communities and pages ใน google+

communities and pages
communities and pages

23 ส.ค.56 วันนี้กดกระดิ่ง มุมบนขวา ใน gmail.com
ซึ่ง google+ ใช้ภาพนี้แทน notifications
ซึ่งผมพบใน email ขององค์กร จึงลองตามคลิ๊กเข้าไปพบอะไรมากมาย
แล้วเข้าไปสำรวจ google+ เพิ่มเติมวันนี้
พบตัวเลือก communities กับ pages
เห็นงานโผ่ขึ้นมาเต็มหน้าตักเลยครับ
เพราะ communities = FB group
และ pages = FB Fan page
สรุปได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีชีวิตเสมือน หรือตัวตนใหม่ในโลกของ google+ เพิ่มอีกที่แล้ว
เพราะการมาทีหลังของ google+ ย่อมอุดจุดบ่กพร่องต่าง ๆ ที่พบใน FB
พบอะไรที่แตกต่างจะนำมาแชร์ครับ ..

โบราณ ว่าชีวิตนี้เลือกได้
แต่ถ้าอยู่ที่เดิม และไม่คิดเปลี่ยนแปลง ก็คงต้องมีเหตุผลมาอธิบายกันหน่อย

อักษรย่อ เครื่องหมาย และปรัชญา

nation university philosophy
nation university philosophy

มหาวิทยาลัยเนชั่นมีการแก้ไขอักษรย่อและเครื่องหมาย
มีหัวข้อเรื่องปรัชญาและวัตถุประสงค์ประกอบ
การประชุมสภามหาวิทยาลัยโยนก ครั้งที่ 3/2554
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2554
หน้า 4 กำหนดว่าปรัชญาคือ ปัญญาพัฒนาชาติ
และอักษรย่อใช้ NTU. และ มนช.
เพื่อใช้อ้างอิงและนำไปใช้ถูกต้องตรงกันต่อไป

ยักษ์ก็ล้มได้และล้มดัง (itinlife411)

washington post
washington post

ข่าวบริษัทขนาดใหญ่ทะยอยประสบปัญหา เริ่มเห็นได้ชัดอีกครั้งกลางปี 2556 บริษัท Black berry ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแบบมีแป้นพิมพ์เคยเป็นอันดับหนึ่งในปี 2009 ก่อนที่ Apple และ Samsung จะเข้ามาครองตลาดส่วนใหญ่ของ Smart phone แต่เป็นข่าวที่ไม่สู้ดีนักเพราะไม่ง่ายที่จะหาคนซื้อในช่วงขาลงแบบนี้ ส่วน Washington post ก็ตกลงขายให้กับ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon.com ในราคา 250 ล้านดอลล่าร์ ในไทยก็มีบริษัทแพนเอเซียฟุตแวร์ในเครือสหพัฒน์ ประกาศหยุดประกอบกิจการโรงงานผลิตรองเท้า และกระเป๋า มีสาเหตุหนึ่งจากค่าแรง 300 บาทที่ไม่อาจแข่งขันกับจีน หรือเวียดนามได้

นอกจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลชัดเจน เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ ความแข็งแกร่งของคู่แข่ง พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปก็ยังมีปัจจัยภายใน เช่น ความสามารถในการบริหารของผู้บริหาร มีความเชื่อกันว่าผู้บริหารดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เหมือนกับเรื่องราวของ Steve Jobs ผู้เป็นซีอีโอ Apple ที่เข้าไปกู้วิกฤตของบริษัทด้วยการคิดนวัตกรรมเปลี่ยนโลก เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค และอิทธิพลจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่มากมายต้องล้มไป เพราะพ่ายแพ้ต่อการแข่งขันกันครองใจลูกค้า เมื่อบริษัทมีปัญหาก็มักจะเปลี่ยนผู้บริหาร โดยหวังว่าจะเป็นผู้เข้ามาเปลี่ยนทิศของผลประกอบการที่เป็นขาลงไปเป็นขาขึ้น หากผู้ที่เข้ามาใหม่ทำสำเร็จก็จะกลายเป็นอัศวินขององค์กรนั้นไปโดยปริยาย แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็ต้องเปลี่ยนผู้บริหารคนใหม่

