ลดคอเลสเตอรอล

แม้ว่าคอเลสเตอรอลจะมีประโยชน์ในด้านการเสริมสร้างพลังงานแก่ร่างกายของคน แต่ถ้ามีมากจนล้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอเลสเตอรอลตัวที่ไม่ดีนั้น อาจส่งอันตรายถึงชีวิต และนี่ก็คือสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนไทยตายปีละหมื่นๆ แสนๆ คน
แพทย์หญิง คุณสวรรยา เดชอุดม ประธานโครงการอาหารไทยหัวใจดี มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความรู้ว่า คอเลสเตอรอลในร่างกายคนเรามีอยู่สองแบบด้วยกัน คือ

1.  Low-density lipoprotein หรือ LDL คือคลอเลสเตอรอลที่ไม่ดี เพราะสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและอุดตันเส้นเลือดแดงได้
2.  High-density lipoprotein หรือ HDL เป็นคอเลสเตอรอลที่ดีต่อร่างกาย เพราะช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกไปจากระบบการทำงาน

“คอเรสเตอรอลมีทั้งที่มีประโยชน์ ถ้ามีในปริมาณที่พอดี แต่ก็เป็นโทษได้ หากมากเกินไป เพราะมันอาจจะทำให้เกิดตะกรันในหลอดเลือด ทำให้เกิดอันตราย อย่างถ้าไปขังกันเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ก็อาจจะทำให้เสียชีวิตกะทันหัน หรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้” แพทย์หญิง คุณสวรรยา กล่าว   โดยหลักการ 80% ของคอเลสเตอรอลนั้น ถูกผลิตขึ้นมาจากตับ แต่อีก 20% นั้นก็มาจากอาหารที่คุณเลือกรับประทานเข้าไป ดังนั้น หลักง่ายๆ ในการดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้คอเลสเตอรอลสูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่บริโภคไขมันอิ่มตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้ตับผลิตคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกมามากมาย

แพทย์หญิง คุณสวรรยา กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การมีคอเลสเตอรอลที่สูงจนเป็นปัญหา มีอยู่ 10 ประการด้วยกัน คือ
1.บุหรี่    2.ความดัน      3.ไขมันปกติ ทั้งดีและเลว    4.เบาหวาน    5.ไตรกีเซอไรด์    6.อ้วนลงพุง    7.ความเครียด  8.เกลือ       9.น้ำตาล     10.ไม่ออกกำลังกาย

“จำไว้ว่า คอเลสเตอรอลอย่างเดียวไม่ให้โทษ เช่น ถ้าเรามีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความดันไม่สูงด้วย ก็ไม่เป็นไร หรือไม่มีเบาหวานและไขมันในร่างกายปกติ ก็ไม่เป็นไร และเหนืออื่นใด คอเลสเตอรอลจะสูงหรือไม่นั้นก็เกิดจากน้ำมือของเราเอง มือของเราที่หยิบอาหารใส่ปาก” คุณหมอประธานโครงการอาหารไทยหัวใจดี กล่าว

ทั้งนี้ อาหารที่กินแล้วดีมีประโยชน์ ไม่ให้โทษในด้านคอเรสเตอรอล จะต้องกินอะไรบ้าง? คุณหมอบอกไว้ ดังนี้
1.  ทานปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
2.  ทานถั่วเมล็ดแห้งสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
3.  ทานผักในตระกูลครูซิเฟอรัสทุกวัน ได้แก่ ผักคะน้า บร็อกโคลี ดอกกะหล่ำ แขนงผัก กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
4.  ทานผักที่มีสีสันต่างๆ และผลไม้ให้หลากหลายทุกวัน
5.  ผลิตภัณฑ์ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสีทุกวัน เช่น ข้าวซ้อมมือ
6.  เลือกน้ำมันในการประกอบอาหาร
7.  รับประทานผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย หรือนมขาดไขมันแทนผลิตภัณฑ์นมเต็มไขมัน
8.  ควบคุมปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ไม่เกินวันละ 200 กรัม
9.  ทานกระเทียมสดเป็นประจำ

—————————–ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000091023

คดีแป้งฝุ่น เหมือน Minority report เกี่ยวกับมะเร็ง

รังไข่
รังไข่

มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ทำให้ร่างกายเราเปลี่ยนแปลง
มีโทษมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป
ดังคำว่าใช้มากไปเป็นโทษ ใช้แต่พอดีเป็นคุณ
กรณีแป้งฝุ่นทาจุดซ่อนเร้น จนส่งผลถึงการเป็นมะเร็งรังไข่
นี่ก็คงทำให้สาว ๆ อึ้งไปเหมือนกันว่า
แป้งฝุ่นอันตรายขนาดนี้เลยเหรอ
ผู้ประกอบการเองทำอะไรออกมาจำหน่ายให้เขียนคำเตือนไปเยอะ ๆ
เหมือนบุหรี่ สุรา เขียนไปเลยว่าสูบแล้วดื่มแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
จะได้ไม่โดนฟ้องเสียเงินสองพันล้านแบบกรณีของคุณ Jackie Fox
เพราะสารที่ชื่อว่าแร่ทัลก์ (Talc) ทำเหตุ
http://www.bloomberg.com/news/articles/2016-02-23/j-j-ordered-to-pay-72-million-over-talc-tied-to-ovarian-cancer
http://health.kapook.com/view142426.html

