สุดยอด 20 ภาพถ่ายประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยโยนก ของปี 2554

top20 2554
top20 2554

อ.ปาริชาต สอนสมบูรณ์ เป็นแม่งานรวบรวมภาพถ่ายและนำเข้ากรอบสีทองสวยงามน่าประทับใจ ถูกใช้นำเสนอครั้งแรกในงานสภากาแฟ จังหวัดลำปาง ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2554 โดยมหาวิทยาลัยโยนกเป็นเจ้าภาพจัดงานสภากาแฟเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 .. ทั้ง 20 ภาพใช้พื้นที่มากกว่า 50 MB จึงเผยแพร่ผ่าน facebook.com หากต้องการภาพ HD สามารถคลิ๊กลิงค์ด้านล่างของแต่ละภาพใน fb ได้

http://www.facebook.com/album.php?aid=54399&id=119920918018135

แมวไม่น้อยหน้าหมาครับ .. เมนูแนะนำเช่นกัน

ในมุมของคนกินแมว
ในขณะที่คนไทยนิยมซื้อกระต่ายมาเลี้ยงต้อนรับปีเถาะ (2554) ด้วยความเชื่อที่ว่ากระต่ายเป็นสัตว์นำโชคที่จะนำพาสิ่งดี ๆ มาให้ผู้เลี้ยงตลอดปีนี้ ที่เวียดนามเองก็ไม่น้อยหน้า สำหรับปีนี้ที่เป็นปีแมวของเวียดนาม แมวก็กลายเป็นสัตว์ยอดนิยมของชาวเวียดนามที่ถือว่าจะนำโชคดีมาให้ตลอดปีเช่นกัน แต่แตกต่างกันที่ชาวเวียดนามเขาไม่ได้เอาแมวมาเลี้ยงเหมือนกับกระต่ายบ้าน ที่บอกว่าเป็นสัตว์ยอดนิยมนั้นหมายถึงนิยมนำมาทำอาหารรับประทานกันต่างหาก
โดยเฉพาะในจังหวัดถายบิ่ง ทางตอนเหนือของเวียดนาม ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ที่นิยมการนำแมวมาทำอาหารมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ เมนูต้มซุปแมว เนื้อแมวทอด เนื้อแมวย่าง และลูกชิ้นแมว กลายเป็นอาหารเลิศรสที่เจ้าของร้านอาหารหลายร้านภูมิใจนำเสนอแก่แขกที่มารับประทานอาหารในร้าน แม้ว่าทางจังหวัดจะมีการประกาศสั่งห้ามขายและฆ่าแมวก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของร้านหยุดเสิร์ฟเมนูแมวแต่อย่างไร เพียงแต่ตัดปัญหาง่าย ๆ ด้วยการไม่ติดป้ายโฆษณาเมนูแมวไว้หน้าร้านเท่านั้น
สำหรับ วิธีการนำแมวมาประกอบอาหารนั้น พ่อครัวจะเลือกฆ่าแมวด้วยวิธีการนำพวกมันไปถ่วงน้ำให้ขาดใจตาย แทนการตีหรือเชือดคอเหมือนกับฆ่าหมู เพราะจะทำให้แมวกลัวและเกร็ง จนถุงน้ำดีแตก และนั่นทำให้เนื้อแมวเสียรสชาติ จากนั้นพ่อครัวก็จะนำแมวมาผ่าท้องและแล่เนื้อ โดยส่วนที่นิยมนำมาประกอบอาหารมากที่สุด ได้แก่ กระเพาะ ลำไส้ และเนื้อส่วนสะโพกของแมว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่อร่อยที่สุด และเป็นยาอายุวัฒนะ ให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวของเวียดนามที่กำลังหนาวติดลบอยู่ในขณะนี้ แต่หากเป็นเมนูแมวย่าง พ่อครัวจะควักเครื่องในออกทั้งหมด แล้วนำไปย่างบนไฟอ่อน ๆ ให้เนื้อแมวค่อย ๆ สุกกลายเป็นสีน้ำตาล จากนั้นก็เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ
ส่วนราคาเมนูแมวนี้ จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่า แมวนั้นเป็นแมวลักษณะแบบไหน และมาจากที่ไหน โดยเนื้อแมวดำจะมีราคาแพงที่สุด เพราะเชื่อว่ามีรสอร่อยที่สุด อาจมีราคาถึงตัวละ 15,000 บาทเลยทีเดียว ส่วนเนื้อแมวสดทั่วไปนั้น ขายกันในราคากิโลกรัมละ 100 บาท (แมวบ้าน 1 ตัว มีน้ำหนักประมาณ 4-5 กิโลกรัม) และหากเป็นแมวนำเข้าจากจีนก็จะมีราคาถูกลงไปอีก เนื่องจากไม่อร่อยเท่ากับเนื้อแมวสดจากเวียดนามเอง
ทั้งนี้โดยปกติแล้ว ชาวเวียดนามจะกินแมวกันเป็นปกติ ไม่ต่างกับชาวจีนที่มีความเชื่อว่าแมวเป็นเมนูนำโชค แต่ในปีนี้ซึ่งตรงกับปีแมวของเวียดนาม แมวกลายเป็นเมนูเลิศรสที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาอยากจะกินมากกว่าปกติ เพราะเชื่อว่าหากได้กินแล้วก็จะช่วยปัดเป่าโชคร้ายออกไป ทำให้แมวกลายเป็นสัตว์ที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในตอนเหนือของเวียดนามในขณะนี้ และหากบ้านไหนเลี้ยงแมว แต่ไม่ดูแลแมวของตัวเองดี ๆ ก็จะเกิดกรณีแมวหายได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าถ้าหากแมวตัวไหนถูกปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่านในที่สาธารณะ ก็จะถูกจับไปใส่กรงขังไว้ เพื่อรอวันแปรสภาพกลายเป็นเมนูแมวในที่สุด
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว องค์กรพิทักษ์สัตว์ในประเทศจีนได้เคยแฉพฤติกรรมสุดโหดร้ายของนายหน้าค้าแมว ที่ขโมยแมวไปขายให้ภัตตาคารต่าง ๆ ในมณฑลกวางตุ้ง ที่แสดงให้เห็นว่าแมวกว่าร้อยตัวถูกขังไว้ในกรงแคบ ๆ และได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้าย ซึ่งทางองค์กรพิทักษ์สัตว์ในนครเซี่ยงไฮ้ก็สามารถช่วยชีวิตแมวเคราะห์ร้าย เหล่านั้นออกมาได้กว่า 300 ตัว และส่งพวกมันคืนเจ้าของได้ในที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นายหน้าค้าแมวหยุดล่าแมวแต่อย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังคงมีเมนูแมวขายในภัตตาคารจีนกันตามปกติ อีกทั้งยังเป็นเมนูแนะนำอีกด้วย
http://vdowww.dek-d.com/board/view.php?id=2043319