ปัจจุบันการประยุกต์ใช้ไอทีในทางธุรกิจกลายเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการมักให้ความสนใจ เพราะอาจเพิ่มยอดขายสินค้า เพิ่มการทำซีเอสอาร์ (Corporate Social Responsibility) การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) ที่มีต้นทุนต่ำ และเชื่อว่าผลตอบกลับคุ้มกับการลงทุน แต่พบว่ามีองค์กรไม่น้อยคาดหวังว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจ เมื่อนำไปใช้จริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยข้อจำกัดเรื่องของผลิตภัณฑ์ ลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย และทรัพยากรที่ลงทุนไปอาจหลงทิศกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทุกครั้งที่บริษัทขนาดใหญ่ล้มก็จะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบมากมาย ซึ่งเป็นระบบและกลไกที่จะยังอยู่คู่กับระบบทุนนิยมต่อไป

+ http://news.voicetv.co.th/business/78640.html

+ http://bit.ly/11Jlt27

+ http://mgr.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000102187

world war z and 10th person

tenth man
tenth man

http://pantip.com/topic/30637893

ผมเคยดูภาพยนตร์เรื่อง world war z แล้วก็คนหลายคนพูดถึงเรื่องนี้
ซึ่งประเด็นที่ผมค้นหาคือคำว่า คนที่ 10 หรือทฤษฎีคนที่ 10
เพราะตอนที่ดูรู้ว่าเป็นจุดสำคัญของเรื่องอีกจุดหนึ่ง
เหตุตอนกลางเรื่อง และเกิดที่อิสราเอล (Israel) เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ
แล้วพบว่าคุณ fairywing ให้นิยามไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

คิดว่าเรียกว่า ’10th Man’  – บุคคลที่สิบ น่าจะเหมาะกว่า
If nine agree to dismiss it, it is the duty of the tenth person to investigate further, even if it seems foolish
เค้าเล่าว่าทฤษฎีนี้มันถูกอ้างอิงมาจากที่เมื่อก่อนเวลามีลางบอกเหตุที่อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อส่วนรวม จะมีผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมด 10 คนมาประชุมกัน แล้วถ้ามติที่ประชุม 9 คนเห็นว่าลางบอกเหตุนั้นเป็นไปไม่ได้หรือเชื่อถือไม่ได้ คนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ลงมติมีตัวเลือกเดียวคือคัดค้านทั้ง 9 ความเห็นนั้น โดยมีสมมติฐานง่ายๆว่าสิ่งที่ 9 คนนั้นคิดมันผิด! (จริงๆในความเข้าใจของเราเอง คนที่สิบอาจจะคิดว่า impossible = possible หรืออาจจะเป็นสุภาษิตคนไทยเรา “ที่ไหนมีควัน ที่นั่นมีไฟ“)

แต่ที่น่าจะหนักหน่อยก็ตรงที่ว่าหัวเดียวกระเทียมลีบนี่แหละค่ะ เพราะค้านคนตั้ง 9 คนเลยทีเดียว เม่าเป็นลม
โดย fairywing 4 กรกฎาคม 2556 เวลา 11:53 น.

การตรวจเยี่ยม (Peer visit) คืออะไร

peer visit
peer visit

การตรวจเยี่ยม (Peer visit) หมายถึง การที่มหาวิทยาลัยจัดให้มีกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ทำหน้าที่เหมือนคณะกรรมการประเมินคุณภาพการศึกษา เพื่อเข้าตรวจเยี่ยมก่อนถูกประเมินจริงระยะหนึ่ง และผู้ตรวจเยี่ยมจะพิจารณาร่างรายงานการประเมินตนเองของคณะวิชา รวมถึงการเรียกเอกสารเพิ่มเติม ตรวจสถานที่จริง หรือเรียกสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อเสนอแนะได้ตรงกับสภาพจริง เมื่อคณะวิชาทราบผลการตรวจเยี่ยมก็จะนำข้อมูลไปพิจารณาปรับปรุงร่วมกันในคณะ แล้วจัดทำรายงานการประเมินตนเองที่สมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ และเสนอต่อคณะกรรมการประเมินคุณภาพการศึกษาที่จะมาพิจารณารายงานอย่างเป็นทางการ

โดยจำแนกข้อเสนอแนะของผู้ตรวจเยี่ยมได้เป็น 4 หัวข้อใหญ่ ดังนี้
1. ข้อค้นพบศูนย์ฯ/คณะฯ
2. จุดเด่น และข้อเสนอแนะทิศทางการพัฒนา
3. จุดควรพัฒนา และ ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดจุดควรพัฒนา และ สาเหตุมาจาก และ ข้อมูลสนับสนุน และ ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงแก้ไข
4. วิธีการปฏิบัติที่ดี/นวัตกรรม

