การทำให้ background sound ทีเดียว สำหรับทุกสไลด์

วันนี้น.ส.ดวงพร ที่เรียนวิชาสื่อฯ ถามเรื่องทำให้ sound เล่นไปทั้งสไลด์
ซึ่งเทอมก่อน ๆ เคยสอนไป แต่เทอมนี้ได้ลดทอนบทเรียนนี้ไป
จึงทำ capture slide สาธิตใน windows 8.1 ที่มี office 2013
โดยผมใส่เสียง background ที่สไลด์ 1 แล้วให้เล่นยาวไปบนทุกสไลด์
ไม่ได้ใช้การบันทึกเสียง หรือเสียงออนไลน์ แต่ใช้แฟ้มเสียงใน pc
พบว่าการ config ไม่ต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้
1. เข้า insert, เสียง, เสียงบนพีซีของฉัน

01 open
01 open

2. เลือกเสียงได้แล้ว, พบ icon บน slide คลิ๊กแล้วจะพบ menu เพิ่มบน ribbon menu แล้วเลือก การเล่น

02 option
02 option

3. ในตัวเลือกเริ่ม ให้เปลี่ยนจาก เมื่อคลิ๊กเป็นอัตโนมัติ แล้วเลือก checkbox หน้า “เล่นในสไลด์ทั้งหมด”

03 config
03 config


วิธีนี้ไม่ได้เข้าไปที่ transition หรือ animation
เพราะทำที่ icon ของ sound อย่างเดียวก็สำเร็จตามวัตถุประสงค์แล้ว

04 transition
04 transition

เกณฑ์ระดับหลักสูตร องค์ประกอบที่ 3 นักศึกษา ให้มหาวิทยาลัยคัดเด็กเข้าเรียน

การคัดเลือกนักศึกษาเข้าศึกษาในหลักสูตร
การคัดเลือกนักศึกษาเข้าศึกษาในหลักสูตร

รู้สึกสกอ. ใช้ยาแรง ที่ว่า “อยากเรียนย่อมได้เรียน” คงเป็นอดีตซะแล้ว
เพราะมีโอกาสอ่านร่างคู่มือการประกันคุณภาพภายใน ระดับอุดมศึกษา
ฉบับปีการศึกษา 2557 ฉบับ 3 ธันวาคม 2557
หน้า 23 of 45 องค์ประกอบที่ 3 นักศึกษา ในบรรทัดที่ 2
ต้องให้ความสำคัญกับการรับหรือคัดเลือกนักศึกษาเข้าศึกษาในหลักสูตร
ซึ่งต้องเป็นระบบที่สามารถคัดเลือกนักศึกษาที่มีคุณสมบัติและความพร้อม
ในการเรียนในหลักสูตรจนสำเร็จการศึกษา

แสดงว่าคนเขียนต้องนึกถึงปัญหาของ กยศ.
ที่เด็กกู้แล้วตกงาน ไม่มีเงินจ่ายคืนกองทุน หรือกู้แล้วเรียนไม่จบแน่เลย
เพราะมหาวิทยาลัยที่คัดเด็กเก่งเข้าเรียน ถ้าเด็กเก่งก็จะไม่สอบตก หรือตกงาน
หากมหาวิทยาลัยใดไม่กรองเด็ก รับหมดก็คงตกประกันคุณภาพ เด็กจบไปก็ตกงาน
หากเด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ก็คงเบนเข็มไปอาชีวะ เรียนแล้วได้งานแน่

เพราะตลาดขาดแคลน ดูเหมือนทุกคนจะได้ประโยชนนะครับ

เกณฑ์ที่ว่าก็
เหมือนสอบแพทย์ ต้องมีข้อสอบวัดความถนัดทางการแพทย์
เหมือนสอบวิศวะ ต้องมีข้อสอบวัดความถนัดทางวิศวะ
ต่อไปจะสมัครอะไร ก็ต้องมีข้อสอบที่สอดคล้องกับหลักสูตร เป็นต้น


ข่าว กยศ. ปรับเกณฑ์ ปี 58 เกรดเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 2.00 เมื่อเลื่อนชั้นปี ไม่งั้นกู้ต่อไม่ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409650395

