เจ้าของ Mcafee Anti-virus ถูกจับ ต้องสงสัยว่าฆ่าเพื่อนบ้านแล้วหนี

john mcafee
john mcafee

John McAfee กูรูซอฟต์แวร์ต้านไวรัส (Anti-virus software)
โดนจับใน “กัวเตมาลา” หลังถูกระบุอาจพัวพันฆ่าคนตายในเบลิซ (Belize)

5 ธ.ค.55 รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ – จอห์น แม็คอะฟี กูรูซอฟต์แวร์ ด้านแอนตี้ไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อก้องโลกชาวอเมริกัน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการตัวของทางการประเทศเบลิซจากข้อสงสัยที่ว่าเขาอาจมีส่วนพัวพันกับการสังหารเพื่อนบ้าน ถูกจับตัวได้แล้วในประเทศกัวเตมาลาเมื่อวันพุธ 5 ธ.ค.55 ทั้งนี้เป็นการยืนยันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของกัวเตมาลา
รายงานข่าว ซึ่งอ้างเมาริซิโอ โลเปซ โบนิญา รัฐมนตรีมหาดไทยของกัวเตมาลา ระบุว่า แม็คอะฟีถูกตำรวจกัวเตมาลา ซึ่งเป็นชาติเพื่อนบ้านของเบลิซจับกุมตัวได้ พร้อมแจ้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ขณะที่ฟรานซิสโก กวยบาส โฆษกรัฐบาลกัวเตมาลา ออกมายืนยันว่าจะมีการส่งตัวแม็คอะฟีกลับไปยังเบลิซ และคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเรียบร้อยภายในวันพฤหัสบดี 6 ธ.ค.55
ก่อนหน้านี้แม็คอะฟีเพิ่งออกมาเปิดเผยว่าเขาได้เดินทางออกจากประเทศเบลิซ ในภูมิภาคอเมริกากลางแล้ว และยืนยันไม่มีความคิดที่จะมอบตัวแต่อย่างใด หลังจากเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 มีรายงานว่าตำรวจเบลิซออกหมายเรียกตัวแม็คอะฟีมาสอบปากคำเกี่ยวคดีฆาตกรรมเพื่อนบ้านรายหนึ่ง หลังมีผู้พบศพของนายเกรกอรี ไวแอนท์ ฟอลล์ ชาวอเมริกัน วัย 52 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของแม็คอะฟี ถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิตนอนจมกองเลือดโดยทางตำรวจเบลิซมีข้อมูลว่าก่อนพบศพของฟอลล์มีผู้พบเห็นผู้ตายและแม็คอะฟีมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี ตำรวจเบลิซยืนยันว่าแม็คอะฟีมิใช่ “ผู้ต้องสงสัย” ในคดีนี้
แม็คอะฟี วัย 67 ปี ซึ่งย้ายไปตั้งรกรากและทำธุรกิจหลายประเภทอยู่ที่เกาะ “แอมเบอร์กริส เคย์” ในเบลิซ ตั้งแต่เมื่อปี 2010 ยืนยันว่า เขาไม่มีความคิดจะมอบตัวกับตำรวจเบลิซ เพราะเชื่อว่าเขาจะถูกตำรวจฆ่าตายหากทำเช่นนั้น
ด้านดีน โอลิเวอร์ บาร์โรว นายกรัฐมนตรีของเบลิซ ออกโรงปฏิเสธข้อกล่าวหาของแม็คอะฟี โดยยืนยันกูรูซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Antivirus) รายนี้มีความกังวลเกินกว่าเหตุ และแสดงออกไม่ต่างจากคนวิกลจริต ที่หนีหัวซุกหัวซุนทั้งๆที่ตำรวจเบลิซยังมิได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ
แม็คอะฟีเคยถูกตำรวจเบลิซกล่าวหาเมื่อเดือนพฤษภาคมว่าครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ในเวลาต่อมาแม็คอะฟีจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าปืนในครอบครองของเขามีใบอนุญาต อย่างถูกต้อง ขณะที่แม็คอะฟีเองก็กล่าวหาตำรวจหน่วยปราบปรามอาชญากรรมเบลิซว่า สังหารสุนัขของเขาหลายตัวระหว่างบุกค้นอสังหาริมทรัพย์ของเขาเมื่อเดือนพฤษภาคมเช่นกัน
ทั้งนี้ จอห์น แม็คอะฟี เคยเป็นที่ปรึกษาด้านระบบให้บริษัท “ล็อกฮีด” มาก่อนได้เริ่มก่อตั้งบริษัท “แม็คอะฟี แอสโซซิเอตส์” ในปี 1989 และถือเป็นนักธุรกิจรายแรกๆ จาก “ซิลิกอน แวลลีย์” ที่สร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียงจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000148345

Fugitive software guru John McAfee, 67, seeks ‘asylum’ in Guatemala
TECH guru John McAfee has been tracked down in Guatemala after he sent a photo to Vice magazine that gave away his location.
The American anti-virus software pioneer John McAfee is wanted for questioning over the murder of his neighbour last month in Belize.
“It was not easy to exit Belize and required many supporters in many countries,” 67-year-old McAfee, who has been on the run for more than three weeks, since US expat Gregory Faull’s November 11 murder, wrote on his blog.
“I am in Guatemala and will be meeting with Guatemalan officials this morning. If all goes well I will do a press conference tomorrow (Wednesday),” wrote the fugitive, believed to be traveling with his girlfriend Sam, 20.
Mr.McAfee, who maintains his innocence, has been posting regularly on his blog, whoismcafee.com, leaving a confusing trail for the public and the Belizean authorities to follow.
Before apparently fleeing south into Guatemala, he put out a false report saying he had been captured near the northern Mexican border and claimed to have sent a “double” with a North Korean passport to Mexico as another decoy.
Internet users tracked a photo from a magazine on Monday to Guatemala, but Mr McAfee initially claimed to have encrypted it to throw police off the scent.
“I apologise for all of the misdirections over the past few days,” Mr McAfee, who says he is also travelling with two reporters from Vice magazine, wrote in Tuesday’s post.
“Yesterday was chaotic due to the accidental release of my exact co-ordinates by an unseasoned technician at Vice headquarters,” he said.
“We made it to safety in spite of this handicap. I had to cancel numerous interviews with the press yesterday because of this and I apologise to all of those affected.”
Police say Faull, 52, was discovered by his housekeeper with a 9-mm slug in his head lying in a pool of his own blood.
Prior to his murder, Faull had led neighbours in writing a letter to the mayor complaining that Mr McAfee’s “vicious” dogs and aggressive security guards were scaring tourists and residents alike.
Mr.McAfee shot dead four of his dogs before fleeing, claiming they had been poisoned, possibly by Faull.
Police said the dogs were exhumed last week and ballistics experts are seeing if the slugs match up with the one found in Faull’s head.
A successful Silicon Valley entrepreneur who cashed out to live the life of an adventure seeker, Mr McAfee amassed huge wealth from the antivirus software that bears his name.
He decamped to Belize in 2009 after losing an estimated $US96 million ($A92 million) of his $US100 million fortune due to bad investments and the financial crisis.
According to profiles in The New York Times and tech magazine Wired, his lifestyle became increasingly extreme as he descended into a drug-fuelled existence centered on young prostitutes.
http://www.whatsonsanya.com/news-24780-fugitive-software-guru-john-mcafee-67-seeks-asylum-in-guatemala.html
http://www.news.com.au/world/tech-blunder-reveals-john-mcafee-is-in-guatemala/story-fndir2ev-1226530127973

