สโคปชนะประมูลแท็บเล็ตปอหนึ่ง (itinlife333)

11 มี.ค.55 ข่าวการคัดเลือกบริษัทที่เสนอเข้าประมูลแท็บเล็ต (Tablet PC) สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ของประเทศไทยเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2555 พบว่ามี 4 บริษัท คือ หัวเว่ย (Huawei) ทีซีแอล (TCL) ไฮเออร์ (Haier) และสโคป (Scope) โดยเครื่องแท็บเล็ตยี่ห้อสโคปชนะการประมูล มีคุณสมบัติเป็น Android 4.0 Ice Cream Sandwich, Linux Kernel 3.0.1 มีจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว หน่วยความจำ 16 GB หน่วยประมวลผลเป็น Dual Core 1 GHz และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, GPS และ USB 2.0 ด้วยราคา 81 เหรียญ เป็นเงินไทยประมาณ 2,430 บาท

แม้มีการถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลในประเด็นนี้ โดยแสดงความห่วงใยเรื่องความสมเหตุสมผลกับสภาพความเป็นจริงของเด็กเล็กในปัจจุบัน เพราะความไม่เหมาะสมของวุฒิภาวะของเด็กเล็กกับทักษะในการใช้งานที่ไปด้วยกันไม่ได้ การใช้งานผิดวัตถุประสงค์ การเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และปริมาณเนื้อหาที่เหมาะสมยังมีไม่มากพอ แต่มีการเดินหน้าตามนโยบายจนมีการเลือกยี่ห้อของแท็บเล็ตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีงบประมาณสูงถึง 1,900 ล้านบาท ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นนโยบายที่ดีต่อการพัฒนาเยาวชน เพียงแต่มีประเด็นที่น่ากังวลอยู่บ้าง

ข่าวนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับเยาวชน เพราะแท็บเล็ตมีความเหมาะสมในการสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้ที่มีความเข้าใจในอุปกรณ์ และรู้จักการใช้งานอย่างเหมาะสมตามวัตถุประสงค์ ถ้านักเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ไป ก็พอจะแนะนำได้ว่าสามารถใช้เพื่อสืบค้นข้อมูล ใช้หาความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย หรือราชาศัพท์ ใช้สื่อสารแลกเปลี่ยน ใช้เป็นเครื่องคิดเลข ตารางคำนวณ พิมพ์เอกสาร หรือเตรียมเอกสารสำหรับนำเสนอหน้าชั้นเรียน ใช้ฝึกทักษะการฟัง การอ่าน และการเขียนภาษาที่สองผ่านระบบมัลติมีเดีย สนับสนุนนโยบายการเข้าสู่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อังกฤษ: Association of South East Asian Nations) หรือ อาเซียนได้อย่างชัดเจน เมื่อหันกลับมาพิจารณาว่าการนำไปใช้ของนักเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ก็อาจต้องห่วงว่าเด็กเล็ก หรือคุณครูจะตั้งเป้าหมายร่วมกันไว้อย่างไร และจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างไร ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกฝ่ายได้ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคม

http://thainews.prd.go.th/en/news.php?id=255503060004

http://tv.ohozaa.com/player/iAz4/

สอบประวัติผู้สมัครงาน (itinlife 332)

twitter @Pat_ThaiPBS
twitter @Pat_ThaiPBS

3 มี.ค.55 มีผลวิจัยว่า พฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายสังคม (Social Network) อาจถูกนำใช้ประกอบการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน ประเด็นที่น่าสนใจคือ ความเป็นส่วนตัว และเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน ปัจจุบันเราทราบว่าเครือข่ายสังคมที่ได้รับความนิยมมีไม่มากนัก อาทิ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และกูเกิลพลัส ซึ่งทวิตเตอร์ถือเป็นไมโครบล็อก (Micro blogging) ที่มีระดับความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าบรรดาเว็บไซต์เครือข่ายสังคม ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่ในทวิตเตอร์วัดความนิยมจากจำนวนผู้ติดตาม ซึ่งเจ้าของบัญชีไม่จำเป็นต้องรู้จักกับผู้ติดตาม หรืออนุญาตให้มีการติดตาม ผลการจัดอันดับผู้ติดตามเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2555 พบว่า @Khunnie0624 มีผู้ติดตาม 1,064,797 ส่วน @Woodytalk มีผู้ติดตาม 601,370 ส่วน @vajiramedhi มีผู้ติดตาม 501,925 แสดงว่าการมีผู้ติดตามมาก คือ มีคนเข้าถึงเนื้อหาที่เจ้าตัวเผยแพร่ได้มากนั่นเอง

