ขายปริญญา ราคาวุฒิการศึกษาปลอม

ขายปริญญา ราคาวุฒิการศึกษาปลอม
ระดับประถมศึกษา 5,000-8,000 บาท
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 12,000 – 20,000 บาท
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 15,000 – 22,000 บาท
ระดับ ปวช. 20,000 – 32,000 บาท
ระดับ ปวส. 25,000 – 40,000 บาท
ระดับปริญญาตรี 37,000 – 90,000 บาท (เข้ารับปริญญาได้)
ระดับปริญญาโท 120,000 – 280,000 บาท (เข้ารับปริญญาได้)

คมชัดลึก : แฉ! มือดีเปิดเว็บไซต์ขายปริญญามหาวิทยาลัยชื่อดังปลอม มธ.มีด้วยใบละกว่า 1 แสนบาท แค่มีเงินจ่ายไม่ต้องเข้าเรียนได้วุฒิง่ายๆ เลขาฯ กกอ.ประสานตำรวจตรวจจับ อธิการบดี มธ.จ้องฟ้องฐานทำมหาวิทยาลัยเสียชื่อ

ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตนและ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้รับเรื่องหนังสือร้องเรียนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีเว็บไซต์หลอก ลวงขายปริญญาบัตรโดยอ้างว่าเป็นปริญญาที่ถูกต้องของมหาวิทยาลัยต่างๆ และมีการโฆษณาชวนเชื่อว่ามีปริญญาของทุกมหาวิทยาลัย ที่มีการออกเกรด ให้ทรานสคริปต์ ถึงขนาดผู้ซื้อจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยและ สามารถเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรได้ด้วย

“ในเว็บไซต์ดัง กล่าวมีการโชว์ใบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยชื่อดังไว้หลายแห่ง และหนึ่งในนั้นคือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ซึ่งเบื้องต้นสำนักงานคณะกรรมการการอดุมศึกษา (สกอ.) ได้ขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อช่วยสอดส่องเรื่องดังกล่าว และได้ทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยที่ได้รับการแอบอ้างแล้ว” ดร.สุเมธ ระบุ

เลขาธิการ กกอ. กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบการโฆษณาซื้อขายปริญญาผ่านเว็บไซต์นั้น จะใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อโดยโชว์โลโก้ของมหาวิทยาลัยที่อ้างว่าสามารถทำการปลอมแปลงปริญญาบัตรได้ และให้เบอร์โทรติดต่อกลับผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งพบว่าการโฆษณาดังกล่าวมีอยู่ในเว็บไซต์จำนวนมาก

“ผมเพิ่งจะเคยเห็นการซื้อขายปริญญารูปแบบนี้ ซึ่งเดิมปัญหาเรื่องเรียนง่าย จ่ายครบ จบแน่ ก็ถือว่าแย่แล้ว แต่อันนี้จบแบบไม่ต้องเรียนแค่จ่ายค่าใบปริญญาก็สามารถจบได้โดยที่ไม่ต้อง เรียน ราคาอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาทขึ้นไป แต่มีข้อแม้ว่าหากต้องการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรก็จะต้องเสียเงินเพิ่ม ขึ้นอีก” ดร.สุเมธกล่าวอย่างท้อใจ

ดร.สุเมธกล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ สกอ.กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารทางราชการ โดยจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับที่ประชุม กกอ.เพื่อหาทางแก้ไขในวันที่ 6 มกราคมนี้

ด้านนายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า จากนี้ไปตนจะให้สำนักงานคณะกรรมการการอดุมศึกษา ทำหนังสือเวียนเตือนไปยังมหาวิทยาลัยให้ดูแลเรื่องระบบการป้องกันฐานข้อมูล ต่างๆ ของมหาวิทยาลัยให้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผู้ไม่หวังดีลักลอบเข้าไปแก้ไขข้อมูล และจะต้องตรวจสอบด้วยว่ามหาวิทยาลัยที่มีรายชี่อโฆษณาอยู่ในเว็บไซต์มีส่วนรู้เห็นหรือไม่

