slide.com ปิดแล้ว

slide.com closed
slide.com closed

9 เม.ย.55 หลายปีก่อนได้ใช้บริการของ hi5.com แล้วก็ได้รู้จักบริการของ slide.com คุณจ๋อมเคยเอาภาพไปใส่ใน slide แล้วเลือก template อย่างสนุกสนาน ผมจึงไปคัดลอก code สำหรับ embeded ใน webpage วางไว้ใน gallery ของคุณจ๋อม .. วันนี้คุณ Nasim Suphawinee ได้ share slide ที่ทำด้วย app ของ fb ชื่อ tripwow
เมื่อย้อนไปดูคลิ๊ปใน gallery ของคุณจ๋อม ก็ทำให้ทราบว่าเว็บไซต์ slide.com ประกาศปิดบริการ ว่า “Slide.com closed its doors on March 6, 2012 and is no longer available. Thanks for all of your support over the years!”

http://apps.facebook.com/tripwow/ta-04a9-ac2c-6d40

http://www.thaiall.com/actress/joom.htm


ตัวอย่าง embed flash เข้า webpage

<embed src="http://widget-1a.slide.com/widgets/slideticker.swf"
type="application/x-shockwave-flash" quality="high" scale="noscale"
salign="l" wmode="transparent" 
flashvars="cy=h5&il=1&channel=1224979098653456922&site=widget-1a.slide.com"
style="width:426px;height:320px" name="flashticker" align="middle"/>
Update on Slide’s products and our commitment to our users
(8/25/2011)We wanted to give you all advance notice that in the coming months, a number of Slide’s products and applications will be retired. This includes Slide’s products such as Slideshow and SuperPoke! Pets, as well as more recent products such as Photovine, Video Inbox and Pool Party. We created products with the goal of providing a fun way for people to connect, communicate and share. While we are incredibly grateful to our users and for all of the wonderful feedback over the years, many of these products are no longer as active or haven’t caught on as we originally hoped.

Most importantly, we wanted to take this opportunity to reassure you that we’re committed to helping our users preserve their data as easily as possible. We recognize that many of you have stored valuable content with us and want to assure you that, wherever possible, you will have ample time to download that information or transfer it to another service.

For example, on Slide.com, we will enable users to either download their photos or export them to a Picasa account. We are working to release this export feature over the coming weeks and, once added, users will have several months to take advantage of transferring their photos.

Thanks again for all of your support, and we appreciate your patience as we continue to share more details in the coming days and weeks on how to access and save your content from specific Slide products. If you have any questions or feedback, don’t hesitate to contact us at feedback@slide.com. Or visit this page for any additional updates.

From the Slide Team http://www.slide.com/static/blog

นักเรียน ป.1 560,000 คน จะได้รับแท็บเล็ต

tablet สำหรับนักเรียน
tablet สำหรับนักเรียน

ปลาย มี.ค.55 ประชุมบอร์ดแท็บเล็ต สรุปลงนามสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ต หลังวันที่ 2 เม.ย.นี้ ด้าน “อนุดิษฐ์” ยันมีการคุมเข้มคุณภาพแท็บเล็ต กำหนดให้จีนผลิต 2,000 เครื่องรุ่นแรก มารับการทดสอบเข้มข้น ตกทดสอบแม้แต่เครื่องเดียวทุกอย่างวงแตก กลับไปเริ่มต้นใหม่

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ในฐานะรองประธานคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตต่อ 1 นักเรียน กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการบริหาร ที่มี ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการยกร่างสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ต กับบริษัท เสิ่นเจิ้น สโคป ไซแอนทิฟิก ดีเวลลอปเมนต์ (Shenzhen Scope Scientific Development Co,Ltd) ที่รัฐบาลจีนเสนอมาและได้ข้อสรุป ว่า คู่สัญญาจัดซื้อจะเป็น กระทรวงไอซีที กับ บริษัทเสิ่นเจิ้น โดยจะทำเป็นสัญญาหลัก (Main Cantact ) พร้อมแนบสัญญาจัดซื้อเพิ่มเติม หรือ Repeat Order เพื่อเปิดช่องให้มีการของบประมาณจัดซื้อเพิ่มเติมภายหลัง ทั้งนี้ เพราะงบประมาณที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไว้ประมาณ 1,900 ล้านบาท ไม่เพียงต่อจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 ทุกคน เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ตามงบประมาณที่ได้ในปี 2555 นั้น ยังขาดอีก 90,000 เครื่อง ซึ่ง สพฐ.จะเปลี่ยนแปลงงบประมาณในส่วนอื่นมาจัดซื้อเพิ่มเติมก่อน แต่ขณะนี้ ก็ยังตอบไม่ได้ว่า ต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมเท่าไร ขึ้นอยู่กับงบประมาณ 1,900 ล้านบาทนี้ จะสามารถจัดซื้อได้กี่เครื่อง

นายอนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ได้กำหนดให้ทุกหน่วยงานโอนงบประมาณมาให้กระทรวงไอซีที ซึ่งจะเป็นผู้จัดซื้อแทนพร้อมกันในวันที่ 2 เมษายน 2555 และในวันเดียวกันนี้ ไอซีทีจะได้สรุปยกร่างสัญญาจัดซื้อให้แล้วเสร็จเรียบร้อยแล้วส่งไปให้สำนักอัยการสูงสุดตรวจทานร่างสัญญา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเมืองพัทยา และ กทม. มีกฎหมายเฉพาะทำให้ไม่สามารถโอนงบประมาณมาให้ยังไอซีทีได้เช่นกับหน่วยงานอื่นๆ จำเป็นต้องแยกทำสัญญา เพราะฉะนั้นการทำสัญญาจะต้องทำเป็น 3 ฉบับ ซึ่งได้มีการเจรจาเรียบร้อยว่าเงื่อนไขการจัดซื้อจะมีเนื้อหาเดียวกัน ทั้งนี้ เมื่อสัญญาผ่านการตรวจทางจากอัยการสูงสุดแล้วจะเร่งลงนามโดยเร็วที่สุด และเพื่อให้ทุกฝ่ายหมดความกังวลใจในเรื่องคุณภาพ

“ในยกร่างสัญญาจะมี การกำหนดไว้ว่า บ. เสิ่นเจิ้น ต้องผลิตเครื่องแท็บเล็ตรุ่นแรกจำนวน 2,000 เครื่อง ให้เสร็จภายใน 15 วัน หลังจากลงนามแล้ว เพื่อนำแท็บเล็ตรุ่นแรกนี้มาเข้ารับการทดสอบอย่างเข้มข้นจากคณะกรรมการจัด ซื้อของไทยที่จะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อตรวจดูการผลิตตั้งแต่ต้น โดยคณะกรรมการจัดซื้อจะร่างเกณฑ์การทดสอบขึ้นมา มีการระบุขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องทดสอบเครื่องโดยละเอียด และเครื่องแท็บเล็ตทั้ง 2,000 เครื่อง จะต้องผ่านการทดสอบ 100% ถึงจะเริ่มกระบวนการผลิตได้ แต่ถ้าการทดสอบปรากฎว่ามีเครื่องแท็บเล็ต แม้แต่เครื่องเดียวที่พบข้อบกพร่องในระบบหลักทั้งหมดก็จะต้องย้อนกลับมา เริ่มดำเนินการใหม่ ยกเว้นถ้าข้อบกพร่องนั้นไม่ใช่จุดสำคัญ ก็จะให้เดินหน้าการผลิตได้หลังจากที่มีการปรับปรุงแก้ไขตามเงื่อนไขที่ทางไทยกำหนดแล้ว” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

นอกจากนี้ จะมีการตั้งสำนักงานบริหารโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา พร้อมจัดทำแผนใช้คอมพิวเตอร์ส่งเสริมการสอนเสนอ ครม.ด้วย เบื้องต้นสำนักงานนี้จะแบ่งโครงสร้างเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอำนวยการ กลุ่มบริหารสื่อการเรียนการสอน กลุ่มบริหารจัดการระบบสารสนเทศและโครงข่าย กลุ่มบริการและดูแลรักษา และกลุ่มส่งเสริมและพัฒนา

ด้าน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า วันที่ 2 เมษายน 2555 ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องโอนเงินไปให้ กระทรวงไอซีที เพื่อดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ตให้กับนักเรียน ป.1 ซึ่งขณะนี้ สพฐ.มีงบประมาณจำนวน 1,182 ล้านบาท เพียงพอกับเด็ก ป.1 จำนวน 470,000 คน ขณะที่ สพฐ.มีนักเรียน ป.1 ทั้งหมด 560,000 คน เท่ากับว่า ยังขาดงบประมาณ 350 ล้านบาท เพื่อจะซื้อแท็บเล็ตอีก 90,000 เครื่อง ให้กับนักเรียนทุกคน ซึ่งจากการหารือกับ สำนักงบประมาณ ได้แนะนำให้ สพฐ.เจียดจ่ายงบประมาณที่ได้รับ

http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040145

ไลฟ์บล็อก – สตอรีไฟ (Live Blog – Storify)

แฟนของผม วาง หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 12 มีนาคม 2555 แล้วก็ชำเรืองไปพบหัวข้อที่น่าสนใจ จึงหยิบขึ้นมาอ่าน เห็นคำว่า สตอรีไฟ และ บทบาทที่น่าสนใจของ นักนิเทศศาสตร์ หลายท่าน แล้วไปค้นข้อมูลจากเน็ต รวมถึงทดสอบใช้บริการของ http://storify.com/ajburin/storify ที่สามารถดึงเนื้อหาจาก social media มารวมกันใน post เดียวได้ง่าย แบบที่เรียกว่า right to left and up to down