ภาพจาก
http://drchawtoo.com/2014/06/19/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-vs-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89/

Minority report พูดถึงรายงานเล็ก ๆ แต่สำคัญ

7 สัญญาณจากเล็บ บอกว่าร่างกายเริ่มไม่ดี

1. เล็บแตก

เล็บแตกปลาย เล็บอ่อนแอจนหัก นอกจากจะบอกว่าคุณควรพักการทำเล็บได้แล้ว ยังเป็นสัญญาณเตือนเรื่องปัญหาผิวด้วย ตามที่ดร.จูเลียบอก มันคือโรค Darier’s Disease ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมเกิดจากยีนผิดปกติ อาการคือเป็นตุ่มแดงขึ้นทั่วตัว

2. เล็บมีรอยบุ๋ม

หรือที่เรียกว่า “spoon nails” คือบุ๋มลงไปเป็นหลุมตื้นๆ หรือเล็บแบนติดกับเนื้อนิ้วเลย มันบอกเราว่าร่างกายกำลังขาดธาตุเหล็ก

3.  เล็บกระบอง

อาการคือเล็บและปลายนิ้วจะบวมเป็นตุ้มกลมๆ และเล็บแบบนี้กำลังเตือนเธอว่า ร่างกายเธอไม่ปกติแล้วแหละ ส่วนใหญ่จะลิงค์กับปัญหาหัวใจ ปอด และตับ

4. เล็บเหลือง

ถ้าเหลืองแบบจางๆ คุณควรจะพักเล็บจากการทาสีทาเล็บเคลือบเอาไว้ เพราะเล็บขาดออกซิเจน แต่ถ้าเหลืองแบบออกสีชัดเจนเลย คือเล็บเป็นเชื้อรา และอาจจะบอกถึงปัญหาที่ปอด รีบหาหมอด่วนๆ

5.  เล็บขาวซีด

“ถ้าทั้งเล็บกลายเป็นสีขาวซีด นั่นคือเชื้อรา แต่ถ้ากดลงไปแล้วเล็บยังเปลี่ยนเป็นสีชมพูเพราะแรงกด ต้องระวังเรื่องตับให้ดี” ดร.จูเลียบอก

6.  เล็บเขียว

เราว่ามาถึงขั้นนี้ได้ เธอก็น่าจะต้องสังเกตเห็นแล้วเพราะถึงขั้นผิดปกติมากๆ !! สีเขียวคืออาการติดเชื้อ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนให้เล็บกลายเป็นสีเขียว เจอปุ๊บ รีบวิ่งไปโรงพยาบาลด่วน

7.  เล็บเป็นคลื่น เป็นริ้ว

โดยธรรมชาติอยู่แล้วที่ทุกคนจะมีริ้วๆ อยู่บนหน้าเล็บ แต่เมื่อไรที่ริ้วเริ่มชัด จับแล้วรู้สึกได้ มันคือสัญญาณบอกถึงปัญหาผิว อาจจะเป็นผื่นคันได้

————–ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sanook.com

ผักโขม ผักเพื่อสุขภาพชั้นยอด

วันนี้เราจะพามารู้จักพืชผักสมุนไพรไทย ชนิดหนึ่งกัน นั่นก็คือผักโขม หรือผักขมนั่นเองครับ ผักโขมนั้นมีหลายชนิด พอที่จะแยกได้ดังนี้

  • ผักโขมบ้าน เป็นผักโขมชนิดที่ใบกลมเล็ก มีลำต้นขนาดเล็ก ก้านของใบเป็นสีแดง ใบมีสีเขียวเหลือบแดง
  • ผักโขมหนาม มีลำต้นสูง ใบใหญ่ จะมีหนามที่ช่อของดอก จึงเป้นที่มาของชื่อ ผักโขมหนาม ใช้เฉพาะส่วนยอดอ่อนมาประกอบอาหาร
  • ผักโขมสวน ใบมีสีเขียว บริเวณเส้นกลางใบมีสีแดง เมื่อปรุงสุกแล้ว จะมีสีแดงอมม่วง
  • ผักโขมจีน เป็นผักโขมที่มีต้นใหญ่ ใบเป็นสีเขียวเข้มขอบใบหยัก ใบสดมีรสเผ็ด และมีกลิ่นฉุน

แต่ถ้าจะบอกว่าชนิดไหนเป็นที่นิยม ก็คงจะเป็น ผักโขมสวน เพราะมีใบที่โต และอ่อนนุ่ม รสชาติดี และมีคุณค่าทางอาหารทีสูงเอาเรื่อง เพราะในผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด กรดโฟเลต วิตามินซี โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม สังกะสี และโปรตีน นี่แค่ย่อยๆ ที่เด็ดกว่านั้นล่ะ เรามาดูกัน

คุณค่าทางอาหารของผักโขม

ผักโขมยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป้นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม ในคุณสุภาพสตรี