“ปัญหาการซื้อขายปริญญาผ่านเว็บไซต์ยัง ไม่น่ากลัวเท่ากรณีมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรไม่ได้มาตรฐานที่พบกันมาก จนเป็นการผลิตบัณฑิตเพื่อธุรกิจทางการศึกษา ทั้งการศึกษานอกที่ตั้งและการไปเปิดหลักสูตรภาคพิเศษจำนวนมาก และตัวอธิการบดีก็มีรายได้หลายแสนบาทต่อเดือนจากการเปิดหลักสูตรภาคพิเศษจน ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งภายในเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์” นายไชยยศ กล่าว

ส่วน ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มธ. กล่าวว่า เพิ่งทราบเรื่องดังกล่าว และจะต้องทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าสร้างความเสียหายให้แก่ มธ.ก็จะดำเนินการฟ้องร้องต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบเว็บไซต์ http.//wwwxxxxxx พบว่ามีการประกาศรับทำวุฒิการศึกษาและปริญญาตรีและโท  โดยข้อความระบุว่า รับทำวุฒิการศึกษา ม.3 ม.6 ปวช. ปวส. ปริญญาตรี ปริญญาโท ของจริง หากคุณมีปัญหาด้านวุฒิการศึกษา เช่น เรียนไม่จบ, เรียนไม่ตรงสายงาน, ปัญหาการสมัครเรียนต่อ, ต้องการนำวุฒิการศึกษาไปสมัครงานเพื่อให้ตรงกับสายงาน หรือเพื่อปรับขึ้นเงินเดือน ฯลฯ

เว็บไซต์ดัง กล่าวอ้างอีกว่า ได้ดำเนินการมากว่า 7 ปี โดยไม่มีปัญหาสักครั้ง สามารถตรวจสอบได้จากกระทรวง และมีชื่อในโรงเรียนอยู่จริง รับแก้ไขปัญหาเรียนไม่จบทุกกรณี ผ่านกระทรวง โดยสามารถใช้ไปสมัครงาน/ศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ สามารถตรวจสอบได้ มีชื่อในฐานข้อมูลของโรงเรียนจริงรับประกันผลงานตรวจสอบได้จริง โดยไม่มีข้อกังขา จะใช้สมัครงานหรือเรียนต่อก็สบายใจ ของจริงแน่นอน เรามีรหัสนักศึกษาให้ตรวจสอบกับฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยได้

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ระดับปฐมศึกษา 5,000-8,000 บาท ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1.2-2 หมื่นบาท ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1.5-2.2 หมื่นบาท ระดับ ปวช. 2-3.2 หมื่นบาท ระดับ ปวส. 2.5-4 หมื่นบาท ระดับปริญญาตรี 3.7-9 หมื่นบาท (เข้ารับปริญญาได้) ระดับปริญญาโท 1.2-2.8 แสนบาท (เข้ารับปริญญาได้)

เนื้อหาเว็บไซต์ระบุ ด้วยว่า ไม่สามารถเลือกสถาบันได้ แต่สามารถเลือกคณะ และสาขาได้ การดำเนินการทุกขั้นตอน ข้อมูลของลูกค้าจะถูกปกปิดเป็นความลับ เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.5 แต่จะต้องเก็บค่าใช้จ่ายล่วงหน้า 50% เพราะต้องนำไปใช้จ่ายในการดำเนินการในการเรียนจริงๆ จะต้องมีค่าหน่วยกิต ค่าเทอม อันนี้ก็เช่นกันครับเพียงแต่คุณไม่ต้องเข้าห้องเรียนเท่านั้นเอง ขอย้ำ !! เป็นวุฒิแท้ ออกโดยสถาบัน 100% ถูกกฎหมายแน่นอน (ไม่รับทำวุฒิการศึกษาปลอม เพราะผิดกฎหมาย และนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้)