ข่าว บัณฑิตเบี้ยวหนี้เยอะ น่าจะเพราะเกรดไม่ดี หางานดี ๆ ไม่ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410518204

บ้านไร่ศิลาทอง กับการพัฒนาอสม. เรื่องเหล้าและบุหรี่

บ้านไร่ศิลาทอง กับการพัฒนาอสม. เรื่องเหล้าและบุหรี่
บ้านไร่ศิลาทอง กับการพัฒนาอสม. เรื่องเหล้าและบุหรี่

บ้านไร่ศิลาทอง หมู่ 10 อยู่ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลพิชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สภาพพื้นที่บ้านไร่ศิลาทองอยู่ติดกับภูเขาป่ารกและมีป่าละเมาะมากมาย มีประชากรประมาณ 1213 คน ชาย 590 คน หญิง 623 คน มีทั้งหมด 345 หลังคาเรือน แบ่งการดูแลออกเป็น 32 หมวด แล้วแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหมวด เดิมทีเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก ต่อมาพ่อหมอมาลัย เป็นชาวเมืองยองมาจากประตูผางลางย้ายเข้ามาอาศัยพร้อมกับพี่น้องอีก 4 คนที่บ้านไร่ ต่อมามีชาวบ้านพิชัยย้ายเข้ามาอาศัยเพิ่ม เนื่องจากบ้านไร่มีความอุดมสมบูรณ์มีน้ำห้วยโจ้ไหลผ่าน ไม่นานก็มีผู้คนเข้ามาอยู่มากขึ้น จึงตั้งชื่อว่า “บ้านไร่ห้วยโจ้”
การประกอบอาชีพเริ่มแรกมีการปั้นหม้อขาย โดยพ่อหนานขัด ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ริเริ่มการปั้นหม้อคนแรกของหมู่บ้าน พร้อมกับการทำการเกษตร จนมาถึงปี พ.ศ.2500 มีพ่อหนานแก้วมา ใจงาม แต่เดิมเคยเป็นพระภิกษุ ได้ไปทัศนศึกษาที่จังหวัดชลบุรีเห็นการทำครกหินของชาวอ่างศิลา จึงได้เริ่มประกอบอาชีพเจาะครกหินเป็นของคนแรก และได้นำความรู้การทำครกหินเผยแพร่ให้กับชาวบ้าน เพราะมีทรัพยากรที่ได้จากภูเขาที่อยู่ติดหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงประกอบอาชีพการทำครกหินมากขึ้น แต่ก็ประกอบอาชีพเกษตรกรรมควบคู่กันไป และได้เปลี่ยนชื่อ “บ้านไร่ห้วยโจ้” เป็น “บ้านไร่ศิลาทอง” โดยมีคำว่า “ทอง” ต่อท้ายชื่อหมู่บ้าน เพื่อความเป็นศิริมงคลของหมู่บ้าน
ปัจจุบันบ้านไร่ศิลาทองมีเจ้าหน้าที่ อสม.ทั้งสิ้น 33 คน โดยมีนางศรีรัตน์ เขียวงาม ทำหน้าที่เป็นประธาน อสม. มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2532 และด้วยการสนับสนุนของนางศิริพร ปัญญาเสน อดีตนายกอบต.พิชัย ทำให้มีโครงการเข้าไปสนับสนุนการพัฒนาหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงเรียนชาวนา ช่วงที่ผ่านมาพระอธิการไตรณรงค์ ฐิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ศิลาทอง และนายจรูญ วรรณรัตน์ ผู้ใหญ่บ้าน ให้ความสำคัญต่อการลดเหล้าในงานศพ ได้จัดกิจกรรมบรรยายเรื่องการลดเหล้างานศพ 2 ครั้ง เพื่อให้การลดอบายมุกของคนในชุมชน โดยมีวิทยากรได้แก่ พระอาจารย์สาธิต ธีรปัญโญ ผู้อำนวยการธรรมสถานสถาบันธรรมภิวัตรบ้านสบเติ๋น อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง และคุณชาญ อุทธิยะ หรือหนานชาญ บ้านสามขา
