ประโยชน์ของแตงกวา

bb1

“แตงกวา” คนไทยเรารู้จักกันดีค่ะ และ นิยมนำแตงกวามาวางประดับตกแต่งจาน บางคนก็ละเลยที่จะทาน แต่หารู้ไม่ ว่าสิ่งที่เรียกว่า “แตงกวา” นี้แหละ ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายไม่น้อยเลย   มาดูประโยชน์ของแตงกวากันค่ะ

ประโยชน์ของแตงกวา

  1.  แตงกวา ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอาการขาดน้ำ เพราะในตัวของมัน  มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 90%
  2.  ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ทั้งภายนอก และภายใน
  3.  แตงกวา สามารถล้างสารพิษที่มีอยู่ในร่างกายได้ และยังสามารถช่วย  ละลายก้อนแข็งที่อยู่ในไตได้ด้วย
  4.  แตงกวา อุดมไปด้วยวิตามินมากมาย ทั้ง A B C
  5.  แตงกวา ถือเป็นทรีตเม้นท์ที่ดีต่อสุขภาพผิว เพราะมี โพแทสเซียม  แมกนีเซียม และ ซิลิคอน
  6.  ช่วยลดการเกิดถุงใต้ตา และอาการตาบวม
  7.  ช่วยลดความดันโลหิต
  8.  ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย เช่นระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้ระบบ  ภูมิคุ้มกัน อยู่ในสภาพวะที่เหมาะสม
  9.  ช่วยในการขับถ่าย แก้อาการท้องผูก
  10.  ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก ด้วยการทำแตงกวาฝานแผ่นบางๆ อมไว้ที่  เพดานปากซักครึ่งนาที สารจากแตงกวา จะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อัน  เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้
  11.  แตงกวา สามารถแก้อาการเมาค้างได้ ถ้ารู้ตัวว่าดื่มหนัก ก่อนนอนให้ลอง  กินแตงกวาฝานซักหน่อย สารอาหารที่อยู่ในแตงกวา จะทำให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่มีอาการปวดหัว
  12.  แตงกวา ทำให้ผม เล็บเงางาม และแข็งแรงขึ้น
  13.  ช่วยบำรุงระบบการย่อยอาหารในร่างกาย
  14.  สามารถลดไข้ได้
  15.  เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท
  16.  ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะ
  17.  แก้อาการนอนไม่หลับ
  18.  มีสารต้านมะเร็ง
  19.  มีฤทธิ์ ช่วยในการขับปัสสาวะ
  20.  สามารถดื่มน้ำแตงกวา เพื่อแก้อาการเจ็บคอได้

ขอบคุณรูปภาพจาก: www.organiclifestylemagazine.com

ชาไข่มุก ชาเย็น กาแฟเย็น เครื่องดื่มซ่อนโรค

bb1

ในปัจจุบันกระแสความนิยมการบริโภคเครื่องดื่มชานมไข่มุก ของชาวไทยเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อนจึงไม่แปลกที่เครื่องดื่มแบบเย็นจะได้รับความสนใจมากเพียงนี้ แต่ในความอร่อยดื่มแล้วชื่นใจนั้น ใครบ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย อาจเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ที่จะตามมาในอนาคตได้

นักวิชาการเตือน ชาไข่มุก ชาเย็น กาแฟเย็น เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้อ้วน โดยเฉพาะวัยรุ่นนิยมกันมากบางคนดื่มวันละ 3 แก้ว ทำน้ำหนักพุ่งและมีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐาน ชานมไข่มุก 1 แก้ว มิได้มีเพียงแต่น้ำชาเท่านั้น แต่ยังมีน้ำเชื่อม ครีมเทียม และไข่มุกเพิ่มขึ้นมา

ข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ชานมไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงาน 240 – 360 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 45 – 62 กรัม, ไขมัน 0 – 14 กรัม, โปรตีน 0.4 – 2 กรัม) ความแตกต่างของพลังงานและสารอาหารขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเชื่อมและครีมเทียมที่ใส่ลงไป