คนข่าวยุคเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ (Facebook-Twitter) ต้องบูรณาการแบรนด์ตัวเองสู่ ไลฟ์บล็อก-สตอรีไฟ (Live Blog – Storify) … “สุทธิชัย หยุ่น” ประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำทีมคนข่าวเนชั่นเปิดโลกทัศน์แห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดีย @imsakulsri หรือ “สกุลศรี ศรีสารคาม” อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ มาอัพเดทเทรนด์โซเชียลมีเดีย 2012
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการใช้ “โซเชียลมีเดีย เพื่อการรายงานข่าว” (Social Media & Journalism) อ.สกุลศรี ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโซเชียลมีเดียนั้น จะช่วยเสริมความต้องการของผู้บริโภคจากสื่อกระแสหลัก เนื่องจากมีความเร็ว ความลึก สามารถมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ช่วยรายงานข่าวหรือใช้ข้อมูล ตลอดจนช่วยเผยแพร่หรือบอกต่อข่าวนั้นได้
ขณะเดียวกัน คนข่าวก็ต้องสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงข่าวสารจากโซเชียลมีเดียมารวมไว้ เป็นแหล่งเดียว เพื่อเพิ่มความกว้างและลึกของประเด็นข่าวนั้นด้วยการใช้พื้นที่จากเว็บไซ ต์ข่าว แสดงผลจากการกระจายปัญหาไปยังฝูงชน เพื่อให้ร่วมค้นคำตอบ หรือวิธีแก้ปัญหา  อย่างกรณีน้ำท่วมซึ่งมีผู้เช็กอินเข้ามารายงานสถานการณ์พื้นที่น้ำท่วม กองบรรณาธิการต้องทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลมานำเสนอผ่านเว็บไซต์ โดยเนื้อหาที่นำเสนอจะมีทั้งรูป คลิปวิดีโอ และเนื้อหา โดยให้เครดิตผู้ที่ส่งข้อมูลเข้ามาด้วย นอกจากนี้ คนข่าวก็ต้องเขียนบล็อกไลฟ์ เพื่อรายงานสดถ่ายทอดประเด็น ต่อยอดเนื้อหาข่าวนั้นๆ พร้อมด้วยคลิปและภาพ เพื่อดึงผู้คนในสังคมโซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นแฟนคลับ แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น

“ยกตัวอย่าง งานศพของวิทนีย์ ฮุสตัน ก็นำไลฟ์บล็อกมาอัพเดทความเคลื่อนไหวทั้งภาพ ข้อความ และคลิป หรือ “Cholas Kristof” ผู้สื่อข่าวจากนิวยอร์กไทม์ เขียนเฟซบุ๊กรายงานสดสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เช่นเดียวกับ “Amanda michel” จากหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน ใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางสื่อสารตอบโต้ประเด็นข่าว โดยมี “สตอรีไฟ” รวบรวมข้อมูลจากโซเชียลมีเดียไว้ในที่เดียวกัน” อ.สกุลศรี กล่าว
ทั้งนี้ “สตอรีไฟ” คือ การเล่าเรื่องด้วยโซเชียลมีเดีย มีลักษณะคล้ายกับการเขียนบล็อก แต่ “สตอรี่ไฟ” สามารถดึงข้อมูลจากโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ อย่าง เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, อินสตาแกรม, คลิปวิดีโอจากยูทูบ ฯลฯ ซึ่งอยู่อย่างกระจัดกระจายมารวมไว้ในที่เดียวกัน ด้วยวิธีการง่ายๆ เพียงลากและวาง (drag and drop) เท่านั้น ตอนนี้ก็มีเว็บข่าวจำนวนมากใช้บริการสตอรีไฟอยู่ อาทิ กอว์เกอร์ (Gawker), วอลล์สตรีท เจอร์นัล (Wall Street Journal), การ์เดี้ยน (Guardian) เป็นต้น

ด้าน @jin_nationสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์” บก.ข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ผู้ผ่านประสบการณ์การทำข่าวตั้งแต่ยุคส่งข่าวทางโทรศัพท์สาธารณะ มาจนถึงยุคทวีตส่งข่าว ยอมรับว่า สื่อต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งใช้โซเชียลมีเดียมีประโยชน์มาก และกำลังสนใจไลฟ์บล็อก และสตอรีไฟ ซึ่งเป็นการรวบรวมและนำเสนอข่าวที่น่าสนใจมากช่องทางหนึ่ง
“สุทธิชัย” เสริมว่า สตอรีไฟเป็นช่องทางที่น่าสนใจ คนข่าวทีวีสามารถนำไปขึ้นหน้าจอทีวีได้เลย แล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านสตอรีไฟ ใครเริ่มทำก่อนจะเท่มาก ทั้งนี้ โซเชียลมีเดียนอกจากจะมีประโยชน์ต่อคนทำข่าวแล้ว ยังใช้สร้างแบนด์ส่วนตัวได้ สมัยก่อนกระบวนการทำข่าว 80 เปอร์เซ็นต์จะเสียไปกับขั้นตอนการส่งข่าว แต่ปัจจุบันกระบวนการส่งข่าวเร็วขึ้นใช้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงมีเวลามากพอที่จะทำข่าวที่มีเนื้อหา กว้าง ลึก ผ่านโซเชียลมีเดียได้

“นักข่าวของเราปรับตัวใช้โซเชียลมีเดียมา 4-5 ปีแล้ว หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น พวกเราจะยืนอยู่แถวหน้า ก้าวนำคนอื่นอยู่ 2-3 ก้าว หากถึงวันที่โซเชียลมีเดียทำเงินได้ เราจะเป็นกลุ่มแรกที่อยู่รอด เพราะเราก้าวพ้นความกลัวมาแล้ว และผมยังเชื่อว่าสื่อสิ่งพิมพ์จะไม่ตาย สื่อทีวีก็ไม่ตาย เพราะมีโซเชียลมีเดียมาเสริมซึ่งกันและกัน” สุทธิชัย กล่าว

http://www.oknation.net/blog/Sp-Report/2012/03/12/entry-1

http://newsjunkies-suthichaiyoon.blogspot.com/2012/03/live-blogs-storify.html

http://www.wired.com/gadgetlab/2011/10/apple-iphone-5-live-blog/

live blogging
live blogging

http://www.thaiall.com/blogacla/admin/1314/

open house มหาวิทยาลัย

boss of nation multimedia group
boss of nation multimedia group

open house มหาวิทยาลัยเนชั่น

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2555 เวลา 12.30 – 16.30 น. มหาวิทยาลัยเนชั่น จัดกิจกรรมเปิดบ้าน ณ ศูนย์เนชั่นทาวเวอร์ กรุงเทพฯ โดยถ่ายทอดไปยัง มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนต์ (Video Conference)