เมื่อศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น และอาจารย์เบญจวรรณ นันทชัย มหาวิทยาลัยเนชั่น หารือร่วมกับนางศิริพร ปัญญาเสน ทำให้ทราบว่าพื้นที่บ้านไร่ศิลาทอง มีศักยภาพที่พร้อมรับการพัฒนากลุ่มอสม. จึงมีการประชุมที่มหาวิทยาลัยเนชั่น เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2557 เพื่อสร้างความเข้าใจ เตรียมความพร้อมร่วมกันครั้งแรก แล้วนัดหมายเข้าไปในชุมชนประชุมที่วัดไร่ศิลาทอง เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2557 มีการทำความเข้าใจเรื่องที่มาที่ไปของโครงการกับอสม.ทั้ง 33 คน และชวนกันสรุปประเด็นในกลุ่มอสม.ทั้งหมด 3 ประเด็น คือ ทบทวนวิธีการเดิม พฤติกรรมของคนกินเหล้า วิเคราะห์กลุ่มเลิกสุรา
เมื่อวันที่ 20 – 21 ตุลาคม 2557 ไปประชุมอบรมที่เชียงใหม่ ให้ความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเหล้าและบุหรี่คือ คุณสอน ขำปลอด เล่าเรื่องที่ทำงานกับเหนือล่าง และคุณธงชัย ยงยืน เล่าเรื่องทำงานกับเหนือบน และคุณพรทิพภา สุริยะ ได้บรรยายเรื่องการเขียนโครงการ หลังเลิกประชุม ได้มีการประชุมในทีมก่อนกลับลำปางเพื่อยกร่างกิจกรรมในการทำโครงการพัฒนาศักยภาพอสม. ได้ทั้งหมด 12 กิจกรรม เพื่อให้ทีมนำกลับไปทบทวน และพัฒนาให้มีความชัดเจน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 ได้ประชุมที่มหาวิทยาลัยเนชั่น เพื่อปรับร่างข้อเสนอโครงการใหม่ร่วมกับคุณภัทรา มาน้อย ทำความเข้าใจในการเขียน และกรอบเวลา และการปรับรายละเอียด อาทิ หลักการและเหตุผล กิจกรรม วัตถุประสงค์ ผลที่คาดว่าจะได้รับ กลุ่มเป้าหมาย ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และงบประมาณ
ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ได้ปรับร่างข้อเสนอโครงการ แล้วนำไปทบทวนในทีมอสม. ที่บ้านของนางศรีรัตน์ เขียวงาม ร่วมกับทีมอสม. ทำให้โครงการมีแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาอสม. โดยมีประเด็นสำคัญคือสำรวจให้รู้ตัวผู้ติดเหล้าบุหรี่โดยนำเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมเรียนรู้และทำงานร่วมกัน แล้วเชิญชวนผู้ที่ติดเหล้าบุหรี่มาเรียนรู้การลดละเลิก โดยมีคนในชุมชนคอยให้กำลังใจ สนับสนุน และผลักดันร่วมกัน แล้วจึงร่วมกันจัดทำข้อตกลงของหมู่บ้านที่จะผ่านการทำประชาคม และนำไปใช้ร่วมกัน มีการให้ความรู้โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วการยกระดับผู้ที่เลิกได้ให้ขึ้นมาเป็นบุคคลต้นแบบของการเลิกเหล้าบุหรี่ และส่งเสริมการเพิ่มจำนวนผู้เลิกเหล้าให้เพิ่มขึ้น ซึ่งกิจกรรมจะมุ่งพัฒนาให้กลุ่ม อสม. สามารถเรียนรู้ปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ดำเนินการ และสรุปผลด้วยความเข้าใจ และสามารถนำบทเรียนที่ฝังลึกในแต่ละบุคคลไปประยุกต์ใช้การแก้ปัญหาอื่นของชุมชนร่วมกันต่อไป

