8 มี.ค.54 มีน้องชายเคยถามผมว่าไปหาข้อมูลใน fb จะพบได้อย่างไร (ก็ผมเคยเก็บข้อมูลในรูปของ note ใน fb นี่ครับ) .. ตั้งแต่นั้นผมก็เริ่มสังเกตเพื่อน และทำให้ผมรู้ว่า การเขียน note ใน facebook.com ไม่มีความหมาย มีปัญหา 2 ประการ คือ ตัวเองสืบค้น note ของตัวเองยังหาได้ยาก และ google.com ไม่สามารถเข้าถึง note ของเราได้เหมือนบทความที่อยู่ในเว็บไซต์หรือบล็อก .. ถ้าจะทำอะไรที่มีความหมาย ก็ต้องเลิกให้ความสำคัญกับ fb เพราะ ผู้คนที่เข้า fb มักใช้เวลางานเพื่อผ่อนคลายมากกว่าจะใช้ fb เพื่อทำงาน .. เป็นความเชื่อว่า fb เป็นเพียงแฟชั่นคล้าย hi5 เพราะมีเครื่องมืออีกมายมายที่ไปถึงเป้าหมายได้เร็ว และตรงกว่าการใช้ fb แต่ fb เป็นทางอ้อม ซึ่งบางครั้งอ้อมซะจนไปไม่ถึงเป้าหมายก็มี .. แต่ความชอบผ่อนคลายของมนุษย์ ทำให้พยายามให้เห็นผลดี ๆ กับ fb ที่จะนำมาใช้ในการทำงาน ทำให้หลายคนคิดว่า fb คือ ทางออกทั้งเรื่องงาน และการผ่อนคลายที่มีประสิทธิภาพทั้ง 2 เรื่อง
Category: สังคม วัฒนธรรม เกษตร
สังคม วัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิ่น ศาสนา ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิต
จังหวัดบึงกาฬ
จังหวัดบึงกาฬผ่านมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2553 ให้เป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ซึ่งเริ่มมีการยื่นคำร้องขอให้จัดตั้งขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งให้เรียบร้อย จึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์
จังหวัดบึงกาฬผ่านมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2553 ให้เป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ซึ่งเริ่มมีการยื่นคำร้องขอให้จัดตั้งขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งให้เรียบร้อย จึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์
เหตุผลในการตั้งจังหวัดที่ 77 มีดังนี้
– จังหวัดบึงกาฬ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ในเรื่อง อำเภอ จำนวนประชากร และลักษณะพิเศษของจังหวัด อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อการให้บริการแก่ประชาชน
– เนื้อที่และสภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดหนองคาย ก่อนแยกออกมาเป็นจังหวัดบึงกาฬนั้น เป็นพื้นที่แนวยาวทอดตามลำน้ำโขง มีเส้นทางคมนาคมจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกเป็นระยะทาง 350 กิโลเมตร จึงส่งผลต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนได้ง่าย
– จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอำนาจเจริญ ที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็มีเนื้อที่น้อยกว่าหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเช่นกัน
– นอกจากนี้ จังหวัดบึงกาฬ ไม่ใช่หน่วยงานที่ดำเนินกิจการบริการสาธารณะ ซ้ำซ้อนกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่กระทบต่อแนวทางการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่อย่าง ใด
– ส่วนเรื่องบุคลากร ที่มีอยู่จำนวน 439 อัตรา ก็สามารถกระจายกันภายในส่วนราชการได้ จึงไม่เป็นผลกระทบและภาระต่องบประมาณของประเทศมากนัก
ประวัติ อ.บึงกาฬ หรือ ว่าที่ จังหวัดบึงกาฬ
อำเภอบึงกาฬเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดหนองคาย อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 136 กิโลเมตร มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เดิมอำเภอบึงกาฬ มีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่ง ขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ.2482
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.สัดส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไป
ต่อมา ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ
ที่ตั้งและอาณาเขต
* ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
* ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอบุ่งคล้า
* ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอเซกา อำเภอศรีวิไล อำเภอพรเจริญ และอำเภอโซ่พิสัย
* ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปากคาด
