บัณฑิตไทยโกงจริง จึงต้องแก้ไข

บัณฑิตไทยโกงจริง จึงต้องแก้ไข
บัณฑิตไทยโกงจริง จึงต้องแก้ไข

ข่าวจากไทยรัฐมีหัวข่าวว่า “บัณฑิตเบี้ยวหนี้ 80% กยศ.ถังแตก จ่อลดดอกเบี้ยจูงใจใช้หนี้
โดยมีรายละเอียดว่า ยอดหนี้ค้างชำระกว่า 1.4 ล้านราย เป็นวงเงินกู้ 136,237 ล้านบาท
จากจำนวนผู้กู้ 2.15 ล้านราย เป็นเงินกู้ 194,711 ล้านบาท
http://www.thairath.co.th/content/eco/366110

จากข่าวข้างต้น ก็น่าจะเป็นเหตุเป็นผลให้มีการประกวด “บัณฑิตไทยไม่โกง
คงปฏิเสธเสียงแข็งไม่ได้ว่าบัณฑิตไทยเรามีคุณธรรมจริยธรรมน่าเป็นห่วง

สกอ. ขอเชิญน้อง ๆ นักศึกษาร่วมประกวดผลงานสื่อประชาสัมพันธ์ในหัวข้อ “บัณฑิตไทยไม่โกง” ผู้สนใจสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่ วันนี้ – 31 ตุลาคม 2556 ดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ www.mua.go.th และ www.facebook.com/ohecanticorruption สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2610 5416
นางวราภรณ์ สีหนาท รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการประกวด ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์การรณรงค์ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ‘บัณฑิตไทยไม่โกง’ ว่า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาประกาศรับผลงานนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีทุกสถาบัน ในสังกัด สกอ.
เพื่อเข้าร่วมประกวด ๓ กิจกรรม คือ การประกวด   แอนิเมชั่น การประกวดภาพยนตร์สั้น และการประกวดบทความ ภายใต้หัวข้อ ‘บัณฑิตไทยไม่โกง’ เพื่อสื่อให้เห็นวิธีคิดของเยาวชนรุ่นใหม่ในการจัดการกับปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในยุคปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเงินรางวัลรวม ๓๕๐,๐๐๐ บาท และหมดเขตส่งส่งผลงานในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมานั้น
ทางคณะกรรมการอำนวยการและคณะกรรมการตัดสินเห็นว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งเพิ่งเปิดเทอม และกระบวนการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่น และภาพยนตร์สั้นต้องใช้เวลาในการผลิตเพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ จึงให้ขยายระยะเวลาส่งผลงานไปถึง ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ประกอบกับในช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จะจัดการประชุมวิชาการโครงการบัณฑิตไทยไม่โกง ในหัวข้อ “บัณฑิตไทย คนรุ่นใหม่หัวใจคุณธรรม” ในระหว่างวันที่ ๒๑ – ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ซึ่งจะเป็นเวทีให้นักศึกษาเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลมีโอกาสนำเสนอผลงานต่อไป
“สำหรับผลงานนักศึกษาที่ส่งเข้ามาจำนวนพอสมควร ทาง สกอ. ได้ประสานให้นักศึกษาเจ้าของผลงานสามารถนำกลับไปปรับปรุงเพิ่มเติม และส่งผลงานกลับมาอีกครั้งภายในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ซึ่งการจัดประกวดครั้งนี้ สกอ. คาดหวังว่าจะเป็นแรงขับให้นักศึกษานำความรู้ความสามารถ ศักยภาพที่มีอยู่ในด้านต่างๆ มาใช้ประโยชน์เพื่อสังคม โดยต้องการกระตุ้นให้นักศึกษาและสังคมไทยเห็นความสำคัญของปัญหาการคอรัปชั่น จึงได้จัดโครงการผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์การรณรงค์ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ในรูปแบบสื่อแอนิเมชั่น สื่อภาพยนตร์สั้น และบทความ ให้นักศึกษาเป็นผู้คิดและผลิต เพื่อให้เนื้อหาสื่อ และรูปแบบในการนำเสนอ พร้อมทั้งใช้ช่องทางในการนำเสนอที่เข้าถึงกลุ่มเยาวชนด้วยกันเองง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีรางวัลป๊อปปูล่าโหวตสำหรับการประกวดแอนิเมชั่นและภาพยนตร์สั้น ที่จะตัดสินจากจำนวนผู้เข้าชมผลงานผ่านเว็บไซต์ยูทูบอีกด้วย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าไปชมและติดตามผลงานของนักศึกษาทางยูทูบ” รองเลขาธิการ กกอ. กล่าว
http://www.mua.go.th/data_pr/200656.pdf

https://www.facebook.com/ohecanticorruption
Likes : 363 on October 7, 2013

https://www.facebook.com/bics.ohec
Likes : 467 on October 7, 2013

แรงบันดาลใจ กับแรงจูงใจ

แรงบันดาลใจ (Inspiration) กับแรงจูงใจ (Motivation)
คำว่า แรงบันดาลใจ  กับแรงจูงใจ ต่างกัน ตรงจุดเริ่มต้นก่อนการกระทำ
แรงบันดาลใจ จะเป็นแรงขับจากภายใน
แรงจูงใจ จะเป็นแรงขับจากภายนอก

ยกตัวอย่าง
1. คนที่ขยันหนังสือที่สำเร็จ ส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจ
ไม่ได้มีแรงจูงใจจากเงินที่พ่อแม่ให้ค่าขนมมา
2. คนที่ขยันอ่านหนังสือสอบซ่อม มีแรงจูงใจ
เพราะอ่านหนังสือไปสอบซ่อม ก็จะได้รางวัลคือสอบผ่าน
3. ซุปเปอร์แมน และสไปเดอร์แมน ทำความดีช่วยเหลือผู้คน
เพราะมีแรงบันดาลใจ ใฝ่ดี อยากทำความดี อยากเห็นผู้คนมีความสุข
4. หนังเรื่อง “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก
นางเอกตั้งใจเรียน เพราะมีแรงจูงใจคือผู้ชายสุดหล่อเป็นรางวัล
5. หนังเรื่อง “inception
กลุ่มพระเอกจะเข้าไปสร้างแรงบันดาลใจ
ซึ่งเป็นการเข้าไปสร้างจากภายในใจของบุคคลเป้าหมาย
http://pattamarot.blogspot.com/2010/11/inspiration.html