เสวนาเวทีแรก
นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขานิเทศศาสตร์ 3 คนร่วมกันทำเวทีเสวนา มีผู้ดำเนินรายการคือ นายธัญพิสิษฐ์ เลิศบำรุงชัย ร่วมกันเล่าประสบการณ์จากการเรียน และการลงมือปฏิบัติจริง กับมืออาชีพ ซึ่งมีการแสดง และกิจกรรมร่วมกับน้องนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มาร่วมกิจกรรม ทำให้ทราบว่าการเรียนนิเทศศาสตร์กับมหาวิทยาลัยเนชั่น จะได้สัมผัสพิธีกร นักข่าว และได้เข้าไปร่วมปฏิบัติกับมืออาชีพจริง ๆ อาจารย์พาออกพื้นที่จริง นักศึกษาจะได้พบคุณกนก และคุณสุทธิชัย หยุ่น ทั้งในห้องอาหาร หรือในลิฟท์ทุกวัน

วงสนทนาของนักศึกษา
วงสนทนาของนักศึกษา

เสวนาเวทีที่สอง
จากนั้นก็มีเสวนา เรื่อง “ทำไมต้องเรียนฯกับมืออาชีพ” โดย คุณสุทธิชัย หยุ่น  บรรณาธิการข่าวในเครือเนชั่น  คุณธนะชัย สันติชัยกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ  ประธานกรรมการอำนวยการ บริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นักศึกษาที่มุ่งมั่นก็จะได้ร่วมงานกับหน่วยงานของเครือเนชั่นตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 ได้ฟังบรรยายจากมืออาชีพ อาทิ คุณสุทธิชัย หยุ่น  นำผู้แปลหนังสือ steve jobs มาพูดคุย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีค่า หาได้ยาก และไม่อยู่ในตำราใด ๆ  ซึ่งคุณธนะชัย ย้ำเน้นว่า อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมี 3 เรื่องที่เราจะพัฒนานักศึกษา  ของมหาวิทยาลัยให้โดดเด่น คุณอดิศักดิ์ให้ข้อมูลว่าทีวีที่บริษัททำอยู่มีถึง 5 ช่อง ที่นักศึกษาจะได้มีโอกาสเข้ามาปฏิบัติจริงกับมืออาชีพ ปัจจุบันนักศึกษาก็มีโอกาสผลิตรายการส่งให้กับสถานีข่าวระวังภัย

สำหรับหลักสูตรที่เปิดสอนที่กรุงเทพฯ มี 2 หลักสูตรในระยะแรกคือ
1. หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต (สาขาวิชานิเทศศาสตร์)
2. หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาบริหารธุรกิจ)

president of nation university
president of nation university

เสวนาเวทีที่สาม
แล้วต่อด้วยเสวนา เรื่อง “เรียนอะไรดีใน ม.เนชั่น” โดย  ผศ.ดร.พงษ์อินทร์  รักอริยะธรรม อธิการบดี มหาวิทยาลัยเนชั่น  คุณอุดม  ไพรเกษตร ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ บริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการ ในระหว่างที่ท่านอธิการตอบประเด็นของ อ.อุดม พบว่ามีประเด็นสำคัญเรือ่งหนึ่ง คือ อัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ ที่สื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า บัณฑิตของมหาวิทยาลัยจะมี 3 ทักษะ คือ professional skill, communication skill และ english skill และหลักสูตรที่เปิดสอนมีดังนี้

1. หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต (สาขาวิชานิเทศศาสตร์)
2. หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาบริหารธุรกิจ)
3. หลักสูตรบัญชีบัณฑิต (สาขาวิชาการบัญชี)
4. หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต (สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์)
5. หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์)
6. หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (สาขาวิชาการท่องเที่ยว)
7. หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต (สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์)

ต่อด้วยงานแถลงข่าวความร่วมมือ การเลือกใช้ Samsung Galaxy Tab เพื่อการเรียนการสอนของนักศึกษามหาวิทยาลัย ระหว่าง มหาวิทยาลัยเนชั่น กับบริษัท ไทยซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ จำกัด

ในตอนท้ายของกิจกรรม
ได้เปิดให้ผู้ปกครอง นักเรียน และผู้สนใจเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ของเครือเนชั่นกรุ๊ป
กลุ่มที่ 1 เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการข่าว หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
กลุ่มที่ 2 เยี่ยมชมและทดลองเป็นผู้ประกาศ(ข่าวบันเทิง) สตูดิโอ Mango TV
กลุ่มที่ 3 เยี่ยมชมและทดลองเป็นผู้ประกาศ(ข่าวเศรษฐกิจ,การเมือง) สตูดิโอ Nation Channel
กลุ่มที่ 4 เยี่ยมชมและทดลองเป็นผู้จัดรายการวิทยุ (ห้องออกอากาศ Nation Radio)