เขตการปกครองแบ่งเป็น 12 ตำบล 131 หมู่บ้าน
1. บึงกาฬ (Bueng Kan) 11 หมู่บ้าน
2. โนนสมบูรณ์ (Non Sombun) 13 หมู่บ้าน
3. หนองเข็ง (Nong Kheng) 11 หมู่บ้าน
4. หอคำ (Ho Kham) 14 หมู่บ้าน
5. หนองเลิง (Nong Loeng) 13 หมู่บ้าน
6. โคกก่อง (Khok Kong) 9 หมู่บ้าน
7. นาสวรรค์ (Na Sawan) 9 หมู่บ้าน
8. ไคสี (Khai Si) 10 หมู่บ้าน
9. ชัยพร (Chaiyaphon) 13 หมู่บ้าน
10. วิศิษฐ์ (Wisit) 13 หมู่บ้าน
11. คำนาดี (Kham Na Di) 8 หมู่บ้าน
12. โป่งเปือย (Pong Pueai) 7 หมู่บ้าน
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AC
http://article.konmun.com/77-know509.htm
อัตราเงินเฟ้อกับการปรับค่าจ้าง 2553 และ 2554
5 มี.ค.54 การปรับค่าจ้างแรงงาน มีการนำอัตราเงินเฟ้อมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณา แสดงว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งข้อมูลและข่าวแสดงให้เห็นว่าถ้าอัตราเงินเฟ้อสูง การปรับค่าจ้างแรงงานก็ควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังข่าว “ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเทียบเฟ้อย้อนหลัง10ปี” หรือจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้วิเคราะห์และเขียนรายงานไว้อย่างละเอียดถึงที่มาของอัตราเงินเฟ้อในแต่ละไตรมาส โดยมีข้อมูลย้อนหลังมากกว่า 10 ปี ซึ่งสรุปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อต.ค.53 และทำนายต.ค.54 อยู่ที่ประมาณ 3.5 ดังภาพ
เงินเฟ้อ (Inflation) หมายถึง สถานการณ์ที่ระดับราคาหรือดัชนีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเกิดภาวะนี้แสดงว่า ไม่มีเสถียรภาพทางด้านราคา เป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่ใช้วัดภาวะค่าครองชีพของประชาชน กล่าวคือ ถ้าเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น แสดงว่า อำนาจซื้อของเงินจะลดลง หรือกล่าวอีกนัยคือ รายได้ของประชาชนเท่าเดิมจะซื้อสินค้าหรือบริการได้น้อยลง
อัตราเงินเฟ้อ (Inflation rate) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาของปีปัจจุบันเปรียบเทียบกับดัชนีราคาของปีก่อน หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงที่เปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกัน การวัดอัตราเงินเฟ้ออาจวัดด้วยด้วยดัชนีราคาผู้ผลิต (producer price index: PPI หรือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index: CPI) หรือ GDP deflator แต่โดยทั่วไป รวมทั้งของประเทศไทยใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นตัววัดภาวะเงินเฟ้อ
http://www.eco.ru.ac.th/tawin/education/edu2.htm
สรุปง่าย ๆ ได้ว่า ถ้าอัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 10 หมายความว่าของชิ้นหนึ่ง เคยถูกซื้อด้วยเงิน 100 บาท แต่ถ้าเกิดเงินเฟ้อขึ้นก็ต้องใช้เงินถึง 110 บาท
ถ้าต้องการรักษาความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคให้เท่าเดิม ก็ต้องเพิ่มเงินให้อีกร้อยละ 10 เพื่อให้เงินที่เขามีอยู่มีค่าเท่าเดิม
ตัวอย่างเช่น เมื่อ 30 ปีก่อน ผู้เขียนซื้อก๋วยเตี๋ยวถ้วยละ 3 บาท เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อปีละเล็กละน้อย ปัจจุบันต้องใช้เงิน 30 บาทซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ปริมาณเท่ากับที่เคยซื้อเมื่อ 30 ปีก่อน .. ถ้าใช้เงิน 3 บาทที่มีเมื่อ 30 ปีก่อนและไม่มีการเพิ่มเงินตามอัตราเงินเฟ้อ นำเงิน 3 บาทมาซื้อก๋วยเตี๋ยวในปัจจุบัน อาจได้ลูกชิ้นเพียงครึ่งลูกเท่านั้น
http://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/Inflation/Pages/index.aspx
http://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/Inflation/Documents/0IR_281010.pdf
หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด
5 มี.ค.54 หลวงตามหาบัวแห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด)
ละสังขารแล้วเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2554 เวลา 03.53 น. สิริรวมอายุ 98 ปี หลังอาพาธด้วยอาการปอดติดเชื้อมาเป็นเวลานาน ในเวลาต่อมาชาวพุทธเข้าสักการะสรีระสังขารหลวงตามหาบัว ณ วัดป่าบ้านตาด และร่วมพิธีพระราชทานเพลิงในวันที่ 5 มี.ค.2554 เริ่ม 13.00น.