ยินดีกับผู้ได้ปรับเป็นพนักงานกระทรวงสาธารณสุขกว่าแสนคน

blood donation
blood donation

ของขวัญปีใหม่! สธ.เตรียมบรรจุลูกจ้างชั่วคราว สธ.กว่า 1 แสนคนเตรียมเป็น พกส.

สธ.เตรียมมอบของขวัญปีใหม่ลูกจ้างชั่วคราว สธ. กว่า 1 แสนคน เป็นพนักงานกระทรวงฯ ได้เงินเดือนเพิ่ม สิทธิเท่าเทียมข้าราชการ มีโบนัส ลาศึกษาได้ ขอย้ายได้ ฯลฯ คาดประกาศใช้ ม.ค.56
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหากำลังบุคลากรกระทรวงฯ ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รพ.สูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ และสมาชิกสมาพันธ์สมาคมลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย ว่า ในภาพรวมขณะนี้มีบุคลากรทั้งข้าราชการและลูกจ้างปฏิบัติงานในหน่วยบริการของกระทรวงฯ กว่า 10,000 แห่ง รวม 320,000 คน ได้แก่ ข้าราชการ 180,000 คน ที่เหลือ 140,000 คนเป็นลูกจ้างชั่วคราว ในจำนวนนี้เป็นลูกจ้างชั่วคราวสายวิชาชีพ 21 สายงาน เช่น พยาบาลวิชาชีพ เภสัชกร นักจิตวิทยา นักเทคนิคการแพทย์ นักกายภาพบำบัด นักรังสีการแพทย์ นักการแพทย์แผนไทย ที่ปฏิบัติงานตั้งแต่ปี 2549-2555 รวม 30,188 คน ล่าสุดมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.เห็นชอบการบรรจุลูกจ้างชั่วคราวที่เป็นสายวิชาชีพ 21 สายงานของกระทรวงฯ โดยอนุมัติตำแหน่งข้าราชการให้กระทรวงฯ เพื่อบรรจุลูกจ้างดังกล่าวรวม 22,641 อัตรา ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วน ภายในระยะ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556-2558 เฉลี่ยบรรจุปีละ 7,547 อัตรา ในปีงบประมาณ 2556 นี้ จะบรรจุทั้งหมด 8,446 อัตรา และปี 2557-2558 บรรจุปีละ 7,547 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวสายสนับสนุนที่อยู่นอกเหนือ 21 สายงานวิชาชีพ และลูกจ้างชั่วคราวสายวิชาชีพที่ยังไม่ได้รับบรรจุเป็นข้าราชการ ซึ่งมีประมาณ 117,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงฯ เตรียมมาตรการรองรับเพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและความมั่นคงในอาชีพ โดยจะรับเป็นพนักงานกระทรวงฯ หรือ พกส. ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำร่างระเบียบกระทรวงสาธารณสุข 2 ฉบับเสร็จแล้ว ฉบับที่ 1 ได้แก่ ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยพนักงานกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ….. ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารหลักเกณฑ์ต่างๆ 6 ชุด ได้แก่ 1.ชุดกำหนดประเภทตำแหน่งลักษณะงานและคุณสมบัติเฉพาะของกลุ่มงาน 2.กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการสรรหาและการเลือกสรรพนักงานฯ 3.ชุดกำหนดค่าจ้างพนักงาน 4.ชุดสิทธิประโยชน์ 5.ชุดการประเมินผลการปฏิบัติงาน และ6.หลักเกณฑ์การลาออกจากการปฏิบัติงานระหว่างสัญญาจ้าง
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ฉบับที่ 2 คือ การปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเงินบำรุงหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่…) พ.ศ. …. ขณะนี้เสนอขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา คาดว่าจะได้รับการตอบกลับมาเร็วๆ นี้ หากได้รับเห็นชอบกลับมาจะเสนอต่อ รมว.สาธารณสุข และปลัด สธ.ลงนามเพื่อประกาศใช้ต่อไป คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ในเดือนมกราคม 2556 นี้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกจ้างกระทรวงฯ
ด้าน นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัด สธ. กล่าวว่า การเป็นพนักงานกระทรวงฯ ถือว่ามีความมั่นคงในอาชีพมากขึ้น อัตราเงินเดือนสูงกว่าข้าราชการ 1.2 เท่า ได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่าข้าราชการ เช่น มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลาศึกษาต่อได้ มีการประเมินขึ้นเงินเดือน มีโบนัส ได้รับค่าจ้างระหว่างลา มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลางาน มีค่าใช้จ่ายเดินทาง ค่าเบี้ยประชุม เป็นต้น โดยพนักงานกระทรวงฯ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1.ประเภททั่วไป คือกลุ่มพนักงานที่ปฏิบัติงานเป็นลักษณะงานประจำ ซึ่งเป็นภารกิจหลักและภารกิจทั่วไปของหน่วยบริการ ได้แก่ พนักงานกลุ่มเทคนิค เช่น พยาบาลเทคนิค เจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ เจ้าพนักงานเวชสถิติ เจ้าพนักงานสาธารณสุข นายช่างเทคนิค เจ้าพนักงานโสตทัศนศึกษา พนักงานเภสัชกรรม ช่างไฟฟ้า ช่างเหล็ก ช่างประปา เป็นต้น
กลุ่มบริการ เช่น เจ้าพนักงานธุรการ พนักงานเปล งานพัสดุ พนักงานช่วยการพยาบาล พนักงานประกอบอาหาร กลุ่มบริหารทั่วไปเช่น นักจัดการงานทั่วไป นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักวิขาการเงินบัญชี นักทรัพยากรบุคคล และกลุ่มวิชาชีพเฉพาะหรือกลุ่มที่ต้องปฏิบัติงานภายใต้พระราชบัญญัติวิชาชีพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช พยาบาลวิชาชีพ และ 2.ประเภทพิเศษ ซึ่งเป็นลักษณะงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญสูงมากเป็นพิเศษ เพื่อปฏิบัติงานที่มีความสำคัญและจำเป็นเฉพาะเรื่องของหน่วยบริการ
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000152162