ทางออกของการศึกษาไทย คือ decentralization

centralization decentralization
centralization decentralization

ไปอ่านพบเรื่อง การกระจายอำนาจการศึกษา คือทางออกของการศึกษาไทย
ที่ http://board.palungjit.org/f10/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-143339.html

อ่านดูแล้ว ผมว่าเขาสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาไทย โดยเน้นการกระจายอำนาจ
แต่มองเห็นปัญหา จำแนกได้ 5 ข้อ ..
เห็นว่าน่าสนใจ จึงคัดลอกเก็บไว้ โดยมีเนื้อหาดังนี้

แนวคิดการปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญ คือ การทำอย่างไรจึงจะมีระบบบริหารการศึกษาที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ คนแต่ละคนที่มีหน้าที่ทำงานอะไร ได้ทำงานนั้น ๆ ได้อย่างไม่มีอุปสรรค ระบบบริหารที่ดี คือทำให้เกิดระบบที่จริงจังที่จะทำงานต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ และสำหรับประเทศไทยที่มีประชากร 64-65 ล้านคน การรวมศูนย์อำนาจเป็นสิ่งที่รังแต่จะทำให้ระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบราชการเดินไปได้ยาก ระบบการศึกษาที่ยึดโยงกับระบบราชการ จะต้องกระจายอำนาจไปสู่ส่วนท้องถิ่น

ผลแห่งการพยายามปฏิรูปการศึกษา จึงทำให้เกิดเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นมา 176 แห่ง ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่เป็นผลตามมามีดังต่อไปนี้

1. บทบาทหน้าที่ของเขตพื้นที่การศึกษา (Roles and Functions)
ยังไม่ชัดเจน คือไม่มีกฎหมายรองรับให้เป็นนิติบุคคลที่จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ในเขตพื้นที่การศึกษาของตน หากในทัศนะของผม ควรให้เขตพื้นที่ได้มีหน้าที่ครบถ้วนต่อไปนี้ คือ การวางแผนรวมของเขตพื้นที่, การจัดสรรกำลังคน เกลี่ยกำลังคน, การจัดสรรงบประมาณ รวมถึงการรณรงค์หางบประมาณเสริมจากงบประมาณที่ได้จากส่วนกลาง การจะทำได้ดังกล่าว จะต้องมีการเสนอเป็นกฎหมายลูก ประกอบการปฏิรูปการศึกษา ทำให้เกิด CEO การศึกษาในแต่ละเขตพื้นที่

2. การเปลี่ยนแปลงยังไม่เกิดแรงผลักดันให้ต้องพัฒนาอย่างชัดเจน (Impact and Momentum)
จากการสังเกตของผม ครูอาจารย์จำนวนมาก ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนการสอน ยังไม่มีการดำเนินการไปตามมาตรฐานการศึกษา ดังที่ทาง สมศ. ได้รายงานต่อสาธารณะหลายครั้ง ก็ยืนยันได้ว่า ยังไม่มีการพัฒนาการทำงานของครู ซึ่งส่งผลให้การจัดการเรียนการสอน และผลการเรียนของนักเรียนก็เลยยังไม่พัฒนา จากการศึกษาขีดความสามารถในการแข่งขันของคนไทย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เรามีจุดอ่อนด้าน “ขีดความสามารถของกำลังคน” ซึ่งแน่นอนว่าทำให้การที่ต่างชาติคิดจะมาลงทุนในไทยก็ต้องคิดมาก การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ก็เป็นผลพลอยที่จะเห็นได้จากอาการชะงักให้เห็นในช่วง 4-5 ปีหลังนี้

3. การยังไม่เกิดการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมทางการศึกษาของชุมชน (Participation)
ผมลองได้ศึกษาจากที่สอนในระดับดุษฎีบัณฑิตทางความเป็นผู้นำและการบริหารการศึกษา ทั้งที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และการสอนที่อื่นๆ พบว่า ต้นทุนการศึกษาขั้นพื้นฐานที่น่าจะเพียงพอสำหรับการจัดการศึกษาระดับ ป. 1 ถึง ม. 6 เฉลี่ยน่าจะเพียงพอที่ 16,500 บาท ในช่วงที่ค่าเงินเฟ้อและค่าครองชีพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยปัญหาราคาน้ำมัน จะทำให้มีผลกระทบต่อการศึกษาเช่นกัน ในอีกไม่นานคงต้องมองต้นทุนที่ 20,000 บาท นั้นหมายความว่าจะจัดการศึกษาให้ได้ดีเป็นมาตรฐาน คงต้องมีเงินเสริมจากงบประมาณแผ่นดินสักร้อยละ 30 ซึ่งต้องมาจากท้องถิ่น พ่อแม่ผู้ปกครอง และอื่นๆ หากไม่ได้การมีส่วนร่วมจากชุมชน การศึกษาของชาติในระดับภูมิภาคก็จะประสบปัญหา

4. ความเสื่อมล้าของการศึกษาภาคเอกชน (Private Education)
จากการประมาณการของผมเอง คิดว่าภาคเอกชนจะมีบทบาทในการศึกษาขั้นพื้นฐานเหลือไม่เกินร้อยละ 10 โรงเรียนมัธยมศึกษาของเอกชนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาเป็นระดับประถมศึกษา ที่พอจะเป็นความต้องการ และเอกชนทำได้ดี คือระดับอนุบาลศึกษา การศึกษาประถมวัย โรงเรียนเอกชนนั้นเป็นทางเลือกของการศึกษา ที่หากเขามีความเข้มแข็งในระดับหนึ่ง ภาครัฐก็ไม่ต้องไปเหนื่อยทำแทนเขา พ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง เขามีความสามารถจ่ายเงินได้บางส่วน หากมีการสนับสนุนเงินสมทบ หรือมี Education Coupon ที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนการศึกษาที่ผู้ปกครองได้เลือกส่งบุตรหลานไปเรียนในโรงเรียนเอกชนได้หัวละเท่าใด และประกาศอย่างชัดเจนแน่นอน เอกชนเขาจะได้ไปคิดแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ถูก แต่ถ้าอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน เขาลงทุนทำไปแล้ว มีแต่ล้มเหลว ก็เป็นความสูญเปล่า