คำสั่งเสีย “มือของครูอาจารย์ กับมือของลูกศิษย์ลูกหา ญาติมิตรเพื่อนฝูง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ไว้ใจกันได้” และมีคำสั่งเสียอื่น อาทิ ใช้หีบไม้ และไม่สร้างเจดีย์ .. เป็นธรรมทานให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้สัจธรรม .. คล้ายกับพระพุทธทาส
http://www.atnnonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=26828:2011-03-03-15-26-35&catid=83:variety&Itemid=77
http://www.thairath.co.th/today/view/153594
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJNU5qUXdNREV5TVE9PQ==
สูตรรวยเจ้าพ่อ คอม-ลิงค์ ศิริธัช โรจนพฤกษ์
ข่าวจาก bangkokbiznews.com สูตรรวยเจ้าพ่อ คอม-ลิงค์ ศิริธัช โรจนพฤกษ์
ศิริธัช โรจนพฤกษ์ เจ้าพ่อคอม-ลิงค์ สอนวิธี ‘รวย’ ฉบับมือใหม่ ‘ให้เงินทำงาน’ ด้วยการซื้อหุ้นปันผลสูงกว่าดอกเบี้ย และขายเมื่อขึ้นมา 2-3 เท่า
นานทีปีหนที่ ศิริธัช โรจนพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอม-ลิงค์ จำกัด จะออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามักถูกพูดถึงในทำนอง “มิสเตอร์ Shadow” เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้น (ร้อน) หลายบริษัทโดยเฉพาะในยุคที่ บล.บีฟิท (BSEC) รุ่งเรืองซึ่งในอดีตโบรกเกอร์แห่งนี้ถือเป็นแหล่งชุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ ปัจจุบันศิริธัชยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บง.กรุงเทพธนาทร (BFIT) บริษัทแม่ของ “บล.บีฟิท”
ต่อมาปี 2549 เจ้าพ่อคอม-ลิงค์ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลัง วรเจตน์ อินทามระ และ สมโภชน์ อาหุนัย เข้าเทคโอเวอร์ บมจ.ซีฮอร์ส (SH) ก่อนจะเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจจากอาหารทะเลแช่แข็งมาทำธุรกิจพลังงานทดแทนใน ชื่อบริษัทใหม่ บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE) จากนั้นศิริธัชค่อย ๆ ก้าวออกมาอยู่เบื้องหน้าในฐานะ “เจ้าของตัวจริง” และลามือจาก “หุ้นร้อน” เกือบหมดสิ้น
ปัจจุบันเขาและกลุ่มคอม-ลิงค์ ยังถือหุ้นใหญ่อาคารไอทาวเวอร์ (อาคารฐานเศรษฐกิจเดิม) เป็นเจ้าของเว็บไซต์อีไฟแนนซ์ไทยดอทคอม และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) ผ่านบริษัท ปรีดาปราโมทย์ จำกัด ก่อนจะมีการโอนขายหุ้นไปอยู่ในชื่อ มยุรี สุขศรีวงศ์ เมื่อปลายปี 2551
ในขณะที่กลุ่มคอม-ลิงค์ เป็นแหล่งรวมของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ของเมืองไทยมีผู้ถือหุ้นได้แก่ กลุ่มโรจนพฤกษ์ 18.62% กลุ่มสันติ ภิรมย์ภักดี 17.5% กลุ่มสุขศรีวงศ์ 14.45% ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล 8.34% ธนาคารกสิกรไทย 6.25% ตระกูลอดิเรกสาร 8.76% และตระกูลล่ำซำ 5.2% เป็นต้น
เมื่อ 2-3 ปีก่อนกลุ่มคอม-ลิงค์ มีเงินลงทุนในตลาดหุ้นสูงกว่า 4,000 ล้านบาท ช่วงนั้นศิริธัชเปิดตัวต่อสื่อมวลชนครั้งแรกมีนักข่าวถามเขาว่า พอร์ตการลงทุนของกลุ่มโรจนพฤกษ์ และกลุ่มคอม-ลิงค์ มีมูลค่าเท่าไร