ในมุมของความเชื่อเรื่องแมว
ลางร้าย ภัย อาถรรพณ์ ในคติความเชื่อโบราณ เปรียบดังเงาร้าย ที่เชื่อว่าหากเข้าใกล้ชีวิตเรา จะหาความสุขไม่ได้ มีทุกข์ภัยที่ประดังเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน ในบรรดาลางร้ายที่แสดงออกมาในรูปแบบต่าง ๆ นั้น “แมวดำ” จัดเป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งลางร้าย ความเชื่อเรื่องแมวดำ ไม่ได้มีระบุที่มาแน่ชัด หากเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ที่นักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ เนื่องจากคติความเชื่อเรื่องแมวดำไม่ได้มีเฉพาะในไทยเท่านั้น หากมีในหลากชาติหลายภาษาโดยในตำนานเก่าแก่ของอินเดียโบราณ เชื่อว่า แมวดำเป็นสัตว์ผี เป็นพาหนะของพระษัษฐี เทวีแห่งความตายของทารก หรือ ผีแม่ซื้อประจำตัวเด็กในวันที่ 6 ซึ่งพระษัษฐีเป็นเทวีที่มีอิทธิฤทธิ์ หากใครเห็นแมวดำที่ไหน มักต้องเห็นพระษัษฐีปรากฏกายที่นั่น และจะมีเด็กหรือคนตายที่นั่นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในงานศพจะระมัดระวังไม่ให้แมวมาถูกต้องศพ ด้วยเชื่อว่าจะเกิดมนทินกับศพนั้น ๆ ไปตลอด
ในคติความเชื่อของจีนโบราณ ถือว่าหากแมวข้ามศพ ผีนั้นจะดุร้ายมาก ต้องเอาตะไกรหรือเหล็กวางไว้บนอกศพ จึงจะไม่เป็นไร เช่นเดียวกับในความเชื่อของแขกมาลายู ที่ต้องเอาตะไกรหนีบมาวางบนอกศพ เผื่อว่าแมวกล้ำกรายเข้ามาใกล้ศพหรือถูกศพ เหล็กตะไกรจะเป็นเครื่องบังคับไม่ให้ศพลุกขึ้นมา กลายเป็นผีร้าย เป็นที่หวาดเกรงของชาวบ้านได้ แมว จัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีมากกว่าความเป็นสัตว์เลี้ยงธรรมดา ในแง่ที่ว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อของคน เป็นตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์ และเหนือจริง จนมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า “หากฆ่าแมวสักตัวถือว่าบาปหนักหนา เท่ากับฆ่าเณรรูปหนึ่งเลยทีเดียว
http://learners.in.th/blog/sukanyanonmai/391609
http://board.postjung.com/412380.html