โดย  ไข่มุก  ที่อยู่ในชานมไข่มุกนั้น ผลิตมาจากแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งจัดอยู่ในอาหารหมวดเดียวกับแป้งและน้ำตาล โดยไข่มุก 30 กรัม ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี่ ซึ่งพลังงานที่ได้จากการดื่มชานมไข่มุกใกล้เคียงกับการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ 1 ชาม  ที่ให้พลังงาน 326 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 41 กรัม, ไขมัน 8 กรัม, โปรตีน 21 กรัม) หรือเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากชานมไข่มุกจะเท่ากับข้าว 3 – 4 ทัพพี

จริงอยู่ว่ามีการศึกษามากมายที่ระบุถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำชาเพื่อสุขภาพ   แต่การดื่มชาคู่กับนมหรือน้ำตาลจะลดคุณสมบัติของชาในการต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งไปกว่านั้น   น้ำตาลที่ใส่ในน้ำชายังถือเป็นสิ่งที่ให้พลังงานสูญเปล่า การดื่มน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดเหมือนกับการดื่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มประเภทชาเขียวพร้อมดื่มที่มีวางจำหน่ายทั่วไป นอกจากนี้ ครีมเทียมที่ใส่ลงในชานม ไขมันส่วนใหญ่จะผลิตจากไขมันปาล์มซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง โดยเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า การบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

ดังนั้น ควรลดปริมาณการบริโภคชานมไข่มุกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิด โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดได้นะคะ

ที่มา : http://www.lovefitt.com/healthy-fact/ชาเย็น-ชาเขียว-ชาไข่มุก-ทำวัยรุ่นลงพุง-ให้คุณหรือโทษ/

ระวัง! ฉีดผิวขาว… สวยไว แต่ตายผ่อนส่ง

ข้อมูล : ผิวขาวขึ้นจริง แต่ตายไวขึ้น
เป็นกระแสสังคม และรสนิยมของคนยุคนี้ แล้วเราจะตามกระแสกันไหม

closeup portrait woman with ideal skin holding botox injection with shining needle

พูดถึงเทรนด์ผิวขาวคงต้องนึกถึงเทรนด์การฉีดผิวขาวที่นิยมกันมากในหมู่วัยรุ่นสาวๆ ที่อยากจะมีผิวขาวใสเหมือนดาราเกาหลี ด้วยกระแสสังคมและรสนิยมของคนยุคนี้ ทำให้ธุรกิจเสริมความงามเกี่ยวกับผิวพรรณเติบโตกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การฉีดผิวด้วยกลูต้าและวิตามินซี” เพื่อให้ขาวใสในไม่กี่สัปดาห์ โดยใครจะทราบว่าการฉีดผิวขาวมีอันตรายกว่าที่คิด

การฉีดผิวขาวเป็นอย่างไร? อันตรายไหม?

การฉีดผิวขาวที่นิยมฉีดหลักๆคือ ‘กลูตาไธโอน’ สารสกัดที่ได้โดยบังเอิญจากกระบวนการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งเมื่อฉีดยาดังกล่าวให้ผู้ป่วยแล้วพบว่าผิวของผู้ป่วยขาวขึ้นจากปกติ ทำให้พ่อค้าแม่ขายหลายเจ้าได้นำผลข้างเคียงของยานี้มาโฆษณาชวนเชื่อสำหรับสาว ๆ รวมไปถึงหนุ่ม ๆ บางคนที่อยากมีผิวขาวใสว่าฉีดผิวด้วยกลูต้าทำให้ขาวได้จริง

อย่างไรก็ตามด้วยคุณสมบัติของกลูต้าไธโอนนั้น เป็นสารที่มีความไม่คงตัว สามารถสลายได้ง่ายมาก หากจะใช้ให้ขาวต้องใช้เป็นเวลานานและสม่ำเสมอ ในกรณีที่ต้องการให้ผิวขาวด้วยการฉีดเข้าเส้นเลือดดำนั้น ต้องฉีดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง ซึ่งเรียกได้ว่าอันตรายมากเพราะสามารถทำให้เกิดอาการตาพร่า เนื่องจากกลูต้าเป็นสารที่สามารถลดประมาณเม็ดสีภายในร่างกาย โดยเม็ดสีที่ว่านี้รวมทั้งสีผิวและสีตา ดังนั้นหากผิวหนังมีสีอ่อนลง สีตาก็อ่อนลงเช่นกัน เมื่อสีตาอ่อนลงก็จะสู้แสงได้น้อยลง และหากดวงตาสัมผัสกับแดดหรือแสงจากจอโทรศัพท์มือถือ ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอาการตาบอดในที่สุด

การฉีดผิวด้วยวิตามินซี ช่วยผิวขาวจริงหรือ?