  1. ผักโขมมีสาร ซาโปนิน(Saponin)ที่ช่วยลดคอเรสเตอรอล ในเลือดได้เป็นอย่างดี และยังช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์
  2. วิตามินเอในผักโขม ช่วยในการมองเห็น และช่วยบำรุงสายตา
  3. วิตามินซี นอกจากในเรื่องป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันแล้ว ยังช่วยเสริมสร้าคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
  4. ในผักโขมนั้นอุดมไปด้วยเส้นใย จึงช่วยในระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

นอกจากผักโขมจะมีคุณค่าในด้านสารอาหารต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ผักโขมยังมีคุณค่าในด้านสมุนไพรไทยหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งตำราประมวลสรรพคุณยาไทย ของ สมาคมแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน ได้กล่าวถึงประโยชน์ด้านสมุนไพรไทยของผักโขมเอาไว้ดังนี้

ผักโขมหัด(น่าจะเป็นผัโขมบ้าน) ใช้รากปรุงเป็นยาถอนพิษร้อนใน แก้ไข้ต่างๆ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ เมื่อต้มเอาน้ำมาอาบ มีสรรพคุณในการแก้คันได้เป็นอย่างดี

ผักโขมหนาม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ตกเลือด แก้หนองใน แก้แน่นท้อง แก้กลากเกลื้อน ขับน้ำนม ระงับความร้อน แก้ไข้ แก้อาการลิ้นเป็นฝ้าในเด็ก

การนำผักโขมไปใช้ ประกอบอาหาร

ถ้าจะให้พูดคงหลายเมนู ยกตัวอย่างที่เด็ดๆ แล้วกันนะครับ เช่น ผักโขมผัดน้ำมันหอย แกงจืดผักโขมหมูบะช่อ สลักผักโขม ซุปผักโขม ยำผักโขม นำมาต้มจิ้มน้ำพริกต่างๆก็อร่อย นี่แค่อาหารไทย ถ้าใครไปทานในร้านพิซซ่า ก็จะเจอเมนูผักโขมอบชีส อร่อยไม่เบา อ้อลืมบอกในสมัยก่อน(จนถึงปัจจุบัน) นิยมทำแกงเลียงผักโขมให้แม่ที่พึงคลอดรับประทาน เพราะเชื่อกันว่าช่วยบำรุงเลือดและ เรียกน้ำนม ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงเพราะในผักโขมอุดมด้วยธาตุเหล็ก จึงสามารถช่วยตรงนี้ได้

–ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://xn--o3cepkej9b3gpeg.net/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%A1/

น้ำมันมะพร้าวธรรมชาติ(สกัดเย็น) มีประโยชน์อะไรบ้าง

สารพัดประโยชน์ครอบจักรวาลอย่าง “น้ำมันมะพร้าว” ผู้หญิงเราต้องรู้ เพราะสามารถนำมาใช้ได้หัวจรดเท้า มาดูกันว่า น้ำมันมะพร้าว นอกจากจะเนรมิตผิวสวยแล้วยังสามารถทำอะไรได้อีก แล้วคุณจะรู้ว่าของเค้าดีจริง

กลั้วปากขจัดเชื้อโรคในลำคอ

ใช้น้ำมันมะพร้าวใช้ทำน้ำยาบ้วนปากหรือ Oil Pulling (การกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก) กลั้วไปทั่วปากให้น้ำมันซอกซอนไปตาม ร่องฟัน ดื่มน้ำเสร็จแล้วให้อมน้ำมันมะพร้าวไว้ในปาก 2 ช้อนโต๊ะโดยประมาณ ให้น้ำมันกลั้วอยู่ในปากผ่านร่องฟันไปมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15นาที

ในระหว่างที่อมน้ำมันในปากนี้ อาจทำกิจกรรมอย่างอื่นไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลา เมือเกิน 15นาทีแล้วให้บ้วนน้ำมันซึ่งมีสีขุ่นขาวทิ้ง

บ้วนปากด้วยน้ำ 2-3 ครั้ง การอมกลั้วน้ำมันนี้เพื่อขจัดเชื้อโรคในปากและคอ น้ำมันบางส่วนจะเข้าไปในร่างกาย เพื่อล้างสิ่งสกปรกและออกทางระบบขับถ่าย ลดกลิ่นปาก ลมหายใจสดชื่น

แปรงฟันลดคราบหินปูน

ต่อด้วยการแปรงฟันด้วยน้ำมันมะพร้าว โดยการเอาแปรงสีฟันจุ่มในน้ำมันมะพร้าว หรืออมน้ำมันมะพร้าวใหม่ครึ่งช้อนชา

จากนั้นใช้น้ำมันนี้เป็นยาสีฟันแทนยาสีฟันเคมีพิษที่ใส่อยู่ในหลอด ทั้งหลาย แปรงฟันด้วยน้ำมันมะพร้าวตามปกติ คราบหินปูนจะไม่เพิ่มและค่อยๆลดลง ปัญหาเรื่องเหงือกทุเลาลง รากฟันจะแน่นขึ้นและไม่โยก กลิ่นปากลดลง ปัญหาในช่องปากลดลง