Ticking Clock อัจฉริยะในคราบซาตาน

http://www.youtube.com/watch?v=71hw1CxlGVk
ชีวิตแก้ไขไม่ได้ .. ภาพยนตร์เรื่อง Ticking Clock 2011 ผมอยากตั้งชื่อเรื่องว่า อัจฉริยะในคราบซาตาน เป็นเรื่องราวที่เหมือนหนังฆาตกรรมทั่วไป แต่กลางเรื่องพบว่าเป็นเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ว่าด้วยการดำรงชีวิต และความไม่พึงใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ทุกปัญหาแก้ไขได้ อาจเป็นได้ แต่ถ้าเป็นแล้วจะมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ .. หากรู้จักปล่อยวาง ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ ทำบางสิ่งให้เกิดขึ้น และไม่รอโชคชะตา .. แม้จะดูขัดกัน .. แต่ต้องเลือกอย่างสมเหตุสมผล เท่านั้นเอง

ผลสำรวจหนุนใช้ไม้เรียว

อ่านข่าวเรื่อง “โพลหนุนครูใช้ไม้เรียวลงโทษเด็ก แต่มีเงื่อนไขต้องไม่ตีพร่ำเพรื่อ

ทำให้นึกถึง theory x และ y แสดงว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็น theory x แม้การศึกษาจะมีผลทำให้มนุษย์มีค่านิยมในการบริโภคแบบเห็นแก่ตัวแล้ว ครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการศึกษาที่ดีขึ้นมิได้ทำให้คนใช้วิจารณญาณ แม้มีการให้เหตุผลมาโดยตลอด ถึงผลเสียของการใช้ไม้เรียว แต่ผู้สอบถามมากกว่าครั้งก็ยังคล้อยตามความรู้สึกเรื่องอำนาจ คิดว่าเยาวชนจะเกรงกลัวไม้เรียว เป็นปรากฎการ (Phenomenon) ที่แสดงว่ามนุษย์เราเสื่อมด้านการศึกษาอย่างชัดเจน เพราะมิได้ใช้การศึกษามาประกอบการพิจารณาเท่าที่ควร .. ลองไปถามเด็กสิครับว่า “ถ้าใช้ไม้เรียวแล้ว เด็กจะหลาบจำ และเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่”