นอกจากกลูตาไธโอนแล้ว ก็ยังมีสารอีกชนิดหนึ่งที่นิยมฉีดและรับประทานเพื่อความขาว นั่นก็คือ ‘วิตามินซี’ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าสามารถช่วยเรื่องหวัดและทำให้ผิวขาวใส แต่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่มีวิจัยหรือหลักฐานทางวิชาการใดที่ระบุว่าวิตามินซีส่งผลต่อสีผิว หรือแม้แต่ในเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันหวัดก็อยู่ในระดับ Possibly effective หรือระดับที่ ‘อาจจะ’ ป้องกันได้เท่านั้น ซึ่งการใช้วิตามินซีที่ถูกต้องคือ การใช้รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันและลักปิดลักเปิดในผู้ป่วยที่ขาดวิตามินซีเท่านั้น

ถึงกระนั้นความเชื่อเรื่องการฉีดผิวขาวด้วยกลูตาไธโอนและวิตามินซีก็ยังคงอยู่กับคนไทยมาจนปัจจุบัน จนบางคลินิกถึงขั้นฉีดกลูต้าและวิตามินซีในคราวเดียวกันเพื่อให้เห็นผลเร็ว และฉีดด้วยความเข้มข้นสูงเพื่อให้ขาวถาวร ส่วนใหญ่อยู่ที่อาทิตย์ละสองครั้งซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้หากเกิดกับผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงจะทำให้เกิดการเวียนศีรษะ อาเจียน กล้ามเนื้อสั่น หายใจติดขัด ประสาทหลอนและอาจช็อกจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

จะเห็นได้ว่าการฉีดผิวขาวนั้นก่อให้เกิดอันตรายกว่าที่คิด อีกทั้งประสิทธิภาพเรื่องความขาวก็ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อใดการันตีว่าจะขาวได้ถาวร เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย กล่าวคือในการฉีดผิวขาวแต่ละครั้งนอกจากเจ็บตัวแล้ว เสียเงิน เสียสุขภาพแล้วยังต้องลุ้นกับผลลัพธ์ความขาวหลังฉีดอีกด้วย ทราบแบบนี้แล้วก่อนจะตัดสินใจฉีดผิวขาวก็คงต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนว่า ความขาวเพียงชั่วคราวแลกกับสุขภาพและชีวิตคุ้มกันแล้วหรือยัง

ที่มา: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ที่มา: http://sukkaphap-d.com

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ การมีผิวขาว
– กรณีตัวอย่างปัญหาแพ้สาร http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1470569859

ยากิน ยาฉีด ยาทา

7 วิธีแก้ปัญหา “ผมขาดหลุดร่วง”

5

สาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วงมีอยู่หลายสาเหตุ แอดจะขอหยิบยกสาเหตุหลัก ๆ มานะคะ

1. ขาดสารอาหารสำคัญในการหล่อเลี้ยงเส้นผม

2. สารเคมีภายนอกทำลายเส้นผมมากเกินไป เช่น การทำสีผม การดัดหรือยืดผม

3. ทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

4. มีปัญหาเรื่องสมดุลฮอร์โมน

5. รังแค หรือปัญหาหนังศรีษะเรื้อรัง

6. ความเครียด

มาดูวิธีแก้ไขเพื่อลดผมขาดหลุดร่วงกันเลย!!

1. ใช้แปรงหรือหวีซี่ใหญ่

หวีซี่ใหญ่กว่าช่วยลดการเสียดสีได้ดี ถ้าสาว ๆ ใช้หวีซี่เล็กและถี่เป็นปกติ การเสียดสีของผมแต่ละเส้นกันตัวหวีจะมีมากกว่า อาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่าย

2. ไม่หวีผมขณะที่ผมเปียก

ขณะผมเปียก เกล็ดผมจะเปิดด้วย นั่นหมายถึงว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุด การหวีผมทำให้เกิดการเสียดสีในขณะที่ผมอ่อนแอ อาจทำให้ผมแตกปลาย แห้งเสีย และหลุดร่วงในที่สุด