ศิริธัช กล่าวว่า “ไม่ขอตอบ” เดี๋ยวจะหาว่า “ผมขี้โม้” (ฟังแล้วอาจไม่เชื่อ) แต่บอกได้คร่าวๆ ว่า มีการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยในต่างประเทศจะเน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม เนื่องจากสามารถเก็บกินผลประโยชน์ได้ในระยะยาว รวมทั้งได้ลงทุนในมหาวิทยาลัยโยนก จังหวัดลำปาง ซึ่งล่าสุดได้ขายใบอนุญาตประกอบกิจการให้กับเครือเนชั่น และกลุ่มเสริมสิน สะมะลาภา ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “มหาวิทยาลัยเนชั่น”
“หากคุณอยากร่ำรวยเหมือนผมจงให้เงินทำงาน อย่าให้มันนอนนิ่ง ๆ” ศิริธัชกล่าว ล่าสุดเขากำลังปลุกปั้น บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE) มีแผนผลิตเอทานอล 6.5 แสนลิตรต่อวัน มูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 5,950 ล้านบาท
เจ้าพ่อคอม-ลิงค์ กล่าวว่า คุณรู้หรือไม่ทุกวันนี้ที่ผมร่ำรวยไม่ได้เป็นเพราะผมเก่ง แต่มันเกิดจาก “ความเฮง” ล้วนๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ “บุญวาสนา” ต่อให้เก่งมากขนาดไหนแต่ไม่มีวาสนาเลยชีวิตคุณก็คงไปไม่ถึงดวงดาว
คำแนะนำของเศรษฐีรุ่นใหญ่วัย 65 ปีรายนี้บอกเล่าถึงวิธี “รวยหุ้น” ให้กับมือใหม่ว่า หาก มีเงินเย็นๆ อยู่ในมือให้เอาไปซื้อหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงกว่าดอกเบี้ย หรือไปซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องรอให้ราคาปรับตัวลงมาแล้วค่อยเข้าไปซื้อ เขายกตัวอย่างหุ้นราคา 100 บาท ถ้าได้รับปันผลปีละ 5 บาท แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว
“ซื้อแล้วไม่ใช่ปล่อยให้มันนอนแช่นิ่งๆ ต้องดูแลมันด้วย ถ้าราคาหุ้นขึ้นไป 2-3 เท่าจากต้นทุนก็ควร “ขายออก” แล้วกำเงินสดไว้เพื่อรอจังหวะนำไปลงทุนอย่างอื่นต่อไป…ผมเรียกมันว่า “เงินต่อเงิน” เงินมันต้องทำงานอย่าให้มันนั่งนอนอยู่เฉยๆ” เขาเผยเคล็ดลับ
ศิริธัชบอกว่าพนักงานในบริษัทของเขาส่วนใหญ่จะเคยฟังเขาปฐมนิเทศเกี่ยว กับเคล็ดลับความร่ำรวยเสมอๆ เจ้าตัวไม่ขอตอบคำถามการลงทุนในส่วนอื่นๆ และหลีกเลี่ยงที่จะแนะนำหุ้นรายตัว โดยบอกเพียงว่า “ไปหาซื้อหุ้นที่มีคุณลักษณะตามที่ผมบอก (จ่ายเงินปันผลสูงกว่าดอกเบี้ยและมีสภาพคล่อง) เดี๋ยวก็ได้พบเจอกับคำว่า “รวย” อีกอย่างถ้าพูดว่าหุ้นตัวไหนจะดี คนเขาก็หาว่าผมปั่นหุ้น พอบอกว่าตัวไหนไม่ดีก็หาว่าผมทุบหุ้น”
ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่ชื่อของเขาหลุดเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นร้อนหลาย บริษัทแต่ศิริธัชก็ไม่เคยออกมาแก้ข่าวหรือโต้ตอบใดๆ เขากล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งจะบอกเสมออย่าพูดอะไรจะดีกว่า ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เองดูอย่างเรื่องที่ผมอยากทำโรงงานผลิตเอทา นอลตอนนั้นคนก็ไม่เชื่อนะ (คิดว่าปั่นหุ้น) แต่วันนี้เห็นแล้วว่าผมทำจริงและแสงสว่างปลายอุโมงค์ก็เกิดขึ้นแล้ว
เศรษฐีรายนี้เชื่อเรื่องบุญกรรมและชอบทำบุญเป็นประจำเขาเชื่อว่าที่ร่ำ รวยมาได้ทุกวันนี้เป็นเพราะ “พระท่านให้พร” บวกกับได้สะสมบุญบารมีมาตลอดชีวิต ทุกครั้งที่จะพูดหรือทำอะไรผมจะคิดเสมอว่าขอให้บุคคลเหล่านั้นเข้าใจในสิ่ง ที่เราพูด ในทุกๆ วันเขาจะนั่งสมาธิวันละ 2 เวลา ช่วงเช้าและก่อนนอนครั้งละ “ครึ่งชั่วโมง”
“ผมหัดนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ผมเคยเดินสมาธิจากถนนสามเสนไปแถวสนามหลวง หายใจเข้าออกพุทโธ ฝึกจิตให้อยู่กับตัวเราตลอดเวลา นี่ตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิวันละ 3 เวลา ครั้งละ 5 นาที ตามที่พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร (เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล วัย 91 ปี) สั่งสอน”
ศิริธัชเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของหลวงพ่อวิริยังค์ เจ้าตัวบอกว่า เดี๋ยววันที่ 20 มีนาคม 2554 นี้ ท่านจะมาสอนฝึกพลังจิตพระอาจารย์บอกว่าหากเราทุกคนมีพลังจิตอยู่ในตัวมันจะ เหมือนฝากเงินไว้ในธนาคารเราสามารถจะถอนออกมาใช้ได้ พลังจิตจะทำให้ร่างกายสดชื่น…ผมเชื่อว่าหากเราทุกคนมีพลังจิตจะทำอะไรก็ ประสบความสำเร็จ
EE (Ethanol Energy) เริ่มมีกำไรสุทธิ ปี 2557
โครงการผลิตเอทานอลของ บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE) ก่อสร้างบนพื้นที่ 1,500 ไร่ ในอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี โรงงานจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2555
บริษัท แคปปิตอล พลัส แอดไวซอรี่ จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ได้ประมาณการรายได้และกำไรสุทธิของ EE บนสมมติฐานปี 2556 ใช้กำลังการผลิต 65% และช่วงปี 2557-2563 ใช้กำลังการผลิตที่ 70% โดยในปี 2554-2555 บริษัทจะมีรายได้จากการขายมันสำปะหลังปีละ 22 ล้านบาท โดยจะเริ่มมีรายได้จากการผลิตเอทานอลในปี 2556 จำนวน 1,988 ล้านบาท แต่ผลการดำเนินงานยัง “ขาดทุน” ในช่วง 3 ปีนี้ (2554-2556)
ในปี 2557 อีเทอเนิล เอนเนอยีจะ เริ่มมีกำไรสุทธิเป็นปีแรกประมาณ 300 ล้านบาท บนประมาณการรายได้ก้าวกระโดดเป็น 4,435 ล้านบาท บนสมมติฐานระยะเวลาในการคืนทุน 8.35 ปี อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (IRR) ที่ 17.25% บนประมาณการราคาขายเอทานอลเฉลี่ยอยู่ที่ลิตรละ 28.52 บาท
ศิริธัช โรจนพฤกษ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี เชื่อว่าอนาคตบริษัทจะสดใส เผลอๆ จะทำได้ดีกว่าที่บริษัท แคปปิตอล พลัส แอดไวซอรี่ ประมาณการไว้ด้วย เพราะที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเขาประเมินผลประกอบการเพียงแค่ 70% ส่วนตัวคิดว่า 100% เราทำได้มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร ตลาดในประเทศเราก็มีลูกค้าอยู่แล้ว ล่าสุดก็เซ็นสัญญาขายเอทานอลให้กับ ปตท. ขณะที่ตลาดต่างประเทศอย่างจีน ก็เล็งจะส่งไปขายด้วย
“เราใช้เวลาหลายปีในการศึกษาโครงการนี้ ผมจึงมั่นใจว่าดีแน่นอน ถามว่าที่ผ่านมาเหนื่อยมั้ย! ผมว่ามันกำลังจะเริ่มเหนื่อยมากกว่า ธุรกิจที่ทำมันมีความเสี่ยงก็จริงแต่มันเสี่ยงน้อยที่สุด และคุ้มค่ามากด้วย” ศิริธัช มั่นใจสุดๆ
เขาบอกว่า ผลการศึกษาของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระถ้าราคาขายเอทานอลเฉลี่ยอยู่ที่ลิตร ละ 27.09 บาท ผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ที่ 13.26% ต่อปี ระยะเวลาคืนทุน 10 ปี ถ้าราคาขายอยู่ที่ลิตรละ 28.52 บาท จะได้ผลตอบแทนปีละ 17.25% คืนทุนในเวลา 8.35 ปี แต่ถ้าราคาขายขึ้นไป 29.94 บาทต่อลิตร ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 20.83% ต่อปี คืนทุนใน 7.3 ปี
เจ้าพ่อคอม-ลิงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE) กำลังจะดีขึ้นตามลำดับ เพราะผมตั้งใจกับมันมาก (ลากเสียงยาว) ถ้ารักแล้วรอหน่อยเถอะครับ!