สิ่งที่จะได้รับ 1.ใบปริญญาบัตร 2.ใบทรานสคริปต์ 3.ใบรางวัลการศึกษาดีเด่น 4.ใบรับรองการเป็นนักศึกษา 5.บัตรประจำตัวนักศึกษา 6.ใบเซอร์ทิฟิเคท ด้านที่เราจบการศึกษา เอกสารที่ใช้ประกอบ 1.สำเนาทะเบียนบ้าน (ของตนเอง) 2.สำเนาบัตรประชาชน (ของตนเอง) 3.สำเนาวุฒิการศึกษาของโรงเรียนเดิมที่จบมา 4.รูปถ่าย จำนวน 3 รูป (1 นิ้ว/1.5 นิ้ว/2 นิ้ว) ระยะเวลาดำเนินการโดยประมาณ 1-2 เดือน และะระบุให้ ติดต่ออาจารย์วัฒนา อีเมลxxxxx
http://www.oknation.net/blog/nun2504/2010/12/27/entry-4
http://news.mthai.com/general-news/98328.html
http://www.thairath.co.th/today/view/136988
http://www.komchadluek.net/detail/20101226/83972/%E0%B9%81%E0%B8%89%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87.html

ปฏิรูปการศึกษาไทย

ปฏิรูปการศึกษาไทย
ปฏิรูปการศึกษาไทย

มีคนบอกว่าการศึกษาไทยมีปัญหา ..
มีคนบอกว่าศักยภาพของคนไทยไม่เด่นไปทุกด้าน บางด้านอาจด้อยกว่า ..
เกณฑ์การวัดด้านการศึกษาอาจวัดจาก พุทธพิสัย จิตพิสัย ทักษะพิสัย หรือความสุขใจ ..
ถ้าครูตั้งคำถาม และนักเรียนแลกเปลี่ยน บางทีครูอาจไม่ชอบฟัง ..
จำนวนนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ คือ เกณฑ์จัดอันดับโรงเรียน ..
ผอ.จะเลือกปฏิรูป หรือเลือกให้เด็กท่องข้อสอบไปสอบเข้าโรงเรียนดัง ..
ฝรั่งบอกว่า นักเรียนเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมแล้วจะเข้าใจ แต่ครูบอกว่ายุ่งยาก นักเรียนนั่งฟังเฉย ๆ ก็พอ ..
ผู้ปกครองส่งเด็กไปโรงเรียน แล้วถามว่า ส่งเด็กไปให้ครูสอน หรือส่งเด็กไปสอนครู กันแน่ ..
ครู และผู้ปกครอง ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของการแข่งขัน การจัดอันดับ และตัวเลข ..
นักวิชาการ ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของคุณภาพ สุขภาพ ความยั่งยืน และอุดมการณ์ ..
ทุกความคิดเห็นมีความคิดที่ถูกต้องบนฐานคิดของตน ..
ฐานความพอเพียง ฐานความสุข ฐานคนคุณภาพที่แตกต่าง ฐานการแข่งขัน ฐานองค์ความรู้ทางวิชาการ ฐานปัญญาระดับบุคคล ..
นานาจิตตัง เป็นความหลากหลายทางความคิด และพฤติกรรมที่ไม่มีวันลงตัว

วันต่อมากลับมาแสดงความเห็นว่า
เพราะการศึกษา
ทำให้ ระดับในชนชั้นทางสังคม ขยายออกไป หรือ ช่องว่างในแต่ละชนชั้นห่างกันเพิ่มขึ้น .. ผลพวงของการขยายชนชั้นทางสังคม ทำให้เกิดปัญหาในแต่ละระดับแตกต่างกันไป .. ทุกการพัฒนาย่อมนำมาซึ่งปัญหาใหม่เสมอ .. ชนชั้นบนสุดก็ยังต้องการยกระดับหรือเห็นการขยายชนชั้นอยู่ดี .. คงเป็นวิสัยที่ปุถุชนพึงกระทำเป็นแน่

http://atipong2511.blogspot.com/2009/02/blog-post_26.html
http://www.facebook.com/photo.php?pid=363680&id=100000895212937&fbid=172856739420832

สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก

สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก (first love) เล่าถึง ความทุ่มเท ความพยายามเพื่อเป้าหมายสูงสุดของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง คือ การได้ผู้ชายที่ถูกใจ ความพยายาม ความอดทนของนางเอก เป็นตัวอย่างของอีกา ดังคำโบราณที่ว่า จงเอาเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา .. ก็หวังว่าสาว ๆ คงไม่ทุ่มเทเพื่อชายที่ตนรักแบบผู้หญิงคนนี้กันทุกคนนะครับ

Reign of Assassins คือการหักหลัง

Reign of Assassins .. เล่าถึง .. การหักหลัง การทิ้งหน้าที่ การตัดช่องน้อยแต่พอตัว การไว้วางใจ แม้คนที่น่าไว้วางใจที่สุด .. ก็ไม่อาจไว้วางใจ .. สุดท้ายจบด้วยคำว่าให้อภัยกับคนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด หรือที่เรียกว่า ความรักคือการให้อภัย .. ดังนั้นมนุษย์ย่อมให้อภัยมนุษย์ที่ทำลายชีวิตของสรรพสัตว์ก็เพื่อมนุษย์ด้วยกัน .. ต้องให้อภัยและให้ความรักแก่กัน

คุณรุ่งนภา บ้านดอยสะเก็ด กับทนงศักดิ์ บ้านห้างฉัตร

p กับ eak
p กับ eak

13 พ.ย.53 วันนี้ ..  อดีตเพื่อนร่วมงานของผม 2 คนแต่งงานกันแล้ว พวกเขาพบกันปี 2549 ก่อนเข้ามาทำงาน คุณเอกเข้างานปี 2550 เป็นหัวหน้าสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สอบติดข้าราชการเข้ากระทรวงไอซีที ถูกเรียกตัวปี 2553 น้องรุ่งนภาหรือน้องพี กลางปี 2553 เข้างานได้ไม่กี่เดือนก็ต้องออกไปทำงานกรุงเทพ หลังออกได้ประมาณ 2 เดือนก็แจกซองชมพู เปิดดูพบว่าเขาเชิญผมไปร่วมพิธีวิวาห์ช่วงเย็นที่ โรงแรมเวียงทอง ชั้น 2 ก็ต้องบอกว่าขอแสดงความยินดี มีเพื่อน ๆ ไปร่วมงานกันเพียบ มี อ.เบญจวรรณ นันทชัย เป็นประธานฝ่ายเจ้าสาว อันที่จริงเป็นทั้งของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว แต่ของกระทรวงไอซีทีมีหัวหน้าของคุณเอกมาจากกรุงเทพฯ ส่วนประธานคล้องมาลัยเป็นส.ส.จินดา เป็นคนบ้านเดียวกับคุณเอก ภาพที่ถ่ายคู่กันสวยมาก และวีดีโอนำเสนอประวัติก็ยอด เห็นว่าใช้ proshow มี effect อลังการด้วยครับ