3. เปลี่ยนแชมพู

พยายามเลือกใช้แชมพูที่มีสารซัลเฟตและซิลิโคนน้อย เพื่อเลี่ยงสารเคมีที่ทำลายหนังศรีษะ

4. สระผมอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 ครั้ง

เพื่อหลีกเลี่ยงผมหลุดร่วงจากการติดเชื้อของหนังศรีษาะที่สกปรก

5. อย่าทำให้ผมเจ็บบ่อย ๆ

‘เจ็บ’ ในที่นี้หมายถึงการรัดผมด้วยยางรัด การทำดังโงะ บัน หรือการเปียผมแน่น ๆ ทั้งหลาย อาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้เช่นกัน หากสาว ๆ ทำมันบ่อย ๆ พยายามเปลี่ยนตำแหน่งการมัดในทุก ๆ วัน หรือควรปล่อยผมให้ฟรีรับลมบ้าง วันเว้นวันไปเลยจะดีมาก

6. ทานอาหารเพิ่มพลังให้เส้นผม

ทานอาหารจำพวกผักผลไม้ที่มีสาร zinc, Vitamins A, B complex, Vitamin C, Vitamin E, omega-3 fatty acids และโปรตีน ช่วยเพิ่มชีวิตชีวา และบำรุงเส้นผมให้กลับมาแข็งแรง

7. ใช้แชมพูและครีมนวดผมลดการขาดหลุดร่วงของผม

เส้นผมก็ต้องดูแลไม่แพ้ผิวหน้าผิวกายนะจ้ะสาว ๆ แต่หากสาว ๆ คนไหนมีอาการผมร่วงเรื้อรังจริง ๆ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาทางรักษาที่ดีที่สุด

————-ขอขอบคุณ http://www.girlsallaround.com/stop-hair-fall/

หลอดไฟก็ทำร้ายผิวได้

หลอดไฟก็มีรังสี UV นะค่ะ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวของเราเช่นกัน วันนี้มาทำความรู้จักรังสีจากหลอดไฟแต่ละประเภทกันค่ะ

รังสี UVA จากหลอดไฟประเภทต่างๆ

 1. หลอดไส้หรือหลอดทังสเตน

light2

หลอดใส้หรือหลอดทังสเตน เป็นหลอดไฟที่ปลอดภัยจากรังสียูวี แต่ก็มีความร้อนสูงพอควร และแสงจากหลอดไฟนี้ ก็ทำให้เกิดความร้อนกับผิวหน้าได้มากค่ะ เพราะความร้อนเป็นต้นเหตุของรังสีอินฟราเรด ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างเมลานินขึ้นได้ และอาจทำให้เกิด กระ ขึ้นที่บริเวณใบหน้าได้อีกด้วย จึงไม่ควรอยู่ใกล้หลอดไฟเป็นเวลานานเกินไปนะ

2.  หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์

Fluorescent-01

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ เป็นหลอดไฟที่ไม่ให้ความร้อน แต่ปล่อยรังสี UVA แทน ซึ่งระยะที่เป็นอันตรายต่อผิวมากๆ คือ ระยะที่ไม่ควรเข้าไปใกล้ไปมากกว่า 1 เมตร และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีหลอดไฟอยู่หลายหลอดเป็นเวลานานๆ ด้วยนะคะ เพราะจะอาจทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ด้วยค่ะ

3. หลอดไฟเมทัลเฮไลด์ (Metal Halide Lamp)

หลอดเมทัลฮาไลด์

 

หลอดไฟเมทัลเฮไลด์ จะปล่อยรังสี UVAค่อนข้างเข้มข้นมากกว่าหลอดประเภทอื่นๆ ค่ะ และเมื่อโดนเป็นเวลานานจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ง่าย เช่น หลอดไฟส่องสินค้า ไฟประดับ ไฟเวที รวมไปถึงหลอดไฟในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ  เช่น เครื่องฉายแผ่นใส เครื่องฉายแอลซีดี และถ้าไม่แน่ใจว่าตัวอุปกรณ์ต่างๆ ใช้หลอดไฟแบบไหน วิธีง่ายๆ คือ หลีกเลี่ยงแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมากเป็นพิเศษ ดีที่สุดค่ะ