จ่ายเงินให้กับรูปลักษณ์ภายนอก หรือภายใน

price of banana packaging
price of banana packaging
13 ธ.ค.57 ปกติผมจะซื้อกล้วยประมาณหวีละ 15 บาท
ถ้าซื้อหวีละ 20 บาท แสดงว่าภายนอกสวยมาก หรือสุดวิสัยที่หาถูกไม่ได้
แล้ววันนี้ ไปพบแม่ค้าขายหวีละ 20 กับ 10 บาท ไม่มีหวีละ 15 บาท
ก็ทำให้นึกถึงคำพูดของผู้ว่าฯ ที่พูดไว้เรื่อง product design ของญี่ปุ่น
ในงานประชุมวิชาการระดับชาติ ปี 2557 ที่มหาวิทยาลัยเนชั่น
ว่าราคาสมัยนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้าอย่างเดียว แต่อยู่ที่หีบห่อด้วย
เช่น ญี่ปุ่นตั้งราคา 100 บาท เป็นค่าหีบห่อ 40 บาท ส่วนของไทยเรา 5 บาทเอง
เพราะลูกค้ามักดูที่หีบห่อ แบะหีบห่อก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาต่างกัน
อย่างกล้วยคู่นี้ก็มีรสชาติเหมือนกัน เพราะหวีละ 10 บาทเท่ากัน
ดูแล้วก็น่าจะมาจากต้นเดียวกัน
ส่วนกล้วยหวีละ 20 บาท ที่ผมก็ไม่ได้หยิบมา
เพราะดูขนาด 20 กับ 10 บาทแล้ว ผมว่าพอ ๆ กัน
ต่างกันที่ความสวยงามของเปลือกนอกเท่านั้น
สรุปว่าแม่ค้าก็เลือกตั้งราคา จากรูปร่างภายนอก ไม่ได้พิจารณาจากภายใน
ส่วนลูกค้าก็คงเลือกซื้อกล้วยสวย ๆ หวีละ 20 บาท โดยดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเช่นกัน
ส่วนวันนี้อารมณ์ดี ทำให้ผมสนภายในมากกว่า จึงเลือกซื้อหวีละ 10 บาท 2 หวี

ถังน้ำ 2 ใบ

ข้อคิดจากถังน้ำ 2 ใบ
ข้อคิดจากถังน้ำ 2 ใบ
ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่า เพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกลจากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลาสองปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึกอับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา
หลังจากเวลาสองปีที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างใน
ไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน
คนตักน้ำตอบว่า “เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า และทุกวันที่เราเดินกลับ
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลาสองปีที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้น
กลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว
เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้ คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ
และกลายเป็นบำเหน็จ รางวัลของชีวิตได้
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
.. มองแง่บวกเข้าไว้

คำพูดสร้างพลัง สร้างได้ ทำลายได้ ถ้าพูดด้วยรักจะเป็นการสร้าง

love mom
love mom

ใจคน .. เปราะบางยิ่งกว่าไข่ไก่
เพราะไข่ไก่ต้องเคาะหนึ่งที่ถึงจะแตก
แต่ใจคนเปราะบางยิ่งกว่า
ด้วยคำพูดเพียงคำเดียวของผู้อื่น ซึ่งมองไม่เห็น
อาจทำให้หัวใจแหลกสลายลงไปได้

ครั้งแรก..ที่เข้าร่วมการประชุมผู้ปกครอง คุณครูชั้นอนุบาลพูดว่า…

“ลูกชายของคุณเป็นโรคอยู่ไม่สุข
ไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ แม้เพียงสามนาที
ให้ดีแล้ว คุณควรพาเขาไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาล”

ตอนเดินทางกลับบ้าน ลูกชายถามเธอว่า
คุณครูพูดอะไรบ้าง เธอเจ็บปวดหัวใจ
น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา

เพราะว่า .. เด็กน้อยทั้งห้องสามสิบคน
มีเพียงการปฏิบัติตัวของลูกน้อยที่แย่ที่สุด
คุณครูแสดงออกถึงความดูแคลน

ทว่า .. เธอยังคงบอกกับลูกชายว่า
“คุณครูชื่นชมเธอ บอกว่า เดิมทีเธอไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้
แม้แต่นาทีเดียว ตอนนี้สามารถนั่งได้สามนาทีแล้ว
ส่วนคุณแม่คนอื่น ๆ ต่างก็อิจฉาแม่ เพราะว่า ทั้งห้องมีลูกเพียงคนเดียว
ที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น”