ชาวจีนในกรุงปักกิ่ง 3 ใน 10 ที่ดูโทรทัศน์เป็นกิจวัตรประจำวัน

tv 337 ช่อง เมื่อ 12/12/12
tv 337 ช่อง เมื่อ 12/12/12
12 ธ.ค.55 ทีวีดาวเทียมในไทยมีจำนวนช่อง 337 ช่อง ถ้านั่งสำรวจแต่ละช่องใช้เวลาช่องละ 2 นาที เพื่อดูว่ามีรายการแบบใดก่อนตัดสินใจดูอย่างจริงจังในวันนั้น ก็จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงจะ scan รายการทั้งหมดเสร็จ แต่เวลา scan ห้ามติดใจช่องใดนะครับ เพราะจะทำให้ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมงไปอีก
psi tv channel
psi tv channel
ข่าวข้างล่างนี้ .. มาจากสถานีโทรทัศน์ ซีซีทีวี ของจีน
รายงานผลสำรวจ พบว่า ในปักกิ่งมีคนดูโทรทัศน์กันน้อยลง ทั้งที่เดิมทีการดูโทรทัศน์ถือเป็นกิจกรรมหลักที่ทุกบ้านจะชื่นชอบมาก แต่กลับกลายเป็นว่า แม้กระทั่งในช่วงไพร์มไทม์ ก็มีคนดูโทรทัศน์กันน้อยลง หรือจะหมดยุคโทรทัศน์เฟื่องฟูแล้ว ล่าสุดพบว่ามีครอบครัวชาวจีนในกรุงปักกิ่ง เพียง 3 ใน 10 เท่านั้น ที่ยังคงดูโทรทัศน์เป็นกิจวัตรประจำวัน และถ้าเป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นแล้ว พวกเขาแทบจะปิดทีวีหนีกันไปเลยทีเดียว
คนที่ 1 บอกว่า คนหนุ่มสาวมักจะหันไปใช้คอมพิวเตอร์ ไอแพด และมือถืออัจฉริยะแทนที่ เพราะทำให้เข้าถึงภาพและข่าวที่น่าสนใจได้มากกว่า
คนที่ 2 บอกว่า เวลาว่างๆ ชอบออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แต่ถ้าอยู่บ้าน ก็เลือกที่จะดูอินเทอร์เน็ตมากกว่าเหมือนกัน
คนที่ 3 บอกว่า ใช้โทรทัศน์แค่ตอนเล่นเกม หรือเล่นหนังแผ่น แต่ไม่ค่อยได้ดูรายการทีวีแล้ว
รายงานจากศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตในจีน พบว่า เมื่อปีที่แล้ว มีคนจีนดูโทรทัศน์น้อยลงถึง 40 ล้านคนและ 65% ในนี้เป็นคนวัยหนุ่มสาว แต่ในร้านค้าแห่งนี้ ก็ยังมีโทรทัศน์วางขายอย่างหลากหลาย และก็ยังมีลูกค้าแวะเวียนมาซื้อ
นักข่าวของซีซีทีวี กล่าวว่า ถ้าดูจากโทรทัศน์เครื่องใหม่ที่ตั้งวางขาย และลูกค้าที่แวะเวียนมาซื้อ ก็จะเห็นว่า อุตสาหกรรมโทรทัศน์ไม่มีแนวโน้มจะปิดตัวลงได้ แต่คำถามก็คือ ยังมีลูกค้ามากน้อยเท่าไหร่ที่ซื้อโทรทัศน์กลับบ้านไป แล้วยังเปิดดูโทรทัศน์อยู่เป็นประจำ
ผู้หญิงคนหนึ่ง เล่าว่า เธอซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่มาได้ 1 ปีแล้ว แต่เธอก็รู้สึกว่า ตอนนี้ โทรทัศน์ก็แค่เป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้สนใจจะอย่างจริงจัง เธอบอกว่า โทรทัศน์เครื่องหนึ่ง มีขนาดใหญ่มาก ถ้าไม่มีตั้งไว้ในห้องรับแขกสักเครื่อง ก็ดูเหมือนจะขาดอะไรไป แต่ไม่ได้คิดจะดูอย่างจริงจัง เพราะรายการที่อยู่ในทีวี สามารถหาดูได้ทางอินเทอร์เน็ต ดาวน์โหลดออกมาได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งคนหนุ่มสาวในจีนเข้าถึงอุปกรณ์ทันสมัยได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีพฤติกรรมการชมรายการที่เปลี่ยนไปมากขึ้น กลายเป็นเรื่องท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมทีวีในยุคใหม่
ขณะที่ฟากผู้ผลิต ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ เพราะยังคงเข็นเอาผลิตภัณฑ์โทรทัศน์รุ่นใหม่ ทั้งในแบบให้ภาพคมชัด หรือ ไฮเดฟ นำมาล่อใจผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่า คนจีน โดยเฉพาะในกรุงปักกิ่ง หันไปเสพข่าวสารความบันเทิงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากขึ้น การที่โทรทัศน์จะให้ภาพคมชัดแต่เพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถดึงดูดใจผู้บริโภคได้มากพออีกต่อไป
ผู้สื่อข่าว : เกศินี สุวรรณชีวะศิริ
ข่าวจริง สปริงนิวส์ ทันเหตุการณ์ เห็นอนาคต

ปฏิญญาแทนคุณแผ่นดิน 7 ข้อ ว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย”

ปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย”
ปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย”
คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
เครือเนชั่น ผนึกภาครัฐ-เอกชน มอบรางวัลคนดี ในโครงการแทนคุณแผ่นดินปีที่ 6
นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ห่วงผู้ใหญ่ห่างเหินลูกหลาน คนขาดศรัทธาครู-วัด-พระ ขาดแหล่งบ่มเพาะความดี
สุทธิชัย หยุ่น ประกาศดันโครงการแทนคุณแผ่นดินสู่ประชาคมอาเซียน ชูปฏิญญา 7 ข้อ อนาคตประเทศไทย
15 พฤศจิกายน 2555 14.00น. บริษัท เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตรหน่วยงานรัฐและเอกชนจัดโครงการ “แทนคุณแผ่นดิน ปี 2555” “77 ต้นแบบคนดี สู่ 65 ล้านคนดีทั่วไทย” ที่ห้องเลอ คองคอร์ด บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีการมอบรางวัลคนดีแทนคุณแผ่นดินให้แก่บุคคลผู้ทำดีในสาขาอาชีพต่างๆ 77 คน จาก 77 จังหวัด รางวัล “เยาวชนต้นแบบคนรุ่นใหม่” 6 คน รวมถึงรางวัล “องค์กรต้นแบบ” 6 องค์กร
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานในพิธี กล่าวเปิดงานว่า คนดีมีความสำคัญอย่างมากสำหรับทุกแผ่นดิน ทำให้ทุกประเทศมีอารยธรรมและวัฒนธรรม ยกย่องคนดีเพื่อให้อารยธรรมและวัฒนธรรมของประเทศยั่งยืน หากประเทศใดยกย่องอารยธรรมและวัฒนธรรมที่ไม่ดี ประเทศนั้นก็ต้องวิบัติสิ้นสุดลง การส่งเสริมให้คนเป็นคนดีจะต้องเริ่มตั้งแต่เด็กเล็กๆ โดยปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ปลูกฝัง ให้ลูกหลานทำความดี และได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูและพระสงฆ์ ซึ่งเป็นการสอนโดยบ้าน โรงเรียนและวัด แต่ในยุคสมัยใหม่ น่าห่วงเพราะปู่ ย่า ตา ยายและพ่อ แม่ ห่างเหินจากลูกหลาน ไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นในอดีตจึงไม่มีโอกาสได้อบรมสั่งสอนให้ทำความดี ครูจะสอนความดีให้แก่เด็กก็ต้องระวังจะถูกฟ้องศาลปกครอง ขณะที่วัดและพระสงฆ์ก็มีคำถามว่า เป็นพระแท้หรือไม่ เพราะปัจจุบันมีข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์เกือบทุกวัน
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวต่อไปว่า การดำเนินโครงการแทนคุณแผ่นดินช่วง 6 ปีนี้ จึงคัดเลือกพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีเพื่อให้สังคมและประเทศได้รับรู้ว่ายังมีพระแท้อยู่ และอยากให้ครูสอนความดีให้แก่เด็กอย่าเน้นกวดวิชา หากสอนแต่ความเก่งไม่สอนความดี จะก่อให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ปัจจุบันสื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อความคิดของคนไทยอย่างมาก ทั้งเด็กผู้ใหญ่และคนแก่ หากสื่อตระหนักในบทบาทและมีความรับผิดชอบช่วยกันสร้างคนดีให้สังคม โดยการสร้างความดีใส่สมองคนไทยก็จะช่วยสร้างคนไทยให้เป็นคนดีได้จำนวนมาก
ผมขอฝากว่า ขอให้คนไทยศรัทธาในความดี อย่าหลงทางใช้ความไม่ถูกต้องนำมาซึ่งความร่ำรวย จะทำให้บ้านเมืองล่มจม ขอให้ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ ช่วยกันอบรมสั่งสอนเด็กไทยตั้งแต่เล็กๆ ให้รู้จักว่าอะไรดี อะไรชั่ว อย่าคด อย่าโกง หากทุกคนช่วยกันเชื่อว่าในอนาคตเราจะได้เห็นคนรุ่นใหม่เป็นคนดีอย่างที่เราอยากให้เป็น” องคมนตรี กล่าว
นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น กล่าวว่า โครงการแทนคุณแผ่นดินดำเนินการมาเป็นปีที่ 6 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกย่องผู้ทำความดีและเป็นแบบอย่างการทำความดีให้แก่สังคมและประเทศ จนถึงปัจจุบันมีผู้ได้รับรางวัลทั้งหมด 332 คน ซึ่งได้มีการต่อยอดโครงการด้วยการจัดเวทีเสวนาดีต่อดีใน 4 ภูมิภาค โดยนำผู้ได้รับรางวัล 100 คนจาก 26 กลุ่มจังหวัดไปแลกเปลี่ยนปัญหาและระดมความคิดเห็นกระทั่งได้ข้อสรุปออกมาเป็นปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย” จำนวน 7 ข้อด้วยกัน
“ทุกภาคส่วนของสังคมไทยต้องช่วยกันส่งเสริมความดีเพราะช่วยให้ประเทศไทยสงบสุข และอยู่ได้อย่างสง่างามท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกและการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งบริษัทเนชั่นและพันธมิตรภาครัฐและเอกชน จะนำโครงการแทนคุณแผ่นดินเผยแพร่ต่อไปยังประเทศในกลุ่มสมาชิกประชาคมอาเซียน 9 ประเทศเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยก็มีมาตรฐานความดีไม่ด้อยกว่าประเทศอื่นๆ และจะส่งเสริมให้ความดีของไทยเป็นความดีของประชาคมอาเซียนด้วย” นายสุทธิชัย กล่าว
นายปิติพันธ์ เทพปฏิมากรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรัพยากรบุคคลและศักยภาพองค์กร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ปตท.สนับสนุนโครงการแทนคุณแผ่นดินเพราะสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่มุ่งสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งความดีจะเป็นรากฐานของสังคมไทยและก่อให้เกิดความมั่นคงในประเทศไทย จึงอยากให้จำนวนคนทำความดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีหลากหลายอาชีพทั่วประเทศไทย เชื่อว่าโครงการแทนคุณแผ่นดินจะช่วยจุดประกายให้คนไทยทำความดี ซึ่งต้องร่วมกันตอบแทนบุญคุณแผ่นดินด้วยการทำความดีซึ่งแผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพ่อของคนไทยทุกคน
นางรุ่งฟ้า เกียรติพจน์ ผอ.ด้านการบริหารแบรนด์และสื่อสารการตลาด บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทร่วมสนับสนุนโครงการแทนคุณแผ่นดินเพราะเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท ซึ่งมุ่งสร้างคนดีให้แก่แผ่นดิน โดยบริษัททรูฯ ได้จัดโครงการทำดีให้พ่อดู ตั้งแต่ปี 2549 และต่อมาจัดทำโครงการดูที่พ่อทำเผยแพร่ข้อมูลบุคคลที่ทำความดีและเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านเว็บไซต์ของโครงการ ซึ่งก่อนหน้านี้จะดำเนินโครงการเหล่านี้ บริษัทตั้งใจจะทำโครงการถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อตอบแทนพระองค์ท่านที่ทรงเหน็ดเหนื่อย ลำบากตรากตรำเพื่อคนไทยมาโดยตลอด และโครงการแทนคุณแผ่นดินก็มีเป้าหมายเดียวกัน จึงมาร่วมกับบริษัทเนชั่น ดำเนินโครงการ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยทำความดี โดยไม่กลัวความเหนื่อยยาก ไม่ให้ความดีหายไปจากแผ่นดินไทย
นายสุทธิชัย หยุ่น ได้นำพันธมิตร หน่วยงานรัฐและเอกชน รวมทั้งผู้รับรางวัลในโครงการแทนคุณแผ่นดิน ประจำปี 2555 ประกาศปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย” จำนวน 7 ข้อได้แก่
1. จัดสรรอำนาจใหม่ ภาคประชาชนหรือองค์กรชุมชน ต้องเติบโตโดยธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ถ่วงดุลกับภาครัฐ และองค์กรปกครองท้องถิ่นได้อย่างอิสระ
2. กำเนิดคณะกรรมการประชาสังคม เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น และส่งเสริมสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในทุกด้านคือ ที่ดิน แร่ ป่า น้ำ ทะเลและชายฝั่ง
3. รวมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยในทุกรูปแบบ สร้างกระบวนการเรียนรู้ การทำธุรกิจในระบบตลาด และส่งเสริมให้เกิดโรงเรียนเกษตรกร เพื่อการศึกษาทางเลือก
4. ชุมชนเข้มแข็งมีความเอื้ออาทรต่อกันฟื้นฟูพลังทางศีลธรรมในการกำกับพฤติกรรมของผู้คน และพึ่งพึงตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ
5. ประสานพลังแห่งศาสนา มีจุดร่วมที่ลดความเห็นแก่ตัว มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางศาสนา ภาษา เชื้อชาติ และอุดมการณ์
6. เสริมสร้างการสาธารณสุขมวลชน มีความมั่นคงด้านสุขภาวะอนามัย สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน
7. ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยกลไกตามประเพณีที่ชุมชนเคยมีแต่โบราณกาล
นายวิชาญ สุขปุนพันธ์ วัย 75 ปี ผู้ได้รับรางวัลตัวแทนคนดีจาก จ.สงขลา ข้าราชการครูบำนาญที่ใช้ที่ดิน 40 ไร่ ปลูกต้นไม่นานาชนิดสร้างปอดให้ชุมชน กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับรางวัลนี้ เหมือนการที่ทำอะไรไปแล้วมีคนมองเห็นก็รู้สึกดีใจและภูมิใจ ตนคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นน้อยไปด้วยซ้ำ หลังจากนี้ก็อยากจะปลูกต้นไม้ไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะไม่ไหว และขยายการเรียนรู้ให้คนที่อยากจะเรียนรู้ และเป้าหมายคืออยากให้เด็กๆ มาสนใจปลูกป่ามากขึ้น เพราะคุณค่าของป่านั้นมีมหาศาล
ร.ต.ต.สมศักดิ์ บุญรัตน์ รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สน.บางซื่อ อายุ 58 ปี ผู้ได้รับรางวัลตัวแทนจากจังหวัดกรุงเทพมหานครในฐานะที่ทำงานเป็นตัวแทนครูข้างถนนมากว่า 12 ปี บอกว่าเป็นอีกรางวัลที่ภูมิใจ ถือเป็นการเติมพลังในการช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มาเจอกับคนที่ทำความดีมากมายหลายสาขา ก็มีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพราะจะได้นำข้อมูลที่ได้จากคนดีไปสอนเด็กๆ ได้ต่อ ตอนนี้ก็หวังว่าจะมีการฝึกอาชีพ เราก็เป็นเหมือนจิ๊กซอว์หนึ่งที่ช่วยเด็กเหล่านั้นให้มีงานทำ และพยายามจะขยายจากเด็กไปในชุมชนที่เป็นต้นตอของปัญหาเด็กเร่ร่อน
โครงการแทนคุณแผ่นดิน ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนโดยมีองค์กรผู้ร่วมสนับสนุนดังนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โรงพยาบาลไทยนครินทร์ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท อิคิวตี้ เรสซิเดนเชียว เจ้าพระยา จำกัด บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัท เฟรเกรนท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
พร้อมกันนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คัดเลือกคนดีแทนคุณแผ่นดิน นำโดย ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นายมีชัย วีระไวทยะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ดร.ศิรินา โชควัฒนา ปวโรฬารวิทยา ประธานกรรมการ บริษัท บูติค นิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) นายสุรพล ดวงแข กรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น นายเสริมสิน สมะลาภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และน.ส.ดวงกมล โชตะนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