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20110301/379604/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C-%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%8A-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C.html
http://www.toro.in.th/1299/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5.html
การสร้างความคุ้มค่าให้กับนักศึกษา
มีคำถามว่า .. จะสร้างความคุ้มค่าให้กับนักศึกษาปัจจุบันได้อย่างไร
.. น่าจะหมายถึง ทำอย่างไรให้นักศึกษารู้สึกว่าเรียนแล้วได้รับมากกว่าที่จ่ายไป
.. เมื่อจบแล้ว ก็ต้องไปทำงาน นายจ้างจะเลือกรับเฉพาะบัณฑิตที่มีค่า คุ้มกับค่าจ้าง
.. ตอบง่าย ๆ .. ว่า ถ้าจบแล้วหางานง่าย แสดงว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้เรียน
.. ถ้าเรียนแล้วมี 12 ลักษณะนี้ติดตัวไป(จริง) ซึ่งเป็นลักษณะของบันฑิตพึงประสงค์ของสังคม
.. ก็เชื่อว่านักศึกษาจะรู้สึกว่าคุ้มค่า เพราะเป็นเกณฑ์ตามวุฒิ (ด้านคอมพิวเตอร์) ที่ถูกยอมรับ
.. คำถามง่าย ๆ คือ มีแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมอะไร ที่จะตอบแต่ละลักษณะต่อไปนี้
.. ที่สำคัญ .. ลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ของสาขาหนึ่ง ย่อมต่างกับอีกสาขาอย่างแน่นอน ..
===
มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์
คุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์
(๑) มีคุณธรรม จริยธรรม ถ่อมตนและทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี รับผิดชอบต่อตนเอง วิชาชีพและสังคม
(๒) มีความรู้พื้นฐานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติอยู่ในเกณฑ์ดี สามารถประยุกต์ได้อย่างเหมาะสม ในการประกอบวิชาชีพ และศึกษาต่อในระดับสูง
(๓) มีความรู้ทันสมัย ใฝ่รู้ และมีความสามารถพัฒนาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนางานและพัฒนาสังคม
(๔) คิดเป็น ทำเป็น และเลือกวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบและเหมาะสม
(๕) มีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น มีทักษะการบริหารจัดการและทำงานเป็นหมู่คณะ
(๖) รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
(๗) มีความสามารถการใช้ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศในการสื่อสารและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดี
(๘) มีความสามารถวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ ออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ ให้สามารถแก้ไขปัญหาขององค์กรหรือบุคคลตามข้อกำหนด ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้อง กับสภาพแวดล้อมการทำงาน
(๙) สามารถวิเคราะห์ผลกระทบของการประยุกต์คอมพิวเตอร์ต่อบุคคล องค์กร และสังคม รวมทั้งประเด็นทางด้านกฎหมายและจริยธรรม
(๑๐) มีความสามารถเป็นที่ปรึกษาในการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร
(๑๑) มีความสามารถบริหารระบบสารสนเทศในองค์กร
(๑๒) มีความสามารถในการพัฒนาโปรแกรมขนาดเล็กเพื่อใช้งานได้
===
มาตรฐานผลการเรียนรู้ ควรสะท้อนคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ได้
ประกอบด้วย
(๑) คุณธรรม จริยธรรม
(๒) ความรู้
(๓) ทักษะทางปัญญา
(๔) ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