สนใจติดต่อ 02-3383777 หรือ 054-820099
http://www.nation.ac.th

ผู้ฟังก็ตั้งใจฟัง
ผู้ฟังก็ตั้งใจฟัง

แจก Chinese tablets ไม่ใช่ samsung galaxy tab 10.1

One Tablet PC Per Child project
One Tablet PC Per Child project

16 ก.พ.2555 อ่านข่าวจาก ข่าวสดออนไลน์ และ nation multimedia เรื่องแท็บเล็ตสำหรับนักเรียน .. ทำให้ทราบว่าเด็กไทยจะได้ chinese tablets ซึ่งทำให้กลายเป็นมาตรฐาน tablet ของเด็กไทยไปในทันที ส่วน samsung galaxy tab 10.1 หรือ ipad3 หรือ iphone4s ก็คงไม่ใช่ตัวเลือกของรัฐบาลที่จะนำมาแจกนักเรียนไทย .. ถ้าเพื่อนถามว่า 2 ตัวนี้ต่างกันอย่างไร ก็คงตอบได้ในเบื้องต้นว่าราคาต่างกันลิบเลย แต่เปิดเน็ตได้ทั้งคู่ .. (งานนี้เป็นตามนโยบาย ซึ่งนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้รับสิทธิ์ส่วนนี้) .. มีรายละเอียดตามข่าวดังนี้

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ (Anudith Nakornthap) รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการร่วมบริหารนโยบาย 1 แท็บเล็ต 1 นักเรียน (One Tablet PC Per Child project) ตามนโยบายรัฐบาล มีข้อสรุป 3 ประเด็น ที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ก.พ.2555 อนุมัติในหลักการ คือ 1) ให้ไอซีทีเป็นผู้จัดซื้อแท็บเล็ตและโครงข่ายทั้งหมด 2) ให้ดำเนินการโครงการโดยทำข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ หรือจีทูจี  (G-to-G : government-to-government) และ 3) ขอให้ไอซีทีเป็นผู้เบิกจ่ายงบประมาณในการจัดซื้อแทนหน่วยงานที่เป็นเจ้า ของงบประมาณ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่มีการจัดการเรียนสอนชั้นประถมปีที่ 1 ส่วนงบประมาณที่ ครม.อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ 1,900 ล้านบาท เท่าที่ประเมินจะจัดซื้อแท็บเล็ตได้เพียง 560,000 เครื่อง ซึ่งไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ที่มีอยู่ราว 860,000 คน จึงต้องขอผูกพันงบประมาณปี 2556 ไว้ล่วงหน้า

สำหรับสเป๊กแท็บเล็ตใช้ของเดิมที่นายโอฬาร ไชยประวัติ เป็นประธานกำหนดสเป๊ก เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการเจรจา เบื้องต้นราคาเฉลี่ยตัวเครื่อง ประมาณ 3,100 บาท อุปกรณ์เสริมอีกไม่เกิน 300 บาท และให้จัดซื้อแบบจีทูจี (G-to-G) เนื่องจากความร่วมมือด้านการศึกษาเป็น 1 ในบันทึกความเข้าใจที่ทำไว้กับประเทศจีนก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าของที่ส่งมอบจะเป็นไปตามสเป๊ก ราคาถูก คาดว่าจะส่งมอบได้ทันเปิดภาคการศึกษาที่ 1 ปี 2555 ส่วนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่จะใช้กับแท็บเล็ตนั้นกระทรวงศึกษาธิการได้ ติดตั้งระบบเครือข่ายแล้ว 10,000 โรงเรียน ส่วนอีก 20,000 แห่งจะพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยคาดว่าจะให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการในส่วนนี้

http://www.techmoblog.com/ipad-3/

http://www.nationmultimedia.com/national/Cashbarter-for-Chinese-tablets-30175891.html

http://www.china-tablet-pc.com/
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1329384928&grpid=&catid=19&subcatid=1903

Tablet จากจีนคืออะไร, ดีหรือไม่?

Top 5 Android Tablet PC for China National Days
1. ZeniThink C91
2. Wopad i7
3. FlyTouch 5 EPad
4. Haipad M8
5. Apad A820

http://blog.wholesaleonepiece.com/top-5-android-tablet-pc-for-china-national-days/

android tablet 11
android tablet 11

เฟซบุ๊คอาจล้มบางชั่วขณะได้

facebook down
facebook down

10 ก.พ.55 เว็บไซต์ต่าง ๆ ก็มีโอกาสล้มในบางชั่วขณะ อย่างเช่น facebook.com ที่มีสมาชิกกว่า 600 ล้านคน มีคนไทยกว่า 7 ล้านคน การที่เครื่องบริการตอบสนอง 24 ชั่วโมงนั้นต้องอดทนมาก .. ในบางขณะเครื่องบริการอาจมีปัญหาและไม่ต้องสนองกับการร้องขอจากผู้ใช้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ .. อย่างเช่นเวลานี้ผมอยู่ที่บ้านใช้ adsl of tot ซึ่งบริการ plug-in บนเว็บไซต์ไม่พบปัญหา หน้าแรกก็ตอบสนองปกติ แต่ login ไม่ผ่าน (ทดสอบต่อเนื่องมา 2 ชั่วโมงแล้ว) .. มีข้อความจาก firefox ว่า เครื่องบริการตอบรับช้าเกินไป
สิ่งที่ทำได้คือ รอคอย
http://downrightnow.com/facebook
http://wiki.answers.com/Q/Is_the_Facebook_server_down_at_the_moment