http://www.thaiabc.com/marry.htm
http://www.facebook.com/album.php?aid=253633

ไม่เชือดไก่ให้ลิงดู แต่ปล่อยเจ็ด

wild things
wild things

ดูวีดีโอเรื่องจับเจ็ดปล่อยเจ็ด พบตัวละครที่น่าสนใจ 4 ตัวคือ ขงเบ้ง เบ้งเฮ็ก สุนาและห้วยหลำ เป็นกลยุทธ์การซื้อใจครับ เพราะตัวอย่างนี้ขงเบ้งจับศัตรูที่คิดจะฆ่าตนได้ 7 ครั้งและปล่อย 7 ครั้ง ในครั้งที่ 2 เบ้งเฮ็กถูกข้าเก่าเต่าเลี้ยง 2 คน คือ สุนาและห้วยหลำ ที่ตนเองไว้ใจจับไปส่งให้ขงเบ้งผู้เป็นศัตรู เพราะสุนาและห้วยหลำถูกขงเบ่งจับได้ 1 ครั้งและปล่อยตัว หลังปล่อยตัวก็รู้สึกในบุญคุณของขงเบ้งเป็นล้นพ้น ในเวลาต่อมาเบ้งเฮ็กจับได้ว่าสุนาทรยศ จึงลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี เมื่อถูกทำโทษจึงตัดสินใจจับเจ้านายของตนไปส่งให้กับศัตรู แต่ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กมา สุนากับห้วยหลำคาดไม่ถึง .. และเบ้งเฮ็กไม่ได้ใช้กลยุทธ์ซื้อใจ ทำให้ 2 ขุนพลผู้ทรยศไม่มีโอกาสทรยศเจ้านายอีก และลาโลกไปในที่สุด
งานนี้ทำให้ผมเรียนรู้ว่า เจ้าของบริษัทสามารถเลือกกลยุทธ์นี้ได้ ต่อไปจับได้ว่าใครโกงเงินบริษัทก็จะปล่อยตัวไปหวังซื้อใจ ต่อไปจับได้ว่าใครเอาความลับของบริษัทไปบอกศัตรูเพื่อหวังผลประโยชน์ก็จะปล่อยไปเพราะหวังซื้อใจ ต่อไปจับได้ว่าใครยักยอกเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทไปขายต่อก็จะทำไม่รู้ไม่เห็นเพราะหวังซื้อใจอีกนั่นเอง ต่อไปในกองทัพถ้าเห็นทหารหนีทัพก็จะปล่อยไปเพราะหวังซื้อใจ .. นี่เป็นบทเรียนจากเบ้งเฮ็ก ตอนจับเจ็ดปล่อยเจ็ด .. ถ้ามีโอกาสผมว่าจะปล่อยสัก 4 ครั้งครับ .. เป็นจำนวนพระสงฆ์ที่ไปสวดงานศพพอดี .. พอดีเชื่อเรื่องดูดาว .. เรื่องเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่ทำเด็ดขาด เพราะขัดกับกลยุทธ์ซื้อใจ .. เป็น case study ให้อ่านสนุก ๆ ครับ

เคล็ดลับแห่งความสุข หรือ วิธีทำชีวิตให้มีความสุข

ความสุข
ความสุข

สรุปอย่างสั้น 7 ข้อ คือ 1) ต้องรู้จักการเป็นผู้ให้ 2) กัลยาณมิตร 3) รู้จักความเพียงพอ 4) อย่าหวังมากเกินไป 5) ละความโกรธเกลียดลงบ้าง 6) รักและพอใจงานที่ทำ 7) ทำตนใฝ่รู้อยู่เสมอ