5. การขาดระบบพัฒนานักบริหารการศึกษาพันธุ์ใหม่ (New Leadership)
เรามีการจัดการเรียนการสอนด้านบริหารการศึกษากันมากมาย หลายแห่ง แต่ทั้งหมดยังมีปัญหาในด้านต่อไปนี้
– การมีวิสัยทัศน์ที่จะมองการณ์ไกล (Visions) บางที่อาจต้องเข้าใจในความเป็นไปในโลกสากล ประเทศที่เขาพัฒนากันไปแล้วนั้น มีแนวโน้มกันอย่างไร
– การมีความสามารถในการวางแผน มีแผนพัฒนา (Planning Skills) การจะต้องไปขอเงินขอทางจากกลุ่มต่างๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ หากเป็นภาคธุรกิจ เขาต้องมีแผนงานที่จะเห็นได้ว่าจะต้องการใช้เงินจำนวนเท่าใด ไปใช้เรื่องอะไร จะมีความคุ้มหรือไม่ จะต้องมีการสนับสนุนต่อเนื่องกันนานสักเท่าใด
– การมีความเข้าใจและทักษะทางการเมือง (Political Skills) นักบริหารการศึกษายุคใหม่หนีไม่พ้นการเมือง ต้องสามารถทำงานร่วมกับนักการเมือง ตัวแทนประชาชนในแต่ละระดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการถ่วงดุลแรงผลักดันของกลุ่มต่างๆ อย่างเหมาะสม
– ความรอบรู้ในเรื่องกฎหมาย (Legal Education) การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ มีการออกกฎหมาย กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติที่ต้องโปร่งใสมีหลักที่จะยึด

นี่เป็นเพียงบางส่วนที่นักบริหารการศึกษารุ่นใหม่ ๆ ต้องพัฒนาตนเองให้มีขีดความสามารถ

มองในอีกด้านหนึ่งคือ “โอกาส” ผมคิดว่าในช่วง 5-10 ปีต่อไปนี้ เราคงต้องมีนักบริหารพันธุ์ใหม่ ระดับนำ อาจจะเรียกว่า CEO ทางการศึกษาสัก 1000 คน ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค คนระดับนี้อาจได้แก่ ผอ. เขตพื้นที่การศึกษา รองผอ. ที่จะเตรียมตัวเรียนรู้เพื่อจะรับหน้าที่ต่อไป นอกกจากนี้คือ ผอ. อาจารย์ใหญ่สถานศึกษาทั้งของภาครัฐ และเอกชน ขนาดใหญ่

อีกระดับหนึ่ง อาจจะนับเป็นหมื่น ๆ คนทีเดียว เขาคือ ผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งมีทั่วประเทศนับกว่า 30000 แห่ง อีกส่วนคือพวกที่จะมีบทบาทจากภายนอก จากภาคธุรกิจเอกชน ชุมชน ระบบปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล, อบจ., อบต., เขาเหล่านี้ โดยเฉพาะส่วนที่ไม่ใช่บุคลากรของการศึกษาโดยตรง แต่เขาจะมีบทบาทในการช่วยผลักดันระบบการศึกษาให้ขับเคลื่อนได้อย่างมีพลัง

เราคงต้องมองวิธีการผลิตกำลังคนไปนำระบบการศึกษา และระบบสังคมในแบบใหม่ โดยต้องเน้นไปที่ขีดความสามารถในการไปเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างจริงจัง มากกว่าการจะผลิตคน โดยเน้นไปที่ปริญญาบัตร หรือกระดาษ

ระบบผลิตคนและผู้นำทางการศึกษานั้น จะต้องเป็นระบบประสมประสานที่ทำให้นักบริหารการศึกษาใหม่ มีเครื่องมือที่ติดตัวไปในการทำงาน และสามารถผลักดันขับเคลื่อนการศึกษาของชาติไปได้อย่างจริงจัง เราต้องไม่หวังการนำจากระบบการเมืองส่วนกลาง เพราะแนวโน้มความไม่มั่นคงทางการเมืองในส่วนกลาง ประกอบกับมันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะยึดการบริหารแบบรวมศูนย์ แบบหวงอำนาจ

ข้อเสนอแนะทางออกการศึกษาไทย โดย นายอรรถพล จันทร์ชีวะ

need to change in Thailand Education System
need to change in Thailand Education System

ไปอ่านพบเรื่อง ข้อเสนอแนะทางออกการศึกษาไทย
โดย นายอรรถพล จันทร์ชีวะ ผู้จัดการเคมบริดจ์ เอ็ดยูเคชั่น
ที่ http://www.grandassess.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1551926

อ่านดูแล้ว ผมว่าคุณอรรถพล สนับสนุนให้ดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่มีแผนอยู่แล้ว แต่เราไม่ทำตามแผน ทิศทางการพัฒนาก็เลยรวนอย่างทุกวันนี้ .. เห็นว่าน่าสนใจ จึงคัดลอกเก็บไว้ โดยมีเนื้อหาดังนี้

เรียน ท่านผู้จัดการหน่วยประเมินแกรนด์ แอสเซสเมนท์ ที่เคารพ

ผมนายอรรถพล จันทร์ชีวะ  ผู้จัดการเคมบริดจ์ เอ็ดยูเคชั่น  ขอรบกวนใช้กระดานสนทนาของท่าน ในการแสดงความคิดเห็นด้านการศึกษาไทยสักนิดนะครับ

สืบเนื่องจากผลการจัดอันดับการศึกษาไทยจาก WEF ระบุว่าไทยอยู่ อันดับ 8 (สุดท้าย) แย่กว่าเขมรและเวียดนาม ทำให้ผมมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงอยากให้ข้อเสนอแนะไว้สักหน่อย ดังนี้