เช็ดเครื่องสำอาง คราบเกลี้ยง

ใช้น้ำมันมะพร้าวหยดบนสำลีพอประมาณแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถใช้เช็ดรอบดวงตา พวก eye shadow อาย ไลน์เนอร์ มาสคาร่า หมดเกลี้ยง และริมฝีปาก สำหรับผู้ที่แต่งหน้าสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบเพื่อความสะอาดอย่างหมดจด เมื่อเช็ดด้วยน้ำมันมะพร้าวทั่วทั้งใบหน้าแล้วให้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจึงล้างออกด้วยสบู่ หลังจากนั้นซับหน้าให้แห้ง

น้ำมันมะพร้าวซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก  ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอาง  ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว อย่างได้ผล

คราบเครื่องสำอางจะหลุดออกหมด โดยเฉพาะรอบดวงตา จะทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มและละเอียดขึ้น ขนตายาวขึ้น

บำรุงผิวหน้าเด้งดึ๋ง

อนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า และ กระ  วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ  ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ป้องกันรอยหมองคล้ำ ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชุ่มชื้น เพราะถูกแดดและลม

น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้ง แตก ลอก เป็นขุย ลดอาการผื่นแพ้ แสบคันตามผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวนวลเนียน อีกทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวทาแก้ผิวไหม้แดด อาการแสบร้อนจะบรรเทาลง

น้ำมันมะพร้าวก็คือสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วบีบน้ำออก หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีทาให้ทั่วใบหน้า สามารถทิ้งไว้ได้เลยโดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน รุ้สึกว่าผิวหน้าละเอียดขึ้น หน้าเนียนขึ้น รอยด่างดำจากสิวจางลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ

ใช้ทาหน้าบางๆก่อนนอนแทนครีมบำรุงผิว แนะนำว่าต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านความร้อนจะทำให้วิตามินอี สลายไป ไม่เหมือนการสกัดเย็นที่ยังได้คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวครบ

นอกจากจะใช้ทาบำรุงผิวหน้าแล้ว ผิวกายก็ต้องใช้ร่วมด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ปวดข้อต่างๆ ใช้ เป็นประจำทุกวัน อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยปกป้องรังสี UV

ดูแลเส้นผมเงางามเส้นต่อเส้น

หนังศีรษะ เส้นผม และปลายผม แต่อย่าใช้มากจนเปียกเกินไป หลังจากนั้น ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที  เพื่อให้น้ำมันแทรกซึมสู่หนังศีรษะจึงค่อยสระออก ผลที่ได้รับจะมีเส้นผมเงางามและไม่ฟูด้วย

คุณอาจใช้น้ำมันมะพร้าวใส่ผมตั้งแต่ตื่นนอน และทิ้งไว้จนกระทั่งอาบน้ำตอนเช้าจึงสระออก หรือคุณอาจใช้น้ำมันมะพร้าวใส่ผมในตอนกลางคืนก่อนนอนโดยใช้หมวกอาบน้ำคลุมผม ไว้ แล้วค่อยสระออกเมื่ออาบน้ำตอนเช้าก็ได้ คุณจะประหลาดใจที่ผมของคุณดูสวยเป็นเงางามและมีรังแคลดน้อยลง

หรืออีกวิธี คือ ก่อนสระผม ใช้ หมักผม โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นโพกศีรษะเอาไว้ 30-40 นาที แล้วสระออก หรืออยากให้ได้ผลดีขึ้น ให้ใช้หมวกคลุมผมอาบน้ำคลุมเอาไว้แล้วเข้านอน วันรุ่งขึ้นค่อยสระออก  ช่วยล้างพิษให้เส้นผม  ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ทำให้รากผมแข็งแรงไม่หงอกก่อนวัย กระตุ้นการเกิดใหม่ของเส้นผม ปกป้องหนังศีรษะจากรังแค ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ปรับสภาพผมที่แห้งเสีย  ให้กลับมามีชีวิตชีวา

แทนครีมโกนขนลดแสบระคายเคือง

เชฟวิ่งครีม (Shaving Cream) หรือครีมที่ใช้ก่อนโกนหนวด โกนขน เราต้องชโลมเจ้าครีมตัวนี้ก่อนที่จะโกนขนขาขนแขน เพราะคิดว่าจะทำให้โกนง่าย ลื่นขึ้น เชฟวิ่งครีมมีวัตถุประสงค์หลักแค่ให้สไลด์ใบมีดโกนได้ง่ายขึ้นแค่นั้นเอง แต่..เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวได้ แถมราคาถูกและผิวดีเว่อร์

สาวใดต้องการโกนขนขา รักแร้ หน้าแข้ง แนวบิกินี่ ด้วย ก็สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวแทนครีมโกนขนได้ค่ะ ถูกและดี แถมไม่ทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง แดง เพียงแค่ทาน้ำมันบริเวณที่จะโกน จะช่วยทำให้โกนง่ายขึ้นแล้วยังทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย

จิบลดอ้วน

น้ำมันมะพร้าวได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไขมันแคลอรีต่ำ” แถมบำบัดความหิวได้ดีกว่าไขมันหรืออาหารอื่น ผู้ที่กินน้ำมันมะพร้าวจะไม่หิวเป็นเวลานาน และตลอดทั้งวัน จึงกินอาหารน้อยกว่าผู้ที่กินน้ำมันอื่น ๆ ทำให้มีแคลอรีน้อยกว่า จนไม่มีเหลือสะสมเป็นไขมัน