http://news.mthai.com/general-news/100213.html
16ม.ค.54 รายงานข่าวแจ้งว่า วานนี้ (15 ม.ค.) สวนดุสิตโพลได้เปิดเผยผลสำรวจ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 กรณีการเผยแพร่คลิปการกระทำความรุนแรงของครูด้วยการลงโทษตีลูกศิษย์อย่างรุน แรงผ่านเว็บไซต์ โดยได้สำรวจความคิดเห็นจากครู นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปต่อกรณีดังกล่าวทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,476 คน
ซึ่ง ประชาชน 48.19% ไม่เห็นด้วยกับข่าวคลิปครูลงโทษเด็กนักเรียนด้วยการใช้ไม้เรียว เพราะเชื่อว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ รองลงมา 19.88% การลงโทษด้วยไม้เรียวเป็นสิ่งที่มามานานในสังคมไทยแต่ต้องใช้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม
18.24% ผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่งควรดูแลเรื่องกฎระเบียบ การลงโทษนักเรียนของครูอย่างใกล้ชิด และ 13.69%เห็นว่า ไม่ควรด่วนสรุปก่อนที่จะมีการสอบถามข้อเท็จจริงจากครูและนักเรียน
ขณะ ที่ 2.การลงโทษเด็ก ด้วยการใช้ “ไม้เรียว” มีผลดี – ผลเสีย อย่างไรนั้น ในแง่ของผลดีผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า 52.03% เห็นว่าทำให้เด็กหลาบจำ ไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก รองลงมา 26.64% เป็นวิธีลงโทษที่ได้ผล ทำให้เด็กกลัวและเชื่อฟัง 21.33% ทำให้เด็กเป็นคนดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ส่วนผลเสียผู้ตอบแบบสอบถาม 44.57% เห็นว่าส่งผลต่อจิตใจทำให้เด็กกลัว อายเพื่อน 30.83% ทางโรงเรียนและครูอาจถูกฟ้องหรือร้องเรียนได้ และ 24.60% ทำให้ครูไม่กล้าลงโทษเด็ก
ส่วนข้อสอบถามที่ว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ กับสภานักเรียนแห่งประเทศไทยที่เรียกร้องให้ศธ.แก้ไขระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 โดยการเพิ่มโทษให้ครูใช้ ไม้เรียวทำโทษเด็กได้
ผู้ตอบ แบบสอบถาม 53.84% เห็นด้วยเพราะทำให้เด็กหลาบจำ ไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก เพราะผู้ที่มีชื่อเสียง ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่ประสบความสำเร็จก็เคยโดนไม้เรียวมาก่อน แต่การลงโทษต้องอยู่ขอบเขต สมเหตุสมผล ไม่ใช้อารมณ์ ฯลฯ
ขณะ ที่อีก 24.85% ไม่เห็นด้วยเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปควรเปลี่ยนวิธีการลงโทษแบบอื่นๆแทนการใช้ ไม้เรียวจะดีกว่า ทำให้เด็กกลัว ไม่กล้าแสดงออก ,ครูแต่ ฃละคนมีวุฒิภาวะที่แตกต่างกัน และ 21.31% เฉยๆเพราะการลงโทษด้วยไม้เรียวมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้และผู้ที่ถูกลงโทษมากกว่า ฯลฯ
http://www.youtube.com /watch?v=nmvMNv-tQ2s
http://www.youtube.com /watch?v=kCR0guBQKeU
http://www.youtube.com /watch?v=E2s2bP34AvY
http://www.youtube.com /watch?v=j4f52h50XKY
http://www.youtube.com /watch?v=bkVxCqistLE (ก่อน)
http://www.youtube.com /watch?v=J8IfTrjvPlA (หลัง)

ชีวิตดังเช่นละคร .. เทศกาลละคร จุฬา

“ก่อนจบ 2554”

เทศกาลแสดงผลงานการละครของนิสิตปริญญาโทและตรี
ภาควิชาศิลปการละคร  คณะอักษรศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
21 มกราคม -6 กุมภาพันธ์ 2554
วันศุกร์ (19 น.) เสาร์ (14 น. และ 19 น.) และอาทิตย์ (14 น.)
ณ ศูนย์ศิลปการละคร สดใส พันธุมโกมล
(ชั้น 6 อาคารมหาจักรีสิรินธร อักษรฯ จุฬาฯ)
ละครเวทีเต็มรูปแบบ บัตรราคา 100 บาททุกที่นั่ง (การนำเสนอผลงานวิจัย เข้าชมฟรี)
จองบัตรได้ที่ ภาควิชาศิลปการละคร และ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (สยามสแควร์)
สอบถามรายละเอียด โทร. 0 2218 4802, 08 7066 2718 และ 08 4112 0558
Email: KornJob2554@gmail.com
และที่ http://www.facebook.com/“ละครก่อนจบ 2554”

สัปดาห์ที่ 1: การนำเสนอผลงานวิจัยทางการละครของนิสิตปริญญาโท

ส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์และสารนิพนธ์
“ละครสร้างคน และคนสร้างละครได้มั้ย”
“เมื่อเล่าเรื่องรามเกียรติ์ให้เด็ก ๆ ฟัง พวกเค้าจะเข้าใจมั้ย”
“ทำยังไงให้นักแสดง 1 คน เป็นตัวละครได้ถึง 7 ตัว ในเวลาอันสั้น”
“เมื่อเรามีปัญหา เราจะถามพระเจ้า แล้วพระเจ้าตอบเราผ่านไบเบิลว่ายังไงนะ”
“จะเอาความรู้เรื่องละคร ไปจัด event ได้ยังไง” และอีกหลากหลายหัวข้อที่น่าสนใจ

