard กับ Work smart

ครอบครัว
ครอบครัว

คมคิด: ขวานทื่อ หากไม่ลับให้คม ก็ต้องออกแรงมาก (Adapted from Ecclesiastes 10:10, 2012)

พ่อ: พ่อมีเรื่องให้ทายนะ กติกาคือ ห้ามตอบให้ถูก
แม่ & ลูก: ง่ายจะตาย ถามมาเลยพ่อ
พ่อ: หนึ่ง บวก หนึ่งเท่ากับอะไร
แม่ & ลูก: 20
พ่อ: ปลาอะไรเอ่ยดิ้นได้
แม่ & ลูก: ปลา…ปลาตายแล้ว
พ่อ: เอ๊ะ! พ่อถามไปกี่ข้อแล้วนี่
แม่ & ลูก: ก็สองข้อไง
พ่อ: อ้าว!…ตอบถูกไปแล้ว
แม่ & ลูก: !!??!!

การทายปัญหาของพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้ ไม่เพียงเสริมสร้างความสนิทสนมกันในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นสมองไปพร้อมกันด้วย เพราะสมองเป็นอวัยวะที่ยิ่งใช้ ยิ่งคม

หลายครั้งผมอบรมให้บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหัวข้อเกี่ยวกับ “เปิดสมอง ปั้นอัจฉริยะ” (Multiple intelligence) ผมให้ทำแบบสำรวจ “Memory Impairment” เช่น อบบางอย่างในเตา แล้วลืมว่าต้องเอาออกมา, ลืมกุญแจบ้านไว้ในรถ ซึ่งจอดไว้อีกที่หนึ่ง, ไปช็อปปิ้ง แต่ดันลืมเอากระเป๋าเงินไป, หลงทางในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ปรากฏว่า มีไม่น้อยที่มีอาการเหล่านี้ ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงวัย 40 ปีขึ้นไป

ผมจึงย้ำให้ทุกท่านได้ฝึกฝนใช้สมอง 2 ซีกอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพราะหากไม่ใช้ก็จะยิ่งเสื่อมเร็วเข้าไปใหญ่ แล้วผมก็ฝึกทักษะขยับมือขยายสมอง ทำมือเป็นรูป L กับ O สลับกันไปมาซ้ายขวา, ทำมือถูค้อนทุบ เป็นต้น ก็เรียกบรรยากาศครื้นเครงกันทั่วห้องฝึกอบรมกันเลยครับ

โอกาสเดือนเมษายน เรียกได้ว่าเป็นเดือนแห่งความครัวเป็นสุขก็ว่าได้นะครับ ก็อยากฝากทักษะง่ายๆ ในการกระตุ้นสมองซึกซ้ายในชีวิตประจำวัน ลองฝึกดูนะครับ ใช้ได้กับทุกคนในครอบครัวครับ

ทักษะปลุกสมองซีกซ้าย (Enhancing Lt brain)

เป็นฝึกฝนลงมือทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของสมองซึกซ้ายซึ่งคล้ายนักวิทยาศาสตร์ อันได้แก่ การใช้เหตุผล การแยกแยะ การเก็บรายละเอียด การลำดับก่อนหลัง การจัดระเบียบขั้นตอน ตัวเลข ภาษา เป็นต้น ขอยกตัวอย่างบางประการ ดังนี้…

1.  ฝึกเขียนสิ่งที่จะทำออกมาเป็นรายการ
2. นำสิ่งที่จะทำมาจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
3. สนใจในรายละเอียด
4. รู้จักบริหารเวลา
5. ทำอะไรแล้ว ทำจนสำเร็จ
6. ฝึกวิเคราะห์ปัญหาและตัดสินใจด้วยเหตุผล
7. เปรียบเทียบทางเลือกต่างๆ โดยเขียนทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่ละทางเลือก ก่อนตัดสินใจ
8. แยกย่อยสิ่งต่างๆ เป็นประเด็นๆ แล้วนำมาจัดหมวดหมู่
9. ฝีกจัดเรียงลำดับขณะสื่อสารออกมาเป็นข้อๆ เช่น ฉันมีจุดประสงค์ 3 ประการได้แก่…

“ในที่ซึ่งมีที่ปรึกษามาก ย่อมมีความปลอดภัย” ท่านเห็นด้วยหรือไม่?

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000038006

9 เรื่องควรละ..เลิก..เมื่อตั้งครรภ์

เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดูแลในท้อง คุณแม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ชีวิต เพิ่มการดูแล

ตั้งครรภ์
ตั้งครรภ์

ตัวเองในทุกๆ ด้านให้มากขึ้น แต่ก็มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องลด ละ เลิก เพราะจะช่วยให้คุณแม่สุขกายสบายใจ ส่วนเจ้าตัวเล็กในท้องก็จะเติบโตได้ดี และคลอดออกมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงค่ะ

9 เรื่องควรลด ละ เลิก

1. เดินและเคลื่อนไหวเร็ว

ตอนยังไม่ท้องคุณแม่อาจเป็นคนกระฉับกระเฉง เดินหรือเคลื่อนไหวเร็ว ไปโน่นมานี่ได้อย่างรวดเร็วทันใจ แต่ตอนนี้คุณแม่ต้องใจเย็น เดินและเคลื่อนไหวให้ช้าลง ยิ่งท้องใหญ่มากขึ้นยิ่งต้องลดสปีดของตัวเองลง เพราะการเดินและเคลื่อนไหวในจังหวะและความเร็วที่พอเหมาะ จะช่วยรักษาสมดุลของการเคลื่อนไหว และปลอดภัยมากขึ้น หากคุณแม่เกิดก้าวพลาด หรือสะดุดหกล้ม อาจเป็นอันตรายทั้งคุณแม่และเจ้าตัวเล็กในท้องได้