มีคุณสมบัติที่เป็นกรดไขมันขนาดกลาง ที่ถูกย่อยได้ง่าย และเคลื่อนที่ได้เร็ว เป็นกรดไขมันอิ่มตัว ไม่ถูกเติมออกซิเจนและไฮโดรเจนที่เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อม รวมทั้งโรคอ้วนทำให้อาหารมีรสชาติ และอิ่มนานขึ้น เพิ่มพลังงาน

การกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเป็นแนวคิดของ Atkins Diet โดยมีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมไขมันของร่างกาย หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมัน ไขมันจะกดความอยากอาหาร เมื่อกินไปสักระยะเราจึงกินน้อยลง

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ และสร้างความร้อนได้เร็วจึงไม่สะสมในร่างกาย แนะนำให้กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ควบคู่กับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาจนำมาผสมกับสมูตตี้ น้ำสลัด หรือซอส วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันมะพร้าวสามารถเข้ากันได้กับอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด เช่นซุบ โจ๊ก แกงจืด น้ำส้ม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ โอวัลติน โดยไม่ได้ทำให้อาหารและเครื่องดื่ม เปลี่ยนรสชาติ หรือสูญเสียคุณค่าทางอาหาร และความอร่อยไป

สุดท้าย ปรุงไปในอาหารเราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าว ปรุงอาหารได้ โดยการผัด หรือทอด ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนเป็น Trans Fats ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เหมือนน้ำมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายที่ถูกกับความร้อนสูง หรือแม้แต่เป็นตัวทำให้อาหารไม่ติดกระทะหรือภาชนะ

บำรุงมือ เท้า เล็บแข็งแรง ไม่ฉีกขาด

สารพัดประโยชน์ ครอบจักรวาลมากสำหรับน้ำมันมะพร้าว เพราะได้ทั้งหัวจรดเท้า รวมทั้งบำรุงผิวมือ เล็บ เท้า จมูกเล็บให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

หลังจากอาบน้ำหรือล้างมือเสร็จใหม่ๆให้ใช้น้ำมันมะพร้าว ผสมกับน้ำตาลทรายพอให้ส่วนผสมข้นเหนียว ขัดถูไปมาที่มือ/จมูกเล็บ ประมาณ2-3นาทีแล้วล้างออกให้สะอาดเช็ดให้แห้ง คุณจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลเกลี้ยงเกลาและชุ่มชื่นของผิวมือ และเท้า

หรือนำน้ำมันมะพร้าวมาชโลมทาให้ทั่วมือ เล็บ และเท้า ได้เลยเพื่อคงความชุ่มชื้นตลอดวัน จะช่วยให้เล็บแข็งแรงขึ้น ลดความแข็งกระด้างของจมูกเล็บ ทำให้ไม่ฉีกขาด เลือดซิบ!

วิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำ กว่า 25 องศาเซลเซียส และจะกลับมาใสเหมือนเดิมที่อุณหภูมิห้อง  โดยที่คุณสมบัติทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

ก่อนใช้นำขวดน้ำมันมะพร้าวไปวอร์มในน้ำอุ่น 2-3 นาที

*หมายเหตุ น้ำมันมะพร้าวไม่ใช่ยา  แต่เป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นยา  และไม่ควรบริโภคมากเกินความจำเป็น

-ขอบคุณข้อมูลจาก Lady Manager

10 อันดับ อาหารต้านมะเร็ง

1.       ผัก – ผักมีกากใยปริมาณมาก  ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ได้แก่

–   กลุ่มผักมีสี เช่น บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ  ยิ่งมีสีเข้มมมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (phytochemical) มากขึ้นเท่านั้น   รงควัตถุเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวินอยด์ 20,000 ชนิด และแคโรทีนอยด์ 800 ชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง

–  กลุ่มกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก   ในผักชนิดนี้จะมีสารต้านมะเร็ง  สารที่ช่วยขจัดสารพิษ ตลอดจน อินดอล-3-คาร์บินอลและซัลโฟราเฟน

–  หัวหอม &กระเทียม – ประกอบด้วยไบโอฟลาวินอยด์หลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ เคอร์ซิทิน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้  นอกจากนี้ยังมีสารต้านมะเร็งอื่นๆ ได้แก่ อัลลิซิน , เอส-อัลลิล ซิสทีอิน, ซีลีเนียม และสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย   ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะรับประทานกระเทียมและหัวหอม เป็นประจำ

2.       ปลาน้ำเย็น เช่น แซลมอน คอท แมคเคอเรล  ซาร์ดีน  ทูน่าและปลาจากทะเลน้ำลึก  ในปลา  เหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ EPA(eicosapentaenoic acid) และ DHA ( docosahexaenoic acid) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน

3.       ถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านโปรตีเอสในปริมาณสูง(มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต(กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาด จะขายในรูปของ IP-6)  และจีเนสเตอิน (ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง)   นอกจากนี้ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ

