เทศกาลกินเจ ที่ตลาดสนามบิน หรือตลาดพระบาท

บะหมี่เหลืองเจ ตลาดพระบาท
บะหมี่เหลืองเจ ตลาดพระบาท

มีนักวิทยาศาสตร์บอกไว้ว่า “เราเป็นอย่างที่เรากิน
การเปลี่ยนการรับประทานอาหารไม่ง่ายเลย
จากรับ 3 มื้อเป็นรับ 2 มื้อ
หรือเปลี่ยนประเภทอาหารก็จะมีความเคยชิน ความเชื่อ และคนรอบข้าง
คอยที่จะให้ความเห็นคัดค้าน ว่า “เคยทำอย่างไรก็ควรทำอย่างนั้น
สรุปว่า “ความเชื่อของผู้คนเปลี่ยนยากมาก ๆ

ทดลองที่จะเปลี่ยนแปลง
ในเทศกาลกินเจ ระหว่าง 5 – 13 ตุลาคม 2556
ผมมีโอกาสทานหาอาหารเจ จากพ่อค้ารายใหม่
ที่ตลาดสนามบิน หรือ ตลาดพระบาท ลำปาง ด้านทางออก ว.พยาบาล
สิ่งที่ซื้อประจำ คือ “บะหมี่เหลืองเจ” จำนวน 2 ห่อ ๆ ละ 10 บาท รวม 20 บาท
ไว้ทานมื้อเย็น 1 ห่อ กับตอนเช้า 1 ห่อ
ที่ตลาดนี้มีเพียงเจ้าเดียวที่ขายแบบนี้ และก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็น

เหตุผลที่ทานเจ
1. เป็นข้อหนึ่งในการรักษาศีล
2. อร่อย เพราะบะหมี่หอม และเหนียวนุ่ม

บะหมี่เหลืองเจ ตลาดสนามบิน
บะหมี่เหลืองเจ ตลาดสนามบิน

นิยามศัพท์
คำว่า “กินเจ” คือ ไม่คาว หรือถ้าแปลตามตัวจะหมายถึง การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ซึ่งในความหมายของชาวพุทธ ก็คือการรักษาศีล นั่นเอง อาหารเจ จึงเกิดขึ้นเนื่องมาจาก การถืออุโบสถศีล ของพุทธศาสนิกชน ฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ด้วยเหตุนี้ การกินอาหารเจ จึงไม่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ในปัจจุบันการกินเจ ถึงแม้ว่าจะรับประทานอาหาร ทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่รับประทานอาหาร ที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์อยู่ด้วยก็ยังเรียกว่า “กินเจ” ดังนั้น หากพุทธศาสนิกชนที่ ต้องการบำเพ็ญธรรม ด้วยการกินเจ ก็ต้องตั้งตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงามด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นการกินเจที่แท้จริง
ในการปรุงอาหารเจนั้น ต้องไม่มีเนื้อสัตว์ และต้องเป็นอาหารที่ปรุงมาจากพืชผักผลไม้ล้วนๆ ที่สำคัญ ต้องไม่มี ส่วนผสมของเครื่องเทศ 5 อย่าง ซึ่งได้แก่ หัวหอม กระเทียม กุ้ยฉ่าย หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน)  และใบยาสูบ
http://www.weherb.net/wizContent.asp?wizConID=163&txtmMenu_ID=7

ที่มาของความรุนแรงในเด็กไทย

เป็นไทยสุดขีด ตอน ความเสี่ยงที่ขอลุย
เด็กไทยชอบคิดเอาคืน ความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงก็เพิ่มขึ้น
เด็กไทยร้อยละ 41.2 หรือ 1 ใน 3
มีประสบการณ์ชกต่อย หรือตบตีกับผู้อื่น
http://www.youtube.com/watch?v=QArRFqVLu6I

เป็นไทยสุดขีด ตอน ความเสี่ยงที่โชคช่วย

http://www.youtube.com/watch?v=9xd1MPbSz4s

สวยไม่ได้มาตรฐาน ตกงานได้ง่าย ๆ นะ .. ขอบอก

nattha komolvadhin
nattha komolvadhin

อ่านพบจาก fb profile ของ Nattha Komolvadhin
ซึ่งเธอทำงานที่ ThaiPBS มีงานออกสื่อบ่อยครั้ง
เป็นเรื่องของ Julia chen ถูกทิ่มใจดำ
ติดตามเรื่องนี้ได้ที่

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151697980670892&set=a.10150120081805892.284381.709100891

เรื่องราวของ Julie Chen

มีเรื่องที่อาจจะดูเป็นเรื่องเล็ก และไม่มีสาระในสายตาคุณผู้ชาย แต่สำหรับผู้หญิงเป็นเรื่องใหญ่มาก

เรื่องของ “ความสวย และความก้าวหน้าในอาชีพการงาน

มีข่าวที่สร้างความฮือฮาในสหรัฐไม่น้อย เมื่อ Julie Chen หนึ่งในพิธีกรรายการ “The Talk” เปิดเผยความลับของเธอกลางรายการทีวีว่า เธอต้องไปทำศัลยกรรมให้ตาโตขึ้น เพื่อที่จะเติบโตในงานผู้ประกาศหน้าจอโทรทัศน์

julie chen
julie chen

เหตุเกิดเมื่อปี 1995 วันที่เธอยังเป็นนักข่าวท้องถิ่นที่เมือง Dayton เธอเป็นนักข่าวภาคสนาม และบอกกับผู้บริหารว่าอยากจะขอโอกาสเป็นผู้ประกาศหน้าจอบ้าง ถ้าเผื่อมีคนลางาน หรือทำแทนในวันหยุดก็ได้ ปรากฏว่าผู้บริหารชายท่านนั้นบอกว่า

คุณคิดว่าหน้าตาคุณเป็นแบบนี้จะมีคนดูเหรอ หน้าตาคุณออกจีนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนในท้องถิ่น และถ้าให้ผมพูดตรงๆก็คือ ตาคุณที่เป็นแบบนี้ (ตาชั้นเดียว) ดูไม่น่าสนใจ ดูน่าเบื่อ และดูไม่ตื่นตัว

จูลี่ บอกว่าความเห็นที่ออกมาแบบนั้น เสมือนมีดสั้นที่ทิ่มแทงหัวใจ เสมือนกับการพูดตัดโอกาสว่าชาตินี้เธอจะไม่มีทางเจริญก้าวหน้าใดๆ ก็เพราะว่ามีตาชั้นเดียว เหมือนหมวยจีนทั่วๆไป

ต้องบอกไว้ก่อนว่าจูลี่ เป็นที่ยอมรับอย่างมากเรื่องความสามารถ สัมภาษณ์คนได้อย่างดี ทำข่าวได้เยี่ยม

พอถูกเจ้านายวิพากษ์เรื่องหน้าตาตรงๆ เธอเลยคิดหนัก แทบจะเสียความมั่นใจในตัวเอง และยิ่งพอได้คุยกับเอเจนต์หางาน ก็ยิ่งคิดหนัก เพราะเอเจนต์พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทางออกเดียว คือ ต้องไปทำตาสองชั้น (วงการผู้ประกาศในสหรัฐแข่งกันดุมาก นอกจากจะต้องเก่งมากแล้ว ภาพลักษณ์หน้าจอเป็นเรื่องตัดสินด้วยว่าจะได้งานหรือไม่ได้งาน)

ในที่สุดเธอตัดสินใจไปทำ และหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างที่เห็น
แน่นอนว่าเธอดูตาโตขึ้น ดูสวยขึ้น และหน้าที่การงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จูลี่ บอกว่าไม่เคยออกมาเปิดเผยตรง ๆ แบบนี้ แต่คนที่เห็นเธอก็คงรู้ว่าเธอไปทำตามาแน่นอน และต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าตาที่ไปกรีดสองชั้นมาจะสวยเข้าที่อย่างที่เห็น

เรื่องนี้มีทั้งเรื่องความสวย เรื่องชาติพันธุ์ความเป็นคนจีนในสังคมสหรัฐ และหน้าที่การงานของผู้หญิง

เรื่องราวของจูลี่ สำหรับสังคมอเมริกันคือการเหยียดชนชาติ (racism) ว่าวงการสื่อไม่ยอมรับความสวยแบบจีนๆ

แต่เรื่องราวของจูลี่ สะท้อนภาพรวมว่าผู้หญิงเมื่อก้าวสู่โลกสาธารณะ มีหลายอย่างเป็นปัจจัยที่จะตัดสินว่าพวกเธอจะเดินต่อไป หรือ “ไม่ได้” เดินต่อไปในอาชีพการงาน ความสามารถล้วนๆไม่พอ

ด้านหนึ่งจูลี่ได้รับความเห็นใจและได้รับการสนับสนุนอย่างมากที่ “กล้า” เปิดเผยเรื่องราวของเธอให้คนรับรู้ แต่อีกด้านหนึ่งยังมีคนค้านเช่นกันว่าที่เธอยอมถูกกรีดตา ก็เพื่อจะได้ “ความสวย” มาครอบครอง โดยที่ไม่ยอมต่อสู้