http://archive.voicetv.co.th/content/8719

ข่าวจาก voicetv เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2553
เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผู้ใช้บริการ Facebook จากหลายๆ ประเทศบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่สามารถ log in เข้าไปใน facebook ได้ หรือเข้าไปได้แล้วก็ช้ามาก และหลายๆ บริการบน Facebook ก็ใช้การไม่ได้ ซึ่งสำนักข่าวเอพี ได้รายงานว่า มีการรายงานปัญหาดังกล่าวจากผู้ใช้บริการในหลายเมือง ทั้งจากลอนดอน เม็กซิโกซิตี้ หรือแม้แต่กรุงเทพมหานคร ซึ่งหลายคนแจ้งปัญหาดังกล่าวผ่านบริการ Twitter

แม็ต ฮิคส์ โฆษกของ Facebook ออกมาแถลงยอมรับว่ามีเซิร์ฟเวอร์ของ Facebook มีปัญหาบ้างเล็กน้อย แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้สมาชิก ไม่สามารถ log in เข้าไปได้ หรืออาจจะเข้าไปดู Profile ของเพื่อนไม่ได้ชั่วขณะ ซึ่งรายงานล่าสุดจากทาง Facebook ว่าทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้วเมื่อเวลา 6.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้บริการกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก และพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดปัญหาเซิร์ฟเวอร์ล่ม ซึ่งที่ผ่านมา Facebook ยังไม่เคยล่มทั้งระบบ แตกต่างจาก Twitter ที่เคยถูกแฮ็คเกอร์โจมตีเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ทำให้ล่มทั้งระบบมาแล้ว

เล่นเฟซบุ๊คนาน อาจทำให้ผิดปกติทางจิต

สมาคมจิตวิทยาอเมริกา (American Psychological Assasociation) ได้นำเสนองานวิจัยโดยสำรวจพฤติกรรมของวัยรุ่นที่ใช้อินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการเข้าไปดูกิจกรรมต่าง ๆ บนเว็บไซต์ facebook  พบว่า วัยรุ่นเล่น facebook มีทั้งข้อดีและข้อเสีย   แต่ถ้าหากปล่อย เล่น facebook มากเกินไปอาจส่งผลกระทบทางจิตใจหลายอย่างดังนี้
– เกิดอาการติด  หลงตัวเอง มีอารมณ์ก้าวร้าว
– ไม่มีสมาธิในการเรียน ขาดเรียนเพิ่มขึ้น ผลการเรียนแย่ลง
– วิตกกังวล ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
– เสพติดอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน เช่น ติดแชต ติดเกม เป็นต้น
– ทำให้มีปัญหานอนดึกมากขึ้น พักผ่อนไม่เพียงพอ

แต่จากงานวิจัยนี้ก็ยังมีข้อดีเกี่ยวกับการใช้ facebook ด้วย คือการดูแลเอาใจใส่เพื่อน เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้ว่าเราจะอยู่ในที่ต่างกันไกลแค่ไหน ก็ยังสามารถติดต่อกันได้และเป็นการเรียนรู้การเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี จะเห็นได้จากการรวมกลุ่มทำกิจกรรมดีๆของชาว facebook บนโลกความเป็นจริงที่ รวบรวมสมาชิกทำเพื่อสังคมเป็นจำนวนมากได้ ซึ่งมีจำนวนกลุ่มมากมาย

ผู้ใหญ่ควรดูแลแนะนำเรื่องเนื้อหาที่เหมาะสมบนโลกอินเทอร์เน็ต ให้กับลูกๆ ให้รู้เนื้อหาไหนดีไม่ดี ควรและไม่ควรทำและต้องเรียนรู้ปรับเข้าหากิจกรรมทางสังคมออนไลน์กับลูกๆ เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมและชี้นำคอยตัดเตือนลูกๆด้วยไม่ให้ลูกหลงผิดจากโลกออ นไลน์ ส่วนเด็กๆวัยรุ่น ก็ควรแบ่งเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ต สลับกับพบกับเพื่อนบนโลกแห่งความเป็นจริง รวมทั้งแบ่งเวลาให้กับการอ่านหนังสือการทบทวนเนื้อหาตำราด้วย ทั้งในหนังสือและเนื้อหาบนโลกอินเทอร์เน็ต วิธีนี้จะช่วยให้ผลการศึกษาที่ดีต่อลูกได้ด้วย

http://www.it24hrs.com/2011/facebook-teens-study/
http://mashable.com/2011/08/08/facebook-teens-study/