ค่ำวันนั้น ลูกชายของเธอ กินข้าวหมดสองถ้วย
ซึ่งเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งไม่ต้องให้เธอป้อน

ลูกชาย .. ขึ้นชั้นประถมแล้ว การประชุมผู้ปกครอง
คุณครูพูดว่า ..
“นักเรียนทั้งชั้นห้าสิบคน ผลการสอบคณิตศาสตร์ครั้งนั้น
ลูกชายของคุณได้อันดับที่สี่สิบ
พวกเราสงสัยว่า สติปัญญาของเขา อาจจะมีปัญหา
ให้ดีแล้ว คุณควรพาเขาไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาล ”

ระหว่างเดินทางกลับบ้าน น้ำตาเธอไหลรินออกมา
ทว่า เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว กลับพูดกับลูกชายว่า….

“คุณครูเชื่อมั่นในตัวเธอมาก เขาบอกว่า
เธอไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา ขอเพียงแต่เพิ่มความละเอียดรอบคอบมากขึ้น
ก็จะเหนือกว่าคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับเธอ
ครั้งนี้ .. คนที่นั่งโต๊ะตัวเดียวกันกับเธอ
เขาสอบได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ด”
ตอนที่เธอพูดคำ พูดเหล่านี้ เธอพบเห็นว่า ..
ดวงตาของลูกชาย ค่อย ๆ เปล่งประกายแสงยิ่ง ๆ ขึ้น
ใบหน้าที่เศร้าสร้อยเมื่อครู่ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที

อีกทั้ง .. เธอพบเห็นว่า ลูกชายอ่อนโยนจนทำให้เธอตกใจ
คล้ายดั่งเขาได้เติบใหญ่ขึ้นมากในทันที
วันรุ่งขึ้นไปโรงเรียน ก็ไปเช้ากว่าปกติ

ลูกชาย .. ขึ้นชั้นมัธยมต้น
เป็นอีกครั้งของการประชุมผู้ปกครอง
เธอนั่งอยู่ในที่นั่งเรียนของลูกชาย
รอคอยคุณครูขานชื่อของลูกชายเธอ

เพราะว่า .. การประชุมผู้ปกครองทุกครั้งที่ผ่านมา
รายชื่อของนักเรียน ที่มีผลการเรียนย่ำแย่
จะมีรายชื่อของลูกชายเธอทุกครั้ง

ทว่า .. ครั้งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเธอ
จวบจนสิ้นสุดก็ไม่ได้ยินชื่อของลูกชายเธอ
เธอเกิดความไม่เคยชิน ก่อนกลับจึงไปถามคุณครู
คุณครูบอกกับเธอว่า……

“ดูจากผลการเรียนของลูกคุณในปัจจุบันแล้ว
หากไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง
ยังมีความเสี่ยงที่สูงอยู่”
เธอเดินออกจากโรงเรียนด้วยความดีใจ

ยามนี้ เธอเห็นลูกชายยืนรอคอยเธออยู่
ระหว่างทาง เธอจับไหล่ของลูกชาย
ภายในจิตใจรู้สึกหวานชื่นยิ่ง
เธอบอกกับลูกชายว่า…..

“คุณครูประจำชั้น พอใจในตัวเธอมาก
เขาบอกแล้วว่า ขอเพียงลูกมีความพยายาม
ก็จะมีหวังยิ่งขึ้น ที่จะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง ”

จบมัธยมปลายแล้ว
รายชื่อนักเรียนชุดแรก ที่ทางมหาวิทยาลัย
ได้แจ้งผลการสอบผู้คัดเลือกได้

ยามนั้น .. ทางโรงเรียนได้โทรศัพท์มา ให้ลูกชายเธอไปที่โรงเรียน
เธอมีลางสังหรณ์
ว่า ลูกชายของเธอจะต้องสอบเข้า มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแน่

เพราะว่า .. ตอนที่ไปสมัครสอบ เธอได้พูดกับลูกชายว่า
เธอเชื่อและมั่นใจว่า
เขาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้แน่นอน

ลูกชายกลับมาจากโรงเรียน นำจดหมายที่มีตราประทับ
จากสำนักงานของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังยื่นให้เธอ

จากนั้น .. หันหลังแล้ววิ่งไปที่ห้อง ร่ำร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง
ร้องไปก็พูดไปว่า “แม่ .. ผมรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กที่เฉลียวฉลาด
แต่ว่า .. บนโลกนี้ มีเพียงท่านที่ชื่นชมผม ..”