+ http://www.thaiall.com/blog/burin/5422/
+ http://www.scribd.com/doc/143112144/

อุปกรณ์ที่ให้เตรียมเข้าห้องสอบ

เด็ก ๆ ที่รัก .. เรามีนวัตกรรมใหม่
พรุ่งนี้เตรียมกล่องมาคนละใบ
เป็นอุปกรณ์ประกอบการสอบ
ไม่ควรใหญ่ไป หรือเล็กไป
ที่สำคัญห้ามมีรูโดยเด็ดขาด
ปล. ไม่บอกว่านำมาทำอะไร
จะทำ surprise ในห้องสอบ

examination innovation
examination innovation

precision และ recall

precision and recall
precision and recall

precision คือ การวัดความสามารถในการที่จะขจัดเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป โดย precision เป็น อัตราส่วนของจำนวนเอกสารที่เกี่ยวข้องและถูกดึงออกมา กับจำนวนเอกสารที่ถูกดึงออกมาทั้งหมด
recall คือ การวัดความสามารถของระบบในการดึงเอกสารที่เกี่ยวข้องออกมา โดย recall เป็น อัตราส่วนของจำนวนเอกสารที่เกี่ยวข้องและถูกดึงออกมา กับจำนวนเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
relevant คือ จำนวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง
retrieved คือ จำนวนเอกสารที่ถูกดึงออกมา

การวัด recall และ precision ไม่ง่ายทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ
เพราะเงื่อนไขคือการตีความของความเกี่ยวข้อง

recall กับ precision
recall กับ precision

นิยม ความเกี่ยวข้อง คือ ความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับเอกสาร
ซึ่งพิจารณาจากปริมาณที่เอกสารที่ครอบคลุมเอกสารที่เหมาะสมหรือเกี่ยวเนื่องกับข้อคำถาม

http://e-book.ram.edu/e-book/c/CT477/CT477-6.pdf
https://en.wikipedia.org/wiki/Precision_and_recall

การตรวจเยี่ยม (peer visit)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นคือความสามารถในการบันทึก
หลายครั้งที่ทำกิจกรรมก็มักจะมีการเขียนบันทึก
เพื่อนำบทเรียนในอดีต มาเรียนรู้ในปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
กิจกรรมหนึ่งคือการเยี่ยม ซึ่งมีหลายรูปแบบเช่น ครูเยี่ยมบ้านผู้ปกครอง
เพื่อนเยี่ยมเพื่อน และให้ข้อเสนอแนะอย่างเป็นกัลยาณมิตร
แล้วข้างล่างนี้คือแบบฟอร์มที่ใช้ตรวจเยี่ยมเพื่อการพัฒนา

แบบฟอร์มเยี่ยมเพื่อน
แบบฟอร์มเยี่ยมเพื่อน

แบบฟอร์มบันทึกการตรวจเยี่ยม

รายองค์ประกอบ ตามเกณฑ์ สกอ.
องค์ประกอบที่ ….
1. จุดเด่น คือ ….
ข้อเสนอแนะทิศทางการพัฒนา คือ ….
2. จุดควรพัฒนา คือ ….
ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดจุดควรพัฒนา คือ …
สาเหตุมาจาก……
โดยมีข้อมูลสนับสนุน คือ ……
ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงแก้ไข คือ ….
3. วิธีปฏิบัติที่ดี/นวัตกรรม  คือ  ……

รายตัวบ่งชี้ ตามเกณฑ์ สกอ.
องค์ประกอบที่ ……….  …………………………….
ชื่อตัวบ่งชี้ … :  …
บทบาท    เป้าหมาย    ผลการดำเนินงาน    การบรรลุเป้าหมาย    ระดับคะแนน    ระดับคุณภาพ
คณะวิชา
ผู้ประเมิน
1. ข้อค้นพบศูนย์ฯ/คณะฯ ดำเนินการได้ 0 ข้อ คือ ….
2. จุดเด่น คือ ……
ข้อเสนอแนะทิศทางการพัฒนา คือ ….
3. จุดควรพัฒนา คือ …
ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดจุดควรพัฒนา คือ …
สาเหตุมาจาก  …
โดยมีข้อมูลสนับสนุน คือ  …
ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงแก้ไข คือ …
4. วิธีการปฏิบัติที่ดี/นวัตกรรม คือ …

http://www.thaiall.com/blog/burin/5437/
http://www.scribd.com/doc/143112144/

การปลดล็อกแฟ้มพีดีเอฟของตนเองที่เคยล็อกไว้ ต้องทำอย่างไร

เผลอล็อกแฟ้ม จะปลด ต้องทำอย่างไร
เผลอล็อกแฟ้ม จะปลด ต้องทำอย่างไร

คำถาม ..