จากข่าวที่ว่า สูญเงินมากไปกับโฆษณาออนไลน์รึเปล่า

chyutopia from thumbsup.in.th
chyutopia from thumbsup.in.th

คุณ chyutopia ชวนคิดว่า “ในขณะที่หลากหลายสื่อ หลากหลายกระแสต่างก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันเกี่ยวกับการเติบโตของการโฆษณาออ นไลน์ และผลลัพธ์ที่ได้จากการลงทุนบนช่องทางเหล่านี้ นักโฆษณาและแบรนด์ต่างๆ ก็เริ่มหันมาทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ให้กับโลกไซเบอร์เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ แต่ในขณะที่ทุกคนต่างพยายามมองหา “เครื่องมือ” บนโลกออนไลน์ที่ทันสมัยและมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่โต หลายๆ คนกลับมองข้ามการเลือกใช้เครื่องมือใน “พื้นที่ที่เหมาะสม” กับ กลุ่มเป้าหมายด้วย ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของการสูญเสียเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้กับการโฆษณาที่ไม่ ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และในบางครั้งอาจจะเลวร้ายจนทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นลบกับแบรนด์หรือสินค้าไป ด้วยซ้ำ”
ชวนคิดต่อว่า “หากลองนั่งนึกกันเล่นๆ การที่จะเลือกลงโฆษณาบนช่องทางออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี เราอาจจะแค่หันมาตอบคำถามที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Who? (ใครคือกลุ่มเป้าหมาย) What? (สื่อสารด้วยข้อความอะไรดี) Where? (เลือกช่องทางไหนดีที่ให้ผลลัพธ์ทีี่ดีและคุ้มค่าที่สุด) When? (ประชาสัมพันธ์เวลาไหนถึงจะเหมาะสม) How? (จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีอย่างไรและวัดผลอย่างไร)?”

4w1h : who, what, where, when, how

http://thumbsup.in.th/2012/01/online-ads-waste-us-12bl/

ปี 2012 ปีที่ Facebook อาจถล่ม Google

ก่อนนี้ชาวออนไลน์นิยมค้นหาเว็บไซต์แปลกใหม่บนกูเกิล (Google.com) แต่วันนี้หลายคนพบเว็บไซต์ใหม่ผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) ทิศทางทั้งหมดชัดเจนขึ้นมากในปี 2011 และกำลังมีแนวโน้มชัดเจนขึ้นอีกในปี 2012

สำนักข่าวพีซีเวิร์ลตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ทำให้มนต์ขลังของกูเกิลเริ่มเสื่อมลงคือการแชร์หรือแบ่งปันลิงก์ เว็บไซต์บนเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ หากลิงก์เว็บไซต์ใดถูกโพสต์บนเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ แล้วเกิดโดนใจผู้ใช้รายอื่น ลิงก์เว็บไซต์เหล่านั้นก็จะถูกส่งต่อไปไม่รู้จบ ผลจึงทำให้ผู้ใช้สามารถพบเว็บไซต์ใหม่น่าสนใจบนเครือข่ายสังคมได้มากกว่าการ ค้นหาบนกูเกิล

หากมองในแง่ของสถิติการใช้งาน บริษัทวิจัย Nielsen ระบุว่าเฟซบุ๊กคือเว็บไซต์เดียวที่มีจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกต่อเดือนไล่ตามกู เกิลได้มากที่สุด ปี 2011 เฟซบุ๊กนั้นมี 137 ล้านยูนีคไอพี เทียบกับกูเกิลซึ่งมี 153 ล้านไอพี แม้จะน้อยกว่า แต่เฟซบุ๊กกลับมีระยะเวลาผูกติดกับผู้มใช้ได้มากกว่า โดยการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ชาวออนไลน์เทเวลามากกว่า 16% ให้กับเฟซบุ๊ก ซึ่งถือว่ามากกว่าเวลาที่ผู้ใช้เทเวลาให้เว็บไซต์อดีตยักษ์ใหญ่อย่างยาฮู (Yahoo), กูเกิล (Google), เอโอแอล (AOL) และยูทูบรวมกัน
เท่านี้ก็เรียกว่า เฟซบุ๊กสามารถถล่มเว็บไซต์อื่นได้ราบเรียบแล้วไม่เฉพาะกูเกิล แถมนาทีนี้ เฟซบุ๊กหรือ Facebook ยังกลายเป็นเว็บไซต์ที่ถูกค้นหาหรือเสิร์ชมากที่สุดในโลก โดยปี 2011 ถือว่าเฟซบุ๊กเป็นแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันมาแล้ว

หากมองย้อนไปที่กูเกิลพลัส (Google Plus) เว็บเครือข่ายสังคมที่กูเกิลสร้างขึ้นเองนั้นถูกกูเกิลการันตีว่ามีการแชร์ คอนเทนต์เกินกว่า 1 พันล้านครั้งแล้ว แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ยังคิดเป็นเพียง 1 ใน 4 ของการแชร์คอนเทนต์บนเฟซบุ๊ก ซึ่งมีอัตราเติบโตมากกว่าเท่าตัวในแต่ละปี
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้กูเกิลหมดมนต์ขลัง คือปัญหาเรื่องความปลอดภัย ในสายตาของชาวออนไลน์บางคน กูเกิลเริ่มเป็นสถานที่ซึ่งมีภัยเว็บไซต์ล่อลวงแฝงตัวอยู่จำนวนมาก และผู้ใช้ต้องระวังตัวในการคลิกลิงก์เว็บไซต์บนกูเกิลตลอดเวลา