การตัดสินใจของจูลี่ คงเป็นเรื่องที่คิดแทนกันไม่ได้ แต่เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า “มาตรฐานของความสวย” ที่ตั้งไว้โดยสังคม อาจจะกำลังเป็นหอกทิ่มแทงผู้หญิงจำนวนมาก และสร้างความทุกข์ให้กับผู้หญิงจำนวนมากเมื่อพวกเธอคิดว่า “สวยไม่ได้มาตรฐาน” ตามที่สังคมบอกไว้

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสวย หน้าตา เป็นปัจจัยสำคัญต่อโลกแห่งการทำงานของผู้หญิง และยิ่งมีมาตรฐานความสวยที่ตั้งไว้สูงมาก และต่างกันไปในแต่ละสังคม ไม่นับรวมสินค้าหลากหลาย วงการโฆษณาต่างๆ ยิ่งทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าแรงกดดันมีมาก และจะต้องทำสวยเท่าที่จะทำได้เพื่อ “ให้ได้มา” ซึ่งความฝัน

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151697980670892&set=a.10150120081805892.284381.709100891

เจริญ ซื้อโออิชิ เพราะคุณตัน

ยืดเยื้อยาวนานข้ามปี จนได้บทสรุป เปิดแถลงข่าวกันก่อนตรุษจีน สำหรับการขายหุ้น…ของ “ตัน ภาสกรนที” ในบริษัทโออิชิ กรุ๊ป ให้กับบริษัทนครชื่น จำกัด ที่มี “เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี” และครอบครัวเป็นเจ้าของ และบริษัท Bengena ที่มี Ma Wah Yan นักลงทุนฮ่องกงเป็นเจ้าของ

จาก http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=46635

tan - oishi
tan - oishi

ทั้ง “ตัน” “ธนิต ธรรมสุคติ” ตัวแทนของครอบครัวสิริวัฒนภักดี และ “อุดมศักดิ์ ชาครีย์วณิช” กรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของการซื้อกิจการต่างแถลงด้วยรอยยิ้มแบบแย้มริมฝีปากเพียงเล็กน้อย เพราะสิ่งที่เห็นวันนี้เป็นคำตอบที่ย้ำชัดว่าสิ่งที่ปฏิเสธก่อนหน้ากลายเป็นจริง ที่ทั้ง “นครชื่น” และเบียร์ช้าง ภายใต้บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ต่างก็อยู่ในอาณาจักรของ “เสี่ยเจริญ ” มหาเศรษฐีร่ำรวยอันดับ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการจัดอันดับประจำปี 2548 ของนิตยสารฟอร์บส์ และเป็นคนไทยคนเดียวที่ติดอันดับทอปเทน

“ตัน” ณ นาทีนี้รับเงินใส่กระเป๋าไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท เขาบอกแผนการใช้เงินก้อนนี้ว่าส่วนหนึ่งไว้ซื้อความสุขสำหรับครอบครัว และลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะไม่มีการนำมาลงทุนผลิตภัณฑ์และสินค้าอื่นใดอีก เพราะเขาพร้อมอย่างเต็มที่ในการเป็นผู้ถือหุ้น แม้เวลานี้จะถืออยู่เพียงประมาณ 10% ในบริษัทเดิมที่เขาก่อตั้งมากับมือ แต่ก็พร้อมกว่า 100% ในการเป็นลูกจ้างให้กับ”เสี่ยเจริญ” ด้วยคำมั่นสัญญาที่ว่า

แม้จะถือหุ้นน้อยลง แต่ผมก็ยืนยันว่าทำงานให้เต็มที่ ประวัติผมทั้งที่เคยเป็นลูกจ้าง หรือเจ้าของกิจการ ยืนยันว่าไม่เคยทำงานครึ่งราคา

ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องทำให้สมกับราคาที่ “ตัน” ได้ยินจาก “เสี่ยเจริญ” มาด้วยว่า “โออิชิ ถ้าไม่มีคุณตันบริหารด้วย ให้ฟรียังไม่เอาเลย”

นับจากวันนี้ “ตัน” บอกว่าต้องเรียนรู้ว่าธุรกิจของเสี่ยเจริญมีอะไรบ้างที่จะต่อยอดชาเขียวโออิชิ ด้วยอย่างน้อยก็คาดหวังว่าโรงแรมของเสี่ยเจริญ ก็ควรมีชาเขียวโออิชิเสิร์ฟ ไม่ใช่ใช้ชาเขียวยี่ห้ออื่น โรงงานของกลุ่มไทยเบฟฯก็น่าจะเป็นฐานในการขยายโรงงานชาเขียวได้ หรือช่องทางจำหน่ายในต่างประเทศก็สามารถให้ชาเขียวเข้าไปร่วมใช้ด้วย

แต่ที่แน่ๆ ภายใต้แบรนด์ “โออิชิ” จะแตกแขนงธุรกิจออกไป อีก 3 กลุ่มธุรกิจ เครื่องดื่ม อาหาร และขนม ซึ่งเป็นกลุ่มล่าสุด โดยมี ขนมโออิชิ เซนเบ้ ออกมาชิมลางเป็นสินค้าตัวแรก

“ยืนยันว่าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้ถือหุ้น ต่อไปโออิชิถือว่ามั่นคงกว่าเดิม และดีกว่าเดิม”

เป็นแผนที่ชัดเจนว่าสามารถต่อยอดธุรกิจชาเขียวให้สดใสได้อย่างแน่นอน โดยจะมีการรับทีมงานเข้ามาดูแล ทั้ง 3 แต่ยังยึดคติเดิม คือ คนน้อยงานมาก

แต่ใช่ว่า “ตัน” ผู้ที่เรียกตัวเองว่า “นักมาร์เก็ตติ้งที่ดี” จะหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านี้ เพราะสิ่งที่คาดเดากันอยู่ว่างานนี้ “เสี่ยเจริญ” ซื้อโออิชิ แถม “ตัน” หรือซื้อ “ตัน” พ่วงโออิชิ แบบแผนซื้อเหล้าพ่วงเบียร์กันแน่ ยังต้องติดตามต่อไป เพราะแม้แต่ “ตัน” เองก็ไม่กล้ายืนยันอนาคตตัวเอง ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะเปลี่ยนเก้าอี้ไปปลุกปั้นน้ำเมาของไทยเบฟฯที่กำลังเผชิญกับการแข่งขันอย่างเข้มข้นหรือไม่ และกระแสต้านไทยเบฟฯเข้าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯจนต้องไปซบอกตลาดสิงคโปร์แทน

คำตอบ ณ เวลานี้ จาก “ตัน” มีเพียงว่า “ไม่ขอตอบ ตอบได้แต่เพียงว่า ชีวิตนี้อย่าไปรับรองว่าไม่แต่งงาน ตอนนี้เอาใกล้ ๆ ก็พอ”

http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=46635

ใช้ SWOT ทำให้อยู่กับร้านเลขเจ็ดได้

seven shop
seven shop

บทแลกเปลี่ยน จาก http://pantip.com/topic/30883540

ไปพบการแชร์เรื่องราวดี ๆ
ใน fb profile ของ zongkiat pavadee อ่านแล้วรับรู้ได้ว่า
ผู้ตอบขั้นเทพใช้ประโยชน์จาก SWOT อย่างเห็นได้ชัด
(SWOT = Strengths, Weaknesses, Opportunities, Threats)
ทำให้ได้บทเรียนว่าสามารถใช้ SWOT เป็น SWORD สำหรับเอาชนะปัญหาในการแข่งขัน
ถ้ามีปัญหา แล้วไม่วิเคราะห์ SWOT จะรู้เขารู้เราได้อย่างไร
นี้เป็นเพียงเทคนิคเดียวที่ผู้ตอบนำมาใช้ และแก้ปัญหาได้ตรงจุด
อีกเทคนิคที่พบในคำตอบ คือ CSR (Coporate Social Responsibility)
แต่ไม่ได้ขยายความทางวิชาการเหมือน SWOT
ต้องขอชื่นชมผู้ตอบครับ น่าจะเป็นบทเรียนแก่ร้านของชำได้อย่างเป็นรูปธรรม
เป็นมุมมองของการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส .. จริง ๆ ๆ