2. ลดเสียงเพลง

การฟังเพลงที่ชอบ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของคุณแม่ เพราะช่วยให้ผ่อนคลายสบายใจ แถมยังส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและอารมณ์ของเจ้าตัวเล็กในท้อง แต่ก็ไม่ควรฟังในระดับเสียงที่ดังมากจนเกินไป เพราะแทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ ก็อาจกลายเป็นความเครียดและแก้วหูถูกทำลายแทน ซึ่งแน่นอนว่า เจ้าตัวเล็กในท้องจะได้รับผลกระทบเหล่านั้นไปด้วยอย่างแน่นอน

3. กินเร็ว

การกินอาหารเร็วๆ เคี้ยวยังไม่ทันละเอียดก็รีบกลืนลงคอจนติดเป็นนิสัย จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก ส่งผลให้ท้องอืดท้องเฟ้อ และยังทำให้คุณแม่กินอาหารมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุของความอ้วนและโรคภัยอื่นๆ ที่จะตามมาได้อีกด้วย การเคี้ยวอาหารให้ช้าลง นอกจากจะปลอดภัยสบายท้อง ไม่มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ลดความเสี่ยงต่ออาการผิดปกติต่างๆ แล้ว คุณแม่ก็ยังได้สัมผัสรสชาติของอาหารที่โปรดปราน หรืออาหารที่อยากกินอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งกายและใจจริงๆ ค่ะ

4. เว้นอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด

เช่น อาหารมันจัด เนื้อสัตว์ที่ติดมัน หรือติดหนัง ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะทำให้คุณแม่ได้รับไขมันและน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้คุณแม่อ้วน เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน และยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อีกด้วย

5. ไม่ยืนหรือนั่งท่าเดิมนานๆ

การนั่งพิมพ์เอกสารนานๆ ยืนถ่ายเอกสาร หรือการทำงานบ้านต่างๆ เช่น รีดผ้า ทำกับข้าว ทำความสะอาด เหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะการนั่งหรือยืนนานๆ จะทำให้คุณแม่รู้สึกปวดเมื่อย เกิดเส้นเลือดขอด เป็นตะคริว และเกิดอาการเวียนศีรษะได้

6. หลีกเลี่ยงมลพิษ

คุณแม่ควรอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์ หรือมีมลพิษน้อยที่สุด มีผลการศึกษาวิจัยพบว่า มลพิษต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระแสเลือด ซึ่งสามารถขัดขวางการทำงานของรกและส่งผลต่อ DNA ของทารกตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ คุณแม่ที่หายใจเอามลพิษเข้าไปมากๆ จะส่งผลให้ลูกมีไอคิวต่ำอีกด้วยนะคะ

แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น จำเป็นต้องใช้รถสาธารณะในการเดินทาง ควรสวมหน้ากากเพื่อป้องกันควันพิษ ฝุ่นละออง และเชื้อโรคต่างๆ ค่ะ

7. เลิกเครียด

เป็นเรื่องที่พูดง่ายทำยากค่ะ เพราะเรื่องที่ทำให้กังวลจนกลายเป็นความเครียดสำหรับคุณแม่แล้ว ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องลูกในท้องนี่แหล่ะค่ะ แต่เพื่อลูกแล้วเชื่อว่าคุณแม่สามารถหาทางจัดการความเครียดตัวร้ายได้แน่ๆ เพราะถ้าปล่อยไว้ลูกในท้องจะรับรู้อารมณ์เครียดของคุณแม่ได้ มีรายงานยืนยันว่าลูกจะเป็นเด็กเครียด งอแง และเลี้ยงยาก อาจเป็นเพราะสารเครียดในร่างกายของคุณแม่ส่งผ่านมาถึงลูก และยังมีผลต่อการพัฒนาสมองของลูกอีกด้วย

8. เลิกดื่มแอลกอฮอล์

ผู้หญิงที่ยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์แล้วดื่มแอลกอฮอล์ จะมีผลต่อการสร้างอวัยวะต่างๆ ของลูกในท้องในช่วง 3 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกสร้างเส้นประสาทและสมอง ทุกครั้งที่คุณแม่ดื่ม ลูกก็จะได้รับแอลกอฮอล์ด้วย ทำให้ลูกเกิดความผิดปกติทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สมอง ใบหน้า เช่น ร่างกายไม่เจริญเติบโต พัฒนาการทางสมองผิดปกติ ปัญญาอ่อน การทำงานประสานระหว่างมือและตาไม่ดี เรียนรู้ไม่ดี เป็นต้น

9. เลิกนอนดึก

คุณแม่ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องการนอนคืนละ 7 ชั่วโมง แต่บางคนอาจต้องการนอนมากกว่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่ไม่ควรนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง เพราะมีการศึกษาพบว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ที่นอนน้อยกว่าคืนละ 5 ชั่วโมง เสี่ยงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษมากกว่าปกติถึง 9.5 เท่าค่ะ

หากคุณแม่สามารถทำได้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เชื่อว่าการตั้งครรภ์ในครั้งนี้จะมีความสุขทั้งกายและใจค่ะ

บทความจาก :นิตยสารรักลูก

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000024528