ไม่แน่ว่ากูเกิลจะสามารถรู้ชะตาชีวิตตัวเองดีกว่าใคร จึงตัดสินใจเปิดตัวบริการกูเกิลพลัสซึ่งเป็นบริการที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ กูเกิลเปิดบริการฟรีอีเมล Gmail ในปี 2004 ทั้งหมดนี้ทำให้แลร์รี่ เพจ (Larry Page) ผู้ก่อตั้งกูเกิลเบนเข็มบริษัทไปที่วงการโซเชียลมีเดีย โดยยอมตามหลังเฟซบุ๊กชนิดไม่แคร์สายตาใคร

หากรูปการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป กูเกิลซึ่งเป็นเจ้าแห่งตลาดเสิร์ชเอนจิ้นของโลกและครองตลาดโฆษณาออนไลน์ที่ ใหญ่ที่สุด จะต้องตกที่นั่งลำบากแน่นอน เพราะมีโอกาสสูงที่กูเกิลจะตกที่นั่งเดียวกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าตลาดเดสก์ท็อปอยู่ต่อไป แต่กลับไม่มีใครเห็นแววผู้นำในตัวไมโครซอฟท์

แน่นอนว่าเฟซบุ๊กคือส่วนหนึ่งในหลายเรื่องเด่นที่เกิดขึ้นตลอดปี 2011 ทั้งการจากไปของสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) และการบุกตลาดของแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนที่มากขึ้น แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้คือปี 2011 คือจุดเริ่มต้นการครองตลาดโลกของเฟซบุ๊กที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งมีโอกาสที่อิทธิพลของเฟซบุ๊กจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่เฟซบุ๊กจะเริ่มขาย IPO และเข้าตลาดหุ้นอย่างเป็นทางการ

ไม่แน่ว่า ปี 2012 เราอาจจะได้พูดถึงเฟซบุ๊กในฐานะเรื่องราวบนโลกไอทีที่ใหญ่ที่สุดประจำปีก็ ได้ ใครจะรู้

http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000166794

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เราคุยกับสมาร์ทโฟนรู้เรื่อง (itinlife323)

โทรศัพท์ธรรมดาที่เคยใช้เพื่อการโทรออก และรับสายเข้าถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการพัฒนาสมาร์ทโฟน (Smart Phone) ที่เป็นได้มากกว่าโทรศัพท์ธรรมดา ยุคสมัยหนึ่งนิยมเรียกสมาร์ทโฟนว่าคอมพิวเตอร์มือถือ เพราะนอกจากจะดูหนัง ฟังเพลง ถ่ายภาพได้แล้ว ยังสามารถเปิดอ่านเอกสาร ตารางข้อมูล ตารางนัดหมาย ภาพถ่าย คลิ๊ปวีดีโอ หรือแฟ้มอื่นอย่างหลากหลาย ปัจจุบันรุ่นของสมาร์ทโฟนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด คือ IPhone 4S ของบริษัทแอ็บเปิ้ล มีความสามารถใกล้เคียงกับเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างมาก รองรับโปรแกรมจากผู้พัฒนาทั่วโลก และส่วนใหญ่ดาวน์โหลดมาใช้ได้ฟรี

ในบรรดาโปรแกรมเสริม หรือแอพพลิเคชั่น (Application) ที่สามารถดาวน์โหลด หรือซื้อหามาติดตั้งนั้น มีแอพที่ชื่อว่า สิริ (SIRI) คือ ซอฟท์แวร์รับคำสั่งด้วยเสียง สามารถตอบคำถาม หรือสั่งงานอุปกรณ์ได้อย่างน่าทึ่ง เสมือนพูดคุยกับมนุษย์ตามหลักปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) โปรแกรมสิริเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปีพ.ศ.2550 มีนักทำนายด้านเทคโนโลยีคาดการณ์ว่า การรับคำสั่งด้วยเสียง และนำไปพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ จะเป็นเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดในพ.ศ.2555 นี้ แม้อุปสรรคสำคัญของการรับคำสั่งด้วยเสียงคือภาษาและเสียงของมนุษย์ แต่จากการทดสอบ และมีผู้นำเสนอผลการทดสอบไว้ใน youtube.com ทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นว่าอุปกรณ์กลุ่มสมาร์ทโฟนจะมีการพัฒนาไปในแนวของการรับคำสั่งด้วยเสียง หลังจากความสำเร็จจากการรับคำสั่งทางจอภาพ (Touch Screen) กลายเป็นที่ยอมรับไปแล้ว

ตัวอย่างประโยชน์ของการรับคำสั่งด้วยเสียง อาทิ บอกเวลา สั่งตั้งนาฬิกาปลุก สั่งเปิดเพลง สั่งเปิดเว็บไซต์ ตอบคำถามทั่วไป ตอบเรื่องการพยากรณ์อากาศ เวลา หรือสถานที่ ตอบได้ว่าผลบวก ลบ คูณ หารของจำนวนเป็นเท่าใด ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการประยุกต์ใช้สิริในสมาร์ทโฟน สำหรับโปรแกรมที่มีความสามารถคล้ายกับสิริ อาทิ Dragon Go หรือ Vlingo หรือ Tellme ความพยายามต่อยอดในการพัฒนาสิริพบได้อีกมายมาย อาทิ การสนับสนุนการใช้งานของผู้พิการ (Disability) การสั่งงานด้วยคลื่นสมอง (Brain Waves)