กฎหมายคุ้มครอง .. แรงงานรับใช้ในบ้าน

กฎหมายคุ้มครอง .. แรงงานรับใช้ในบ้าน
กฎหมายคุ้มครอง .. แรงงานรับใช้ในบ้าน
กฎหมายคุ้มครอง .. แรงงานรับใช้ในบ้าน
กฎหมายคุ้มครอง .. แรงงานรับใช้ในบ้าน

กระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงแรงงาน ฉบับที่ 14 (2555) ออกตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2555 เพื่อคุ้มครองผู้ใช้แรงงานรับใช้ในบ้าน โดยไม่เลือกว่าจะเป็นแรงงานที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งครอบคลุมแรงงานทั้งชาวไทยและแรงงานข้ามชาติ ทั้งนี้แรงงานรับใช้ในบ้านจะได้รับสิทธิคุ้มครองเพิ่มเติม 7 ข้อ
1. ลูกจ้างต้องมีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน

2. นายจ้างต้องกำหนดวันหยุดตามประเพณี ปีละไม่น้อยกว่า 13 วัน ซึ่งรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย และหากวันหยุดตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้ลูกจ้างหยุดเป็นวันหยุดชดเชยเพิ่มอีก 1 วัน

3. ลูกจ้างที่ทำงานครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละไม่เกิน 6 วันทำงาน

4. ลูกจ้างมีสิทธิ์ลาป่วยตามที่ป่วยจริงได้ และหากลา 3 วันขึ้นไป นายจ้างสามารถขอใบรับรองแพทย์ยืนยันจ้างลูกจ้างได้

5.กรณีลูกจ้างเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้กับเด็กโดยตรง