ยามนี้ .. เธอสุดแสนจะดีใจ ไม่สามารถกลั้นน้ำตา
ที่อัดอั้นมาสิบกว่าปีอีกต่อไปแล้ว
จึงปล่อยให้ไหลริน ร่วงลงบนซองจดหมายที่อยู่ในมือ

คำพูด .. ที่ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน สามารถแปรเปลี่ยนแนวคิด
และพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง
แม้กระทั่งแปรเปลี่ยนโชคชะตาของคนคนหนึ่ง

คำพูด .. เชิงลบ บั่นทอนกำลังใจ
จะทิ่มแทงหัวใจและร่างกาย ของคนคนหนึ่ง
จนบาดเจ็บชอกช้ำ จวบจนกระทั่งทำลายอนาคต ของคนคนหนึ่ง

http://blog.nation.ac.th/?p=3287
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1506075673000416&set=a.1410094345931883.1073741828


หัวหน้าเคยแชร์เรื่อง บะหมี่น้ำหนึ่งชาม
http://www.thaiall.com/blog/burin/4066/
ซึ้ง ๆ เหมือนกันเลย
เป็นการเล่าถึงเรื่องทัศนคติของคน
แต่เรื่องนี้มีสองด้านที่แตกต่างกัน
เรียกว่าด้านคิดบวก กับด้านคิดลบ

เพื่อนผู้ทรงคุณวุฒิที่บางนา กรุงเทพฯ

หลายปีที่ผ่านมา .. ผมมีเพื่อนหลายท่าน อยู่กรุงเทพฯ
ที่เรียกได้ว่าเพื่อนผู้ทรงคุณวุฒิ เพราะท่านมีทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ
แล้วด้วยงานที่สัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องกันในหลายครั้ง
ทำให้คิดถึงเพื่อน ๆ ทุกคนเสมอมา จึงเขียนบล็อกเก็บไว้ครับ
ท่านแรก คือ อ.อุดม ไพรเกษตร
เห็นอีเมลของท่านตั้งแต่ มิ.ย.2012 เรื่อง edmodo.com
จากนั้นก็ติดต่อท่านน้อยลงในราวกลางปี 2013
ท่านที่สอง คือ ดร.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และผู้อำนวยการหลักสูตร EX MBA
ทั้ง 2 ท่านอยู่ในรายการ “คิดต่างสร้างปัญญา” เมื่อ 22 สิงหาคม 2012

ท่านที่สาม คือ ดร.ดวงพร อาภาศิลป์
รู้จักท่านช่วง 1 สิงหาคม 2013 ถึง 14 ตุลาคม 2014
ท่านมีความมุ่งมั่น เอาจริงเอาจังกับงาน เป็นที่ประจักษ์

เพื่อน ๆ ให้การต้อนรับคณะกรรมการจาก สกอ. ภาพข่าวใน fb page
เพื่อน ๆ ให้การต้อนรับคณะกรรมการจาก สกอ. ภาพข่าวใน fb page

https://www.facebook.com/NationUNews/photos/pb.228245437252549.-2207520000.1418025980./716977781712643/
ท่านที่สี่ คือ คุณสุพจน์ เพียรศิริ และท่านที่ห้า คือ คุณนนทิชา ศอศันสนีย
มาพร้อม ๆ กันเพื่อดูแลศูนย์ฯ ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่พฤศจิกายน 2014
ซึ่งผมก็มีโอกาสประสานงานด้วย ตามแต่โอกาสอำนวย