ผู้ถาม http://pantip.com/profile/962611
บ้านเราเป็นร้านของชำเล็ก ๆ + ร้านก๋วยเตี๋ยว หน้าโรงงานมีผู้คนพลุกพล่านพอสมควร
กิจการนี้พ่อแม่เราทำมา 20 กว่าปีแล้ว  กลุ่มลูกค้าส่วนมากจะเป็นคนงานและชาวบ้านในซอย
เราเป็นร้านชำร้านเดียวในย่านนั้น เรียกว่าขายดีมาก ๆ ทั้งของชำและก๋วยเตี๋ยว
(ขาย 20 -25 ราคาขายคนงานเพราะขายแพงกว่านี้ก็ไม่มีคนกิน
กำไรจากก๋วยเตี๋ยวแทบไม่เห็น ที่ขายเพราะช่วยดึงลูกค้า ให้ร้านเราคึกคักขึ้น )
ร้านเราเปิดตั้งแต่เช้ายันเย็น ลูกค้าเข้าไม่ขาด ยิ่งช่วงพักของโรงงานทอนตังแทบไม่ทัน
อาชีพนี้ทำให้เรามีกินมีใช้อย่างสุขสบายแม่กับพ่อสามารถเลี้ยงเรากับน้องได้อย่างดี
จนเมื่อปีที่ผ่านมายอดขายตกลง เพราะแรงงานพม่าเข้ามาแทนแรงงานชาวอีสาน
กำลังการซื้อของแรงงานพม่าน้อยว่าชาวอีสานอย่างเห็นได้ชัด
พวกนี้จะกินใช้อย่างประหยัดมาก
แต่เราก็ยังพออยู่ได้เรื่อย ๆ เพราะยังมีชาวบ้านแถวนั้นแวะเวียนมาซื้ออยู่
จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้ ร้านเลขเจ็ด มาเปิดใกล้บ้านห่างกันไม่ถึง 20 เมตร
สร้างใหญ่โตอลังการมาก (ประมาณตึกแถว 4 ห้องติด)
ตอนนี้ท้อมากค่ะ คนแห่เข้าร้านสะดวกซื้อหมด ร้านเราเงียบเป็นป่าช้าเลย
ที่พอขายได้ก็แค่บุหรี่แบ่งขาย เหล้าแบ่งขาย เป๊ปซี่น้ำแข็ง
นึกแล้วก็ใจหายสงสารคุณแม่นั่งเฝ้าร้านอย่างเหงา ๆ  ดีที่ยังมีก๋วยเตี๋ยว
แต่อีกไม่ปี่ปีพ่อแม่เราคงขายก๋วยเตี๋ยวไม่ไหว ท่านจะ 60 แล้ว
กลุ้มใจมากค่ะ เลยอยากขอคำปรึกษาจากเพื่อน ๆ ต่อ เราควรทำอย่างไรดี
ตอนนี้เราจัดร้านใหม่ให้ดูดีขึ้น เรื่องความสะอาดเราก็ตรวจเช็คตลอด
แต่ก็ยังเงียบ ยิ่งวันโรงงานปิดยิ่งเงียบ  คนบ้านไม่แทบไม่เข้าเลย เฮร้ออ
แต่เราก็เข้าใจผู้บริโภคนะคะ ที่นู่นมีพร้อมทุกอย่าง แอร์ก็เย็น
ถ้าเป็นเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด
ณ ตอนนี้ยังมองอนาคตไม่ออกเลยค่ะ ว่าจะไปทางไหนดี
ส่วนตัวเราตอนนี้ก็เพิ่งเรียนจบใหม่ทำงานเงินเดือนหมื่นกว่าบาท
น้องเราก็ยังเรียนไม่จบ  ทุกวันนี้เครียดมากนอนไม่หลับเลย
เวลามองบ้านเรากับร้านเลขเจ็ดเห็นภาพแล้วมันสะเทือนใจค่ะ
เพื่อน ๆ พอมีไอเดีย มาแนะนำมั้ยคะ ว่าเราควรทำยังไงต่อไป
หรือจะเปลี่ยนจากร้านของชำมาขายอย่างอื่นแทน
แล้วควรจะขายอะไรดี

ผู้ตอบขั้นเทพ http://pantip.com/profile/972021
อย่ากลัวค่ะน้อง พี่ (น่าจะพี่นะคะ อายุ 33 ค่ะ) ก็ขายของชำค่ะ
(ไม่ใช่สมาชิก pantip ค่ะ แต่สมัครมาตอบกระทู้นี้โดยเฉพาะ)
ร้านอยู่ห่างจาก ร้านเลขเจ็ด ประมาณ 20 ก้าวค่ะ
(ใกล้มากก เพราะทีแรก ร้านเลขเจ็ด จะมาขอเช่าที่บ้านค่ะ
แต่ถามจากรายได้ต่อเดือนแล้วไม่พอ คชจ. ในบ้านแน่นอน เลยตกลงใจไม่ทำค่ะ
เค้าเลยมาเช่าห้องที่ถัดไปจากที่บ้าน 3 ห้อง
)
จะบอกว่าการที่ ร้านเลขเจ็ด มาเปิดนั้นคือโอกาสนะคะ
ก่อน ร้านเลขเจ็ด มาเปิด พี่ก็ทำร้านต่อมาจากแม่ค่ะ (แม่เปิดมาจะ 30 ปีแล้ว)
ขายแต่ของชำอย่างเดียว ร้าน 2 คูหาค่ะ ขายส่งบ้างบางอย่าง
ตอน ร้านเลขเจ็ด มาเปิดวันแรก ร้านเงียบมากเลยวันนั้น
จำได้เลยนั่งดูลูกค้าถือลูกโป่งกับถุง ร้านเลขเจ็ด เดินผ่าน
จนอาทิตย์แรกผ่านไป เริ่มคิดแล้วรายได้ลดไปอย่างเห็นได้ชัด เอาไงดีวะ
(อันนี้บอกตัวเองนะคะ)
เพราะมีอีกหลายชีวิตในบ้านที่ต้องรับผิดชอบ เลยมาเริ่มคิด
ข้อ 1 คือ ร้านเลขเจ็ด มีอะไรและไม่มีอะไร และเรามีอะไรและไม่มีอะไร
.. งงมั้ยคะ จะสรุปให้ฟังทีหลังนะ
ข้อ 2 คือ ลูกค้าไปซื้ออะไรใน ร้านเลขเจ็ด
หาจุดอ่อนจุดแข็งทั้งของเราและของเค้าค่ะ
(SWOT analysis ที่เรียนมาเพิ่งจะได้รู้ประโยชน์จริงจังก็วันนี้ 555 เขียนผิดอย่าว่ากันนะคะ)
จากการวิเคราะห์ข้างต้น จุดแข็งของเราคือเรื่องสินค้า ราคา และลูกค้าค่ะ เอาทีละข้อนะคะ
(ตอบยาวเพราะอยากให้เพื่อน ๆ ร้านชำอีกหลาย ๆ คนสู้ ๆ เหมือนกันค่ะ อย่ายอมแพ้นะคะ)
สินค้า ความหลากหลายเราต้องมีให้มากกว่าค่ะ
ตอนเรียนโชคดีที่บังเอิญอาจารย์ให้หาข้อมูลของ ร้านเลขเจ็ด
เลยรู้ว่า ร้านเลขเจ็ด จะคัดเลือกเฉพาะสินค้าขายดี 3 อันดับต้น ๆ เข้ามาขายค่ะ
ทุกสาขาจะมีสินค้าคล้าย ๆ กัน แต่ความต้องการของลูกค้าแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกันนะคะ
เราคนพื้นที่ คุยกับลูกค้าบ่อย ๆ เวลาเค้ามาซื้อของเราจะได้รู้ว่าเค้าต้องการอะไร
ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ของเรามากกว่าค่ะ
สังเกตดูลูกค้าเราเป็นใคร ชอบอะไร ก็หามาขายค่ะ อีกอย่างต้องไวนะคะ
โฆษณาห้ามเปลี่ยนช่องดูเข้าไปอะไรออกใหม่ ต้องหามาขายให้ทันโฆษณาค่ะ
ร้านเลขเจ็ด  ขายได้เราก็ต้องขายได้
ราคาสินค้า เดินไปดูเลยค่ะที่ ร้านเลขเจ็ด ขายกี่บาท เราตั้งราคาให้ถูกกว่าค่ะ
ร้านเลขเจ็ด จะบวกกำไรเยอะมาก เราลดราคาลงมาหน่อย หาร้านส่งที่ราคาถูก
(ที่บ้านพี่แยกซื้อค่ะ กว่าจะได้ของครบนี่บางทีวนเกือบ 10 ร้าน  -_-“)
ที่สำคัญหมั่นไปดูเค้าขายอะไร แปลก ๆ ใหม่ ๆ ดูจะขายได้ต้องขวนขวายไปหามาค่ะ
ป้ายราคาต้องมีให้ชัดเจนนะคะ ไม่ต้องถึงขนาดไปซื้อป้ายแบบใน ร้านเลขเจ็ด มาก็ได้
แค่ตัวยิงราคาแบบที่ติดที่สินค้าเลย ตัวละ 2-300 บาทก็ใช้ได้แล้ว
ยิ่งอันไหนถูกกว่ามาก มีคอมใช้คอมปรินท์ติดให้เห็นตัวโต ๆ ค่ะ
สร้างความแตกต่าง ของแบ่งขายนี่ตัวได้กำไรเลยค่ะ
บ้านพี่แบ่งทั้งถุงใส่กับข้าว ยางรัดของ ขนมปี๊บ (ทำแพคเกจให้สวยงามนะคะ กำไรดีมาก)
หลัง ๆ มีลูกค้ามาบ่นเรื่องเด็ก ๆ ชอบไปซื้อของเล่นในร้านเลขเจ็ด
ซึ่งราคาแพงมาก พี่เลยไปหาของเล่นแผงมาขายค่ะ
ตอนนี้ลูกค้าเด็ก ๆ เลยกลับมาเพียบแล้วค่ะ อิอิ แต่ขายของเด็กต้องทันเด็กนะคะ
ตอนนี้เค้าเล่นอะไรกัน อะไรกำลังฮิต ถามเอาจากร้านขายส่งนั่นแหละค่ะ
เลือกร้านที่เค้าแนะนำเราดี ๆ
อีกอย่างสินค้าเครื่องแต่งตัว ร้านเลขเจ็ด จะไม่ขายของพวกฮิต ๆ ตามตลาดนัดค่ะ
เช่น พวกสบู่ต่าง ๆ ครีมยอดฮิต
อีกอย่าง ร้านเลขเจ็ด ข้างบ้านเราพนักงานหน้าเป็นตูด
(ขอโทษที่ใช้คำไม่สุภาพค่ะ ลูกค้าพูดมาอีกที)
ร้านเราเลยได้เปรียบ เพราะเราอยากให้ลูกค้าออกจากร้านเราไปด้วยรอยยิ้มมากกว่า ยิ้ม
อ้อ รายได้เสริมบ้านพี่คือมีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ กับตู้เติมเงินมือถือค่ะ
(ตู้ร้านเลขเจ็ด คิดค่าบริการตามยอดที่เติม ตู้ที่บ้านพี่ พี่ตั้งค่าบริการเองถูกกว่า ร้านเลขเจ็ด ค่ะ
รายได้ไปเอาจากส่วนแบ่ง % จากเงินที่ลูกค้าเติมแทน
)
ปีใหม่พี่มีของขวัญให้ลูกค้าจับรางวัลด้วยค่ะ ของเล็ก ๆ น้อย ๆ
แต่ถือว่าเป็นน้ำใจตอบแทนลูกค้า