ส่วน facebook และ google+ มีระดับความเป็นส่วนตัวสูงกว่า หากจะเข้าไปดูข้อมูลจะต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าของบัญชี แต่ผู้ใช้บางรายยอมรับเพื่อนใหม่ง่าย และมีไม่น้อยที่เขียนบันทึกอย่างรู้เท่าไม่ถึงภัย จนส่งผลไม่พึงประสงค์ภายหลัง สิ่งหนึ่งที่พึงระวัง คือ นายจ้าง หรือว่าที่เจ้านายอาจเข้ามาดูข้อมูลที่สะท้อนลักษณะเฉพาะบุคคลตาม ทฤษฎีลักษณะนิสัย (Trait Theory) ซึ่งมี 5 เกณฑ์ คือ 1) ชอบเข้าสังคม ชอบแสดงออก (Extraversion) 2) ความซื่อตรง มีคุณธรรม (Conscientiousness) 3) ความเป็นมิตร ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ (Agreeableness) 4) การจัดการกับอารมณ์ (Neuroticism) 5) เปิดกว้างเพื่อประสบการณ์ทำงานหรือเรียนรู้ (Openness to Experience/Intellect) โดยทฤษฎีถูกใช้ในหัวข้อวิจัยที่ Northern Illinois University, Evansville University  และ Auburn University ได้ร่วมกันศึกษาจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษา

เมื่อนำเกณฑ์ข้อ 1 คือ ชอบเข้าสังคม ชอบแสดงออก มาใช้คัดเลือกบุคลากร ก็มักมีการมองหาพฤติกรรมแสดงความคิดเห็นเชิงบวกต่อประเด็นรอบตัว มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่เหมาะสม และมีสมดุลในการแสดงออกทั้งภายในและภายนอก มุมมองต่อสังคม การเมือง องค์กร ครอบครัว หรือตนเองเป็นอย่างไร ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้คัดเลือกบุคลากรก็แตกต่างกันไปตามตำแหน่ง เช่น นักประชาสัมพันธ์ หรือนักพัฒนาชุมชน ก็ย่อมต้องการคนที่คิดบวก และชอบแสดงออก แต่ถ้าผู้พิพากษา หรือพนักงานทำความสะอาด เกณฑ์ข้างต้นก็คงไม่จำเป็นต้องนำมาใช้ ประเด็นคือท่านคิดว่าสิ่งที่ปรากฎใน profile ของท่าน เป็นภาพบวกหรือลบ หากปรากฎสู่สายตาของนายจ้าง

http://www.thaiall.com/blogacla/admin/1128/

http://www.lab.in.th/thaitrend/rank-follower.php

สถิติการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก (itinlife330)

asia statistic
asia statistic

17 ก.พ.55 มีโอกาสฟัง คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ เจ้าพ่อสื่อเครือเนชั่น เล่าถึงความเป็นมาของสื่อในอดีต ซึ่งใช้เพื่อการสื่อสารระหว่างคน ไปถึงประเภทของสื่อเพื่อใช้สื่อสารกับมหาชน และแนวโน้มของสื่อในอนาคต พร้อมนำเสนอข้อมูลเชิงสถิติ หรือสารสนเทศเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการบริหารงานสื่ออย่างมืออาชีพ มีศัพท์ 2 คำที่ชวนให้ตระหนัก คือ below the line และ above the line โดยสื่อประเภทแรกถูกใช้เป็นเครื่องมือเข้าถึงผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มได้ตรงกว่า มีประสิทธิภาพกว่า และเป็นไปได้ว่าอาจใช้งบประมาณสูงกว่าสื่อหลัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังทิ้งสื่อหลักไปไม่ได้