ศุกร์ที่ 21 – อาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2554

สัปดาห์ที่ 2 และ 3: ละครเวทีเต็มรูปแบบของนิสิตปริญญาตรี
ร่าง ก(ล)าย ดี

แปลบทจาก The Good Body
มุมมองของตัวละครหญิง 7 ตัว ถ่ายทอดผ่านนักแสดง 1 คน
ละครที่ผู้หญิง(และผู้ชาย)ทุกคนต้องดู!
“Love your BODY. Stop fixing it. It was never broken”
แสดงเดี่ยวโดย ทิพย์ตะวัน อุชัย

ศุกร์ที่ 28 – อาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2554

ห.ส.ร. (หุ่นยนต์สากลรอสซัม)
แปลบทจาก R.U.R. (Rossum’s Universal Robots)
สงครามระหว่างคนกับคน และ กบฏหุ่นยนต์
ละครนวนิยายวิทยาศาสตร์ ที่นำคำว่า Robot มาใช้เป็นครั้งแรก
เมื่อหุ่นยนต์และมนุษย์มาอยู่ด้วยกัน โลกจะเป็นอย่างไร
นำแสดงโดย มิณฑิตา วัฒนกุล (มิ้น AF 3) และ ชัชดนัย มุสิกไชย
ผลงานการกำกับโดย วรรัตน์ กาญจนราช

ศุกร์ที่ 4 – อาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2554

พ่อใหม่ .. อายุเยอะที่สุด

grandfather
grandfather

14 ม.ค.54 ใครจะเชื่อ ชายวัย 94 ปี จะยังแข็งแรง และมีน้ำยาจนทำให้ภรรยาท้องได้! แต่สำหรับชายอินเดียคนนี้ทำได้แล้ว และทำให้เขากลายเป็นคุณพ่อที่มีอายุมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว
ทั้งนี้ นายรามจีต รักฮาฟ ชาวอินเดีย วัย 94 ปี ได้กลายเป็นคุณพ่อที่มีอายุมากที่สุดในโลก หลังภรรยาวัย 50 ปี ได้คลอดลูกเป็นของขวัญแก่เขา โดยนายรามจีต ได้เปิดเผยว่า เมื่อภรรยามีความปรารถนาขึ้นมาเมื่อใด ตนก็พร้อมจัดให้เธออย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้ง  ซึ่ง ทุกวันนี้ ตนยังสามารถมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาสาวได้ตลอดคืน และมีความสุขทุกครั้งเมื่อร่วมรักกับภรรยาของเขา ทั้งคิดว่าเป็นเรื่องเซ็กส์ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตคู่ ที่สามีและภรรยาจะต้องให้กันอย่างสม่ำเสมอ
พร้อมกันนี้ รามจีต รักฮาฟ ยังเปรยอีกว่าอยากได้ลูกเพิ่มอีกแนะ … พอได้ยินแบบนี้ คงมีหนุ่ม ๆ อีกหลายคนที่อยากบินไปอินเดีย เพื่อถามเคล็ดลับจากคุณทวดคนนี้เป็นแน่
http://www.fwdder.com/topic/298267

94 Years Old Ramjit Raghav Became The World’s Oldest Father


http://www.dailymail.co.uk/news/article-1342465/Indian-farmer-Ramajit-Raghav-94-claims-worlds-oldest-father.html
http://hilight.kapook.com/view/55188
http://www.dvdgameonline.com/forums/index.php?showtopic=251519

แม่เหล็กโลกกลับขั้ว ปรากฎการณ์ที่อาจเปลี่ยนทุกสิ่ง

นับว่าเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลกในขณะนี้ สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลกที่ นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ประหลาด อย่างเหตุการณ์สัตว์ตายทั่วโลกเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับโลกมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น

ล่าสุด เรื่องราวของการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ได้กลายเป็น Talk of the Town อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา สนามบินนานาชาติแทมป้า ในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ได้ปิดรันเวย์บางรันเวย์ เนื่องจากการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ที่ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันใหม่ เนื่องจากหมายเลขรันเวย์นี้สำคัญต่อนักบินมาก โดยจะเป็นตัวระบุว่ารันเวย์นั้นหันไปทิศทางใดและทำมุมกี่องศากับขั้วแม่ เหล็กโลกขั้วเหนือ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนไปกว่า 10 องศา ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมาย เลขรันเวย์จาก 18R/36L (ทำมุม 180 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 360 องศากับขั้วโลกใต้) มาเป็น 19R/1L (ทำมุม 190 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 10 องศากับขั้วโลกใต้) ขณะที่รันเวย์อีก 2 รันเวย์ก็กำลังจะถูกปิดเพื่อปรับหมายเลขรันเวย์ใหม่ในวันที่ 13 มกราคมนี้