มนุษย์เราทุกคนล้วนอยากมีชีวิตที่ดี และมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็น่าแปลกว่า ในขณะที่เราต้องการ “ ความสุข ” หรือ “ ความสบายกายสบายใจ ” นั้น มนุษย์เรากลับดำเนินชีวิตที่พาตัวเราเองไปสู่หนทางแห่งความทุกข์เสียเป็น ส่วนใหญ่ เช่น มีเงินเดือนพออยู่พอกินอยู่แล้ว แต่อยากจะเป็นเจ้าของพวกเครื่องอำนวยความสะดวกหรือความทันสมัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถ มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ กระเป๋าเสื้อผ้าแบรนด์เนมจนต้องตั้งหน้าตั้งตาหาเงินตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต เพื่อให้ได้ของเหล่านี้มา ทำให้ตัวเองต้องลำบากหรือเป็นหนี้เป็นสิน และมีทุกข์ไม่จบสิ้น ดังนี้เป็นต้น ถ้าในทางพุทธศาสนา เขาก็ว่ากิเลส ตัณหา ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ หรือไม่อยากมี ไม่อยากเป็น และไม่อยากได้นั่นเอง ที่ทำให้คนเราเป็นทุกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงมีแนวทางให้พุทธศาสนิกชนได้เลือกปฏิบัติเพื่อความหลุด พ้นความทุกข์ในระดับต่างๆกัน แต่ในที่นี้ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จะขอนำ “ เคล็ดลับแห่งความสุข ” ที่แม้มิใช่ธรรมะโดยตรง แต่ก็เป็นกลวิธีที่เราทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิด “ ความสุขในเบื้องต้น ” ได้อย่างง่ายๆ ดังนี้
๑. เขาบอกว่า เคล็ดลับของความสุขข้อแรก คือ ต้องรู้จักการ เป็น “ ผู้ให้ ” การ “ ให้ ” ในที่นี้ จะเป็นสิ่งของ ความรู้ น้ำใจ ข้อแนะนำ หรือสิ่งอื่นใดก็ได้ที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นโทษต่อผู้รับ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ ผู้ให้ ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ ” นั่นก็หมายความว่า ใครก็ตามที่เป็น “ ผู้ให้ ” ย่อมสร้างไมตรีให้เกิดขึ้นในใจของผู้รับ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดี และเป็นมิตรต่อกัน ถ้าใครเคย “ ให้ ” จะรู้ว่าใบหน้าที่เบิกบาน ยินดีของผู้รับ จะทำให้เราผู้ให้เกิดความสุข และปลื้มปีติเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ในยุทธภพเขาว่า “ ความสุขเป็นสิ่งประหลาดยิ่ง มันหาได้ลดน้อยงเพราะท่านแบ่งปันแก่ผู้อื่นไม่ ท่านยิ่งแบ่งปันกับผู้อื่นมากขึ้น ความสุขที่ท่านมียิ่งเพิ่มพูน ”
๒. หากัลยาณมิตร การมีเพื่อนที่ดี ย่อมทำให้ชีวิตของเรามีความสุขและมีความหมายยิ่งขึ้น เพราะอย่างน้อยเมื่อเราประสบความสำเร็จ ก็มีเพื่อนร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างจริงใจ หรือหากผิดหวัง พลาดพลั้งในชีวิตกัลยาณมิตรก็จะช่วยปลุกปลอบให้กำลังใจ หรือคอยแนะนำช่วยเหลือทำให้เราไม่รู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยวในโลกกว้างใบนี้ ในยุทธจักรเขาว่า “ ท่ามกลางลมหนาวและพายุร้าย หากที่นั่นมีสหาย ทั้งหมดจะกลายเป็นลมหายใจอันอบอุ่น ที่ซึ่งมีมิตรแท้ จักอบอุ่นและเจิดจ้าตลอดกาล ”
๓. ใช้ชีวิตเรียบง่าย ถ้าพูดแบบสมัยนี้ก็คือ ให้ดำรงชีวิตแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ รู้จักความเพียงพอ โดยเฉพาะในเรื่องปัจจัยสี่ อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค บางคนอาจจะสงสัยว่าเพียงพอในเรื่องยารักษาโรคนี่เป็นอย่างไร ก็คงต้องบอกว่าในปัจจุบัน หลายคนกินยาสารพัดทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น เพราะมีให้เลือกมากมาย ดังนั้น จึงต้องรู้จักประมาณตนในทุกเรื่อง อย่าตกเป็นทาสของลัทธิบริโภคนิยม ที่ต้องวิ่งตามโลกไม่ได้หยุดได้หย่อน เพราะจะทำให้เราเหนื่อยเกินไป และสร้างความท้อแท้ให้แก่ชีวิตได้ง่าย ยุทธจักรเขาบอกว่า “ ในโลกนี้ก็มีแต่คนที่รู้จักพอ จึงสามารถได้ลิ้มรสความเบิกบานที่แท้จริง ”