สื่อหลักหรือสื่อแบบ above the line คือ สื่อที่ใช้สร้างการรับรู้ในตราสินค้า เผยแพร่ในวงกว้างในระยะเวลาสั้นอย่างรวดเร็ว มักใช้โฆษณาแนะนำสินค้า อาทิ โทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา ส่วนสื่อรอง หรือสื่อแบบ below the line คือ สื่อที่เข้าถึงลูกค้าโดยตรง มักเน้นการสร้างกิจกรรมกับลูกค้า (Event) มีผลให้ลูกค้าจดจำสินค้าจากประสบการณ์ที่ได้ร่วมกิจกรรม (Road Show) อาจเป็นการออกนิทรรศการแนะนำสินค้า เปิดบูทให้ทดลองสินค้า หรือจัดกิจกรรมผ่านเว็บไซต์ แต่สื่อทั้งสองแบบจะต้องดำเนินควบคู่กันไป เพราะกฎทางการตลาดมี 2 ข้อ คือ ผู้บริโภคคือเจ้านาย ถ้าผู้บริโภคผิดให้ย้อนกลับไปดูข้อแรก ดังนั้นการใช้สื่อที่หวังผลทางการตลาดจำเป็นต้องเลือกใช้อย่างสมดุล เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

ข้อมูลทางสถิติปี 2011 เกี่ยวกับจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต พบว่าโลกของเราประชากรมากกว่าหกพันเก้าร้อยล้านคน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าสองพันสองร้อยล้านคน คิดเป็นร้อยละ 32 ของประชากรโลก แต่ประเทศไทยมีประชากรมากกว่าหกสิบหกล้านคน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าสิบแปดล้านคน คิดเป็นร้อยละ 27 ของประเทศ ซึ่งยังน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ถ้าเปรียบเทียบในระดับทวีปแล้ว ทวีปเอเชียใช้อินเทอร์เน็ตร้อยละ 26 แต่ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลียใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าร้อยละ 60 ประเทศมาเลเซียใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าร้อยละ 60 ประเทศกรีนแลนด์ และไอซ์แลนใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าร้อยละ 90 ดูจากสถิติแล้ว ประเทศไทยคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าประชาชนจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเกินร้อยละ 50 ซึ่งข้อมูลทางสถิติทำให้เรารู้ตำแหน่งของตนเองในประชาคมโลก

http://www.internetworldstats.com/stats3.htm
http://www.thaiall.com/topstory/

กรณี Lisa กับ Mac ใน Apple

lisa computer
lisa computer

8 ก.พ.55 อ่านหนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson ที่แปลโดยคุณณงลักษณ์ จารุวัฒน์ บทที่ 13 พบประเด็นเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 รุ่น ที่เปิดตัวในมกราคม ค.ศ.1983 และมกราคม ค.ศ.1984 ถูกผลิตโดยบริษัท Apple เป็นบทเรียนที่น่าสนใจ ทำให้ได้เราเรียนรู้ถึงวิธีคิดของมนุษย์ท่ามกลางการแข่งขันในอีกชุมชนหนึ่ง จากการฟังคุณสุทธิชัย หยุ่น ที่พูดคุยเกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์หลายครั้ง ทำให้ทราบว่าหนังสือเล่มนี้มิได้นำเสนอเฉพาะด้านบวก แต่ตีแผ่ชีวิตครบรสของมนุษย์ที่หาอ่านได้ยาก มีทั้งพฤติกรรมที่น่าชื่นชม และน่ารังเกียจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผ่านการสัมภาษณ์ของผู้คนรอบกายสตีฟหลายสิบคนที่มีทั้งรักและไม่รักเขา

โครงการ Lisa (Local Integrated Systems Architecture) เคยเป็นของสตีฟ แต่เขาถูกถอดจากโครงการนี้ แล้วไปทำโครงการ Macintosh ที่เคยเป็นโปรเจ็กต์ง่อนแง่น การแข่งขันชิงเด่นระหว่างโครงการต่าง ๆ ในบริษัทเดียวกันสามารถพบได้ในบริษัทขนาดใหญ่ทั่วไป เพราะธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้องการเอาชนะ เหยียบคนอื่นขึ้นไปให้สูงขึ้น สตีฟเองก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ผลการแข่งขันของ 2 โครงการ สรุปได้ว่าโครงการ Lisa ล้มเหลว แต่ต่อมาเป็นความสำเร็จของเครื่อง Mac ที่สตีฟดูแลอยู่ ที่มาของชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ Lisa นั้นถูกตั้งขึ้นตามชื่อลูกสาวที่สตีฟเคยปฏิเสธการเป็นพ่อ ถึงขั้นขึ้นศาลพิสูจน์ดีเอ็นเอมาแล้ว