หลีกเลี่ยงการตรวจสอบค่า null ตอนที่ 2 (ปรับจาก code คุณสมเกียรติ)

work ซึ่งใช้ try catch จับ NullPointerException
work ซึ่งใช้ try catch จับ NullPointerException
เป็นวิธีแรก ที่อ่านพบจากโพสต์ของคุณสมเกียรติ
คือ การไม่ตรวจสอบ null value ในขณะประมวลผล
แต่ใช้การ try catch ตรวจ NullPointerException
ครอบการเรียกใช้ method ไว้ ซึ่ง code ที่เปลี่ยนแปลงมีเพียง work.java
ผลลัพธ์ที่ได้คือ
1burin
Null Pointer Exception
โดย code ทั้งหมดมี 3 แฟ้มมีดังนี้
1. แฟ้มแรก คือ Work.java
public class Work {
public static void main(String args[]) {
Work job = new Work();
try { job.call(); }
catch(NullPointerException e) {
System.out.println(“Null Pointer Exception”);
}
}
void call() {
PersonDAO personDAO = new PersonDAO();
Person person1 = personDAO.getPersonByID(1);
person1.setName(“burin”);
System.out.println(person1.getID() + person1.getName());
Person person2 = personDAO.getPersonByID(11);
person2.setName(“tui”);
System.out.println(person2.getID() + person2.getName());
}
}
2. แฟ้มที่สองคือ PersonDAO.java
public class PersonDAO {
public Person getPersonByID(int personID) {
Person person = null;
if (personID < 10 && personID > 0) {
person = new Person();
person.setID(personID);
}
return person;
}
}
3. แฟ้มที่สามคือ Person.java
public class Person {
private int id;
private String name;
public void setName(String s) { name = s; }
public void setID(int i) { id = i; }
public int getID() { return id; }
public String getName() { return name; }
}
ตอนที่ 1 เตรียม code สำหรับการเริ่มต้น

หลีกเลี่ยงการตรวจค่า null ตอนที่ 1 (แต่ตัวอย่างที่ยกมานี้ยังไม่หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ)

person object
person object

เคยอ่าน blog ของ Somkiat Puisungnoen
เจ้าของโดเมน somkiat.cc ซึ่งคุณตุ้ยแนะนำมา
ชื่อโพสต์ “Java :: หลีกเลี่ยงการตรวจสอบค่า Null กันได้แล้ว
โดยมี code ตอนหนึ่งว่า
1. PersonDAO personDAO = new PersonDAO();
2. Person person = personDAO.getPersonByID(1);
3. if(person != null) {
4. person.setName(“My name”);
5. }

ซึ่งแนะนำการหลีกเลี่ยงการใช้ null ไว้ 2 วิธี
http://www.somkiat.cc/java-avoid-check-null-in-your-code/

1. บรรทัดแรก
สร้าง instace ชื่อ personDAO จากคลาส PersonDAO
คำว่า DAO มาจาก Data Access Object ทำหน้าที่เข้าถึงข้อมูล
ทำให้มี instace ไว้ใช้งานด้านข้อมูล และติดต่อกับฐานข้อมูล
2. บรรทัดที่สอง
สร้าง instace ชื่อ person จากคลาส Person
ซึ่งมีค่าต่าง ๆ ตามที่กำหนด หรือการประมวลผลที่สำคัญกับข้อมูล
3. บรรทัดที่สาม
ตรวจสอบว่ามี person หรือไม่
ถ้าเรียกใช้ทั้ง ๆ ที่เป็น null ก็จะ error
4. บรรทัดที่สี่
ถ้ามีก็จะกำหนดค่าให้กับ object ใน person
ตามหลัก set กับ get

นำแนวคิดของคุณสมเกียรติ มาทำให้โปรแกรมประมวลผลได้
โดยยังไม่หลีกเลี่ยงการตรวจค่า null แต่ใช้ if != null เหมือนตัวอย่างไปก่อน
1. คลาส PersonDAO ทำหน้าที่เข้าถึงฐานข้อมูลในเบื้องต้น
การ return ต้องกำหนดค่าอะไรสักอย่าง จึงต้องกำหนดเป็น null ไว้แต่แรก
ถ้าไม่กำหนดก็จะ compile ไม่ผ่าน เช่น Person person;
public class PersonDAO {
public Person getPersonByID(int personID) {
Person person = null;
if (personID < 10 && personID > 0) {
person = new Person();
person.setID(personID);
}
return person;
}
}