ลูกค้าก็สนุกไปกับเราด้วย
หลายอย่างค่ะ เริ่มเมื่อยมือแล้ว จิ้มในมือถือ -_-”
สรุปคือค่อย ๆ คิดค่ะ แก้ปัญหาทีละอย่าง ความเครียดช่วยอะไรไม่ได้เลยมีแต่ทำให้แย่ลง
สิ่งสำคัญคือ [สติ] นะคะ
ทุกวันนี้ ร้านเลขเจ็ด ทำให้พี่หมดหนี้ค่ะ
ก่อนร้านเลขเจ็ด มาเปิดมีหนี้อยู่ประมาณล้านกว่าบาท ร้านเลขเจ็ด
เปิดได้ 1 ปีกว่า ๆ ยอกขายที่ร้านพี่เพิ่มขึ้นมาก หนี้จากที่ไม่ค่อยขยับไปไหนก็หมดไป
(ขอบคุณ ร้านเลขเจ็ด ค่ะ)
ปัจจุบันร้านจาก 2 ห้องขยายเป็น 3 ห้องแล้วค่ะ สินค้าในร้านเยอะมากขึ้นมาก
ลูกค้าก็เยอะขึ้นตามมามากเหมือนกัน
(ร้านเลขเจ็ด ช่วยดึงลูกค้านะคะ บ้านพี่ไม่ได้อยู่ในตลาด
ตะก่อนลูกค้าจะเลยเข้าตลาด พอ ร้านเลขเจ็ด มาเปิดเลยดึงลูกค้าส่วนนี้มา
)
หนี้ที่หมดเริ่มมีก้อนใหม่แล้วค่ะ เอามาลงทุนเพิ่ม แต่ไม่กลัวแล้วค่ะ
แถมตอนนี้ Big C มาแล้ว ข่าวว่า Lotus กำลังจะตามมา
แต่ก็ไม่ท้อค่ะ ลูกค้าไป bigc มาส่วนใหญ่ว่าของแพง บ้านเราถูกกว่า
(จะไม่ถูกกว่าได้ยังไง เราแอบดูราคาจากในเว็บ bigc อิอิ)
ไม่ได้มีแต่ร้านเรานะคะที่คิดว่า ร้านเลขเจ็ด มาเปิดแล้วไม่ดี คนรู้จักกันเปิดร้านคน

ละอำเภอเจอสถานการณ์เดียวกัน
เค้าก็ขายดีขึ้นเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ ร้านเลขเจ็ด เปิดมาได้น่าจะ 3-4 ปีแล้ว
ได้น้องพนักงานขาย ร้านเลขเจ็ด มาเป็นลูกค้าเราด้วยอีก อิอิ

อย่าท้อค่ะ อย่าท้อ มาสู้ ๆ ไปด้วยกันนะคะ

world war z and 10th person

tenth man
tenth man

http://pantip.com/topic/30637893

ผมเคยดูภาพยนตร์เรื่อง world war z แล้วก็คนหลายคนพูดถึงเรื่องนี้
ซึ่งประเด็นที่ผมค้นหาคือคำว่า คนที่ 10 หรือทฤษฎีคนที่ 10
เพราะตอนที่ดูรู้ว่าเป็นจุดสำคัญของเรื่องอีกจุดหนึ่ง
เหตุตอนกลางเรื่อง และเกิดที่อิสราเอล (Israel) เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ
แล้วพบว่าคุณ fairywing ให้นิยามไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

คิดว่าเรียกว่า ’10th Man’  – บุคคลที่สิบ น่าจะเหมาะกว่า
If nine agree to dismiss it, it is the duty of the tenth person to investigate further, even if it seems foolish
เค้าเล่าว่าทฤษฎีนี้มันถูกอ้างอิงมาจากที่เมื่อก่อนเวลามีลางบอกเหตุที่อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อส่วนรวม จะมีผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมด 10 คนมาประชุมกัน แล้วถ้ามติที่ประชุม 9 คนเห็นว่าลางบอกเหตุนั้นเป็นไปไม่ได้หรือเชื่อถือไม่ได้ คนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ลงมติมีตัวเลือกเดียวคือคัดค้านทั้ง 9 ความเห็นนั้น โดยมีสมมติฐานง่ายๆว่าสิ่งที่ 9 คนนั้นคิดมันผิด! (จริงๆในความเข้าใจของเราเอง คนที่สิบอาจจะคิดว่า impossible = possible หรืออาจจะเป็นสุภาษิตคนไทยเรา “ที่ไหนมีควัน ที่นั่นมีไฟ“)

แต่ที่น่าจะหนักหน่อยก็ตรงที่ว่าหัวเดียวกระเทียมลีบนี่แหละค่ะ เพราะค้านคนตั้ง 9 คนเลยทีเดียว เม่าเป็นลม
โดย fairywing 4 กรกฎาคม 2556 เวลา 11:53 น.

ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา

กูว่าแล้ว ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้
กูว่าแล้ว ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์-ขึ้น ต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้ สำหรับ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่อุตส่าห์ตีฆ้องร้องป่าว ระดมคนให้แห่แหนออกมาชุมนุมต่อต้านการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนใครๆก็คิดว่าพรรคการเมืองเก่าแก่ที่แฝงกายในสภาหินอ่อนมากว่า 80 ปี จะเป็นดั่งกอไผ่ที่ผนึกรวมแต่ละต้นแต่ละลำให้แข็งแกร่งยืนหยัดต่อสู้มรสุม นิรโทษกรรมอย่างมิหวั่นไหว ที่ไหนได้สุดท้ายเป็นแค่บ้องกัญชาที่พ่นควันมอมเมาชาวบ้านให้หลงเคลิบเคลิ้ม กับวาทกรรม “จะเดินนำประชาชน”

ตั้งแต่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำพรรคประชาธิปัต ย์ ประกาศกร้าวบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สวนเบญจสิริ เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า “ เมื่อเสียงนกหวีดของประชาชนดังพร้อมกันเซ็งแซ่ จะออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาลกับพี่น้อง”

ประชาชนผู้รักชาติก็พากันฮึกเหิม คิดว่างานนี้จะเดินหน้าท้าชน ต้านคนโกงชาติที่บังอาจจะออกกฎหมายเพื่อใช้ฟอกผิดนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” !!

แม้ไม่กี่วันต่อมา “เทพเทือก” จะปากกล้าขาสั่น ชักเข้าชักออกโดยบอกว่าจะสู้ในสภาก่อน หากกฎหมายผ่านการพิจารณา 3 วาระรวด ก็จะออกมาสู้นอกสภากับประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ทั้งที่งานนี้รู้ผลตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วว่ายังไงประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่าย ค้านก็ต้องแพ้โหวตในสภา เพราะมีเสียงน้อยกว่าพรรคเพื่อไทย มิเช่นนั้น “จอมหลักการ” อย่างประชาธิปัตย์ที่เคยประกาศว่า “การเมืองต้องสู้ในสภา” ก็คงไม่เต้นเร่าออกหน้าถึงขั้นบอกว่าจะนำมวลชนออกมาชุมนุม แต่ด้วยคำปฏิญาณเป็นมั่นเหมาะของ “จรกาหน้าดำ” นามเทพเทือก ที่ย้ำบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริงหลายครั้งว่าจะขัดขวาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ถึงที่สุด ทำให้มวลชนเทใจพากันเก็บเสื้อผ้าตบเท้าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมกับประชาธิปัตย์ชนิด “เต็มออก…เต็มออก…”

“หากประชาชนถูกทำร้ายจนบาดเจ็บล้มตาย ผมนี่แหละจะล้มรัฐบาลเอง ถ้าประชาชนตาย ขอให้นายกฯ เตรียมตัวเก็บกระเป๋าไปอยู่ต่างประเทศ ผมจะสู้ในสภาจนถึงที่สุด แต่หากมีผู้บาดเจ็บล้มตายผมจะหยุดการต่อสู้ในสภาฯ และออกมาต่อสู้บนถนนทันที” นายสุเทพกล่าวเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2556