อธิบายอิทธิพลของขั้วแม่เหล็กโลกที่มีต่อการบิน
สำหรับการปรับหมายเลขรันเวย์ จะปรับทุก 20-30 ปี เนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดย ในอดีตจะเคลื่อนที่จากจุดเดิมเฉลี่ยประมาณ 16 กิโลเมตรต่อปี แต่ในปัจจุบัน คาดว่าทางสนามบินทุกแห่งจะต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันบ่อยขึ้น เนื่องจากมีการตรวจสอบพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกนั้นเคลื่อนตัวเร็วขึ้นมาก คือ ประมาณ 64 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนตัวจากบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกในแคนาดา กำลังมุ่งตรงไปยังประเทศรัสเซียในปัจจุบัน รวมระยะทางกว่า 1,200 กิโลเมตรเลยทีเดียว
การเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลก แม้จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปอย่างต่อเนื่องตามวัฏจักร แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีนัก วิทยาศาสตร์หลายคนนำมาเชื่อมโยงกับการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก ที่คาดการณ์ว่ากำลังจะเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 ที่จะถึงนี้ โดยวิเคราะห์กันว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนตัวเร็วขึ้นนั้น เป็นเพราะกำลังจะเข้าสู่ภาวะพลิกตัวหรือกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงขอนำเรื่องราวของการเคลื่อนตัวและการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกมาฝากกันอีกครั้งค่ะ

สนามแม่เหล็กโลก เกิดจากปรากฎการณ์ไดนาโมหรือการที่ของเหลวที่อยู่ภายในโลกมีการหมุนวน ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้าขึ้น จนเกิดเป็นสนามแม่เหล็ก ขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดย สนามแม่เหล็กนี้จะปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก และขั้วแม่เหล็กทั้งสองขั้วก็จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นอิสระจากกัน ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง จะมีการกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก หรือการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกันตามวัฏจักรของ โลก ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวยังไม่มีทฤษฎีใดอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไรและใช้เวลา กลับขั้วนานเพียงใด แต่ที่แน่ ๆ คือสนามแม่เหล็กโลกจะมีการกลับขั้วทุก ๆ 250,000 – 300,000 ปีโดยเฉลี่ย หรืออาจคลาดเคลื่อนไปบ้างก็เป็นได้ และกระบวนการนี้จะค่อยเป็นค่อยไป แต่ระหว่างช่วงเวลานี้ก็จะส่งผลกระทบต่อพื้นผิวโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ น้อย โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 780,000 ปีก่อน และในครั้งนั้นก็มีความรุนแรงมากถึงขนาดทำให้สัตว์หลายชนิดบนโลกสูญพันธุ์มาแล้ว

สนามแม่เหล็กโลกที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก
จากการศึกษาและคาดคะเนของนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักธรณีฟิสิกส์พบว่า ปราก ฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้อาจส่งผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 หลังจากพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกก็อ่อนกำลังลงกว่า 10% ซึ่ง ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้วตามการคาดคะเน ในช่วงเวลาที่มันกำลังพลิกกลับนั้นก็อาจทำให้สนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลงมาก ถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะร้ายแรงอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม สนามแม่เหล็กโลกก็จะไม่ลดลงถึงระดับศูนย์ มันยังคงทำหน้าที่ของมัน คือ การปกป้องโลกจากอันตรายร้ายแรงภายนอกโลก และเคลื่อนไหวต่อไปตามวัฏจักร เพียงแต่ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว มันก็อาจส่งผลกระทบหลาย ๆ อย่างบนโลก ดังต่อไปนี้
1. เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว เกิดภัยพิบัติบนผิวโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินถล่ม สึนามิหรือแผ่นดินไหวใต้น้ำ โดยปรากฎการณ์นี้จะไม่เกิดครั้งใหญ่ครั้งเดียวฉับพลันแล้วทำลายทุกสิ่ง แต่จะค่อย ๆ เกิดรุนแรงขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยกินระยะเวลานานหลายปี
2. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เนื่องจากการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกจะทำให้สภาพอากาศบนโลกเปลี่ยนไปในทางตรง ข้าม เช่น ในพื้นที่ที่ร้อนจัดก็จะเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ส่วนพื้นที่ที่เคยหนาวจัดก็จะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาก ทำให้น้ำแข็งบริเวณพื้นที่หนาวละลายและเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไป หลายพื้นที่
3. โลกจะร้อนขึ้น เนื่องจากความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง จึงอาจทำให้โลกได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น
4. อุกกาบาต และวัตถุจากอวกาศจะถูกดึงเข้ามายังโลกได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เคลื่อนที่ผ่านจะพุ่งเข้าชนโลก เพราะอย่างไรก็ตาม ขั้วแม่เหล็กโลกยังคงปกป้องโลกอยู่ แม้จะอ่อนกำลังลงบ้างแต่จะไม่สูญเสียอำนาจของมันไปทั้งหมด
5. สัตว์หลายชนิดสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทาง ในโลกนี้มีสัตว์หลายชนิดที่อาศัยแม่เหล็กโลกในการกำหนดทิศทาง โดยพวกมันจะเดินทางและอพยพย้ายถิ่นไปทางขั้วโลกเหนือเสมอ ซึ่งหากแม่เหล็กโลกเปลี่ยนขั้วหรือเพียงแค่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาก ก็อาจทำให้มันต้องเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพวกมัน
6. ภูมิคุ้มกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกจะอ่อนแอลง สัตว์เล็ก ๆ ที่มีภูมิต้านทานโรคน้อยกว่าสัตว์ใหญ่จะค่อย ๆ ล้มตายไปก่อน เช่น นก ปลา ค้างคาว และเมื่อความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอ่อนแอมากขึ้น สัตว์ที่ใหญ่กว่าก็จะค่อย ๆ ล้มตายไป