มีนักศึกษาสอบถามมาว่า
เขาเคยส่งอีเมลเป็นแฟ้ม pdf แล้วเก็บต้นฉบับไว้ในเครื่อง
และได้ lock pdf ห้าม print อย่างมีเหตุผล
วันนี้แฟ้มต้นฉบับเพราะเครื่องพัง เหลือแต่ pdf ในอีเมล
เอกสารมีหลายร้อยหน้า จะพิมพ์ใหม่ก็ไม่ได้
ต้องการ print มาเข้าเล่ม ส่งอาจารย์ต้องทำอย่างไร

คำตอบ ..

ไม่ยากครับ ก็ download จากอีเมล
แล้วเข้าเว็บไซต์ข้างล่างนี้ สั่งปลดล็อก
ก็จะ print แฟ้ม pdf ที่ print ไม่ได้

p d f u n l o c k . c o m
c r a c k m y p d f . c o m

ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา

กูว่าแล้ว ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้
กูว่าแล้ว ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์-ขึ้น ต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้ สำหรับ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่อุตส่าห์ตีฆ้องร้องป่าว ระดมคนให้แห่แหนออกมาชุมนุมต่อต้านการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนใครๆก็คิดว่าพรรคการเมืองเก่าแก่ที่แฝงกายในสภาหินอ่อนมากว่า 80 ปี จะเป็นดั่งกอไผ่ที่ผนึกรวมแต่ละต้นแต่ละลำให้แข็งแกร่งยืนหยัดต่อสู้มรสุม นิรโทษกรรมอย่างมิหวั่นไหว ที่ไหนได้สุดท้ายเป็นแค่บ้องกัญชาที่พ่นควันมอมเมาชาวบ้านให้หลงเคลิบเคลิ้ม กับวาทกรรม “จะเดินนำประชาชน”

ตั้งแต่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำพรรคประชาธิปัต ย์ ประกาศกร้าวบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สวนเบญจสิริ เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า “ เมื่อเสียงนกหวีดของประชาชนดังพร้อมกันเซ็งแซ่ จะออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาลกับพี่น้อง”

ประชาชนผู้รักชาติก็พากันฮึกเหิม คิดว่างานนี้จะเดินหน้าท้าชน ต้านคนโกงชาติที่บังอาจจะออกกฎหมายเพื่อใช้ฟอกผิดนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” !!

แม้ไม่กี่วันต่อมา “เทพเทือก” จะปากกล้าขาสั่น ชักเข้าชักออกโดยบอกว่าจะสู้ในสภาก่อน หากกฎหมายผ่านการพิจารณา 3 วาระรวด ก็จะออกมาสู้นอกสภากับประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ทั้งที่งานนี้รู้ผลตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วว่ายังไงประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่าย ค้านก็ต้องแพ้โหวตในสภา เพราะมีเสียงน้อยกว่าพรรคเพื่อไทย มิเช่นนั้น “จอมหลักการ” อย่างประชาธิปัตย์ที่เคยประกาศว่า “การเมืองต้องสู้ในสภา” ก็คงไม่เต้นเร่าออกหน้าถึงขั้นบอกว่าจะนำมวลชนออกมาชุมนุม แต่ด้วยคำปฏิญาณเป็นมั่นเหมาะของ “จรกาหน้าดำ” นามเทพเทือก ที่ย้ำบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริงหลายครั้งว่าจะขัดขวาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ถึงที่สุด ทำให้มวลชนเทใจพากันเก็บเสื้อผ้าตบเท้าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมกับประชาธิปัตย์ชนิด “เต็มออก…เต็มออก…”