“ พรรคประชาธิปัตย์จะลุกขึ้นอภิปรายกฎหมายดังกล่าวทุกคน และแปรญัตติทุกมาตราทุกบรรทัด แต่ถ้ากฎหมายผ่านวาระ 3 จะออกจากสภาฯ มาเดินร่วมสู้กับประชาชน และหากรัฐบาลยังไม่ฟังเสียงคัดค้านจะลุกขึ้นมาล้มรัฐบาล ผมจะสู้กับกฎหมายนิรโทษกรรมฯด้วยชีวิต ไม่มีวันยอมแพ้ ถ้าประชาชนมาร่วมชุมนุมมีผู้บาดเจ็บ ไม่ต้องรอถึงวาระ 3 ส.ส.จะออกมาสู้นอกสภาฯ ” นายสุเทพกล่าวปราศรัยบนเวทีผ่าความจริงพรรคประชาธิปัตย์ ที่บริเวณลานกีฬา ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนั้นนายสุเทพยังตะโกนเสียงดัง 3 ครั้งกับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัยว่า “เราจะรวมกันสู้ เราไม่ยอม” นี่จึงเป็นดังสัญญาที่ประชาธิปัตย์ให้ไว้กับประชาชน

โดยประชาธิปัตย์เลือกที่จะปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณลานกีฬา ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ ซึ่งถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีเพราะอยู่นอกเขตที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ทำให้รวมตัวได้สะดวก เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการชุมนุมได้ และยังอยู่ไม่ไกลจากรัฐสภามากนัก โดยได้มีการตั้งเวทีเดินหน้าผ่าความจริง เพื่อปราศรัยดึงความสนใจของผู้คน ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. จนถึงเช้าวันที่ 7 ส.ค.ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภา และมีการนำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เหมะ ส.ส.เพื่อไทย เข้าสู่การพิจารณาในวาระแรก

ในเช้าวันที่ 7 ส.ค.นั้น ประชาธิปัตย์ส่งระดับแกนนำพรรคอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี เป็นหัวขบวนเดินนำมวลชนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ โดยเดินจากแยกอุรุพงษ์ ไปตามถนนพระราม 6 เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวิถี ตรงแยกตึกชัย เดินไปสู่รัฐสภา พร้อมส่ง 10 ส.ส.ของพรรค เป็นทัพหน้าไปเจรจากับตำรวจก่อนที่จะนำมวลชนเข้าพื้นที่บริเวณสภา ขณะที่กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณนั้นมีมติที่จะปักหลักชุมนุมรอดู สถานการณ์อยู่ที่สวนลุมพินีเนื่องจากไม่ต้องการพามวลชนเข้าไปในพื้นที่ เสี่ยง

เมื่อหัวขบวนของประชาธิปัตย์มาถึงแยกราชวิถี-พระราม 5 เขตประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ส่ง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ นายชวน เป็นตัวแทนไปเจรจากับ พ.ต.อ.วิศาล พันธุ์มณี รองผบก.น.8 เพื่อชี้แจงถึงเหตุผลพาผู้สนับสนุนพา ส.ส.เข้าไปพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยนายชวน กล่าวว่า ขอให้เขาและมวลชนเดินทางเข้าไปในพื้นที่รัฐสถา เมื่อเสร็จภารกิจก็จะขอร้องให้มวลชนเดินทางกลับ ด้านนายสาทิตย์ แจ้งว่าจะเจรจากับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าอนุญาตให้เฉพาะ ส.ส.เข้าไปภายในพื้นที่รัฐสภาได้เท่านั้น

หลังแกนนำประชาธิปัตย์หารือกันชั่วครู่ นายสุเทพก็ออกมาประกาศมติว่าจะขอเดินเข้าไปภายในรัฐสภาเฉพาะ ส.ส. เท่านั้น โดยจะให้มวลชนแยกย้ายกลับบ้าน !!

ทำเอาพี่น้องประชาชายืนงงเป็นไก่ตาแตก !! วิจารณ์กันให้แซ่ดว่าถ้าจะแค่ให้มวลชนเดินมาส่ง ส.ส.เข้าสภา เพื่อ ร่วมพิจารณากฎหมายที่ฝ่ายค้านไม่มีวันโหวตชนะ แล้วจะให้พี่น้องประชาชนหยุดทำมาหากิน ระหกระเหินเดินทางมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวหาพระแสงของ้าวอันใดฤา?

ด้านกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณเห็นกลยุทธ์อันหน่อมแน้มเช่นนั้น ของประชาธิปัตย์ จึงหารือกันในระดับเสนาธิการ และได้ข้อสรุปว่า 1.ให้ติดตามการประชุมสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์ต่อไป 2.จะยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่สวนลุมพินี เพื่อเตรียมกำลังต่อไป และ3.เหตุผลที่ไม่เคลื่อนไหวมวลชนเข้าพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เพราะเจ้าหน้าที่ๆ อยู่ในนั้นไม่ใช่ตำรวจทั้งหมด แต่กลับมีแกนนำเสื้อแดงบางคน เช่นนายขวัญชัย ไพรพนา แต่งกายชุดตำรวจปะปนอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายแก่มวลชนได้

ทั้งนี้ ความล้มเหลวของประชาธิปัตย์ที่ไม่สามารถสกัด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาได้นั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เกินความ คาดหมายของหลายๆคน เพราะเมื่อมวลชนที่เข้าร่วมไม่มากพอ ขณะที่แกนนำก็ไม่มียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน การจะฝ่าด่านตำรวจนับหมื่นนายเข้าไปปิดล้อมกดดันไม่ให้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีกว่าเหตุผลที่มวลชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตัดสินใจไม่เข้าร่วมเคลื่อน ไหวกับพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ก็มีเพียงเหตุผลเดียวคือ “ความไม่ไว้วางใจ” ที่มีต่อพรรคการเมืองระดับปลาไหลเรียกพ่อพรรคนี้ พรรคที่เคยหักหลังสหายร่วมรบถึงขั้นที่สั่งให้ตำรวจออกหมายจับแกนนำพันธมิตร ฯ พร้อมพวก รวม 96 คน ในข้อหา “ก่อการร้าย” เพื่อบล็อก ไม่ให้พันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวในช่วงที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ข้อหาดังกล่าวได้กลายเป็นเครื่องพันธนาการที่ทำให้แกนนำพันธมิตรฯ ไม่สามารถออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ เพราะจะนำไปสู่เงื่อนไขให้ถูก “ถอนประกัน” ดังนั้นแม้เวลานี้ลิ่วล้อแมลงสาบจะออกมาตีโพยตีพายแค้นเคืองที่พันธมิตรฯไม่ ออกมาร่วมชุมนุม ถึงขั้นให้ร้ายว่าพันธมิตรฯหันไปสนับสนุนทักษิณ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะประชาธิปัตย์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าบัดนี้ “กุญแจมือ” ที่ประธิปัตย์เอามาใส่ข้อมือพันธมิตรฯนั้นมันได้ย้อนกลับไปกระแทกหน้าประชา ธิปัตย์แล้ว

เหนืออื่นใดที่พันธมิตรฯไม่ไว้วางใจคือ หากอำนาจเปลี่ยนขั้วไปอยู่ในมือประชาธิปัตย์แล้ว จะรับประกันได้อย่างไรว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปในทางที่ใสสะอาด รับประกันได้อย่างไรว่าการเมืองไทยจะหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” ที่มีนักการเมืองชั่วกัดกินประเทศอยู่เหมือนทุกวันนี้ เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าแม้พันธมิตรฯจะเอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้า แลกเพื่อขับไล่คนของทักษิณลงจากอำนาจ และเปิดโอกาสให้ประชาธิปัตย์ขึ้นมาบริหารแทน แต่ประชาธิปัตย์กลับตอบแทนประชาชนผู้เสียสละด้วยการคอร์รัปชั่นไม่ต่างจาก พรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้จัดการกับระบอบทักษิณเหมือนเช่นที่รับปากไว้ แต่กลับปล่อยคนเหล่านี้ให้ขยายเครือข่ายและกลับมาทำร้ายประเทศหนักกว่าเดิม

ดังนั้นการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ พันธมิตรฯจึงตั้งเงื่อนไขว่ากลุ่มพันธมิตรฯจะออกไปร่วมชุมนุมก็ต่อเมื่อประ ชาธิปัตย์แสดงความจริงใจที่จะปฏิรูปการเมือง ด้วยการประกาศลาออกจาก ส.ส. เพื่อออกมาร่วมเคลื่อนไหวนอกสภาด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าหากประชาธิปัตย์แสดงความจริงใจด้วยการลาออกย่อมสามารถเรียก ศรัทธาจากประชาชนได้อย่างมืดฟ้ามัวดิน ประกอบกับการที่พันธมิตรฯประกาศเข้าร่วมชุมนุมจะทำให้เกิดพลังมวลชนมหาศาล ที่หลั่งไหลออกมาชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมกับขับไล่รัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเงื่อนไขนี้เป็นเงือนไขที่ “ง่ายมาก” แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่คิดจะทำ เพียงเพราะยังหวงแหนตำแหน่งและอำนาจทางการเมือง แม้จะอยู่ในฐานะฝ่ายค้านที่แทบจะไม่มีโอกาสสวาปามอะไรก็ตาม