๑. ผมเคยเสนอแนะในเวปไซต์เคมบริดจ์ฯ ไว้ว่า ถ้าเอาการเมืองออกจากการศึกษาไทยได้ ก็น่าจะทำให้การศึกษาไทยมีความชัดเจน ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกิดจากรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาให้สับสนกันบ่อย ๆ ซึ่งในความเป็นจริงผมว่าประเด็นนี้ เป็นไปได้ยากไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ฉะนั้นผมจึงไม่อยากให้นักการศึกษาไทย คิดวนไปวนมาเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เสียเวลา แต่ผมพบว่าจริง ๆ แล้ว สมศ. รู้ดีว่า ทางออกของการศึกษาไทยในประเทศนี้ คือ การใช้แนวทางการปฏิรูปการศึกษานั่นเอง  เรียนว่า เรามีการประกาศปฏิรูปการศึกษาไทยมา ๒ ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีใครให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นแหล่ะครับ จะมีใครทราบสักกี่ท่าน ว่านี่คือทางออกของความก้าวหน้าในการศึกษาไทยที่ดีขึ้นได้

ด้วยปัจจัยสำคัญที่กว่าจะได้ประเด็นข้อสรุปจากการปฏิรูปการศึกษาไทย จะปฏิรูปต้องใช้ข้อมูลและผลวิจัย รวมทั้งประเด็นที่ได้จากการจัดเวทีระดมความคิดเห็นกันมากกมาย ฉะนั้น ข้อสรุปที่เป็นประเด็นในการปฏิรูป ในรอบที่สองนี้แหล่ะคือ ทางออกที่ส่งผลต่อความก้าวหน้าการศึกษาไทยอย่างถูกทิศทาง

โดยสังเกตกันดี ๆ ว่า สมศ. ชี้ประเด็นให้คนในวงการศึกษาไทยรับรู้ว่า การปฏิรูปการศึกษาไทยสำคัญและมีคุณค่ามาก ๆ โดยบรรจุไว้ในตัวบ่งชี้ที่ 12 ในการประเมินรอบที่สามนี้ใช่ไหมครับ

๒. สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ ไม่ใช่การเรียกร้องให้เปลี่ยนระบบการศึกษาไทย หรือ เปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ  หากแต่เราควร รณรงค์ให้การปฏิรูปการศึกษามีความศักดิ์สิทธิ์และนำประเด็นทั้ง 4 แนวทางที่ได้จากการสรุปประเด็นการปฏิรูปนี้ กล่าวคือ

1. การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่
2. การพัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่
3. การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่
4. การพัฒนาคุณภาพการบริหารใหม่

ซึ่งมีรายละเอียดเป็นแนวทางเพิ่มเติมในแต่ละข้อนี้ให้ท่านพิจารณาได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก  โดยผมคิดว่า เค้าทำมาดีมีแนวทางที่ดีและอิงผลการวิจัย ใช้งบประมาณมากมายไปแล้ว เราจึงควรเชื่อมั่นและยึดถือ รวมทั้งหากรัฐมนตรีคนใดมารับหน้าที่ ต้องมีหน้าที่หลักคือการผลักดันให้กระบวนการปฏิรูปเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะออกกฎ จะเปลี่ยนแปลง หรือ  สร้างนโยบายใด ๆ ใหม่ ๆ ควรจะสอดคล้องหรืออาจเปลี่ยนเเปลงเชิงยุทธวิธีมากกว่า ออกนโยบายมาให้ซ้ำซ้อนหรือสร้างความสับสน หรือ ทำเพียงเพื่อล้มล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ ซึ่งผมเห็นด้วยกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาคนล่าสุด ที่เน้นการสร้างนโยบายตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษารอบที่สอง เพียงแต่ผมว่า ท่านควรศึกษารายละเอียดประเด็นการปฏิรูปให้ดีอีกนิด จะได้ไม่เกิดการตกหล่น เป็นต้น

๓. ผมฝากประเด็นสุดท้าย คือ เราควรทบทวนการมีสถานศึกษาจำนวนมาก แต่ครูไม่ครบห้องครบชั้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยแห่งความล้มเหลวที่สุด ที่ประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม และอื่น ๆ เค้าให้ความสำคัญและกำลังแก้ไข มีกฎเหล็กว่าคุณภาพการจัดการศึกษาต้องเน้นครูครบชั้น นำคนคุณภาพมาเป็นครู  ซึ่งปัญหานี้บ้านเรายังคงเป็นอยู่ ซึ่งบางโรงเรียน มีครู ๑ คนแต่ต้องสอนทั้ง ๓ หรือ ๔ ชั้นเรียน ซึ่งควรเลิกคิดกันได้แล้วว่า สัดส่วนจำนวนครูกับเด็กก็เหมาะสมแล้ว ผมว่าอย่างนี้ก็ไปไม่ถึงไหน ธรรมชาติของคนเป็นครูไม่ได้เก่งหรือรอบรู้ทุกเรื่อง ฉะนั้นเมื่อครูต้องสอนในสิ่งที่ตนไม่รู้ ยังไงก็สู้เขมรไม่ได้ เพราะเค้าเน้นครูต้องตรงวิชาเอก โท ถ้าไม่มีก็ยุบไปเรียนรวมกัน เน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ เป็นต้น

ผมเรียนว่า ระบบการศึกษาไทยเรามีปัญหาหลายอย่าง แต่เราก็พยายามแก้ไขกันมาหลายอย่างแล้ว ทางที่ดีคือ เราควรทบทวนและพิจารณาจากสิ่งที่เรา  ทำมาแล้วว่าใช้ประโยชน์มันอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง ไม่ควรมองแต่ว่า เราจะหานวัตกรรมใหม่ ๆ อะไรมาเสริมเพียงเท่านั้น และควรเคารพผู้ทรงคุณวุฒิที่พยายามร่างเเนวทางการปฏิรูปและยึดถือร่วมกัน เมื่อพัฒนาการึกษาไทยให้ก้าวหน้า แก้วิกฤตนี้ให้สำเร็จร่วมกันนะครับ

ผู้ตั้งกระทู้ ผจก.เคมบริดจ์ฯ :: วันที่ลงประกาศ 2013-09-08 14:14:12

ข้อมูลเพิ่มเติม
สมศ. = สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน)
ตัวบ่งชี้ที่ 12 ผลการส่งเสริมพัฒนาสถานศึกษาเพื่อยกระดับมาตรฐาน รักษามาตรฐาน และพัฒนาสู่ความเป็นเลิศเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา

อักษรย่อ เครื่องหมาย และปรัชญา

nation university philosophy
nation university philosophy

มหาวิทยาลัยเนชั่นมีการแก้ไขอักษรย่อและเครื่องหมาย
มีหัวข้อเรื่องปรัชญาและวัตถุประสงค์ประกอบ
การประชุมสภามหาวิทยาลัยโยนก ครั้งที่ 3/2554
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2554
หน้า 4 กำหนดว่าปรัชญาคือ ปัญญาพัฒนาชาติ
และอักษรย่อใช้ NTU. และ มนช.
เพื่อใช้อ้างอิงและนำไปใช้ถูกต้องตรงกันต่อไป

อุปกรณ์ที่ให้เตรียมเข้าห้องสอบ

เด็ก ๆ ที่รัก .. เรามีนวัตกรรมใหม่
พรุ่งนี้เตรียมกล่องมาคนละใบ
เป็นอุปกรณ์ประกอบการสอบ
ไม่ควรใหญ่ไป หรือเล็กไป
ที่สำคัญห้ามมีรูโดยเด็ดขาด
ปล. ไม่บอกว่านำมาทำอะไร
จะทำ surprise ในห้องสอบ

examination innovation
examination innovation

เจ้าหน้าที่ไอทีใช้ MS Office ไม่เป็น

อ่านเรื่องราวที่้น้องผึ้งน้อยเขียนแล้วทำให้นึกถึงหลาย ๆ เรื่อง
เรื่องที่ 1 ตำรวจต้องจับงูเป็น ไล่ต่อแตนเป็น ปลูกผัก ต้องป้ำหัวใจ ฝายปอดได้
เรื่องที่ 2 ผู้บริหารต้องเป็นทั้ง leader และ manager และ labor และ actor และ hr และ pr ไปพร้อม ๆ กัน
เรื่องที่ 3 หมอต้องถอนฟันเป็น ทำคลอดได้ ฝังเข็มคล่อง ผ่าไส้ติ้งได้ อะไรทำนองนั้น
ก็เพียงแต่เก็บมาแชร์ครับ จากบอร์ดของพันทิพย์

it support  and ms office
it support and ms office


หัวข้อ “ปัญหาเจ้าหน้าที่แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) กับความรู้การใช้ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ
http://pantip.com/topic/30807700

สมัยผึ้งน้อยเริ่มทำงานใหม่ ๆ แล้วเรียกใช้เจ้าหน้าที่แผนกดังกล่าวมาแก้ไขปัญหาการใช้งานไมโครซอฟต์ออฟฟิศ ปรากฏว่า ถามอะไรไม่รู้สักอย่าง พอเรียกใช้งานก็บ่ายเบี่ยงไม่ว่าง พอสังเกตบ่อย ๆ พบว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีความรู้เรื่องการใช้งานไมโครซอฟต์ออฟฟิศแบบขั้นเจาะลึก จนบางครั้ง ผึ้งน้อยต้องบ่นแรง ๆ ว่า เจ้าหน้าที่แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นที่พึ่งยามยากไม่ได้จริง ๆ และคาดคะเนว่าเป็นกับทุกองค์กร (ทั้งรัฐบาลและเอกชน)
สุดท้ายผึ้งน้อยต้องลงทุนไปเรียน หาอ่านตามเว็บ ลองเล่น สอบประกาศนีย Microsoft Office Specialist แล้วช่วยเหลือเพื่อนร่วมแผนก จนเจ้าหน้าที่ไอทีต้องมาถามกับผึ้งน้อยเรื่อยไป
ใครเคยมีประสบการณ์การเรียกใช้เจ้าหน้าที่ไอทีแล้วเป็นแบบผึ้งน้อย เชิญแบ่งปันค่ะ
ป.ล. ต้องขออภัยนะคะ ถ้ามีข้อความที่รุนแรงไป

AFP บอกไทยไม่ใช่เมืองแห่งรอยยิ้ม อีกวันแบดไทยไปมวยโลก

http://www.youtube.com/watch?v=nF5KkWvqBhI

นักแบดมินตันไทยไล่ต่อยกันกลางสนามแข่ง
http://news.tlcthai.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2/170966.html
ใน “โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น 2013” วันที่ 20 กรกณาคม 2556
http://shows.voicetv.co.th/voice-news/76268.html

canada open 2013
canada open 2013

AFP = Agence France Presse เป็นสำนักข่าวของฝรั่งเศส
ตีแผ่ประเทศไทย ไม่ใช่เมืองแห่งรอยยิ้มอย่างที่คิด

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
http://hilight.kapook.com/view/88841
19 กรกฎาคม 2556 สำนักข่าวเอเอฟพี ตีแผ่เรื่องราวด้านมืดของประเทศไทยว่า ประเทศไทยที่มีสมญานามว่า สยามเมืองยิ้ม นั้น บางครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะมีรายงานเกี่ยวกับอาชญากรรม การข่มขืน การชิงทรัพย์ ไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยเอเอฟพี ได้ระบุโดยสรุปว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มีชายหาดที่สวยงาม เหมาะแก่การนอนอาบแดด มีวัดวาอารามอร่ามเรือง และมีสถานบันเทิง-ร้านรวงสำหรับชีวิตยามค่ำคืนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนประทับใจกับการมาเยือนประเทศไทยมาก แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอีกหลายคน ประเทศไทยถือว่าเป็นดินแดนห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่า สวรรค์บนดิน อย่างที่หลายคนคาดหวัง

เพราะพวกเขาต้องเจอกับเหตุอาชญากรรม การชิงทรัพย์ การข่มขืน และอีกหลาย ๆ ปัญหาที่ทำให้การมาเที่ยวเมืองไทยไม่ได้สนุกอีกต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการชิงทรัพย์ หรือขูดรีด หากนักท่องเที่ยวคนไหนที่ชื่นชอบการดื่มแอลกอฮอล์ ท่องราตรี พวกเขาอาจจะต้องตื่นและสร่างเมาขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองถูกชิงทรัพย์ไปหมดเนื้อหมดตัว บางครั้งก็ต้องเจอการเก็บเงินค่าอาหารในราคาขูดรีดแบบสุด ๆ และบางครั้งก็เจอใบสั่งปรับจากตำรวจท้องถิ่นข้อหาจอดรถไม่ถูกที่ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ชาวต่างชาติเจอกันบ่อย ๆ