4.       เมล็ดธัญพืช เช่นข้าว โอ๊ต  บาร์เลย์  ข้าวโพด ข้าวสาลี  เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง

5.       สาหร่ายทะเล จะประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร  และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆออกจากลำไส้     นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล

6.       เบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่  เบอร์รี่สีดำ เพราะในเบอร์รี่จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย

7.       โยเกิร์ต เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน  และเนื่องจากกว่า 80% ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร  ดังนั้นโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายในการป้องการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย

8.       ชาเขียว ประกอบด้วยคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิดด้วยกัน  จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่าชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้

หมายเหตุ การดื่มชาเขียวให้ได้รับประโยชน์เต็มที่นั้น ต้องดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ เนื่องจากถ้าทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ  ทำให้สูญเสีย   คุณค่าไป

9.       เครื่องเทศ -มาสตาร์ด  พริก พริกไท  กระเทียม หัวหอม  ขิง โรสแมรี่  อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆที่ใช้ปรุงแต่งรส  สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

10.    น้ำสะอาด – เป็นเรื่องแปลกที่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ  เนื่องจากน้ำนั้นเป็นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง  การทำความสะอาด  การขจัดสิ่งสกปรก  และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์  ตลอดจนนำของเสีย หรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย

อาหารชั้นเยี่ยม

ถึงแม้ว่าอาหารหลากหลายชนิดจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย  แต่มีอาหารเพียงไม่กี่อย่างที่จัดว่าเป็น  อาหารชั้นเยี่ยม ซึ่งได้แก่

–   กระเทียม เป็นเครื่องเทศกลิ่นแรงที่ใช้ประกอบอาหารกันมามากกว่า 5,000 ปี นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบในสูตรยาฆ่าเชื้ออีกด้วย          หลุยส์  ปาสเตอร์พบว่า กระเทียมสามารถฆ่าเชื้อที่อยู่ในจานเพาะเชื้อได้   และยังพบว่ากระเทียมจะกระตุ้นการทำงานของร่างกายในการป้องกันเซลล์มะเร็ง     อับดุลลาห์ แพทย์ของมหาวิทยาลัยฟลอริดา พบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ที่กินกระเทียม สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าเซล์เม็ดเลือดขาวของผู้ไม่กินกระเทียมถึง 139 %   มีการทดลองพบว่าทั้งกระเทียมและหัวหอมสามารถลดการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง  และจากการให้หนูทดลองกินกระเทียม พบว่าในหนูที่มีแนวโน้มว่าทางพันธุกรรมว่าเป็นมะเร็งได้ง่าย จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลดลง

มะเร็งที่พบได้บ่อย คือมะเร็งกระเพาะอาหาร  ซึ่งนักวิจัยชาวจีน พบว่าการบริโภคกระเทียมและหัวหอมในปริมาณสูงๆ สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่กระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง  นอกจากนี้กระเทียมยังทำให้ตับสามารถทนต่อสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้มากขึ้นด้วย  และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของกระเทียมที่จะทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ไม่ทำลายเซลล์ปกติ ดังนั้นจึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย

–   แคโรทีนอย -ทั้งแคโรทีนอยและไบโอฟลาวินอยในพืช จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังกระตุ้นการทำงาของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย  โดยที่หน้าที่หลักของแคโรทีนอย คือจะเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง  แคโรทีนอยจะพบทั้งในผัก-ผลไม้สีเขียวและสีส้ม   ส่วนไบโอฟลาวินอยจะพบในพวกผลไม้รสเปรี้ยว ธัญพืช น้ำผึ้ง

–   พวกหัวกะหล่ำ -ได้แก่  บร็อคโคลี,  กะหล่ำปลี,  กะหล่ำปลีbrussel,  ดอกกะหล่ำ ซึ่งพืชเหล่านี้จะมีส่วนหัวอยู่ติดกับพื้นดิน  เนื่องจากในพืชชนิดนี้จะมีสารอินโดล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง  นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ พบว่าในสัตว์ทดลองที่เลี้ยงด้วยพืชประเภทนี้ เมื่อได้สารก่อมะเร็งชนิดอัลฟาทอกซินนั้นโอกาสเกิดมะเร็งลดลงถึง 90 %

–    เห็ด นักวิทยาศาสตร์พบว่าเห็ดไรชิ ,เห็ดชิตาเกะ ,เห็ดไมตาเกะ มีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง  มีการทดลองให้สัตว์กินสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะ  พบว่า 40%ของสัตว์ทั้งหมดสามารถกำจัดมะเร็งได้หมดสิ้น  ส่วนอีกสัตว์อีก60%นั้นสามารถกำจัดมะเร็งได้ถึง 90%    ในเห็ดไมตาเกะ ประกอบด้วยโพลีแซคคาไลท์ ที่ชื่อว่า เบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยลดความดันเลือด

–    ถั่ว – บรรดาเมล็ดพืชทั้งหลายที่มีเปลือก จะมีสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถย่อยเมล็ดเหล่านั้นได้โดยตรง  จาการค้นพบที่ผ่านมาพบว่าสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ สามารถยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็งได้   สถาบันมะเร็งนานาชาติ พบว่าในอาหารประเภทถั่วนั้นประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวนและสารไฟโตเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี   และจากงานวิจัยของDr. Ann Kennedy พบว่าในถั่วมีคุณสมบัติดังนี้

  • ป้องกันการเกิดมะเร็งในสัตว์ที่ได้สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
  • ในงานวิจัยบางงานพบว่า สามารถทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง
  • ลดผลข้างเคียงของการใช้ยาและรังสีเพื่อการรักษามะเร็ง
  • สามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้

นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่สามารถยับยั้งการแพร่ของมะเร็งได้  อาทิเช่น แอปเปิ้ล  แอพริคอท  บาร์เล่ย์  ผลไม้รสเปรี้ยว  แครนเบอร์รี่  ปลา   น้ำมันปลา  ขิง  โสม  ชาเขียว  ผักโขม  สาหร่ายทะเล

-ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.goodhealth.co.th/new_page_67.htm

ภาพขนาดนี้ เตือนขนาดนั้น เลิกขายเลยดีกว่าไหม

ภาพขนาดนี้ เตือนขนาดนั้น เลิกขายเลยดีกว่าไหม

บุหรี่ สุรา ทำให้ข้างในดำ
บุหรี่ สุรา ทำให้ข้างในดำ

คำเตือนบนซองบุหรี่ในรูปประกอบ
เขียนชัดเลยว่า “วอน นิ่ง”
บุหรี่เป็นสาเหตุของสมองขาดเลือด
เขียนกันขนาดนี้ “เลิกขายไปเลยดีกว่าไหม”
ใครที่ไหนเค้าจะไปกล้าสูบกัน ???
เหตุผลที่ไม่สูบ ตามมาเป็นหางว่าว …
http://teen.mthai.com/variety/42165.html

มีเรื่องราวมากมาย ไม่ต้องแปล ไม่ต้องคิดลึก ตรงตัวเลย
1. บุหรี่ออกจะแพง
2. ทำให้สมองขาดเลือด
3. ทั้งรูป และเขียนเตือนจนน่ากลัว

เจตนาไม่ให้สูบออกจะชัด

โฆษณาซะขนาดนี้ คงไม่มีใครสูบล่ะมั้ง

วิธีลดอาการท้องอืดด้วยตัวเอง

ท้องอืดเป็นอาการที่พบได้ในคนทั่วไป มีสาเหตุจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดแก๊สและกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร แต่จะพึ่งยาลดกรดทุกครั้งไปก็อาจจะไม่ค่อยดีนัก มาลองปรับพฤติกรรมเพื่อลดอาการท้องอืดกันค่ะ

– ทานมื้อเล็กบ่อยๆ และเคี้ยวให้ละเอียด เพราะอาหารมื้อใหญ่ และการดื่มน้ำคราวละมากๆ จะทำให้กระเพาะอาหารโป่งออก ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างหย่อนลง เกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
– ค่อยๆ ลดของหวาน เนื้อสัตว์ และอาหารมัน โดยจดบันทึกรายการอาหาร ทำเครื่องหมายไว้ว่า วันเวลาใดมีอาการ เพื่อจะได้เลี่ยงอาหารชนิดนั้นเสีย เพราะกระเพาะอาหารใช้เวลาย่อยอาหารนาน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เกิดการหมักหมม กลายเป็นแก๊สในท้อง
– เลี่ยงผักดิบในตอนเย็น เพราะผักมีเส้นใยมาก ถ้ากินมากไปจะทำให้ท้องอืดได้ เนื่องจากร่างกายไม่มีน้ำย่อยเส้นใยนี้ แต่ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นตัวย่อย ทางที่ดีหันมากินผักลวกหรือผักต้มแทนดีกว่า
– ถ้าจุกเสียดแน่นท้องแล้ว ให้ลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกาย ดื่มน้ำอุ่น หรือกินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลมอย่างขมิ้นชัน หากท้องอืดก่อนนอนให้นำผ้าห่มหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น 6-8 นิ้ว จะทำให้กรดและน้ำย่อยไหลลงกระเพาะอาหารได้เร็วขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.thaiza.com/

วิธีแก้เครียด

อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องจมอยู่กับความเครียด ไม่ว่าจะจากการทำงาน อันเร่งรีบและเรียกร้อง หรือจากการใช้ชีวิต จากสิ่งแวดล้อมต่างๆ   ลองใช้วิธีการต่อไนปี้ที่ได้ชื่อว่าช่วยในการ คลายเครียดให้คุณได้