2. คลาส Person ทำหน้าที่โดยตรงในการเพิ่ม ลบ แก้ไขข้อมูล
public class Person {
private int id;
private String name;
public void setName(String s) { name = s; }
public void setID(int i) { id = i; }
public int getID() { return id; }
public String getName() { return name; }
}

3. คลาส Work ทำหน้าที่รับส่งข้อมูล ควบคุม และนำเสนอข้อมูล
public class Work {
public static void main(String args[]){
PersonDAO personDAO = new PersonDAO();
Person person1 = personDAO.getPersonByID(1);
if(person1 != null) {
person1.setName(“burin”);
System.out.println(person1.getID());
System.out.println(person1.getName());
}
Person person2 = personDAO.getPersonByID(11);
if(person2 != null) {
person2.setName(“tui”);
System.out.println(person2.getID());
System.out.println(person2.getName());
}
}
}
http://www.thaiall.com/class/

ตอนที่ 2 การใช้ try catch จับ Exception
http://www.thaiall.com/blog/burin/6560/

ผู้สูงอายุนอกเมืองหลวง ไม่ดูทีวีดิจิตอล

ช่องรายการดิจิตอลทีวีทั้ง 36 ช่อง
ช่องรายการดิจิตอลทีวีทั้ง 36 ช่อง
7 ธ.ค.57 มีกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลอยู่ 2 กล่อง ตั้งใจจะติดกับทีวีเครื่องเก่าให้ผู้สูงอายุที่บ้าน
เมื่อติดตั้งไปแล้ว ถึงทราบว่าผู้สูงอายุไม่ต้องการใช้บริการ เพราะทุกวันนี้ก็รับชมทีวีอนาล็อกได้อยู่แล้ว
แล้วผมก็ดูได้ 22 ช่อง เพราะบ้านห่างเสาส่ง 14 กิโลเมตร สามารถรับชมโดยไม่ต้องเดินสายเสาอากาศใหม่
ส่วนบ้านอีกหลังห่างเสาส่งไป 26 กิโลเมตร เดินเสาอากาศไปลานกว้างนอกบ้าน รับได้ 6 ช่อง
แล้ว 6 ช่อง ก็ไม่มีช่องที่ผู้สูงอายุต้องการ ซึ่งเป็นช่องเดียวที่จะดูบนทีวี 14 นิ้ว
เหตุผลสำคัญที่ผู้สูงอายุให้มาว่าไม่ดูทีวีดิจิตอล
1. ทุกวันนี้ดูช่องเดียว และไม่เคยเปลี่ยนช่อง
จะมีให้ดู 20 กว่าช่อง ก็คงจะไม่ดู
2. ไม่ชอบกด remote ตัวเล็ก กดไม่เป็น ที่ผ่านมาก็ไม่เคยกด
จะให้กดเลือกช่องที่มีถึง 20 ช่องก็คงไม่กด
3. ถ้าต้องเดินสายอากาศ เจาะนู่น เจาะนี่
เพื่อให้ได้ 20 ช่อง ก็อย่าเลย ไม่อยากเจาะบ้าน
คนรุ่นใหม่คงมีเหตุผลที่จะดูทีวี 20 กว่าช่อง ดังนี้
1. มีเวลาว่างนั่งดูทีวีมากกว่าทำอย่างอื่น
2. ชอบดูรายการใหม่ ๆ อยู่เสมอ
3. มีรายการที่รอติดตามเป็นประจำจากทีวี
ตอนนี้ .. รอให้เพื่อนบ้านมากดดันผู้สูงอายุ ผ่านการเล่าขาน
ว่าดูช่องนู้น ช่องนี้ น่าดู ดูสนุก
แล้วผู้สูงอายุมีความต้องการขึ้นมา ค่อยไปติดตั้งก็ได้
.. เพราะตอนนี้ยังไม่เห็นความจำเป็น จึงไม่ยินดีจะให้ติดตั้ง
ปล. ส่วนผมดู PSI ครับ ไม่ได้ใช้กล่อง Set Top Box