ด้านนายวอล บราวน์ อาสาสมัครชาวออสเตรเลียที่ทำงานร่วมกับตำรวจลาดตระเวนบนถนนอันเนืองแน่นในป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ได้เปิดเผยสิ่งที่เขาได้เจอในประเทศไทยว่า ที่เมืองแห่งรอยยิ้มนี้ มีนักท่องเที่ยวหลายคนโดนฉุด เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มีชาวอิตาลี 2 คน เดินโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลยเป็นเวลา 3 วัน เสื้อผ้าและเงินทั้งหมดก็ถูกขโมยไปด้วย สิ่งที่ติดตัวพวกเขามีอย่างเดียวก็คือกางเกงใน การชิงทรัพย์ชาวต่างชาติเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ที่ภูเก็ต และผู้ที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ในที่เปลี่ยวยามค่ำคืนมักจะตกเป็นเป้าหมายของโจรเหล่านี้

และที่ร้ายแรงไปกว่านั้น คือ นักท่องเที่ยวบางรายต้องเผชิญกับอาชญากรรมที่รุนแรงถึงชีวิต อย่างเช่นเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว หญิงชาวออสเตรเลียวัย 59 ปี รายหนึ่ง ก็ถูกโจรโหดฆ่าชิงทรัพย์ ซึ่งคดีนี้ลงเอยที่โจรผู้ก่อเหตุต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง ก็มีชาวอเมริกันรายหนึ่งถูกคนขับรถแท็กซี่ฆ่าตาย หลังจากที่ทะเลาะวิวาทกันเรื่องค่าโดยสาร

นอกจากนี้ ความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทยนั้นยังอยู่ในระดับที่น้อยมาก ที่ผ่านมามีชาวต่างชาติไม่น้อยที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จากการโดยสารรถราสาธารณะในไทย

จากปัญหาหลาย ๆ อย่างข้างต้น ชาวต่างชาติหลายคนได้เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า พวกเขาหวังเหลือเกินว่าปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขปรับปรุง โดยนายเดวิด ลิปแมน หัวหน้าคณะผู้แทนอียู ได้กล่าวว่า เขาหวังว่าทางการไทยจะจัดการปัญหาเหล่านี้ให้ลดน้อยลง หลายคนที่มาเยือนไทย อย่างไปภูเก็ต พวกเขาอยากจะมีช่วงเวลาที่มีความสุขที่นั่นและไม่ต้องเผชิญปัญหาใด ๆ แต่ ณ วันนี้ ปัญหาต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่

siam did not smile
siam did not smile

วิธีจัดการกับโทสะด้วยการเจริญสติ

บุกบ่อนไฮโลหน้า มหาวิทยาลัยดัง ได้นักศึกษาอื้อ

ลูกไฮโล
ลูกไฮโล

6 มี.ค.56 นายอำเภอคลองหลวง พร้อม ผอ.สสน.นำ อส.กว่า 50 บุกจับบ่อนไฮโล หน้า หน้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง 3 จุด ได้เซียนพนัน 118 คน เงินสด 1.5 แสนบาท ขณะที่ ผบช.ภ.1 เต้น สั่งตรวจสอบด่วน ก่อนพิจารณาความผิดท้องที่อีกครั้ง

นายสุวิทย์ คำดี นายอำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ทาง อ.คลองหลวง และ นายมานะ สิมมา ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมการปกครอง นำกำลัง อส.ของจังหวัด กว่า 55 นาย บุกจับกุมบ่อนไฮโล 3 จุด ที่อยู่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง ภายในซอยพรธิสาร หมู่ที่ 1 ต.คลองหก ซึ่งบ่อนทั้งหมดเปิดเป็นร้านเกมและร้านคาราโอเกะบังหน้า โดยสามารถจับกุมเซียนพนันได้ทั้งหมด 118 ราย และมี น.ศ.สถาบันดังกล่าวรวมอยู่ด้วยจำนวนมาก และเงินสดของกลางอีก 150,000 บาท นอกนั้นก็มีอุปกรณ์ในการเล่นไฮโลครบเซ็ท ซึ่งขณะนี้ นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดลงบันทึกประจำวันไว้ที่ อบต.คลองหก โดยการจับกุทมครั้งนี้ ได้รายงานให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี รับทราบทุกขั้นตอน

ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ ไม่มีตำรวจท้องที่ คือ สภ.คลองห้า เข้าร่วมในบันทึกจับกุมด้วยแต่อย่างใด ซึ่งทาง สภ.คลองห้า นั้นจะมี พ.ต.อ.มนตรี เจียมบุรเศรษฐ์ เป็น ผกก.หัวหน้าสถานี อยู่

ผบช.ภ.1 เต้นสั่งตรวจสอบ นอภ.คลองหลวง จับบ่อนไฮโลแล้ว

พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า กรณีที่ นายอำเภอคลองหลวง และ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมการปกครอง นำกำลัง อส. กว่า 50 นาย บุกจับกุมบ่อนไฮโลขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งอยู่ในท้องที่รับผิดชอบของ สภ.คลองห้า และจับกุมนักพนันได้มากถึง 118 ราย เมื่อเย็นวันนี้นั้น ตนยังไม่ได้รับรายงานข่าวดังกล่าว ซึ่งจะตรวจสอบรายละเอียดอย่างเร่งด่วนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนที่จะพิจารณาโทษทางวินัยท้องที่อีกครั้ง

ผบช.ภ.1 สั่งผู้การฯ ปทุมธานี รายงานด่วน

พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถึงความคืบหน้ากรณี นอภ.คลองหลวง นำกำลัง อส. 50 นาย บุกทลายบ่อนไฮโล ในท้องที่ สภ.คลองห้า ว่าได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สมิทธิ มุกดาสนิท ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี ทำรายงานด่วนถึงกรณีดังกล่าวให้ตนเองรับทราบโดยด่วนที่สุดแล้ว ซึ่งเบื้องต้นทางผู้การได้รายงานว่า การจับกุมครั้งนี้ ทาง สภ.คลองห้า ยืนยันว่าได้มีบันทึกการจับกุมร่วมกับทีมเฉพาะกิจของนายอำเภอคลองหลวงด้วย แต่อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาจากเหตุผลและข้อเท็จจริงว่า เป็นอย่างไรกันแน่อีกครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาพิจารณาไม่นาน