“หากประชาชนถูกทำร้ายจนบาดเจ็บล้มตาย ผมนี่แหละจะล้มรัฐบาลเอง ถ้าประชาชนตาย ขอให้นายกฯ เตรียมตัวเก็บกระเป๋าไปอยู่ต่างประเทศ ผมจะสู้ในสภาจนถึงที่สุด แต่หากมีผู้บาดเจ็บล้มตายผมจะหยุดการต่อสู้ในสภาฯ และออกมาต่อสู้บนถนนทันที” นายสุเทพกล่าวเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2556

“ พรรคประชาธิปัตย์จะลุกขึ้นอภิปรายกฎหมายดังกล่าวทุกคน และแปรญัตติทุกมาตราทุกบรรทัด แต่ถ้ากฎหมายผ่านวาระ 3 จะออกจากสภาฯ มาเดินร่วมสู้กับประชาชน และหากรัฐบาลยังไม่ฟังเสียงคัดค้านจะลุกขึ้นมาล้มรัฐบาล ผมจะสู้กับกฎหมายนิรโทษกรรมฯด้วยชีวิต ไม่มีวันยอมแพ้ ถ้าประชาชนมาร่วมชุมนุมมีผู้บาดเจ็บ ไม่ต้องรอถึงวาระ 3 ส.ส.จะออกมาสู้นอกสภาฯ ” นายสุเทพกล่าวปราศรัยบนเวทีผ่าความจริงพรรคประชาธิปัตย์ ที่บริเวณลานกีฬา ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนั้นนายสุเทพยังตะโกนเสียงดัง 3 ครั้งกับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัยว่า “เราจะรวมกันสู้ เราไม่ยอม” นี่จึงเป็นดังสัญญาที่ประชาธิปัตย์ให้ไว้กับประชาชน

โดยประชาธิปัตย์เลือกที่จะปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณลานกีฬา ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ ซึ่งถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีเพราะอยู่นอกเขตที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ทำให้รวมตัวได้สะดวก เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการชุมนุมได้ และยังอยู่ไม่ไกลจากรัฐสภามากนัก โดยได้มีการตั้งเวทีเดินหน้าผ่าความจริง เพื่อปราศรัยดึงความสนใจของผู้คน ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. จนถึงเช้าวันที่ 7 ส.ค.ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภา และมีการนำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เหมะ ส.ส.เพื่อไทย เข้าสู่การพิจารณาในวาระแรก

ในเช้าวันที่ 7 ส.ค.นั้น ประชาธิปัตย์ส่งระดับแกนนำพรรคอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี เป็นหัวขบวนเดินนำมวลชนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ โดยเดินจากแยกอุรุพงษ์ ไปตามถนนพระราม 6 เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวิถี ตรงแยกตึกชัย เดินไปสู่รัฐสภา พร้อมส่ง 10 ส.ส.ของพรรค เป็นทัพหน้าไปเจรจากับตำรวจก่อนที่จะนำมวลชนเข้าพื้นที่บริเวณสภา ขณะที่กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณนั้นมีมติที่จะปักหลักชุมนุมรอดู สถานการณ์อยู่ที่สวนลุมพินีเนื่องจากไม่ต้องการพามวลชนเข้าไปในพื้นที่ เสี่ยง

เมื่อหัวขบวนของประชาธิปัตย์มาถึงแยกราชวิถี-พระราม 5 เขตประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ส่ง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ นายชวน เป็นตัวแทนไปเจรจากับ พ.ต.อ.วิศาล พันธุ์มณี รองผบก.น.8 เพื่อชี้แจงถึงเหตุผลพาผู้สนับสนุนพา ส.ส.เข้าไปพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยนายชวน กล่าวว่า ขอให้เขาและมวลชนเดินทางเข้าไปในพื้นที่รัฐสถา เมื่อเสร็จภารกิจก็จะขอร้องให้มวลชนเดินทางกลับ ด้านนายสาทิตย์ แจ้งว่าจะเจรจากับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าอนุญาตให้เฉพาะ ส.ส.เข้าไปภายในพื้นที่รัฐสภาได้เท่านั้น

หลังแกนนำประชาธิปัตย์หารือกันชั่วครู่ นายสุเทพก็ออกมาประกาศมติว่าจะขอเดินเข้าไปภายในรัฐสภาเฉพาะ ส.ส. เท่านั้น โดยจะให้มวลชนแยกย้ายกลับบ้าน !!