เหตุผลหนึ่งที่น่าเชื่อว่าเครื่อง Lisa ต้องหยุดการผลิตหลังเปิดตัวได้ 2 ปี เพราะสตีฟในฐานะ CEO ของบริษัทให้สัมภาษณ์กับนิตยสารหลายฉบับในการเปิดตัวเครื่อง Lisa และผลจากการให้สัมภาษณ์ นิตยสาร Fortune ตีพิมพ์ว่า “ปลายปีนี้ Apple จะวางตลาดคอมพิวเตอร์อีกรุ่นหนึ่งที่มีสมรรถนะน้อยกว่า ราคาถูกกว่า Lisa ชื่อ Macintosh จ็อบส์เป็นผู้ควบคุมโปรเจ็กต์เองทั้งหมด” จากข้อความทำนองนี้ในนิตยสารหลายฉบับ ทำให้เชื่อได้ว่าผู้มีกำลังซื้อส่วนหนึ่งตัดสินในชะลอการซื้อคอมพิวเตอร์ออกไป  แล้วรอการมาของเครื่อง Mac ทำให้เชื่อว่าการที่ Lisa สูญเสียลูกค้าและหยุดการผลิตในเวลาเพียง 2 ปีนั้น กลับส่งผลดีต่อเครื่อง Mac จนกลายเป็นความสำเร็จก้าวใหญ่ของเทคโนโลยีที่น้อยคนจะไม่รู้จักเครื่อง Macintosh ของบริษัท Apple

เราอาจเป็นซุปเปอร์มนุษย์ได้ (itinlife 326)

http://www.youtube.com/watch?v=d1_JBMrrYw8

22 ม.ค.55 มีโอกาสอ่านความคิดเห็นของนักทำนายอนาคต (Futurologist) 2 ท่าน คือ Dr.Ian Pearson และ Patrick Tucker ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 100 ปีข้างหน้า กว่าจะถึงเวลานั้นก็คาดได้ว่าเราท่านส่วนใหญ่อาจไม่ได้อยู่เห็นผลการทำนายแล้ว แต่จากการให้ความเห็นประกอบผลการทำนายจำนวน 20 เรื่อง พบว่าบางเรื่องเป็นเทคโนโลยีที่เป็นแนวคิดจากภาพยนตร์ที่ทำให้ชีวิตของเรายืนยาวได้มากกว่า 100 ปี ซึ่งจินตนาการเหล่านั้นอาจนำไปสู่การค้นคว้าวิจัย และทำให้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นจริงขึ้นมา มีนวัตกรรมหลายเรื่องที่กำเนิดขึ้นภายหลังภาพยนตร์ อาทิ เครื่องบินไร้คนขับ การสนทนาระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ หรือการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยคลื่นสมอง ซึ่งล้วนเกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น

เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากได้นำไปพัฒนาร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) จนประสบความสำเร็จจะทำให้การคิดของมนุษย์และคอมพิวเตอร์หลอมรวมและถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนแนวคิดนี้จะสำเร็จ เราพบว่าปัจจุบันมีระบบฐานความรู้ ระบบทำนายสภาพอากาศ ระบบการสื่อสารความเร็วสูง ระบบวิเคราะห์ภาพถ่าย ระบบเซ็นเซอร์ ระบบสแกนทะลุวัตถุ หรือเทคโนโลยีการควบคุมอุปกรณ์ด้วยคลื่นสมอง แนวคิดการเป็นซุปเปอร์มนุษย์ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป แต่มีคำถามเข้ามาอย่างแน่นอนว่าจะอยู่เหนือคนอื่นเพื่ออะไร และได้หรือไม่ ในขณะที่มนุษย์ทุกคนต้องการความเสมอภาค

ปลายทางของการหลอมรวมปัญญาประดิษฐ์กับเทคโนโลยีชีวภาพย่อมนำไปสู่ความพยายามหาคำตอบที่จะเป็นอมตะ กายเนื้อของเรามีข้อจำกัด อาจเติบโตผิดปกติ เปลี่ยนรูป หรือเสื่อมสภาพ ซึ่งการล้มเหลวของกายเนื้อนำไปสู่สาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่ง หากย้ายความรู้สึกนึกคิดออกไปไว้นอกกายเนื้อปัจจุบันได้ ก็จะทำให้มนุษย์เป็นอมตะได้ เราอาจพัฒนาซุปเปอร์มนุษย์ได้ แต่การย้ายความคิดออกจากร่างกายก็ยังเป็นเรื่องที่ยากกว่า แล้วเป็นความหวังของมนุษย์ที่ต้องการมีชีวิตอยู่หลังกายเนื้อเสื่อมสลายไป และนั้นก็ยังคงเป็นเพียงจินตนาการหรือความฝันต่อไป