สนามแม่เหล็กโลก และสนามแม่เหล็กโลกระหว่างกลับขั้ว
อย่างไรก็ดี การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้ก็ไม่ได้สร้างปรากฎการณ์ที่ส่งผลให้สิ่งมี ชีวิตทุกชนิดบนโลกล้มตายไปเสียทั้งหมด โดยมีการคาดคะเนว่า สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่อาจเป็นสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู ปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่อยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตรในทะเล และสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่อาจมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงและอยู่ในพื้นที่ที่ได้ รับอิทธิพลจากปราฎการณ์ดังกล่าวเพียงเล็กน้อย แต่ หากรอดชีวิต สิ่งมีชีวิตก็ต้องพบเจอกับปัญหาต่าง ๆ นา ๆ ของโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม ทั้งสภาพอากาศ กระแสลม กระแสน้ำ และโลกอาจหมุนกลับไปในทิศตรงกันข้าม ทำให้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งหากเวลานั้นมาถึง และสิ่งมีชีวิตยังคงมีชีวิตรอดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ก็อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันนานโขเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงการคาดคะเนจากนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ช่วงเวลาของการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกอาจกินเวลานานนับพันปี และก่อให้เกิดปรากฎการณ์รุนแรงน้อยกว่าหรือมากกว่าที่กล่าวมาก็เป็นได้ อีกทั้งยังอาจส่งผลรุนแรงที่สุดในปี 2012 หรือคลาดเคลื่อนไปนานกว่านั้น 10 ปีหรือ 100 ปีก็เป็นได้อีกเช่นกัน แต่ที่แน่ ๆ ปรากฏการณ์การเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของขั้วแม่เหล็กโลก, การอ่อนกำลังลงของสนามแม่เหล็ก, การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ, การเกิดภัยพิบัติ, และการล้มตายของสัตว์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่าโลกกำลังเริ่มต้น เข้าสู่จุดเปลี่ยนในอีกไม่ช้า เหมือน ที่มันเคยเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนมีอารยธรรมมนุษย์เสียอีก และมันก็คงไม่ได้เป็นสิ่งที่เพ้อเจ้อหรือเป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด ถ้าหากโลกใบนี้ยังเคลื่อนไหวตามวัฏจักรของมันอยู่ ก็คงไม่แปลกอะไรที่ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งยิ่งใหญ่ในรอบแสน ปีกำลังจะมาบรรจบอีกครั้ง

http://hilight.kapook.com/view/55134
http://hilight.kapook.com/view/55022

ตอบนักศึกษา เรื่องรูปถ่ายหมู่ไม่สวย

รูปของเราก็คือเราในขณะเวลาหนึ่ง
จะสวย หล่อ หรือไม่ ก็คือตัวเรา ..
การบันทึกภาพของมิตรภาพระหว่างเพื่อน คนรู้จัก หรือมิตร
ณ ขณะหายใจออกครั้งหนึ่งของชีวิต
เป็นโอกาสที่ทำได้เพียงครั้งเดียวในวินาทีนั้น
ที่ไม่มีใครสามารถย้อนเวลาไปบันทึกไว้ได้
การมีไมตรีที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียน
เป็นความสุขในวัยเรียนที่จะหาไม่ได้อีกแล้วหลังสำเร็จการศึกษา
จงซึมซับ จดจำ บันทึก ในขณะที่มีโอกาส ซึ่งเป็นโอกาสที่สั้นมาก
เมื่อเทียบเวลาที่เหลือของการใช้ชีวิต
.. สรุปข้อเท็จจริง คือ ในภาพนั้นเป็นเรา