6. ลูกจ้างที่ทำงานในวันหยุด ต้องได้รับเงินค่าจ้างด้วย

7. ลูกจ้างต้องได้ค่าจ้างในวันที่ลาป่วย โดยไม่เกิน 30 วันทำงาน
http://www.thailaws.com/law/thaiacts/code174.pdf

http://news.voicetv.co.th/thailand/55825.html

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352735089

มติผู้ตรวจการแผ่นดินพิทักษ์ 3G

4g speed
4g speed
8 พ.ย.55 ที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติเอกฉันท์เห็นชอบ ส่งเรื่องไปยังศาลปกครองพิจารณา คำร้องระงับการออกใบอนุญาต 3G โดยมองว่าการประมูลเป็นการจัดสรรคลื่นความถี่โดยปราศจากการแข่งขัน และขัดต่อรธน.
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้แถลงถึงผลการพิจารณา กรณีที่มีผู้ร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เกี่ยวกับการประมูลคลื่นความถี่ 3G ว่ามีความไม่​ชอบธรรม โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติร่วมกันเป็นเอกฉันท์ ให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการประมูลคลื่นความถี่ต่อศาลปกครอง ให้ทำการพิจารณาและวินิจฉัยต่อไป โดยมีการยื่นเอกสารทั้งหมดให้ศาลปกครองไปแล้ววันนี้ (8 พ.ย.55)
โดยผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีความเห็นว่าการประมูลคลื่นความถี่ 3G ที่จัดขึ้นโดย กสทช. นั้น เข้าข่ายมีลักษณะไม่ใช่การแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยมองว่าเป็นการจัดสรรคลื่นความถี่ให้กับ 3 บริษัทใหญ่ โดยปราศจากการแข่งขัน จึงมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินยังได้ขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งชะลอการออกใบอนุญาตไปก่อน และทำการพิจารณาและวินิจฉัย ว่าการจัดประมูลดังกล่าวเป็นไปโดยชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 47 ว่าด้วยการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมหรือไม่
โดยหลังจากผู้ตรวจการแผ่นดินทำการแถลงเสร็จ สหภาพแรงงานของบริษัททีโอทีจำกัด (มหาชน) ได้เข้ายื่นเอกสารประกอบเพิ่มเติม เพื่อร้องเรียนความไม่ชอบธรรมในกรณีการประมูลคลื่นความถี่ 3G โดยกล่าวว่าการโอนย้ายทรัพย์สินจากคลื่นความถี่ 2G ไปเป็น 3G ของทั้งบริษัททีโอที และ CAT เทเลคอม ยังไม่เสร็จสิ้นดี การออกใบอนุญาตกำเนินการ 3G ในขณะนี้ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของชาติเป็นมูลค่ามากกว่า 2 แสน 7 หมื่น 7 พันล้านบาท

Thailand 4G LTE – จากปัญหาคาราคาซังของ 3G ที่อาจกล่าวได้ว่า ทำให้การพัฒนาด้านโทรคมนาคมในบ้านนี้เมืองนี้ นั้นไม่เดินหน้าอย่างที่มันควรจะเป็น และในขณะที่โลกสากลกำลังเดินเกมสู่เทคโนโลยี 4G LTE อันมีรากฐานและต่อยอดอย่างเป็นระบบมาก่อน การก้าวเดินแบบสเต็ปสากลของไทยจึงอยู่ในสภาวะที่หลายฝ่ายกังวลว่าประเทศชาติ อาจจะล้าหลังเชื่องช้า หนักไปถึงถูกเพื่อนบ้านที่เคยตามหลังหลายช่วงวิวัฒนาการ แซงหน้าจนต้องรั้งท้ายตารางประเทศกำลังพัฒนา (อย่างเชื่องช้า) ไปได้ เนื่องมาจากระบบการสื่อสารมีส่วนสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งไปถึงระบบการศึกษา!!

อย่างไรก็ดีล่าสุดมีรายงานว่า กสทช. อนุมัติคำร้องขอร่วมจาก TOT และ AIS เพื่อทดลองเทคโนโลยีเครือข่ายLTE บนความถี่ 1800 MHz และ 2300 MHz รวมทั้งสิ้น 20 ช่องสัญญาณ โดยการทดสอบจะติดตั้งตัวส่งสัญญาณ 84 จุดในกรุงเทพฯ และบางหัวเมืองใหญ่ ใช้เวลาทดสอบทั้งสิ้น 90 วัน และสามารถขยายเพิ่มได้อีก 90 วัน (เป็น 180 วัน)

ทั้งนี้ยังไม่มีรายละเอียดพื้นที่และระยะเวลาในการทดลองสัญญาณ เพิ่มเติมจาก คุณศุภชัย เจียรวนนท์ บริษัทTrue เป็นอีกค่ายที่มีการยื่นคำร้อง รวมถึง CAT, Dtac ด้วย แม้จะเป็นเพียงการทดลองระยะสั้น แต่หลายฝ่ายก็คาดหวัง (โดยเฉพาะผู้บริโภค) การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี เสียแต่ว่างานนี้อาจเป็นแสงหิงห้อยที่อายุขัยการเปล่งแสงแสนจะสั้นก่อนดับวูบไปเช่น 3G โปรเจ็กส์…เอวัง!!

http://tech.mthai.com/mobile-tablet/other-mobile/12119.html

ฮาโลวีน (halloween)

ฮาโลวีน (halloween)
ฮาโลวีน (halloween)

วันฮาโลวีนเป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ประเทศทางตะวันตก เด็กจะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ ที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern)
วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ‘All Souls’ พวกเขาจะเดินร้องขอ ‘ขนมสำหรับวิญญาณ‘ (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ‘ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก’ แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟไว้ด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ‘การหยุดยั้งความชั่ว‘ Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็ก ๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest Season) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ พร้อมกับถามว่า “Trick or treat?” เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็ก ๆ ได้ขนมในที่สุด
วันฮาโลวีน นิยมจัดเพื่อความสนุกสนาน ในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรป

http://th.wikipedia.org/wiki/

อึ้งผลสำรวจเด็กไทยพร้อมลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส


มีโอกาสไปโรงเรียนสอนพิเศษของครู alex เห็นนิตยสารดาราสาวสวยวางบนโต๊ะ ระหว่างรอ 5 นาที พลิกอ่านไปมาจนจบพอดี ก็เลยมาค้นจาก net เพราะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ทำให้ทราบสาเหตุของการสอบตกของเด็กไทย โบราณว่า “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า”