นอภ.คลองหลวงชี้จับบ่อนแจ้งตร.แล้วแต่เงียบ

นายสุวิทย์ คำดี นายอำเภอคลองหลวง กล่าวถึงกรณีบุกไปจับบ่อนการพนันในหมู่บ้านพรธิสาร 3 ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยไม่มีกำลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า การจับกุมครั้งนี้ ทางฝ่ายปกครองไม่ได้เชิญตำรวจท้องที่เข้าร่วมจับกุม เนื่องจากที่ผ่านมา เคยแจ้งเตือนไปยัง สภ. แล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่มีการดำเนินการ จนทำให้ฝ่ายปกครอง ได้รับการร้องเรียนมาหลายครั้งจนทนไม่ได้ จึงนำไปการบุกจับบ่อน 3 แห่ง พร้อมกันในครั้งนี้

http://news.sanook.com/1190055/%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A0.%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1.%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87/

6 มิ.ย.56 นายอำเภอคลองหลวงนำอาสาฝ่ายปกครองปทุมธานีบุกจับ 3 บ่อนไฮโลใกล้สถานศึกษา ห่างป้อมตำรวจแค่ 200 เมตร พบนักพนันกว่า 100 คนเป็นนักศึกษาอื้อ

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 6 มิ.ย.2556 นายสุวิทย์   คำดี นายอำเภอคลองหลวง พร้อมกำลังอาสาฝ่ายปกครอง บุกจับ 3 บ่อน ใกล้กับ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่าน คลองหก ภายในหมู่บ้านพรพิสาร 3 ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ที่บ่อนน้องเล็ก ,บ่อนอีเกิ้ล ,และบ่อนตาเขียว สามารถจับกุมนักพนันได้จำนวน 110 คน พร้อมด้วยของกลางเป็นเสื่อแทงไฮโล ,อุปกรณ์การเล่นพนันไพ่ ,โพยบอล  และเงินสดกว่า 200,000 บาท

จากการตรวจสอบพบว่านักพนันส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา และพ่อค้าแม่ค้าอาชีพค้าขายในย่านใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดของกลาง พร้อมควบคุมตัวนักพนันส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองห้า จ.ปทุมธานี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้บ่อนภายในหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยและมีกลุ่มนักศึกษาที่พักอาศัยอยู่ตามหอพักเอกชน และภายในหมู่บ้านหมุนเวียนมาเล่นพนันกันจำนวนมาก ขณะเข้าจับกุมมีนักศึกษาบางรายใส่ชุดนักศึกษามาเล่นพนัน และพบว่าบ่อนดังกล่าวอยู่ห่างจากป้อมตำรวจ หมู่บ้านพรพิสาร 3 ไม่ถึง 200 เมตร

http://www.posttoday.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/226765/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A3%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000068335

สังคมออนไลน์ดันยอดพนันพุ่ง
วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2556 เวลา 16:56 น.

http://www.dailynews.co.th/businesss/207953
นักวิชาการเผยผีพนันเข้าสิงคนไทย เงินสะพัดบ่อนออนไลน์เพิ่ม 32,481 ล้านบาท หวยใต้ดินครองแชมป์สุดฮิต ตะลึงบ่อนพนันเถื่อนเงินหมุนเวียน 800,000 ล้าน ห่วงเยาวชนหมกมุ่นพนันฟุตบอล เร่งรัฐหามาตรการแก้ไขด่วน

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยในงามสัมมนาเหลียวหลัง แลหน้าการพนันไทย 10 ปีการพนันไทยกับธุรกิจการเสี่ยงโชคในสังคมไทย ว่า ผลการวิจัยพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือปี 53 มีวงเงินที่เล่นการพนันในประเทศเพิ่มขึ้น จาก 324,795 ล้านบาท เป็น 357,276 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการสื่อสารและโครงสร้างพื้นฐานของสังคม ทำให้คนไทยสามารถเล่นการพนันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือได้ง่ายกว่า

ทั้งนี้ แม้ว่าการพนันผิดกฎหมายที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมเล่นมากที่สุด จะเป็นหวยใต้ดิน สลากกินแบ่งรัฐบาล และไพ่ แต่ปัจจุบันที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อสังคมไทยมากที่สุด คือการพนันฟุตบอล เนื่องจากผู้เล่นมีอายุน้อยที่เป็นเด็กนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจได้ โดยพบว่ามีวงเงินในการพนันดังกล่าวไม่น้อยกว่าปีละ 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและต้องรีบหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ขณะเดียวกัน ทัศนคติคนไทยต่อการพนันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านเกือบทุกประเทศ ทั้ง พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ต่างมีนโยบายการทำคาสิโนที่ถูกกฎหมาย จึงทำให้คนไทยจำนวนมากเดินทางไปเล่นการพนันในสถานที่แห่งนี้อยู่เป็นประจำ และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในวันหยุดยาว รวมทั้ง มีการบริการจากคาสิโนบางแห่งที่อำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทำให้เชื่อว่าในอนาคตจะมีผู้ที่สนใจเดินทางเข้าไปเล่นกาสิโนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ผลการสำรวจพบว่าประเทศไทยยังมีบ่อนการพนันเถื่อนทั่วประเทศกว่า 1,500 แห่ง มีผู้เล่นประมาณปีละ 4-5 ล้านราย โดยมีขนาดเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจการพนันกว่าปีละ600,000-800,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ่อนการพนันในพื้นที่ กทม.ประมาณ 15-20 แห่ง มีขนาดเงินหมุนเวียนปีละ 180,000-200,000 ล้านบาท ที่ลักลอบเล่นการพนัน ทำให้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐขาดคความสามารถในการบริหารจัดการเศรษฐกิจนอกกฎหมายอย่างแท้จริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