ทั้งนี้ การเดินเกมแบบกล้าๆ กลัว ๆ ชักเข้าชักออกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งผลให้การเคลื่อนไหวต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ “เหลวไม่เป็นท่า” ทำให้หลายคนเริ่มเข้าใจความหมายของสโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่า “ ประชาชนต้องมาก่อน ” ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้หมายความว่าประชาธิปัตย์จะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็น ที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใด แต่หมายถึงว่าหากจะขับเคลื่อนอะไรก็ต้องรอให้ประชาชนตบเท้ามากันอย่างอุ่น หนาฝาคั่งและเดินหน้าลงมือทำกันไปก่อน หากมีทีท่าว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ประชาธิปัตย์จึงจะกระโดดเข้าไปเล่น เพราะอย่างไรก็ไม่เปลืองตัว

ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์กลัว “การถูกยุบพรรค” เป็นชีวิตจิตใจ หวงแหนความเป็นพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าห่วงชาติบ้านเมือง ดังนั้น จึงไม่กล้าที่จะทำให้พรรคตั้งอยู่บนความเสี่ยง ซึ่งในวันที่ประชาธิปัตย์เคลื่อนขบวนจากใต้ทางด่วนอุรุพงษ์เพื่อไปส่ง สส.เข้าสภาไปพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้าสังเกตให้ดีก็น่าจะจับสัญญาณดังกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะการที่นายชวน หลีกภัยตัดสินใจมาเดินถนนด้วยนั้น ย่อมเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า ม็อบแมลงสาบไม่ต่างอะไรจากขบวนขันหมากที่แห่แหนกันมาส่งเจ้าบ่าวเพื่อให้ไป เข้าห้องหอกับเจ้าสาว เนื่องจากนายหัวจากเมืองตรังรักพรรคยิ่งชีพ

แต่ความจริงเรื่องนี้ก็ใช่ว่าไม่มีทางออก ถ้าหากกลัว ก.ก.ต.หาเหตุยุบพรรค นั่นคือแก้ปัญหาด้วยการให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส.และทำการเมืองภาคประชาชนจริงๆ จังๆ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ใช้ว่าจะไม่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าการที่นักการเมืองเก๋า เกมอย่าง “เทพเทือก” เดินเกมแบบชักเข้าชักออก และกำหนดยุทธศาสตร์แบบ “แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง” นั้นเป็นเพราะความไม่เอาไหนของเทพเทือกจริงหรือ ?

หรือเป็นเพียง “มวยล้มต้มคนดู” ที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ทำเป็นสู้แต่สู้ไม่ไหว เพราะ “ผลประโยชน์จากคนแดนไกล” ที่ได้มานั้นมากพอที่จะแลกกับการเป็นฝ่ายค้าน แล้วนั่งดูรัฐบาล “พาทักษิณกลับบ้านแบบเท่ๆ” เพราะที่ผ่านมาก็เป็นที่รู้กันดีกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “เทพเทือก” กับ “คนแดนไกล” นั้นอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา !!

แถมสุดท้ายแล้ว นอกจากคนเผาบ้านเผาเมืองจะได้ประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะพ่อรูปหล่อมาร์คและจรกาหน้าดำก็ได้ประโยชน์เช่นกัน

ABAC โพลชี้ คนรับกับการโกงที่ตนเองได้ประโยชน์

manager and corpution isolated on the white background
manager and corpution isolated on the white background

สำนักวิจัยเอแบคโพลมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยผลสำรวจ ระบุปชช.เกินร้อยละ 60 รับได้ถ้ารัฐบาลคอร์รัปชั่นแต่ตัวเองได้ประโยชน์

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง เปรียบเทียบแนวโน้มทัศนคติอันตรายในหมู่ประชาชนว่าด้วยการยอมรับรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น ถ้าตนเองได้ผลประโยชน์ด้วย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนในพื้นที่ 17 จังหวัดของประเทศ พบว่า แนวโน้มทัศนคติอันตรายในหมู่ประชาชนว่าด้วยการยอมรับรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในขั้นวิกฤต คือ ลดลงจากร้อยละ 69.8 ในเดือนกุมภาพันธ์ มาอยู่ที่ร้อยละ 65.5 ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือเกินกว่าร้อยละ 60 ยังคงยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วยตลอดการสำรวจตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 จนถึงปัจจุบัน

เมื่อจำแนกออกตามเพศ พบว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงส่วนใหญ่หรือเกินกว่าร้อยละ 60 เช่นกันคือร้อยละ 64.4 ในกลุ่มผู้หญิงและร้อยละ 66.9 ในกลุ่มผู้ชายที่ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย

เมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี มีสัดส่วนน้อยที่สุดที่จะยอมรับรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่สูงเกินครึ่งคือร้อยละ 56.1 ในขณะที่ กลุ่มคนอายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 62.3 กลุ่มคนอายุระหว่าง 30-39 ปีร้อยละ 67.9 กลุ่มคนอายุระหว่าง 40-49 ปีร้อยละ 66.9 และกลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.5 ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น แต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย

ที่น่าพิจารณาคือ ยิ่งกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงขึ้นยิ่งมีแนวโน้มของคนที่ยอมรับรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นลดน้อยลง แต่ก็ยังเป็นจำนวนส่วนใหญ่ของทุกกลุ่มคือ กลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.3 กลุ่มคนที่มีการศึกษาปริญญาตรีส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.3 และกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.6 ต่างก็ยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น แต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย

ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.0 กลุ่มพนักงานเอกชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.3 กลุ่มพ่อค้านักธุรกิจส่วนตัวส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.3 กลุ่มนักศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.8 กลุ่มรับจ้างใช้แรงงาน เกษตรกรส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.2 และกลุ่มแม่บ้าน เกษียณอายุส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.2 ต่างยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย

ดร.นพดล กล่าวว่า จากการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า กลุ่มคนที่ยอมรับรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นส่วนใหญ่ต่างระบุในทิศทางเดียวกันว่า คนที่ต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย กลับถูกข่มขู่คุกคามทำร้ายถึงชีวิต ถูกรังแกกลั่นแกล้งสารพัด ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจังต่อเนื่อง คนดีกลับไม่มีที่ยืนจนต้องทำตัวเป็นน้ำปล่อยให้ไหลตามกันไปเพื่อความอยู่รอด และเมื่อถามถึงการรับรู้เรื่องการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นกลับพบว่าไม่มีประโยชน์มากนักมีแต่การสร้างภาพให้จบๆ กันไป ยิ่งไปกว่านั้น การจัดอีเว้นท์ต่อต้านการทุจริตก็มีผลประโยชน์เชิงธุรกิจ บางคนที่ออกมารณรงค์ต่อต้านการทุจริตก็มีปัญหาแตกแยกในครอบครัว ความไม่ซื่อสัตย์กันในครอบครัวแต่ออกมารณรงค์ให้คนอื่นซื่อสัตย์สุจริต โดยสรุปของผลวิจัยเชิงคุณภาพคือ ส่วนใหญ่รู้สึกหดหู่ อยากเห็นอัศวินขี่ม้าขาว อยากเห็น “คนดีและเก่ง” มาปกครองบ้านเมืองแต่ยังหาไม่เจอตัวจริงเลยในสังคมไทย ทุกองค์กรแม้แต่ในกลุ่มที่น่าจะเป็นคนดีน่าเลื่อมใสศรัทธาแต่ก็มีปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ยักยอก ฉ้อโกง เงินบริจาคของประชาชนไปให้กับตนเองและพวกพ้องคนใกล้ชิด

เมื่อถามถึงหน่วยงานป.ป.ช. และป.ป.ท. พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเป็นหน่วยงานสำคัญและจำเป็นมากแต่ต้องการให้เร่งดำเนินการให้เป็นตัวอย่างที่ดีและทำให้ขบวนการทุจริตคอรัปชั่นหมดไปจากสังคมไทยให้ได้ด้วยบทลงโทษที่รุนแรงสูงสุด แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ป.ป.ท. เพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นหน่วยงานที่สร้างความหวังในหมู่ประชาชนเรื่องการเปิดโปงขบวนการทุจริตงบภัยพิบัติแต่คนเปิดโปงก็ถูกโยกย้ายพ้นอำนาจโดยตรงในการตรวจสอบหลังจากนั้นบทบาทของ ป.ป.ท.ก็ไม่อยู่ในการรับรู้ของประชาชนมากพอที่จะสร้างความวางใจและพลังต่อต้านของสาธารณชนต่อรัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นได้ ดังนั้นทางออกที่น่าพิจารณาคือ

ประการแรก ต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นต้องเริ่มจากความซื่อสัตย์ของคนในครอบครัว พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีซื่อสัตย์ต่อกันและกันให้ลูกได้เห็น

ประการที่สอง คุ้มครองพยานและกลุ่มประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านขบวนการทุจริตคอรัปชั่นอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยติดตามดูแลความปลอดภัยของกลุ่มประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกมาแสดงตนต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นมิให้พวกเขาถูกรังแกจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลของนักการเมือง นายทุนและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ

ประการที่สาม รวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลทุกรัฐบาลเปิดเผยการใช้จ่ายงบประมาณบนเว็บไซต์ของทำเนียบรัฐบาลและสื่อมวลชนให้เห็นการกระจายของทุกเม็ดเงินในลักษณะให้สาธารณชนช่วยกันตรวจสอบแกะรอยเส้นทางการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลได้