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:06 น. ข่าวสดออนไลน์
น.พ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551–2552 ในส่วนของพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคมและจริยธรรม(อีคิว) ของเด็กไทย ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 1-14 ปี จำนวน 9,035 คน ใน 20 จังหวัด ด้วยการใช้แบบทดสอบพ่อแม่ และเด็ก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ อายุ 1-5 ปี  6-9 ปีและ 10-14 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการต่างกัน เปรียบเทียบเมื่อปี 2544 พบว่า กลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี สำรวจ 8 ด้าน คือ วินัย สติ-สมาธิ เมตตา อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด การควบคุมอารมณ์และพัฒนาสังคม พบว่า ผลการทดสอบพัฒนาการด้านสังคม ได้คะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำ คือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิง
ด้านกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี สำรวจ 14 ด้าน ได้แก่ ความตระหนักรู้ในตน ความภาคภูมิใจในตนเอง ความเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการกับอารมณ์ การจัดการกับความเครียด การสื่อสาร สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความคิดสร้างสรรค์ค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์และคุณธรรมจริยธรรม พบว่า ในภาพรวมแม้ว่าเด็กจะมีคะแนนดีขึ้น แต่มีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ เมื่อแยกย่อยในส่วนของด้านจริยธรรม เด็กกลุ่มนี้ เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น
“ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีปัญหาจริยธรรม พบว่า ตัวแปรสำคัญคือระดับการศึกษาของพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดู พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงขึ้น เด็กจะมีจริยธรรมและพฤติกรรมในทางที่ดีมากขึ้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ว่าควรจะเลี้ยงลูกอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา ในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ และสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์”  รศ.นพ.วิชัย กล่าว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeE5qWXdOamcwTkE9PQ

http://picpost.mthai.com/view/17043

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส
เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส

สรยุทธ 2553

สรยุทธ สุทัศนะจินดา
จิตอาสา ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา
สรยุทธ สุทัศนะจินดา จากสื่อ 2553 ทำให้ผมรู้สึกว่า
เขาเป็นผู้มี จิตอาสาเป็นเลิศ ได้รับการโจษจันทั่วทุกแคว้น
———————
24 ธ.ค.53 สรยุทธ สุทัศนะจินดา (Sorayuth Suthatsanajinda) วัย 44 ปี  คือ นักเล่าข่าว  (News Talk) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการ จากรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ คุยคุ้ยข่าว และ ถึงลูกถึงคน  กล่าวกันว่า ชั่วโมงนี้ ไม่มี พิธีกรนักเล่าข่าวคนใดในวงการที่ทรงอิทธิพลเท่า “เฮียสอ
จุดเด่นของ “สรยุทธ” ที่ไม่มีใครทาบติด คือ
ลีลาแบบดุ เผ็ด เด็ด มัน
แต่นักวารสารศาสตร์ ยกให้เขาเป็น “สื่อดราม่า” ตัวพ่อ
ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์”  อาจารย์วารสารศาสตร์ ม.หอการค้า   อธิบาย ปรากฏการณ์นักข่าว “ดราม่า”   หรือ Emo-Journalism  (Emotion Journalism)  ว่าหมายถึง วารสารศาสตร์ที่ขับเน้นแต่อารมณ์ ความรู้สึกของผู้เสพข่าวสารเป็นหลัก
บทบาทของนักข่าวในแนวของ Emo-Journalism ผิดแผกแตกต่างจากนักข่าวในแบบเดิมที่ได้รับการสั่งสอน บ่มเพาะให้นำเสนอข่าวด้วยความเป็นกลาง เที่ยงตรง เป็นธรรม พยายามดึงตัวเองออกจากเรื่องราวข่าวสารที่กำลังนำเสนอ
ที่สำคัญ คือ นักข่าวรวมทั้งผู้ประกาศข่าวต้องไม่แสดงอารมณ์รัก ชอบ เกลียด โกรธ ผ่านออกมาทางการรายงานข่าว
แต่นักข่าว หรือผู้รายงานข่าวในแนว Emo-Journalism ไม่เพียงแต่แสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านการรายงานข่าวเท่านั้น หากแต่ยังกระโดดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวละครข่าว
พูดง่ายๆว่า ข่าวกลายเป็นเรื่อง “ดราม่า” มากๆ โดยมีนักข่าวเป็นตัวละครเอกคนหนึ่งในข่าว
ปี 2553  Emo-Journalism ถูกปรุงรสลงตัวที่สุด ในตัว เจ้าพ่อนักเล่าข่าวที่ชื่อ “สรยุทธ”
ถ้านึกภาพไม่ออกขอให้ย้อนไปดูวีรกรรมของเขาในช่วงวิกฤตน้ำท่วมทั่วไทย   ชาวบ้านตาดำๆ  ลอยคออยู่ในน้ำ บ้านเรือนจมหาย  หมดเนื้อหมดตัว  แล้วจู่ๆ  เฮียสอ ตัวเป็นๆ ก็ลุยน้ำออกมา  ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้านในหลายพื้นๆที่จากภาคอีสานถึงหาดใหญ่
ภาพที่ชาวบ้านร้องไห้ กอดคอ “สรยุทธ” เป็นภาพที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ออกไปเยี่ยมเยือนชาวบ้านที่กำลังจมน้ำ  แต่นายกฯอยู่บนรถบรรทุกทหารจีเอ็มซี    พร้อมบริวารมากมาย หรือ ภาพผู้นำตัวแห้งบนเรือที่ถูกลากโดยข้าราชการที่เปียกน้ำ
ผมว่ายน้ำไม่เป็น แต่ผมอยากมาช่วยเหลือพี่น้อง”  คำพูดเพียงแค่นี้ของ “สรยุทธ”  ก็ได้ใจคนทั้งประเทศ
ขณะที่น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่   ชั่วโมงแรก ๆ ไม่มีใครรู้นายกรัฐมนตรี อยู่ที่ไหน  แต่ในจอทีวีช่อง 3  “สรยุทธ” เข้าไปถึงพื้นที่ที่วิกฤตที่สุด พร้อมความช่วยเหลือ หญิงชาวบ้านที่เดือดร้อนสาหัส  กอดเฮียสอ …ร้องไห้โฮ !!!   นี่มันยิ่งกว่า ดราม่า เสียอีก
บนความหายนะของชาวบ้าน  ใครจะเชื่อว่า สรยุทธ และช่อง 3 ระดมความช่วยเหลือเพื่อเยียวยาความเสียหายจากน้ำท่วม ได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา   ไม่ว่า “สรยุทธ” ขออะไร ภาคธุรกิจก็ตอบสนองให้ในทันทีในรายการเล่าข่าว  ขณะที่ความช่วยเหลือจากภาครัฐ เป็นไปอย่างเชื่องช้า ตามระบบราชการ
ในบทบาทของฮีโร่ “สรยุทธ” สอบได้คะแนนเต็ม แต่ในบทบาท “แมลงวัน” ที่ตอมกลิ่นฉาวในวงการบันเทิง   “สรยุทธ” ก็เล่นกับข่าว “ฟิล์มและแอนนี่” ได้อย่างถึงพริกถึงขิง กล่าวกันว่า ในช่วงที่สรยุทธ์ เอา “แอนนี่” มาแฉ ฟิล์ม กลางจอช่อง 3 วันนั้น ถนนกลางกรุงเทพว่าง ไม่มีรถวิ่ง  ราวกับวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์
“ฟิล์มกับแอนนี่” ในการกำกับของเฮียสอ กระชากเรตติ้งของช่อง 3 ที่ดีอยู่แล้ว ให้พุ่งกระฉูด จนทีวีช่องอื่นๆ ง่วงเหงาหาวนอน
แต่เมื่อ กระแสสังคมตีกลับ วิจารณ์สื่อที่ไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของดารามากเกินไป   “สรยุทธ” กลับตัวได้เร็วกว่าใครเพื่อน
นี่คือความเป็นสุดยอดของ “นักเล่าข่าว” ที่หาตัวจับได้ยากยิ่ง เพราะเขารู้ว่า เมื่อใด ควรรุก เมื่อใด ควรถอยและหยุด และในวันที่ “คนรักบอล” กำลังเซ็งเป็ดกับ “ทีมฟุตบอลไทย” ที่ฟอร์มตก จนต้องลุกขึ้นมา ประท้วงขับไล่ “วรวีร์ มะกูดี” ให้ ลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ  จุดรวมตัวที่ดีที่สุดคือ ช่อง 3  และหนังสือขับไล่นายกสมาคมฯ ก็ถูกยื่นใส่มือ “สรยุทธ”
เหตุก็เพราะในสายตาชาวบ้าน “สรยุทธ”เป็นมากกว่าสื่อ   เพราะหมอนี่ (มัน) พึ่งได้ทุกเรื่อง !
“สรยุทธ” เคยเผยเทคนิคการสร้างความใกล้ชิดกับคนดู ว่า  “ต้องมี Contact อะไรบางอย่าง ต้องสื่อสารกับคนดูเหมือนเขานั่งอยู่กับเรา  สมัยก่อนบางวันผมทำรายการแล้วรู้สึกไม่สนุก เพราะรู้สึกว่า Contact เขาไม่ถึง ถ้าวันไหนสนุก ก็ Contact ถึง”
หลักในการ Contact ให้ถึงผู้ชมของ สรยุทธ คือ
1. มีพื้นฐานข่าว มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งต้องใช้เวลา ต้องสร้าง และมันไม่มีทางลัด ทำให้การเล่าข่าวมาจากความเข้าใจ เนื้อหาอยู่ในหัว
2. มีความเป็นมนุษย์ พิธีกรข่าวไม่ใช่ผู้วิเศษ ผิดพลาดได้ เก่งและไม่รู้ได้ แต่ให้เป็นธรรมชาติ ไม่โอเวอร์ แต่ก็ต้องไม่จืด
เทคนิคของ “สรยุทธ” สอดคล้องกับผลสำรวจของ AC Nielsen Media Research ที่ว่า   เหตุผลหลักๆ ในการเลือกรับชมข่าวคือ “พิธีกร” ส่วนปัจจัยด้านความรวดเร็ว การเกาะติดทันเหตุการณ์นั้น รองลงมา ขณะที่คุณภาพของข่าวด้านความน่าเชื่อถือ การวิเคราะห์ข่าวนั้นเป็นปัจจัยลำดับท้าย ๆ
สำหรับสังคมไทยแล้ว “สรยุทธ” ยังอยู่ได้อีกนาน บางทีอาจยาวนานกว่า “ลาร์รี่ คิง” เพราะคนไทยส่วนใหญ่ เสพข่าวผ่านโทรทัศน์ มากที่สุด
หากพิจารณาผ่าน “เม็ดเงิน” ผ่านสื่อกระแสหลัก ในช่วงมกราคม – พฤศจิกายน 2553  ที่สำรวจโดย  NIELSEN  พบว่า เม็ดเงินโฆษณาทั้งตลาด 9 หมื่นกว่าล้าน  เป็นส่วนแบ่งของทีวี กว่า 55,435 ล้านบาทหรือ คิดเป็น 60.43 %  รองลงมาคือ หนังสือพิมพ์ 13,522 ล้านบาท   อันดับสามคือ วิทยุ 5,559 ล้านบาท ส่วนสื่อใหม่อย่างอินเทอร์เนต ได้ส่วนแบ่งแค่ 264 ล้านคิดเป็น 0.29  %
กล่าวได้ว่า “เฮียสอ” คือ ยอดคลื่นของสื่อทีวีที่ทรงอิทธิพลและมั่งคั่งที่สุดแห่งปี 2553
ใครหลายคน พูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ได้หัวหน้าพรรคชื่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา  อาจกลับมาเป็นรัฐบาล อีกครั้ง !!!

บิลลี่บนเรื่องนักการเมือง กับละคร

billy ogan
billy ogan

ไปอ่านใน manager.co.th พบหัวข้อ “บิลลี่ จวกยกชุด ซัดนักการเมืองห่วย ส่วนละครก็เสนอแต่เรื่องต่ำทราม” แล้วก็ post ภาพที่คุณ Billy Ogan เขียนใน facebook มาวางให้ดูว่า อดีตนักร้องท่านนี้แสดงความเห็นว่าอย่างไร ผมว่าอ่านแล้วก็คุ้น ๆ นะครับ ไม่ได้ใหม่เลย คนออกมาบ่นกันได้ทุกวี่ทุกวัน ทำให้รู้สึกว่าคุณบิลลี่ก็เป็นเพียงอีกคนที่ยังมีความหวังกับมนุษย์ ว่าควรเป็นอย่างนู้น ควรเป็นอย่างนี้ มนุษย์เราร้อยพ่อพันแม่ ไม่ทุกคนหรอกครับที่ทำถูกใจเรา แล้วเราก็คงทำให้ถูกใจทุกคนไม่ได้ มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบคือ “ทุกคนต่างไม่ผิด แต่ความคิดเราต่างกัน” .. สรุปว่าก็ดีที่เห็นความหวังในข้อเขียนของมนุษย์อีกคนหนึ่ง

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128446