รู้อย่างนี้แล้ว ในแต่ละวัน แม้จะอยู่ในที่ทำงานตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ออกไปผจญกับแสงแดด หมั่นทาครีมกันแดด และป้องกันรังสี UV ให้กับผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำในทุกวัน   อย่าคิดว่าแสงจากหลอดไฟเพียงเล็กน้อยคงทำอะไรผิวเราไม่ได้ เพราะหากผิวต้องรับรังสี UV อยู่ทุกวัน อายุผิวก็จะยิ่งเสื่อมสภาพได้เร็วยิ่งขึ้นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/notes/

ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูง

คือภาวะที่แรงดันในหลอดเลือดแดงสูง หากไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาวจะทำให้เกิดความเสียหายแก่อวัยวะหลายระบบในร่างกาย

e1

เมื่อไหร่จะบอกว่าเป็นความดันโลหิตสูง

ค่าตัวบนเกิน 140 มิลลิเมตรปรอท
ค่าตัวล่างเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท
หากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ในระยะยาวจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ ดังนี้

1.หลอดเลือดแดงแข็งตัว และตีบตัยในอวัยวะต่างๆ ได้ทั่วร่างกาย เช่น

  • หลอดเลือดแดงเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บหน้าอก และหัวใจวายได้
  • หลอดเลือดแดงในสมองตีบตัน ทำให้สมองขาดเลือด เนื้อสมองตาย หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย เลือดออกในสมอง ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
  • หลอดเลือดแดงที่ไตตีบ ทำให้ไตเสื่อม และไตวายได้
  • หลอดเลือดแดงในตาแข็งและตีบ อาจมีเลือดออกที่จอภาพและประสาทตา ทำให้ตามัวหรือตาบอดได้
  • หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนขาตีบตัน ทำให้มือเท้าขาดเลือดเป็นแผลเรื้อรัง หายยาก
  • หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก และช่องท้องโป่งพอง และแตก ทำให้เสียชีวิตได้ทันที

2. หัวใจโต ทำให้การสูบฉีดเลือดของหัวใจอ่อนแรง เกิดภาวะน้ำท่วมปอด และเหนื่อยง่าย

ความดันโลหิตสูงทำไมต้องรักษา

สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่ (กว่า 90%) ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ส่วนหนึ่งเกิดจากรรมพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารและสิ่งแวดล้อม ในกรณีนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้โดยการรับประทานยาเป็นประจำ
มีคนไข้ความดันโลหิตสูงอีกประมาณ 5% ที่มีความดันโลหิตสูงเนื่องจากโรคอื่น เช่น เนื้องอกของต่อมหมวกไต ซึ่งถ้าผ่าออกความดันโลหิตก็จะกลับมาเป็นปกติ และหายขาดได้
จะเห็นว่าโรคความดันโลหิตส่วนใหญ่เป็นโรคประจำตัว ไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงรักษาอย่างไร…?
การรักษาขึ้นแรก คตือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิต

  • ควบคุมอาหาร และน้ำหนักตัว อย่าให้อ้วน โดยการลดอาหารประเภทไขมัน ได้แก่ อาหารที่ใช้เนย ไขมัน และน้ำมันในการปรุง
  • ลดอาหารเค็ม เช่น ของดองเค็ม ซุปกระป๋อง อาหารที่โรยเกลือ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที จะช่วยลดน้ำหนักและทำให้การไหลเวียนดี ป้องกันโรคหลอดเลือดได้ ที่สำคัญผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อนเริ่มออกกำลังกายครั้งแรกควร ปรึกษาแพทย์
  • หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เครียด
  • งดดื่มสุราและสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาต
  • รับประทานยาให้สม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์

ทำอย่างไร…? จึงจะทราบว่า…ความดันโลหิตดี
ต้องวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ จะใช้ความรู้สึก เช่น อาการปวดหัวเพียงอย่างเดียวไม่ได้ การมาพบแพทย์วัดความดัน 2-3 เดือนต่อครั้ง ก็ไม่เพียงพอ   ควรเรียนรู้วิธีวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง โดยใช้เครื่องวัดความโลหิตระบบดิจิตอลวัดความดันเองที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องวัดถี่เกินความจำเป็น และควรจดบันทึกเวลาค่าที่สัดได้ทุกครั้ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมความดันโลหิต

จะเห็นได้ว่าภาวะแทรกซ้อนของความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่จะเกิดปัญหากับระบบ หลอดเลือดทั่วร่างกาย จึงควรพบแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพและรับประทานยาเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ตามคำ แนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง

 

http://www.thaihealthyclubs.com/ความดันโลหิตสูง/

ประโยชน์ของ “นมเปรี้ยว”

“นมเปรี้ยว” นมอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนนิยมดื่มกัน เกิดจากการหมักจุลินทรีย์ในนมจนเกิดรสเปรี้ยว และอาจเติมแต่งสี กลิ่น รส ให้เป็นที่น่ารับประทาน ซึ่งนมเปรี้ยวไม่ได้ให้แค่เพียงรสชาติที่อร่อยเท่านั้น เพราะนมเปรี้ยวอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกายผู้บริโภค และที่สำคัญนมเปรี้ยวนั้น ยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี

69_1
1. รักษาอาการท้องเสีย

การดื่มนมเปรี้ยวที่เกิดจากวิธีการหมักจะเป็นนมเปรี้ยวที่มีทั้งกรดแลคติก และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในน้ำนม ทุกครั้งที่ดื่มนมเปรี้ยว ไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่ยังได้รับจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลอีกครั้ง และทำให้อาการท้องเสียหายไปได้ รวมถึงสามารถรักษาโรคท้องเดินและแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ซึ่งจุลินทรีย์ที่มีชีวิตนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้นมเปรี้ยวมีคุณค่าต่อร่างกาย

2. ยกระดับภูมิคุ้มกันโรคให้สูงขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวไม่เพียงแต่ป้องกันและรักษาโรคได้ แต่ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นด้วย และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสจะช่วยควบคุมปริมาณคลอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด นอกจากนี้เชื้อแลคโตบาซิลัสยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง จับกับโลหะหนักและกรดน้ำดี ซึ่งมีพิษยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรท (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง)

3. ควบคุมจุลินทรีย์ที่เราไม่ต้องการในลำไส้

ในนมเปรี้ยวมีการสะสมของสารเมตาบอไลท์ที่จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติกขับออกมา สารเหล่านี้มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการในลำไส้ได้หลายชนิด เช่น Salmonella และ E.coll ทำให้พวกจุลินทรีย์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ดังนั้นเราควรจะดื่มนมเปรี้ยวอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อให้มีกลุ่มจุลินทรีย์ที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

4. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของลำไส้ดีขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว จะสร้างเอ็นไซน์ที่สามารถย่อยอาหารได้มากกว่าปกติ เช่น เอ็นไซน์ย่อยโปรตีน จะช่วยให้การย่อยเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในนม ช่วยให้มีการหลั่งนํ้าลายและเอ็นไซน์ในกระเพาะอาหารและตับอ่อนมากขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น จุลินทรีย์เหล่านี้ยังสร้างเอ็นไซน์ย่อยน้ำตาลแลคโตส (B-galactosidase) ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตส ซึ่งคนเราทั่วๆ ไปจะขาดเอ็นไซน์นี้หลังจากหย่านม ทำให้บางคนเมื่อทานนมแล้วจะมีอาการท้องเสีย เนื่องจากน้ำตาล แลคโตสไม่ถูกย่อย แต่จุลินทรีย์ที่เติมลงในนมเปรี้ยวนี้จะไปช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตส ทำให้ผู้บริโภคไม่เกิดอาการท้องเสีย นอกจากนี้จุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติกยังช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

5. แหล่งวิตามินบี และวิตามินเค

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวสามารถสังเคราะห์วิตามินบี 1 (ไรโบฟลาวิน) และวิตามินเคในลำไส้ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ป้องกันโรคเหน็บชา และช่วยในการแข็งตัวของเลือด

อย่างไรก็ดี การดื่มนมเปรี้ยว ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ แต่นมเปรี้ยวก็ให้โทษได้เหมือนกันถ้ากระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน เกิดการปนเปื้อนจากเชื้อโรคและสารต่างๆ นอกจากนี้หากบริโภคไม่หมดภายในหนึ่งวัน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น และไม่ควรดื่มนมเปรี้ยวเป็นอาหารหลักควรดื่มเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ดี ที่สำคัญควรดูวันผลิตก่อนซื้อ และควรดูวันหมดอายุก่อนรับประทานเสมอ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069996
ข้อมูลอ้างอิงจาก : วารสารฟ้าดัชมิลล์ ฉบับที่ 50

ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง

กรมอนามัยวิจัย 10  ผลไม้ไทย  มีสารต้านมะเร็งสูง!