๔. คาดหวังให้น้อยลง ชีวิตคนเราที่เป็นทุกข์สารพัดทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการ “ คาดหวัง ” เช่น หวังว่าจะสอบได้ที่ ๑ หวังว่าจะได้ตำแหน่ง หวังว่าเขาจะรักเรา หวังว่าจะได้มรดก หวังว่าเจ้านายจะขึ้นเงินเดือน หวังว่าพ่อจะซื้อรถให้ ฯลฯ ความคาดหวังเหล่านี้ทำให้เราต้องพบกับ “ ความผิดหวัง ” อยู่เสมอ และทำให้เราหดหู่ ห่อเหี่ยวใจเมื่อไม่สมปรารถนา ดังนั้น หวังได้ แต่หวังให้น้อยลง และจงตั้ง “ ความหวัง ” ในสิ่งที่เป็นไปได้ และไม่ยากจนเกินความสามารถของเรา หากไม่ได้ดังหวังก็ต้องหัด “ ปลง ” เสียบ้าง ในยุทธภพจึงสอนว่า “ คนผู้หนึ่งขอเพียงปลงได้ตก ในโลกก็ไม่มีเรื่องใดควรคู่ให้ปวดร้าวกลัดกลุ้มอีก ”
๕. จงล ะ “ ความโกรธ เกลียด ” ลงบ้าง หลาย ๆ ครั้งในชีวิตเราอาจจะต้องเจอะเจอกับบุคคล เหตุการณ์หรือสถานที่ที่เราไม่พึงใจ ทำให้เราเกิดความรู้สึกโกรธ เกลียดในสิ่งที่พบ อยากจะหลีกลี้หนีห่าง แต่บางครั้งก็ไม่อาจจะหลบไปได้ ต้องทนอยู่กับคนหรือสิ่งที่เราเกลียดอยู่เสมอ ทำให้เกิดความเครียด และทุกข์ใจ ดังนั้น วิธีแก้ตรงจุดที่สุด คือ ต้องลดความโกรธหรือความเกลียดที่เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ให้น้อยลง ด้วยการอย่ามัวแต่เพ่งจับผิด แต่ให้ใช้หลักเมตตา และให้อภัย โดยเฉพาะกับคน หรือสัตว์ หรือหากยังทำใจเมตตาไม่ได้ อย่างน้อยก็ให้ “ วางเฉย ” คิดเสมอว่าอย่าให้สิ่งเหล่านี้มามีอิทธิพลเหนือจิตใจเรา ซึ่งคนในยุทธภพเขาว่า “ ความเปลี่ยนแปลงและการประสบกับสิ่งที่ไม่พอใจ คือชีวิตของคน หากท่านเข้าใจชีวิตคนอย่างถ่องแท้ ความเศร้าเสียใจของท่านจะลดน้อยลง และความสุขในใจจะเกิดขึ้น ”
๖. จง “ รักและพอใจงานที่ทำ ” เพราะมันเป็นส่วนสำคัญ และกินเวลาเกือบครึ่งค่อนของชีวิตของเรา หากเราไม่ “ รักงาน ” ของเราแล้ว ชีวิตที่เหลือคงเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น และเราก็ต้องจมปลักไปกับความเบื่อที่ยาวนาน การที่เราจะรักงานที่เราทำได้ เราจะต้องพยายามศึกษาหาความรู้ในงานของเรา เพื่อให้รู้จักงานของเราอย่างถ่องแท้ จนพัฒนางานให้ก้าวหน้า อันจะนำมาซึ่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจให้แก่ตัวเราเองได้ ยุทธจักรเขาว่า “ โชคของคน ย่อมไม่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเอง ”
๗. ทำตน “ ใฝ่รู้ ” อยู่เสมอ เช่น อ่านหนังสือทุกชนิด เรียนคอมพิวเตอร์ อบรมภาษา ฯลฯ เพราะจะทำให้เราไม่ล้าสมัย หรือตกยุค แต่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นคนอมทุกข์ เหงาหงอย เพราะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับใครก็ได้ แวดวงยุทธจักรเขาว่า “ คมดาบ ยิ่งฝนยิ่งแหลมคม คน ไยมิเป็นเช่นเดียวกัน ”
เคล็ดลับแห่งความสุขข้างต้น เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ยาก แต่เคล็ดลับของเคล็ดลับก็คือ ความตั้งใจที่จะเริ่มปฏิบัติตามกฎที่ว่า มิฉะนั้นแล้ว ความสุขที่เราปรารถนาก็ยังจะเป็นทุกข์ที่เราเรียกหามันอยู่ทุกวันเพราะความ สำเร็จทั้งปวงก็ล้วนเริ่มต้นมาจากหยดน้ำเล็กๆ หาใช่เริ่มจากมหาสมุทรไม่

อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม. http://www.culture.go.th
เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ ๕๐
http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=501
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=217e80042ed64db5
http://women.kapook.com/view2276.html

พิธีกรคือต้นแบบของเยาวชน

พิธีกร
พิธีกร

31 ต.ค.53 นั่งหาข้อมูลเรื่องการแต่งตัวของพิธีกรหญิงบนเวที (พิธีกรคือต้นแบบของเยาวชน)  แล้วก็ไปพบภาพนี้เข้า .. มนุษย์เขาก็อย่างนี้ พอจะคาดได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เพราะเรามี species เดียวกัน .. (ไม่เขียนต่อล่ะ เพราะผมแรงเกินกว่าที่มนุษย์ด้วยกันจะรับได้ และต่างคนก็ต่างความคิด) .. สรุปว่าเธอคนนี้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ในมุมของสายตาผม

เว็บสปาของหมอสมัชชา

โศภิษฐาสปา
โศภิษฐาสปา

31 ต.ค.53 เมื่อคืนผมมีปัญหาเส้นเอ็นที่เอวซ้ายหลังไปถึงก้น ยืนเดินไม่ได้ (ในใจก็คิดว่าสงสัยไม่รอดแล้วกระมัง) .. อาการเกิดจากนอนรอซ่อมรถกว่า 6 ชม. แล้วเส้นพลิก แต่เช้านี้ดีขึ้นเริ่มเดินได้ จึงไปพบหมอสมัชชาที่พระบาท ได้ยามา 3 ห่อ และพบว่าวันนี้คลินิกปิด (กระดูก ข้อ เอ็น) แต่วันนี้หมอทำพิธีเปิดร้านใหม่คือ โศภิษฐาสปา อยู่ติดร้านหมอ มีคุณหมอมงคล จิวะสันติการ ไปร่วมเป็นเกียรติ ที่ร้านมีเว็บไซต์ sopitthaspa.com ครับ

ถูกเพื่อนสนิทปฏิเสธ

วันนี้ พบว่า เพื่อนสนิทที่สุดของผม 2 คน ลบผมออกจากการเป็นเพื่อน .. ทำให้ผมอาจต้องทบทวนบทบาทการใช้ fb เพราะ fb อาจไม่ได้มีประโยชน์สำหรับการสื่อสารกับเพื่อนสนิทที่มีเป้าหมายเพื่อความ อยู่รอดของชีวิตอีกต่อไป ที่หายไปสอง อาจเป็นจุดเริ่มต้น (อนาคตอาจหายมากกว่านี้) .. หลายครั้งที่ผมสื่อสารออกไปว่า fb อาจไม่ใช่ช่องทางเพื่อการสื่อสารที่ดีอย่างที่ปรากฎในสื่อเริ่มมีความชัดเจน มากขึ้น แม้แต่เพื่อนสนิทที่เชื่อมโยงกันเพื่อความอยู่รอดของชีวิต ก็ยังปฏิเสธการใช้ fb เป็นเครื่องมือ .. เพียงแต่เล่าสู่กันฟัง