(๕) ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ปฏิทินเหตุการณ์ .. เชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าว
21 ก.พ.54 จากการค้นข้อมูลปฏิทินเหตุการณ์ พบข่าวหลายข่าวจากหลายเว็บไซต์ ตัวอย่างหนึ่ง คือ การเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวล่วงหน้า ใน งานแถลงข่าวจัดตั้งบริษัท เนชั่นยู จำกัด หรือ “Nation U Co.,Ltd.” ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการศึกษา
มีรายละเอียดว่า บริษัท เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนร่วม งานแถลงข่าวจัดตั้งบริษัท เนชั่นยู จำกัด หรือ “Nation U Co.,Ltd.” ซึ่ง ดำเนินธุรกิจด้านการศึกษา โดยมีรายละเอียดดังนี้ วันแถลงข่าว : จันทร์ 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา : 10.30 -12.00 น. สถานที่ : ห้องปทุมมา ชั้น 2 โรงแรมสยามเคมปินสกี้ ผู้บริหารแถลง ข่าว : คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป และคุณสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการ เครือเนชั่น
จึงขอเรียนเชิญท่านหรือผู้แทนเข้าร่วมงานแถลงข่าว ตามวันและเวลาดังกล่าว พร้อมกับเรียนเชิญร่วมรับประทานอาหารกลางวัน (Cocktail) หลังจบการแถลงข่าว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับเกียรติจากท่านด้วยดีเช่นที่ผ่านมา ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ ฝ่ายสื่อสาร องค์กร บริษัท กรุงเทพธุรกิจมีเดีย จำกัด
.. คุณปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์ โทรศัพท์ 0-2338-3383-4 มือถือ 081-4313886
.. คุณวนิดา วินิจจะกูล โทรศัพท์ 0-2338-3383-4 มือถือ 081-3414799
+ http://www.cpallnews.com/forum/default.aspx?g=posts&t=362
+ http://www.bangkokbiznews.com/home/news/pr-center/detail-news.php?id=9575
+ http://www.ryt9.com/s/prg/1091745
+ http://www.kodmhai.com/m4/m4-19/New1/N3.html
+ http://202.143.144.52/newchon53/manual/book_school_changename.pdf
อีบุ๊คกับห้องสมุดเสมือนจริง (itinlife280)
18 ก.พ.54 ห้องสมุดคือสถานที่ที่มีหนังสือให้อ่าน เคยเป็นแหล่งความรู้หลักของมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด หาข้อมูลอะไรก็ต้องไปที่ห้องสมุด เพราะเป็นแหล่งข้อมูลเดียวที่ผู้คนในอดีตนึกถึง สำหรับห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดเชื่อว่าสร้างในสมัยของกษัตริย์ Ashurbanipal แห่งอาณาจักรอัสซีเรีย ประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อโลกมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและความรู้ถูกเปิดเผยเพิ่มขึ้น องค์ความรู้ใหม่ถูกค้นพบ แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือ ในสื่อที่หลายหลาย อาทิ เสียง วิดีโอ ภาพถ่าย โปสเตอร์ และโมเดลเสมือนจริง
ปัจจุบันการค้นหาข้อมูลโดยนักเรียน นักศึกษา มักอาศัยการสืบค้นจากเว็บไซต์ google.com ซึ่งผลการค้นหามักได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการ แม้จะตอบความพึงพอใจของผู้สืบค้นได้ไม่ถึง 100% แต่เป็นแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และมีปริมาณมากที่สุด เด็กนักเรียนของโรงเรียนอนุบาลลำปางมักได้รับมอบหมายให้ทำโครงงานปีละหลายชิ้น ก็ใช้บริการสืบค้นบนอินเทอร์เน็ตและคัดลอกข้อมูลมาใส่ใน word หรือ powerpoint หรือบอร์ดนำเสนองาน อาจกล่าวได้ว่ามีข้อมูลในรูปสื่อผสมที่นอกเหนือจากห้องสมุดแล้วก็ยังมีให้เข้าถึงได้ง่ายบนอินเทอร์เน็ต แต่ระดับความลึก และความน่าเชื่อถือของข้อมูลในบางหัวข้อก็เชื่อมโยงกับลิขสิทธิ์และการเผยแพร่ของเจ้าของข้อมูล อาทิ ประวัติส่วนตัวของท่าน โปรแกรมที่ท่านพัฒนาขึ้น หรือข้อมูลการเงินของลูกหนี้ธนาคารแต่ละแห่งที่ไม่เหมาะจะเผยแพร่แบบไม่มีการควบคุม