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

4ff

ผลไม้ 10  อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร

2. มะขามเทศ

3. มังคุด

4. ลิ้นจี่

5. สาลี่

 10  อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่

2. ฝรั่งไร้เมล็ด

3. มะขามป้อม

4. มะขามเทศ

5. เงาะโรงเรียน

6. ลูกพลับ

7. สตรอเบอร์รี่

8. มะละกอสุก

9. ส้มโอขาว

10. แตงกวา

11. พุทราแอปเปิล

 การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง

2. มะขามเทศ

3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ

4. มะเขือเทศราชินี

5. มะม่วงเขียวเสวยสุก

6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

7. มะม่วงยายกล่ำสุก

8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู

9. สตรอเบอร์รี่

10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูง  คือ มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ บต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้

จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน  เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากมะเร็ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.herb4life.net/article/6/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87

น้ำเต้าหู้ไม่เหมาะกับผู้มีภูมิแพ้บางท่าน

นมถั่วเหลืองเป็นอันตราย จริงหรือหลอก
นมถั่วเหลืองเป็นอันตราย จริงหรือหลอก

ประเด็นน่าสนใจเรื่อง “นมถั่วเหลืองเป็นอันตราย จริงหรือหลอก”
http://www.vichanum.net/board/forum.php?mod=viewthread&tid=1368

ข้อมูล
เรื่องสุขภาพ น่าจะสำคัญกว่าเรื่องโซเชียวมีเดีย
เพราะใกล้ตัวเรา และใกล้มาก ไปอยู่ข้างในที่มองไม่เห็นกันเลย
อ่านเรื่องของผู้ป่วยชายที่ไม่โสด เค้าเป็นภูมิแพ้
ดื่มน้ำเต้าหู้แล้วหรือนมเข้าไป
จะมีก้อนเสลดเหนียวหนึบ ขากไม่ค่อยออก
ดื่มมากก็จะเกิดเมือก เป็นไซนัสได้ง่าย ๆ
เพราะนมถั่วเหลืองมีฤทธิ์เย็น เข้ากระเพาะก็จะย่อยสลายไม่หมด
เหลือเป็นอาหารของจุลินทรีย์ไม่ดีในลำไส้
เกิดสารพิษเข้าสู่กระแสเลือก แล้วร่างขับสารพิษทางผิวหนัง
ออกเป็นผื่นแดง
อ่านจาก http://thearokaya.co.th/web/?p=3294
โพสต์โดย Nisa
http://thearokaya.co.th/web/?author=3

ความคิดเห็น
ผมเองก็มีทีท่าว่าจะแพ้นมถั่วเหลือง ดื่มทีไร รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว
โดยเฉพาะระบบภายใน ระบบทางเดินหายใจ
ก็น่าจะเป็นเพราะจุลินทรีย์ไม่ดีในลำไส้
แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นผื่นแดง เหมือนผู้ป่วยชายในบทความ
สรุปว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกโรคกับนมถั่วเหลือง

ไข่ปลอมของจีน (อาหารปลอม #2)

ไก่ กับไข่
ไก่ กับไข่

ไข่ปลอมจะผลิตอย่างไรไม่สำคัญ
เพียงเรารู้ว่ามีไข่ปลอมอยู่ในโลก
จากนั้นก็ระวัง ไม่ซื้อ ไม่กินไม่อุดหนุนไข่ปลอม
ก็จะปลอดภัย ห่างไกลโรคภัยที่ประเมินไม่ได้

ไข่ปลอม เคยเป็นข่าวใหญ่ปี 2548 ผลิตทางเหนือของจีน
แต่ forward mail เกี่ยวกับไข่ปลอมบางส่วนไม่จริง
http://hilight.kapook.com/view/39519
ไข่ปลอมมีอยู่จริง
https://www.youtube.com/watch?v=0ZUURbcAr9g

ขั้นตอนการทำไข่ปลอม

ไข่ปลอมระบาดที่เชียงของ รสชาติคล้ายแป้ง