Home

http://www.bbc.co.uk/news/magazine-16536598

หัวเลี้ยวหัวต่อของแฟลช (itinlife322)

skyfire
skyfire2


26 ธ.ค.54 เว็บไซต์ คือ แหล่งข้อมูลที่บรรจุด้วยตัวอักษร ภาพ เสียง วีดีโอ และสื่อผสมแบบโต้ตอบ ในยุคแรกมีการพัฒนาสื่อผสมหลายรูปแบบ แล้วหลายปีที่ผ่านมารูปแบบของสื่อผสมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมสูงสุด คือ อะโดบีแฟลช (Adobe Flash) (ในชื่อเดิม ช็อกเวฟ แฟลช – Shockwave Flash และ แมโครมีเดียแฟลช – Macromedia Flash) การใช้งานสื่อประเภทนี้จำเป็นต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติม หรือเรียกว่าโปรแกรมเสริม บางเครื่องอาจติดตั้งมาพร้อมโปรแกรมบราวเซอร์ หรือติดตั้งมาพร้อมระบบปฏิบัติการ  จนผู้ใช้หลายท่านอาจไม่ทราบว่าสิ่งที่ใช้งานอยู่เรียกว่าอะไร เป็นของบริษัทใด แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิดว่า อุปกรณ์ที่กำลังมาแรงในกลุ่มอุปกรณ์พกพาของบริษัทแอปเปิล ทั้ง IPhone, IPod และ IPad กลับไม่ติดตั้งตัวประมวลผลแฟ้มประเภทแฟลชมาพร้อมเครื่อง

          เมื่อสืบค้นหาคำตอบว่า ทำไมอุปกรณ์ของบริษัทแอปเปิลที่บริหารงานโดยสตีฟ จอบส์ ไม่สนับสนุนอะโดบีแฟลช ก็มีคำอธิบายว่า การใช้อะโดบีแฟลชทำให้สิ้นเปลืองแบตเตอรี่ เนื่องจากอุปกรณ์แบบพกพาจำเป็นต้องมีน้ำหนักเบา ดังนั้นแหล่งจ่ายพลังงานต้องมีขนาดเล็ก และการประมวลผลต้องถูกออกแบบให้ใช้พลังงานต่ำที่สุด การไม่บริการแฟ้มประเภทแฟลชก็เพื่อให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานนานขึ้น ซึ่งทางเลือกใหม่ในการแสดงผลที่คล้ายแฟลช คือ HTML5 ซึ่งคาดว่าจะมาแทนที่อะโดบีแฟลชในอนาคตอันใกล้ แต่อุปกรณ์พกพาที่เป็นคู่แข่งของบริษัทแอบเปิลหลายรายกลับยังให้การสนับสนุนแฟลช ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของแฟลชที่ต้องจับตา

          ปัญหาการไม่สนับสนุนแฟลชอาจกระทบผู้ใช้หลายกลุ่ม อาทิ ผู้ที่นิยมเล่นเกมที่ใช้แฟลช หรือเว็บไซต์ที่มีแฟลชเป็นองค์ประกอบ แล้วยังมีอีกหลายเว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาทั้งหมดด้วยแฟลช ในขณะนี้มาตรฐาน HTML5 ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบ ก็อาจต้องติดตามว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่าง HTML5 กับแฟลช แล้วนโยบายของการไม่บริการแฟลชของบริษัทแอปเปิลกับ Tablet PC ของคู่แข่ง ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้พัฒนาเว็บไซต์ต้องลุ้นระทึก ตัดสินใจ วางแผนในการกำหนดทิศทาง และปรับปรุง เพื่อให้สามารถก้าวต่อไปในตลาดการแข่งขันยุคที่วิวัฒนาการของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

http://apptube.exteen.com/20101105/skyfire-2-flash-iphone

อากงเอสเอ็มเอส 20 ปี (itinlife320)

http://www.youtube.com/watch?v=QLzsUebKuZc

นอกจากข่าวน้ำท่วมปลายปี 2554 ที่เป็นมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์รุนแรงที่สุดของไทยในช่วงชีวิตของเรา แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าปีถัดไป หรืออีกสิบปีข้างหน้าจะหนักกว่าเดิมหรือไม่ ยังมีข่าวความขัดแย้งของคนตามแนวถุงทรายยัก หรือที่เรียกว่าบิ๊กแบ็ค ที่ได้รับผลกระทบชัดเจน คนเหนือถุงทรายต้องอยู่กับน้ำท่วมยาวกว่าคนอยู่ใต้ถุงทราย ดังนั้นถุงทรายคือเส้นแบ่งระหว่างคนสองกลุ่มอย่างชัดเจน แต่อีกข่าวที่น่าติดตามว่าจะเกิดอะไรต่อไป คือ ข่าวอากงที่ส่ง SMS เข้าข่ายผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่กระทำผิดไว้ระหว่าง 9 – 22 พฤษภาคม 2553

เทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ได้จำกัดที่อายุ เพศ วัย หรืออาชีพอีกต่อไป จากข่าวอากงวัย 61 ปี มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 เครื่อง และมี 2 ซิม ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ส่งข้อความไปถึงผู้คนกว่า 60 คน โดยส่งจำนวน 4 ข้อความ ซึ่งข้อกล่าวหาข้างต้น ศาลได้ตัดสินไปแล้ว และระบุโทษจำคุกถึง 20 ปี ถ้าอากงกระทำการดังข้อกล่าวหาจริงก็ต้องบอกว่าเก่ง และมีความมุ่งมั่นเชิงลบสูง เพราะตั้งแต่ผู้เขียนใช้โทรศัพท์มือถือมาร่วม 20 ปียังส่ง SMS ไม่ถึง 10 ข้อความเลย ถ้าเขียนแต่ละครั้งก็เพียงคำว่า Happy New Year เท่านั้น

สำหรับคลิ๊ปใน youtube.com ประเด็น “อาคง sms” พบหลายสิบคลิ๊ป ทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่าง ประเด็นที่สื่อให้ความสนใจ คือ อากงบอกว่าส่ง SMS ไม่เป็น อากงรับโทษ 20 ปีจากการส่ง 4 ข้อความ อากงจำร้านที่นำโทรศัพท์ไปซ่อมไม่ได้ ถ้าองกงทำจริงมีใครอยู่เบื้องหลัง มีการเสนอให้ทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทุกประเด็นล้วนมีทางออกที่เป็นไปได้ แต่การดำเนินการเพื่อไปให้ถึงทางออกนั้นมีปัจจัยแวดล้อมมากมาย ขึ้นอยู่กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และความจริงที่ถูกซ่อนบ่ม สำหรับกรณีทางออกของอากงมีการเสนอว่า ถ้าอากงสำนึกผิด และขอพระราชทานอภัยโทษ เชื่อว่า พระมหากรุณาธิคุณนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด อากงอาจได้กลับคืนสู่ครอบครัวอันเป็นที่รักได้ในไม่ช้า

ที่สุดกับ 3.9G โดยทีโอที (itinlife318)

26 พ.ย.54 การเชื่อมต่อของโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบไร้สาย มีผู้ให้บริการพัฒนากันอยู่ตลอดเวลา มีความฝันว่าเราจะเชื่อมต่อได้เร็วยิ่งขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คำว่า 4G ยังเป็นความฝัน แต่ที่เร็วที่สุดในปัจจุบันเราสามารถไปถึงยุค 3.9G มีผู้ให้บริการรายแรกคือ TOT ซึ่งจัดงานแถลงข่าว เปิดตัว 3.9G ไปแล้ว ใช้ความถี่ 2100 MHz ด้วยเทคโนโลยี HSPA+ มีความเร็วถึง 42 Mbps เริ่มบริการพฤศจิกายน 2554 และจังหวัดลำปางเป็นหนึ่งใน 18 จังหวัดที่เริ่มเปิดให้บริการ และจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศในพฤษภาคม 2555 มีข้อมูลเผยแพร่ใน http://www.tot3g.net
จุดเด่นของ 3.9G คือโทรศัพท์เห็นหน้ากันแบบไม่สะดุด ตอบรับกระแสเครือข่ายสังคม (Social Network) ที่ใช้งานผ่านอุปกรณ์รุ่นใหม่ อาทิ สมาร์ทโฟน หรือแทบเล็ต ส่วนค่าบริการขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งาน ตัวอย่างแพกเกจกลุ่ม Super Load 3G เริ่มต้น Load Silver คือ จ่าย 250 บาทต่อเดือนโทรเห็นหน้าได้ 30 นาที และดาวน์โหลดได้ 700 MB หากใช้แพกเกจที่จ่ายแพงขึ้นก็จะได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น ถ้าเน้นการโทรศัพท์มากกว่าดาวน์โหลดก็จะมี City Silver คือ จ่าย 250 บาทต่อเดือน โทรได้ 200 นาที แต่ดาวน์โหลดได้ 100 MB เท่านั้น
สำหรับผู้ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ราคาเครื่องละไม่เกิน 1,000 บาท คงไม่เหมาะที่จะใช้บริการ 3G เพราะโทรศัพท์ที่ TOT แนะนำล้วนมีราคาสูงกว่านับสิบเท่า อาทิ Nokia N9, Samsung Galaxy Note, BlackBerry PlayBook, Sony Ericsson Xperia Arc S, iPhone 4s, LG Optimus Pad แต่ถ้าจะหาอุปกรณ์ที่รองรับ 3.9G ในระดับความเร็ว 42 Mbps อาจต้องอดใจรออีกสักพัก เพราะการผลิตอุปกรณ์ และการนำเข้ายังไม่แพร่หลายในประเทศไทย ต่อไปเวลาโทรศัพท์คุยกับแฟนก็จะได้รู้แล้วหละว่าอยู่ที่ทำงานจริง หรือไปลั่นล้าที่ไหน เพราะผู้รับโทรศัพท์สามารถเห็นบรรยากาศโดยรอบเป็นหลักฐานมัดตัวคุณผู้ชายที่ ชอบแว็บไปไหนต่อไหน แล้วบอกว่าติดประชุม ซึ่งเป็นข้อเสียอีกข้อหนึ่งที่คุณผู้ชายอาจไม่เลือกใช้บริการนี้