สารสนเทศ สื่อผสม หรือหนังสือที่มีอยู่ใน google.com อาจพัฒนาให้อยู่ในรูปของหนังสือเสมือนจริง หรืออีบุ๊คที่ถูกเปิดอ่านได้คล้ายกับหนังสือจริง สามารถพลิกไปทีละหน้า มีที่ขั้นหนังสือ มีป้ายแถบสีเน้นข้อความสำคัญ ซึ่งอุปกรณ์ที่พัฒนาให้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน iPad จาก apple.com ที่รับคำสั่งผ่าน touch screen น้ำหนักเบา พกพาสะดวก สามารถอ่านหนังสือจาก SD Memory หรือดาวน์โหลดหนังสือออนไลน์จากสำนักพิมพ์โดยตรง อาทิ อ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์จาก thedaily.com มีค่าใช้จ่าย $39.99 ต่อปี เชื่อว่าในอนาคตห้องสมุดจะมีบทบาทลดลง และถูกแทนที่ด้วยห้องสมุดเสมือนจริง ดังที่พบว่าห้องสมุดที่ทันสมัยจะจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตแล้ว
+ http://en.wikipedia.org/wiki/Ashurbanipal
+ http://www.thaiall.com/e-book
ผู้รับใบอนุญาตพบบุคลากรมหาวิทยาลัยโยนก
15 ก.พ.54 อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย และ อ.ศศิวิมล แรงสิงห์ และผม ไม่มีคำถามหลังการรับฟัง ดร.ศิริธัช โรจนพฤกษ์ ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัย พบปะพูดคุยกับบุคลากรของมหาวิทยาลัย เรื่องการเปลี่ยนแปลง (Change) พร้อมทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่จะเข้ามาร่วมในการบริหารมหาวิทยาลัยยุคต่อไป ได้แก่ คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ จากเครือเนชั่น และคุณเสริมสิน สมะลาภา นายกสภามหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ และคุณสุทธิชัย หยุ่น ที่ยินดีเข้ามาพัฒนามหาวิทยาลัยโยนกให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น หลังการประชุมได้ทานข้าวร่วมกับบุคลากร อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งมหาวิทยาลัย
ช่วงบ่ายโมงทีมผู้บริหาร ได้พบปะพูดคุยกับกลุ่มนักศึกษาปัจจุบัน เพื่อชี้แจง และทำความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงในด้านการบริหารและอื่น ๆ เพื่อการพัฒนาต่อไป หลังจากนั้นได้เดินไปยังห้องต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย พบปะบุคลากรในหน่วยงานต่าง ๆ
ภาพบรรยากาศ และคลิ๊ปวิดีโอ byenior
งานบายเนียร์ (bye senior) และงานปัจฉิมนิเทศ (seminar) ในชื่องานราตรีแห่งดาว จัดโดยรุ่นน้องนักศึกษามหาวิทยาลัยโยนก เพื่อว่าที่บัณฑิตรุ่นที่ 20 ให้รุ่นพี่เตรียมพร้อมกับการออกไปใช้ชีวิตในสังคม และรับฟังวิทยากรให้ข้อคิดดี ๆ ที่ห้องกิ่งกนก โรงแรมเอเชีย วันที่ 11 ก.พ.2554 ซึ่งเป็นวันเรียนวันสุดท้ายของภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2554 วิทยากรประกอบด้วย พี่อาโก อ.นุช อ.แอร์ และอ.บอย เรียงจากซ้ายไปขวา
มีคลิ๊ปวิดีโอ 4 เรื่อง
http://www.facebook.com/album.php?id=100000232791032&aid=46263
http://www.facebook.com/album.php?id=100000963361034&aid=37158
http://www.facebook.com/album.php?aid=147094&id=814248894