“รัฐบาลและคนไทยบางส่วนมีความเชื่อว่าการพนันเป็นปัญหาที่ต้องควบคุม และไม่ควรให้ประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ในโลกความเป็นจริงแล้ว มีคนไทยที่อายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไปเข้ามาเกี่ยวข้องกับการพนันในปัจจุบันกว่า 30 ล้านบาท เนื่องจากประเทศไทยมีการพนันที่ผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นหลายช่องทาง ทั้ง หวยใต้ดิน พนันฟุตบอล และการพนันผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งสร้างรายได้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากในแต่ละปี เช่น พ่อค้า นักธุรกิจ ตำรวจ และนักการเมือง”

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรแก้ไข พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ที่ใช้ควบคุมการเล่นพนันให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะกฎหมายที่ใช้อยู่ได้นับรวมกิจกรรมการเล่นเกมเกือบทุกเงื่อนไขที่เกี่ยวกับผลได้และเสีย ไม่ว่าจะเล่นสนุกหรือผ่อนคลาย มีประโยชน์เป็นเงินมากหรือน้อย ถือเป็นการพนันในกฎหมายดังกล่าวทั้งสิ้น โดยไม่มีการจำแนกแยกแยะกิจกรรมที่มีประโยชน์หรือโทษออกจากกันให้ชัดเจน ส่งผลให้ประชาชนในสังคมไทยถูกครอบงำความคิด และอาจเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐจากการบังคับใช้กฎหมาย

นายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า การพนันในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการพนันออนไลน์ การพนันฟุตบอลเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐควรจะแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้ง ควรแยกแยะระหว่างการพนันกับการเล่นเพื่อความบันเทิงให้ชัดเจน เพื่อเป็นการป้องกันให้ประชาชนไม่เข้าไปหมกหมุนกับการพนันเพิ่มขึ้น

ยุบศูนย์นอกที่ตั้ง เพราะให้คนนอกสอน จึงคุมคุณภาพไม่ได้

เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

http://kroowitda.wordpress.com/2011/06/21/education_techni/

จากข่าวในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เรื่องยุบศูนย์นอกที่ตั้งทั่วประเทศ
มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
ยุบเพราะพบว่ามีการจัดการเรียนการสอนที่ไม่ใช่คนในสถานศึกษา
ซึ่งคุมคุณภาพไม่ได้ และไม่เป็นมาตรฐาน

ใครดื้อ .. โทษวินัย

อาชีวะประกาศยุบศูนย์นอกที่ตั้งร้องโฆษณา
เรียนลัดจบเร็ว-กระทบคุณภาพ/ผอ.ฝ่าฝืนโทษวินัย

27 พฤษภาคม 2556

korea student
korea student

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่าได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง ผอ.วิทยาลัย ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ทั่วประเทศ เพื่อให้ยกเลิก และปิดการจัดการอาชีวศึกษาภายนอกสถานศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 เป็นต้นไป เนื่องจากมีข้อร้องเรียนในการดำเนินการจัดการเรียนการสอนกลุ่มเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ว่า ไม่ได้จัดสอนโดยบุคลากรของสถานศึกษา มีการโฆษณาว่าสามารถเรียนจบได้เร็วและเปิดอย่างแพร่หลายเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อคุณภาพผู้จบการศึกษา และมาตรฐานการจัดการของ สอศ.

ดังนั้น จึงให้สถานศึกษาปิดการจัดการเรียนการสอนกลุ่มเทียบโอนความรู้และประสบการณ์นอกที่ตั้งฯในจังหวัดโดยด่วน และให้รับนักเรียน นักศึกษา กลุ่มที่กำลังศึกษาอยู่นอกสถานที่ตั้งฯ เข้ามาเรียนในสถานศึกษาทั้งหมด ขณะเดียวกัน เมื่อดำเนินการยกเลิกและปิดการจัดการเรียนการสอนกลุ่มดังกล่าวแล้ว ต้องรายงานผลมายังสอศ. หากสถานศึกษาใดไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษทางวินัย
หลังจากนี้จะต้องมาจัดระเบียบกันใหม่โดยการเรียนการสอนกลุ่มเทียบโอนความรู้ฯจะต้องเปิดสอนอยู่ภายในสถานศึกษาเท่านั้นเพื่อควบคุมคุณภาพ และให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลาง ลงไปพูดคุยกับวิทยาลัยที่เปิดสอนนอกที่ตั้งฯ ให้ยุติการดำเนินการดังกล่าว โดยสถานศึกษาต่างก็ให้ความร่วมมือ และจะติดตามว่าสถานศึกษามีการปิดศูนย์นอกที่ตั้งจริง หรือยังเปิดรับนักศึกษาใหม่อยู่หรือไม่ และดูแลให้นักศึกษาในศูนย์นอกที่ตั้งฯ ได้เข้ามาเรียนต่อในวิทยาลัยหรือไม่ เพราะเด็กกลุ่มนี้ต้องไม่ได้รับผลกระทบใดอย่างเด็ดขาด นายชัยพฤกษ์ กล่าว
เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้ทำความเข้าใจเรื่องการเรียนการสอนระหว่างกลุ่มเทียบโอนความรู้ฯ และระบบทวิภาคีด้วย เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะก่อนหน้านี้มีสถานศึกษาบางแห่งอ้างว่าการจัดการเรียนการสอนกลุ่มเทียบโอนฯ เป็นการจัดการศึกษาระบบทวิภาคี ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะการจัดการอาชีวศึกษากลุ่มเทียบโอนฯ จะเทียบโอนได้กี่หน่วยกิตก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ทำงานของแต่ละบุคคล โดยมีคณะกรรมการเป็นผู้ประเมิน ส่วนระบบทวิภาคี เป็นการเรียนการสอนที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างสถาบันอาชีวศึกษากับสถานประกอบการ หรือแหล่งวิทยาการในเรื่องการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีแผนการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลโดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหนึ่งในสถานศึกษาและเรียนรู้ฝึกอาชีพในสถานประกอบการ ซึ่งจะใช้เวลาเรียนอย่างน้อยเท่ากับระบบปกติ
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32819&Key=hotnews