ประการที่สี่ เสนอให้เพิ่มโทษรุนแรงสูงสุดต่อกลุ่มบุคคลสำคัญที่ทุจริตคอรัปชั่น และควรเร่งรัดไม่ปล่อยให้คดีหมดอายุความ ไม่ปล่อยให้ขบวนการทุจริตคอรัปชั่นลอยนวลอยู่อย่างสง่างามในสังคมไทย

ประการที่ห้า จัดตั้งกองทุนสร้างเสริมความซื่อสัตย์และกตัญญูรู้คุณแผ่นดินสนับสนุนกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชนและประเทศในการสนับสนุนเตรียมประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศให้มีคุณภาพทั้ง “ดีและเก่ง” ขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างจริงจังต่อเนื่อง

http://news.voicetv.co.th/thailand/66862.html

17 มี.ค.2556 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง จุดวิกฤตของปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในหมู่คนไทย จุดวิกฤตของประเทศและผลประโยชน์ของทุกคน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 10 ปีขึ้นไป ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,561 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 12-16 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 พบว่า

ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.0 เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า โกหกบ้างไม่เป็นไรเพื่อความอยู่รอด และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.3 เคยโกหกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.5 เห็นด้วยกับการเลี้ยงดูปูเสื่อรับรองคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการทำธุรกิจ และพฤติกรรมที่น่ารังเกลียดของคนไทยที่ค้นพบคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.6 เคยลัดคิวเพื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆ  นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.2 เคยให้สินบนสินน้ำใจตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อประโยชน์ของตนเองค่อนข้างบ่อยถึงบ่อยที่สุด

นอกจากนี้ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่ค้นพบคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.4 เคยลอกการบ้านหรือรายงานของเพื่อนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และที่น่าเป็นห่วงคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.9 เคยลอกข้อสอบ แอบดูคำตอบ แอบนำเนื้อหาเข้าห้องสอบอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหันมาพิจารณาพฤติกรรมในกลุ่มแม่พิมพ์ของชาติหรือคณะครู พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.3 เชื่อว่ามีการทุจริตจริงในการโกงข้อสอบสอบครูผู้ช่วย โดยตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.4 ระบุรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการต้องรับผิดชอบต่อกรณีทุจริตโกงข้อสอบสอบครูผู้ช่วย

ที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อพิจารณาข้อมูลที่ค้นพบในกลุ่มข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.2 เคยมีพฤติกรรมคอรัปชั่นขณะปฏิบัติงาน เช่น เคยทำงานส่วนตัว ออกไปทำธุระส่วนตัวในเวลาทำงานโดยไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.6 เคยคอรัปชั่นทรัพย์สินของสำนักงานเพื่อประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานอีกด้วย ในขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.7 เคยพบเห็นเคยรับรู้ว่าคนในหน่วยงานทุจริตข้อสอบเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.6 คิดว่าปัจจุบันมีการทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นกับทุกหน่วยงานราชการ

ส่วนที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.0 เห็นด้วยที่หน่วยงานที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นควรถูกตรวจสอบด้วย นอกจากนี้ ร้อยละ 38.5 ไม่รับรู้รับทราบผลงานของทั้ง ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. ในการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น ในขณะที่ร้อยละ 26.7 รับรู้ทั้งสองหน่วยงาน ร้อยละ 24.7 รับรู้รับทราบผลงานของ ป.ป.ช. มากกว่า และเพียงร้อยละ 10.1 เท่านั้นที่รับรู้ผลงานของ ป.ป.ท. มากกว่า

ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤตในปัญหาทุจริตคอรัปชั่นอย่างกว้างขวางเนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่อาจมองข้ามพฤติกรรมที่เป็นเชื้อแห่งการทุจริตคอรัปชั่นเล็กน้อยในวัยเด็กที่ปล่อยให้ลอกข้อสอบลอกการบ้านจนถึงกลุ่มผู้ใหญ่ที่ขาดความมีวินัยคอยแต่จ้องลัดคิวแซงคิว ปล่อยให้มีการเลี้ยงดูปูเสื่อคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง

การทุจริตในการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ขาดระบบคุณธรรมที่สุดท้ายส่งผลกระทบทำให้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นเติบโตอย่างกว้างขวาง เพราะผลวิจัยล่าสุดค้นพบว่า มีเชื้อแห่งพฤติกรรมการทุจริตคอรัปชั่นเริ่มขึ้นตั้งแต่ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา กลุ่มแม่พิมพ์ของชาติที่เป็นครูบาอาจารย์ กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานบริษัทเอกชน ซึ่งจะเห็นได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่กำลังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของการทุจริตคอรัปชั่นอย่างรุนแรง

ดังนั้น ผู้ใหญ่ในสังคมต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดี จึงขอเสนอทางออกที่น่าพิจารณา คือ

1.เรียกร้องให้รัฐบาลนำงบประมาณในการพัฒนาประเทศทั้งหมดเปิดเผยต่อสาธารณชนผ่านเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถแกะรอยการใช้จ่ายงบประมาณตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำของทุกเม็ดเงินจนถึงมือประชาชนและพื้นที่ของการพัฒนาเพื่อสร้างความวางใจของสาธารณชนต่อรัฐบาล (Trust in the Government)

2.เสนอให้แจกแจงรายละเอียดในใบเสร็จรับเงินค่าปรับต่างๆ ว่านำเงินค่าปรับเหล่านั้นไปใช้ทำอะไรบ้าง เช่น ส่งไปยังรัฐบาลกลางเพื่อพัฒนาประเทศ บางส่วนส่งไปพัฒนาห้องสมุดประชาชน บางส่วนส่งให้กับหน่วยงานที่จับกุมผู้กระทำความผิด และบางส่วนนำไปพัฒนาท้องถิ่นที่พบผู้กระทำความผิดนั้นๆ เป็นต้น เพื่อสร้างความวางใจของสาธารณชนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ (Trust in the Public Officials)

3.การรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องสำคัญแต่ความรวดเร็วฉับไวในการคุ้มครองพยานที่กำลังถูกคุกคามในพื้นที่ที่มีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างรุนแรงน่าจะสำคัญกว่าเพราะมีหลายพื้นที่ของประเทศในเวลานี้ ประชาชนจำนวนมากอึดอัดกับพฤติกรรมการทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นแต่พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดที่ไม่มีหน่วยงานรัฐใดดูแลความปลอดภัยของพวกเขาได้อย่างจริงจังต่อเนื่อง

4.กระตุ้นให้ประชาชนใช้เทคโนโลยีจับการทุจริตคอรัปชั่นของคน เช่น เปิดไลน์ (LINE) ห้องปราบทุจริตคอรัปชั่น โซเชียลเน็ตเวิร์ค เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ สื่อสารมวลชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและรัฐบาลร่วมบูรณาการปราบปรามการเรียกรับผลประโยชน์และการทุจริตคอรัปชั่น

5.ทุกหน่วยงานของรัฐต้องมีระบบการคัดเลือกแต่งตั้งคนดีและเก่งขึ้นเป็นผู้นำหน่วยโดย “ขจัด” การแทรกแซงของฝ่ายการเมืองที่มักจะทำให้เกิดการวิ่งเต้น การซื้อขายตำแหน่งขึ้นในทุกหน่วยงาน ดังนั้นเสนอให้ใช้ระบบคุณธรรมที่ประกอบด้วยสามส่วนได้แก่ ผลงาน อาวุโส และการสอบเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง โดยผลงานต้องเป็นผลงานที่จับต้องได้เป็นที่ยอมรับของคนในหน่วยและเป็นที่พึงพอใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังต้องมีความอาวุโส และผ่านการสอบที่บริสุทธิ์ยุติธรรมตรวจสอบได้

“ถ้าปล่อยให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นอย่างกว้างขวางเช่นนี้ต่อไป ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นเอาไว้ได้ ผลที่ตามมาก็คือ ประเทศไทยและประชาชนทุกคนภายในประเทศคงจะพบกับความทุกข์ความเดือดร้อน ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นกับตนเองกับคนใกล้ชิดและสังคมโดยส่วนรวมอย่างถาวร” ดร.นพดล กล่าว.

http://www.dailynews.co.th/politics/191035

เอแบคโพลเผย ประชาชนส่วนใหญ่ รับได้รัฐบาลโกงแต่ได้ประโยชน์ พร้อมพอใจกองทัพวางตัว ขณะยังค้านการยึดอำนาจ

สำนักวิจัย เอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง คนไทยหัวใจประชาธิปไตย กับการยอมรับได้ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่น แต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย โดยสำรวจประชาชน อายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 68.7 พอใจบทบาทของกองทัพในขณะนี้ โดยร้อยละ 71.5 ไม่เห็นด้วย กับการยึดอำนาจเพราะจะทำให้วุ่นวายกว่าเดิม บ้านเมืองเสียหาย

อย่างไรก็ตาม ประชาชน ร้อยละ 63.4 ยอมรับได้ หากรัฐบาลทุจริตแล้วได้ประโยชน์ด้วย โดยพบว่ากลุ่มประชาชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ยอมรับในกรณีนี้ได้มากที่สุด ร้อยละ 68.2 และกลุ่มอาชีพที่ยอมรับเรื่องนี้ ได้มากที่สุด คือ กลุ่มนักเรียนนักศึกษา