ทำเอาพี่น้องประชาชายืนงงเป็นไก่ตาแตก !! วิจารณ์กันให้แซ่ดว่าถ้าจะแค่ให้มวลชนเดินมาส่ง ส.ส.เข้าสภา เพื่อ ร่วมพิจารณากฎหมายที่ฝ่ายค้านไม่มีวันโหวตชนะ แล้วจะให้พี่น้องประชาชนหยุดทำมาหากิน ระหกระเหินเดินทางมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวหาพระแสงของ้าวอันใดฤา?

ด้านกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณเห็นกลยุทธ์อันหน่อมแน้มเช่นนั้น ของประชาธิปัตย์ จึงหารือกันในระดับเสนาธิการ และได้ข้อสรุปว่า 1.ให้ติดตามการประชุมสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์ต่อไป 2.จะยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่สวนลุมพินี เพื่อเตรียมกำลังต่อไป และ3.เหตุผลที่ไม่เคลื่อนไหวมวลชนเข้าพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เพราะเจ้าหน้าที่ๆ อยู่ในนั้นไม่ใช่ตำรวจทั้งหมด แต่กลับมีแกนนำเสื้อแดงบางคน เช่นนายขวัญชัย ไพรพนา แต่งกายชุดตำรวจปะปนอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายแก่มวลชนได้

ทั้งนี้ ความล้มเหลวของประชาธิปัตย์ที่ไม่สามารถสกัด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาได้นั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เกินความ คาดหมายของหลายๆคน เพราะเมื่อมวลชนที่เข้าร่วมไม่มากพอ ขณะที่แกนนำก็ไม่มียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน การจะฝ่าด่านตำรวจนับหมื่นนายเข้าไปปิดล้อมกดดันไม่ให้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีกว่าเหตุผลที่มวลชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตัดสินใจไม่เข้าร่วมเคลื่อน ไหวกับพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ก็มีเพียงเหตุผลเดียวคือ “ความไม่ไว้วางใจ” ที่มีต่อพรรคการเมืองระดับปลาไหลเรียกพ่อพรรคนี้ พรรคที่เคยหักหลังสหายร่วมรบถึงขั้นที่สั่งให้ตำรวจออกหมายจับแกนนำพันธมิตร ฯ พร้อมพวก รวม 96 คน ในข้อหา “ก่อการร้าย” เพื่อบล็อก ไม่ให้พันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวในช่วงที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ข้อหาดังกล่าวได้กลายเป็นเครื่องพันธนาการที่ทำให้แกนนำพันธมิตรฯ ไม่สามารถออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ เพราะจะนำไปสู่เงื่อนไขให้ถูก “ถอนประกัน” ดังนั้นแม้เวลานี้ลิ่วล้อแมลงสาบจะออกมาตีโพยตีพายแค้นเคืองที่พันธมิตรฯไม่ ออกมาร่วมชุมนุม ถึงขั้นให้ร้ายว่าพันธมิตรฯหันไปสนับสนุนทักษิณ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะประชาธิปัตย์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าบัดนี้ “กุญแจมือ” ที่ประธิปัตย์เอามาใส่ข้อมือพันธมิตรฯนั้นมันได้ย้อนกลับไปกระแทกหน้าประชา ธิปัตย์แล้ว

เหนืออื่นใดที่พันธมิตรฯไม่ไว้วางใจคือ หากอำนาจเปลี่ยนขั้วไปอยู่ในมือประชาธิปัตย์แล้ว จะรับประกันได้อย่างไรว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปในทางที่ใสสะอาด รับประกันได้อย่างไรว่าการเมืองไทยจะหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” ที่มีนักการเมืองชั่วกัดกินประเทศอยู่เหมือนทุกวันนี้ เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าแม้พันธมิตรฯจะเอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้า แลกเพื่อขับไล่คนของทักษิณลงจากอำนาจ และเปิดโอกาสให้ประชาธิปัตย์ขึ้นมาบริหารแทน แต่ประชาธิปัตย์กลับตอบแทนประชาชนผู้เสียสละด้วยการคอร์รัปชั่นไม่ต่างจาก พรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้จัดการกับระบอบทักษิณเหมือนเช่นที่รับปากไว้ แต่กลับปล่อยคนเหล่านี้ให้ขยายเครือข่ายและกลับมาทำร้ายประเทศหนักกว่าเดิม