http://www.youtube.com/watch?v=n-GVpf4Bork

3.9G คืออะไร (itinlife 317)

19 พ.ย.54 ปัจจุบันโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตของคนทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนต้องพก 2 เครื่อง เพื่อใช้ในการทำงาน และใช้ส่วนตัว ส่วนนักเรียน นักศึกษาเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่ถูกยอมรับว่ามีกำลังซื้อสูงสุด เพราะเปลี่ยนมือถือตามแฟชั่น ผู้ผลิตออกรุ่นใหม่มาเป็นต้องเกาะกะแสไม่เคยพลาด ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่จะเปลี่ยนแต่ละทีคิดแล้วคิดอีก กำเนิดของโทรศัพท์เกิดในปีพ.ศ.2419 โดยนักประดิษฐ์ชื่ออเล็ก ซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander  Graham  Bell) แล้วในปี พ.ศ. 2420  โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas  Alwa  Edison) ก็นำมาพัฒนาต่อจนสามารถใช้งานได้จริง สำหรับประเทศไทยเริ่มใช้โทรศัพท์ในปีพ.ศ.2450 โดยกรมไปรษณีย์โทรเลขได้นำเครื่องโทรศัพท์ระบบไฟกลาง (CENTRAL BATTERY: CB)  ติดตั้งเครื่องชุมสายระบบไฟกลางวัดเลียบ ซึ่งเป็นเครื่องชุมสายแห่งแรกในประเทศไทย

แต่ละยุคมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ยุคแรก หรือ 1G ใช้ Cellular ที่ยังเป็น Analog มาเป็นยุค 2 G ใช้ GSM ที่เริ่มเป็น Digital แล้ว ยุค 2.5 ใช้ GPRS ยุค 2.75G ใช้ EDGE ยุค 3G ใช้ WCDMA ยุค 3.5G ใช้ HSDPA ยุค 3.9G ใช้ HSDPA+ โดยสรุปแล้ว 3.9G เร็วกว่า 3G กว่า 20 เท่า แล้ว 3G ก็เป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยไปแล้ว ส่วน 4G ยังเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่เกิดขึ้นในโลก ดังนั้นเราไปได้ไกลสุดก็เพียง 3.9G

ถ้าเราใช้ 3.9G ก็จะเป็นประเทศแรก ๆ ในอาเซียน และให้บริการระยะเดียวกับญี่ปุ่น ระบบนี้ใช้คลื่นความถี่ 2100 MHz เป็นคลื่นความถี่สากล โดยเราเป็นประเทศที่ 24 ของโลก และเป็นประเทศที่ 4 ของเอเชียที่ใช้คลื่นนี้ ถ้ามีโทรศัพท์ที่รองรับ 3.9G คือ รองรับ HSDPA+ ก็จะโทรศัพท์แบบเห็นกันได้   เล่นอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วถึง 42 Mbps แต่โทรศัพท์ที่รองรับเทคโนโลยีนี้ยังหาได้ยากในท้องตลาด และมีราคาสูง ซึ่งเชื่อได้ว่าอีกไม่นานเราก็จะได้ใช้ 3.9G กันทุกคน เพราะถ้าผู้ส่งต้องการเห็นภาพของเรา แต่โทรศัพท์ของเรายังเป็นจอสีเดียว คงสื่อสารกันไม่สนุก แล้วเวลานั้นก็คือเวลาที่ต้องเปลี่ยนโทรศัพท์อีกครั้ง