พระสงฆ์-สามเณร ฮิตเล่นบีบี มส.สั่งเจ้าอาวาสกวดขันการห้ามที่สาธารณะ

blackberry chat
blackberry chat

2 ม.ค.54 นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 มกราคมว่า ปี 2553 ที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพระสงฆ์ประมาณ 400 เรื่อง น้อยกว่าปี 2552 ที่มีกว่า 500 เรื่อง เรื่องที่มีการร้องเรียน อาทิ พระปลอมอาศัยผ้าเหลืองหากิน พระสงฆ์ออกมาบิณฑบาตไม่เหมาะสม เป็นต้น รวมทั้งปัญหาความไม่เหมาะสมในการใช้เทคโนโลยีของพระสงฆ์และสามเณร เช่น พบว่ามีพระสงฆ์บวชใหม่ (บวชระยะสั้น) และสามเณร นิยมเล่นบีบี (แบล็กเบอร์รี่) โทรศัพท์มือถือสุดฮิต ที่สื่อสารด้วยโปรแกรมแช็ตในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น สถานที่สาธารณะ เป็นต้น

“ผมมองว่าการใช้บีบีของวัยรุ่นยุคนี้ไม่เหมาะสม เพราะดูแล้วเกินความจำเป็น ส่วนกรณีพระสงฆ์และสามเณรนิยมใช้บีบีในสถานที่สาธารณะยิ่งไม่เหมาะสม ที่ผ่านมาสำนักเลขาธิการ มส.ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองระดับต่างๆ รวมทั้งเจ้าอาวาสที่อยู่ใกล้ชิดกับพระสงฆ์และสามเณรมากที่สุด ให้เข้มงวด และกวดขันดูแลเรื่องการใช้เทคโนโลยีของสามเณร โดยเฉพาะพระสงฆ์บวชใหม่ในปกครองให้มากขึ้น เพราะพบว่าปัจจุบันพระสงฆ์และสามเณรนิยมเล่นบีบีในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมมาก ขึ้น” นายอำนาจกล่าว

นายอำนาจกล่าวว่า “หากพระสงฆ์หรือสามเณรนำเทคโนโลยีไปใช้เป็นเครื่องมือเผยแผ่ธรรมะ ถือเป็นเรื่องดี และไม่น่าเสื่อมเสีย แต่หากนำไปใช้ในทางที่ผิด อาจเกิดความเสียหาย และถูกสังคมติติงว่าไม่เหมาะสมได้ ที่ผ่านมาปรากฏเป็นข่าวตลอดว่าพระสงฆ์บางรูปที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม อาทิ พระสงฆ์ใช้เฟซบุ๊กพูดคุยกับผู้หญิง และใช้คำพูดไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ปัญหาการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะเกิดกับพระสงฆ์ที่เพิ่งบวชใหม่และสามเณร เนื่องจากยังไม่ทราบกฎระเบียบชัดเจน และยังละทางโลกไม่ได้ จึงต้องให้เจ้าอาวาสเข้มงวดเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด”

ข่าว : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1293938410

เว็บมาสเตอร์ : ในความเห็นของผมแล้ว .. เห็นด้วยกับคุณอำนาจทุกประเด็น ปัญหาอยู่ที่พระบางรูป ยังไม่ทราบกฎระเบียบชัดเจน และยังละทางโลกไม่ได้ .. ถ้าละทางโลกได้ปัญหาการใช้ BB ในทางไม่ถูก ไม่ควร คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ข้อมูลอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554

สถิติอุบัติเหตุ
สถิติอุบัติเหตุ

ข้อมูลอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 โดยเฉลี่ยแล้วต่ำกว่าปี 2553 ที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยมีสถิติวันละกว่า  3000 ครั้งตามข้อมูลจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
http://service.niems.go.th/accident/acclogin.php?case_acc=7