วิธีแก้เครียด

  1. ออกกำลังกาย การ ออกกำลังกายจะทำให้เกิดการหลังของสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้คุณรู้สึกดี มีพลัง และต่อต้านความเครียดได้ดี ควรใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที่ในการออกกำลังเพื่อลดความเครียด โดยเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณ เช่น การออกกำลังกายที่ง่ายๆที่สุด คือการวิ่งหรือเดินเร็ว หากเป็นผู้สูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่สามารถรับแรงกระแทกได้ควร ว่ายน้ำ หรือเล่นโยคะ หากต้องการเล่นกีฬาเป็นทีมควรเลือก ฟุตบอล หรือเทนนิส
  2. หยุดพักหรือท่องเที่ยว การหยุดพักหรือหยุดคิดจะช่วยให้ร่างกายและจิตใจลดความตึงเครียดและผ่อนคลาย แม้แค่เพียง 5-10 นาที การพักยาวหรือไปเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่ พบผู้คนในสถานที่นั้น จะช่วยให้เบนความสนใจในเรื่องที่คิด กังกล หรือเครียดอยู่
  3. ทานอาหารคลายเครียด อาหารที่ลดความเครียดได้แก่ กล้วย ส้ม บลูเบอรี่ นมและโยเกิร์ต ปลา ถั่ว เนื้อไก่ และ ธัญพืช ซึ่งมีสารทริปโตเฟน และกรดอะมิโนที่ช่วยหลั่งสารแห่งความสุข และทำให้รู้สึกสงบ รวมทั้งวิตามินต่างๆที่ช่วยลดความเครียดได้ และต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วย
  4. ฝึกหายใจ ทำสมาธิ เมื่อร่างกายเครียดจะทำให้การหายใจผิดปกติ การหายใจลึกๆ จะช่วยให้เลือดและสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น ทำให้สดชื่นขึ้น โดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณหน้าท้อง เมื่อหายใจเข้าลึกและช้า หน้าท้องจะค่อยๆพองออก และเมื่อหายใจออก หน้าท้องจะค่อยๆยุบลง ใช้มือแตะท้องเพื่อรับรู้สภาพป่องและแฟบของท้องแล้วฝึกไปเรื่อยๆ อาจฝึกร่วมกับการเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ
  5. พูดระบายความเครียด การพูดคือการระบายความเครียดอย่างหนึ่ง หาเพื่อนสนิท ไว้ใจได้ และมีความอดทดสูงในการฟัง ถ้าไม่มีอาจพูดกับสัตว์เลี้ยง หรือกับตัวเองก็ได้ ระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมา เพราะเท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาหรือรับฟังเรื่องราวของเรา
  6. รู้จักปฏิเสธ ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังทำงาน เข้าสังคมพบปะผู้คน หรือต้องรับภาระทางครอบครัวมากจนเกินไป คุณควรจะเรียนรู้วิธีการบอกปฏิเสธ หรือร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพื่อแบ่งเบาภาระหรือความกังวลกับเวลาและพลังงานที่ทุมให้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มากเกินไป
  7. คิดในแง่ดี ความเครียดส่วนใหญ่เกิดจากความคิดและการรับรู้ของแต่ละบุคคล ทำให้แต่ละคนแบกรับความเครียดได้ไม่เท่ากัน ลองหยุดคิดว่าคุณจำเป็นต้องเครียดกับเรื่องเหล่านี้จริงๆหรือ  และมีมุมุมองแง่คิดดีๆใดบ้าง ที่สามารถช่วยคุณหลุดพ้นจากความเครียดเหล่านั้น
  8. ทำกิจกรรมที่อยากทำ เช่น ดูหนังหรือรายการที่ชอบ การฟังดนตรี ปลูกต้นไม้ วาดรูป สะสมสิ่งของที่ชอบ การอ่านหนังสือ การบำบัดอโรมาเทอราพี การคลายความเครียดด้วยการนวด หรือสปา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.prapot.com/healthy

เมื่อร่ายกายขาดแคลเซียมจะเป็นอย่างไร

เมื่อร่างกายขาดแคลเซียมจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมากและทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาดังนี้
– ในสตรีขณะตั้งครรภ์จะมีอาการ ปวดฟัน ปวดเมื่อยหลังและเอว มีภาวะเครียด ร่างกายอ่อนแอ นอนไม่หลับ ตะคิวจับที่น่องบ่อยๆ ฯลฯ

– ในสตรีขณะให้นมบุตรจะมีอาการ ปวดฟัน ปวดเมื่อยหลังและเอว เป็นตะคิว กระดูกพรุน กระดูกหักง่าย

– ในระยะการเจริญเติบโตของเด็ก มีการเจริญเติบโตช้า ภูมิต้านทานต่ำลง เป็นหวัดง่าย เป็นโรคกระดูกอ่อน ฟันผุ สายตาสั้น

– ในวัยกลางคน จะเป็นตะคิว นิ้วล็อก กล้ามเนื้อกระตุก เครียด นอนไม่หลับ หัวใจเต้นผิดปกติ ร่างกายมีสภาวะเป็นกรด

– ในวัยทอง จะปวดเมื่อยหลังและเอว นอนไม่หลับ มีภาวะเครียด ชอบสันโดษ อารมณ์ไม่ดีหรือไม่คงที่

– ในวัยกลางคนและในวัยสูงอายุ มักมีอาการ นอนไม่หลับ เป็นตะคิว กระดูกพรุน กระดูกหักง่าย ร่างกายหดตัวลง ปวดเมื่อยหลังและเอว ชอบสันโดษ

——————–ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://betagen2683.exteen.com/20120126/entry-1