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความไว้วางใจในรัฐบาลชุดนี้ ต่อการทุจริต พบว่าใกล้เคียงกันทั้ง ไว้ใจมาก และไว้ใจน้อย โดย ไว้ใจค่อนข้างมาก ร้อยละ 51.8 และไม่ไว้ใจเลย ร้อยละ 48.2

http://hilight.kapook.com/view/72327

น่าเป็นห่วง เอแบคโพล ชี้คนส่วนใหญ่ยอมรับการทุจริตคอรัปชั่นได้ ถ้าจะทำให้ตนเองได้รับประโยชน์ด้วย

20 กรกฏาคม 2555 เอแบคโพลล์ ได้เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ความต้องการของประชาชนต่อรัฐบาลชุดใหม่ ในการสร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง โดยได้สำรวจความคิดเห็นกรณี “รัฐบาลทุกรัฐบาลมีทุจริตคอรัปชั่นทั้งนั้น ถ้าทุจริตคอรัปชั่นแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรืองประชาชนกินดีอยู่ดี ตนเองได้รับประโยชน์ด้วย ก็พอยอมรับได้หรือไม่

ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า มีความคิดเห็นที่ “ยอมรับได้” มากกว่า “ยอมรับไม่ได้” ถึงครึ่งเท่าเลยทีเดียว หรือร้อยละ 64.5 ขณะที่รับไม่ได้ 35.5 นอกจากนี้ยังพบว่า เมื่อจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา ซึ่งเป็นผู้ได้รับการศึกษาที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศต่อไปในวันข้างหน้า กลับเป็นกลุ่มคนที่มีเปอร์เซ็นต์ยอมรับการทุจริตได้มากกว่ากลุ่มอาชีพอื่น ๆ

ส่วนในหัวข้อที่ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหมาะสมที่จะเป็นประธานรณรงค์สร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง อย่างจริงจังต่อเนื่อง หรือไม่นั้น พบว่า ร้อยละ 67.8 เห็นว่าเหมาะสม ส่วนอีก 32.2 ระบุว่า ไม่เหมาะสม

ในการนี้  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมไทย เพราะนี่คือสัญญาณเตือนภัยว่า คนไทยที่ได้รับการศึกษา กลับมีทัศนคติอันตรายมาก อันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นแล้วแม้คนจะได้รับการศึกษามากขึ้นเท่าไหร่ แต่การปลูกฝังเรื่องความซื่อสัตย์กลับดำเนินไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวต่อว่า ผลการสำรวจดังกล่าว ยังสะท้อนให้เห็นถึง “ความเห็นแก่ตัว” หรือ ผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องต้องมาก่อนผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยมองแต่เฉพาะสิ่งที่ตนเองจะได้เฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะถ้าพบเห็นคนอื่นทุจริตคอรัปชั่นก็จะเอาเรื่องเอาผิดถึงขั้นแจ้งความร้องเรียนดำเนินคดี แต่กับคนใกล้ชิดที่สนิทสนมด้วยก็จะปล่อยปะละเลยมองข้ามไป  นอกจากนี้ คนยิ่งรวยขึ้นยิ่งมีทัศนคติยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแล้วพวกเขาได้ผลประโยชน์ตามไปด้วย

http://hilight.kapook.com/view/61010

เมืองใหม่ที่สร้างเรียนแบบปารีสในจีน

เมืองใหม่ที่สร้างเรียนแบบปารีสในจีน

พบข่าวว่าเมืองใหม่ จำลองสถาปัตจากเมืองปารีส ฝรั่งเศส
ที่สร้างในเซียงไฮ้ เป็นเมืองใหญ่มาก และเป็นเมืองร้างแล้ว
หลังเปิดตัวยิ่งใหญ่เมื่อ 2550
ซึ่งอีกหลายชุมชนในจีนก็เข้าชะตากรรมเดียวกัน
เขาทำนายว่าฟองสบู่ในจีนใกล้แตกแล้ว

เคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับปารีส ต่อไปเปลี่ยนไปจีน
ก็น่าจะเห็นคล้ายกัน ไม่ต้องไปปารีสก็ได้ .. กระมัง

http://news.voicetv.co.th/global/77613

AFP บอกไทยไม่ใช่เมืองแห่งรอยยิ้ม อีกวันแบดไทยไปมวยโลก

http://www.youtube.com/watch?v=nF5KkWvqBhI

นักแบดมินตันไทยไล่ต่อยกันกลางสนามแข่ง
http://news.tlcthai.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2/170966.html
ใน “โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น 2013” วันที่ 20 กรกณาคม 2556
http://shows.voicetv.co.th/voice-news/76268.html

canada open 2013
canada open 2013

AFP = Agence France Presse เป็นสำนักข่าวของฝรั่งเศส
ตีแผ่ประเทศไทย ไม่ใช่เมืองแห่งรอยยิ้มอย่างที่คิด

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
http://hilight.kapook.com/view/88841
19 กรกฎาคม 2556 สำนักข่าวเอเอฟพี ตีแผ่เรื่องราวด้านมืดของประเทศไทยว่า ประเทศไทยที่มีสมญานามว่า สยามเมืองยิ้ม นั้น บางครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะมีรายงานเกี่ยวกับอาชญากรรม การข่มขืน การชิงทรัพย์ ไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยเอเอฟพี ได้ระบุโดยสรุปว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มีชายหาดที่สวยงาม เหมาะแก่การนอนอาบแดด มีวัดวาอารามอร่ามเรือง และมีสถานบันเทิง-ร้านรวงสำหรับชีวิตยามค่ำคืนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนประทับใจกับการมาเยือนประเทศไทยมาก แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอีกหลายคน ประเทศไทยถือว่าเป็นดินแดนห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่า สวรรค์บนดิน อย่างที่หลายคนคาดหวัง

เพราะพวกเขาต้องเจอกับเหตุอาชญากรรม การชิงทรัพย์ การข่มขืน และอีกหลาย ๆ ปัญหาที่ทำให้การมาเที่ยวเมืองไทยไม่ได้สนุกอีกต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการชิงทรัพย์ หรือขูดรีด หากนักท่องเที่ยวคนไหนที่ชื่นชอบการดื่มแอลกอฮอล์ ท่องราตรี พวกเขาอาจจะต้องตื่นและสร่างเมาขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองถูกชิงทรัพย์ไปหมดเนื้อหมดตัว บางครั้งก็ต้องเจอการเก็บเงินค่าอาหารในราคาขูดรีดแบบสุด ๆ และบางครั้งก็เจอใบสั่งปรับจากตำรวจท้องถิ่นข้อหาจอดรถไม่ถูกที่ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ชาวต่างชาติเจอกันบ่อย ๆ

ด้านนายวอล บราวน์ อาสาสมัครชาวออสเตรเลียที่ทำงานร่วมกับตำรวจลาดตระเวนบนถนนอันเนืองแน่นในป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ได้เปิดเผยสิ่งที่เขาได้เจอในประเทศไทยว่า ที่เมืองแห่งรอยยิ้มนี้ มีนักท่องเที่ยวหลายคนโดนฉุด เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มีชาวอิตาลี 2 คน เดินโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลยเป็นเวลา 3 วัน เสื้อผ้าและเงินทั้งหมดก็ถูกขโมยไปด้วย สิ่งที่ติดตัวพวกเขามีอย่างเดียวก็คือกางเกงใน การชิงทรัพย์ชาวต่างชาติเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ที่ภูเก็ต และผู้ที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ในที่เปลี่ยวยามค่ำคืนมักจะตกเป็นเป้าหมายของโจรเหล่านี้

และที่ร้ายแรงไปกว่านั้น คือ นักท่องเที่ยวบางรายต้องเผชิญกับอาชญากรรมที่รุนแรงถึงชีวิต อย่างเช่นเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว หญิงชาวออสเตรเลียวัย 59 ปี รายหนึ่ง ก็ถูกโจรโหดฆ่าชิงทรัพย์ ซึ่งคดีนี้ลงเอยที่โจรผู้ก่อเหตุต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง ก็มีชาวอเมริกันรายหนึ่งถูกคนขับรถแท็กซี่ฆ่าตาย หลังจากที่ทะเลาะวิวาทกันเรื่องค่าโดยสาร

นอกจากนี้ ความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทยนั้นยังอยู่ในระดับที่น้อยมาก ที่ผ่านมามีชาวต่างชาติไม่น้อยที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จากการโดยสารรถราสาธารณะในไทย

จากปัญหาหลาย ๆ อย่างข้างต้น ชาวต่างชาติหลายคนได้เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า พวกเขาหวังเหลือเกินว่าปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขปรับปรุง โดยนายเดวิด ลิปแมน หัวหน้าคณะผู้แทนอียู ได้กล่าวว่า เขาหวังว่าทางการไทยจะจัดการปัญหาเหล่านี้ให้ลดน้อยลง หลายคนที่มาเยือนไทย อย่างไปภูเก็ต พวกเขาอยากจะมีช่วงเวลาที่มีความสุขที่นั่นและไม่ต้องเผชิญปัญหาใด ๆ แต่ ณ วันนี้ ปัญหาต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่

siam did not smile
siam did not smile

วิธีจัดการกับโทสะด้วยการเจริญสติ