http://www.thailand39g.com

http://www.39gthailand.com

ต่อเน็ตกับแท็บเล็ตพีซี (itinlife313)

iconia tab w501
iconia tab w501

24 ต.ค.54 แท็บเล็ตพีซี (Tablet PC) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบพกพา สามารถรับคำสั่งจากผู้ใช้ผ่านการสัมผัสจอภาพ (Touch Screen) ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยม อาทิ iPad,  Samsung Galaxy Tab หรือ Acer Iconia Tab ครั้งหนึ่งมีเพื่อนนำ Iconia Tab a500 มาให้ผู้เขียนทดสอบใช้ แล้วถามว่าทำไมต่ออินเทอร์เน็ตได้เฉพาะผ่าน  WiFi  ถ้าไปอยู่บนรถยนต์ รถเมย์ รถไฟก็ใช้งานไม่ได้ แล้วไปพบคำตอบในงานมหกรรมสินค้าไอที COM TECH ที่ลำปาง จากบูทแสดงสินค้าของ Acer ว่าการเปิดตัวของแต่ละผลิตภัณฑ์ออกมาไม่พร้อมกัน และของดีมักมาทีหลัง
ปัจจุบันแท็บเล็ตพีซีแต่ละยี่ห้อมีกลยุทธ์ในการผลิตสินค้าไม่ต่างกับเครื่องโน๊ตบุ๊คหรือพีซี คือ ออกมาหลายระดับ หลายราคา เพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้แต่ละกลุ่ม ถ้ามีงบน้อยก็ซื้อรุ่นเล็ก มีงบมากก็ซื้อรุ่นที่ใหญ่ จากเอกสาร Acer Buyer’s Guide No.8 พบว่า IConia Tab มีออกมา 5 รุ่น แบ่งเป็นรุ่นที่รองรับระบบปฏิบัติการ Android จำนวน 3 รุ่น รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 7 จำนวน 2 รุ่น สำหรับรุ่นต่ำสุดรองรับระบบปฏิบัติการ Android มีหน่วยความจำเก็บข้อมูลได้ 16 GB ส่วนอีก 4 รุ่นที่เหลือมี 32 GB ถ้าเป็นรุ่น Windows จะแถม Acer Fine Tip Keyboard ทำให้ใช้รับข้อมูลจากแป้นพิมพ์เพื่อพิมพ์งานเอกสารได้สะดวก หรือรับคำสั่งผ่านจอภาพก็ทำได้พร้อมกัน
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของ Iconia Tab รองรับ 3G GSM / GPRS / EDGE 850 / 900 / 1800 /1900 MHz มีเพียงรุ่นท็อป 2 รุ่นคือ A501 และ W501 ตัวอักษร A แทนด้วย Android และตัวอักษร W แทนด้วย Windows ส่วนรุ่นที่รองรับ Fast Ethernet on the dock มีเพียงรุ่นเดียวคือ W501 ดังนั้นการเลือกซื้อ Tablet PC แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมการใช้ว่า จะใช้บนรถเมย์ผ่าน 3G หรือผ่านเครือข่ายไร้สายในองค์กรเท่านั้น ส่วนผู้ที่เคยชินกับระบบปฏิบัติการ Windows ก็คงต้องเลือกรุ่นที่มีตัวอักษร W นำชื่อรุ่น ซึ่งการเลือกซื้อ Tablet PC จำเป็นต้องหาข้อมูลจากคนรอบข้างว่ามีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไร จะสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างสมาชิกในองค์กรได้หรือไม่ การเลือกซื้ออุปกรณ์ประเภทนี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดจำเป็นต้องศึกษาข้อมูล และติดตามข่าวสารการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเลือกซื้อผิดก็อาจกลายเป็นเพียงขยะเทคโนโลยีชิ้นใหม่ในบ้านเพิ่มขึ้นอีก 1 ชิ้น

http://www.acer4u.in.th/

http://www.userguidemanual.com/acer-iconia-tab-w500-user-manual-quick-start-guide-tablet/