ดังนั้นการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ พันธมิตรฯจึงตั้งเงื่อนไขว่ากลุ่มพันธมิตรฯจะออกไปร่วมชุมนุมก็ต่อเมื่อประ ชาธิปัตย์แสดงความจริงใจที่จะปฏิรูปการเมือง ด้วยการประกาศลาออกจาก ส.ส. เพื่อออกมาร่วมเคลื่อนไหวนอกสภาด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าหากประชาธิปัตย์แสดงความจริงใจด้วยการลาออกย่อมสามารถเรียก ศรัทธาจากประชาชนได้อย่างมืดฟ้ามัวดิน ประกอบกับการที่พันธมิตรฯประกาศเข้าร่วมชุมนุมจะทำให้เกิดพลังมวลชนมหาศาล ที่หลั่งไหลออกมาชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมกับขับไล่รัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเงื่อนไขนี้เป็นเงือนไขที่ “ง่ายมาก” แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่คิดจะทำ เพียงเพราะยังหวงแหนตำแหน่งและอำนาจทางการเมือง แม้จะอยู่ในฐานะฝ่ายค้านที่แทบจะไม่มีโอกาสสวาปามอะไรก็ตาม

ทั้งนี้ การเดินเกมแบบกล้าๆ กลัว ๆ ชักเข้าชักออกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งผลให้การเคลื่อนไหวต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ “เหลวไม่เป็นท่า” ทำให้หลายคนเริ่มเข้าใจความหมายของสโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่า “ ประชาชนต้องมาก่อน ” ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้หมายความว่าประชาธิปัตย์จะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็น ที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใด แต่หมายถึงว่าหากจะขับเคลื่อนอะไรก็ต้องรอให้ประชาชนตบเท้ามากันอย่างอุ่น หนาฝาคั่งและเดินหน้าลงมือทำกันไปก่อน หากมีทีท่าว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ประชาธิปัตย์จึงจะกระโดดเข้าไปเล่น เพราะอย่างไรก็ไม่เปลืองตัว

ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์กลัว “การถูกยุบพรรค” เป็นชีวิตจิตใจ หวงแหนความเป็นพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าห่วงชาติบ้านเมือง ดังนั้น จึงไม่กล้าที่จะทำให้พรรคตั้งอยู่บนความเสี่ยง ซึ่งในวันที่ประชาธิปัตย์เคลื่อนขบวนจากใต้ทางด่วนอุรุพงษ์เพื่อไปส่ง สส.เข้าสภาไปพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้าสังเกตให้ดีก็น่าจะจับสัญญาณดังกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะการที่นายชวน หลีกภัยตัดสินใจมาเดินถนนด้วยนั้น ย่อมเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า ม็อบแมลงสาบไม่ต่างอะไรจากขบวนขันหมากที่แห่แหนกันมาส่งเจ้าบ่าวเพื่อให้ไป เข้าห้องหอกับเจ้าสาว เนื่องจากนายหัวจากเมืองตรังรักพรรคยิ่งชีพ

แต่ความจริงเรื่องนี้ก็ใช่ว่าไม่มีทางออก ถ้าหากกลัว ก.ก.ต.หาเหตุยุบพรรค นั่นคือแก้ปัญหาด้วยการให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส.และทำการเมืองภาคประชาชนจริงๆ จังๆ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ใช้ว่าจะไม่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าการที่นักการเมืองเก๋า เกมอย่าง “เทพเทือก” เดินเกมแบบชักเข้าชักออก และกำหนดยุทธศาสตร์แบบ “แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง” นั้นเป็นเพราะความไม่เอาไหนของเทพเทือกจริงหรือ ?

หรือเป็นเพียง “มวยล้มต้มคนดู” ที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ทำเป็นสู้แต่สู้ไม่ไหว เพราะ “ผลประโยชน์จากคนแดนไกล” ที่ได้มานั้นมากพอที่จะแลกกับการเป็นฝ่ายค้าน แล้วนั่งดูรัฐบาล “พาทักษิณกลับบ้านแบบเท่ๆ” เพราะที่ผ่านมาก็เป็นที่รู้กันดีกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “เทพเทือก” กับ “คนแดนไกล” นั้นอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา !!

แถมสุดท้ายแล้ว นอกจากคนเผาบ้านเผาเมืองจะได้ประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะพ่อรูปหล่อมาร์คและจรกาหน้าดำก็ได้ประโยชน์เช่นกัน