ถ้าเด็กมีสมรรถนะในการตัดผม หลักสูตรฐานสมรรถนะจะช่วยหนุนนำ

ประเทศไทย มีนักวิชาการรวมกลุ่มกัน
และได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
เพื่อร่วมกันยกร่างหลักสูตรฐานสมรรถนะ
ที่จะบังคับเปลี่ยนให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศไทย
ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งสนับสนุนให้เด็กไทย
ได้เรียนรู้ และพัฒนาสมรรถนะของตน
ตามความต้องการ ตามสมรรถนะ
และความถนัดของแต่ละบุคคล
อย่างสร้างสรรค์ อย่างสุจริตไทย
เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกเรียน
ดังคำว่า อยากเรียนต้องได้เรียน

http://www.moesafetycenter.com

เช่น
นักเรียนอยากมีทรงผมในแบบของตน
นักเรียนอยากมีทรงผมตามสายอาชีพในอนาคต
นักเรียนอยากเป็นอินเฟลูเอนเซอร์
นักเรียนอยากเป็นช่างตัดผม
หลักสูตรฐานสมรรถนะก็จะสนับสนุน
ให้เด็กได้เรียน ได้มีทักษะในการตัดผมตามสมรรถนะ
ไว้ทรงผมตามสิทธิ์ของตน
ได้รับการสนับสนุนโดยไม่มีการขัดขวาง
อยากมีสมรรถนะแบบใดก็ได้แบบนั้น
แต่ถ้ามีใครทำร้ายเรา แจ้งที่ #moesafetycenter ได้

https://www.thaiall.com/education/competency_based_curriculum.htm

ใครคิดไม่อยากเป็นช่างตัดผม
ฝึกตัดผม ไว้ผมทรงฮิต **เขาไม่ได้คิดผิด**
เขาแค่ไม่มีธุรกิจร้านตัดผมที่บ้านแบบเรา
และไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง #คิดถึงวิทยา
(Teacher’s Diary)

https://web.facebook.com/ajWiriya/posts/pfbid02JmZiqEZzVV1uPX5fC5MsiNPfYQPcK7NtJkUp1YXmMMLNrpo8r9Wa9rigLexQBYUnl

เรียกชื่อให้ตอบ

การเรียนการสอนแบบ Active Learning คือ กระบวนการจัดการเรียนการสอนเชิงรุก ที่เน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ ผ่านการลงมือทำที่ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อให้ได้ผลการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น 1) รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) 2) รูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) 3) รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) 4) รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) 5) รูปแบบการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือวิธีวิจัย (Research-Based Learning)

การจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีประโยชน์ ดังนี้ 1) พัฒนาการมีส่วนร่วม ความคิด และทักษะ 2) มีการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อใช้พัฒนาผู้เรียน 3) ให้ความสำคัญกับความแตกต่างของผู้เรียน 4) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด และนำเสนอสิ่งที่เรียนรู้และปฏิบัติจริง 5) สร้างเครือข่ายระหว่างบุคคล และสื่อการเรียนรู้ 6) พัฒนาทักษะที่สำคัญให้กับผู้เรียน 7) ผู้เรียนมีความมั่นใจในการทำผลงานของตน 8) สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ระหว่างครูกับนักเรียน และนักเรียนได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน

อ่าน บทความปริทัศน์ เรื่อง การจัดการเรียนรู้ สู่ Thailand 4.0 : Active Learning โดย กาญจนา บุญภักดิ์ และ สุวรรณา อินทร์น้อย ในวารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม ปีที่ 17 ฉบับที่ 2 พบ กลวิธีหนึ่ง ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ อาจต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ทำการสอน คือ “การแสดงความคิดเห็นเป็นรายบุคคล โดยการเรียกชื่อให้ตอบ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียน คิดคำตอบไว้ล่วงหน้าตลอดเวลา เพราะคิดว่าผู้สอนอาจถามตนเองเป็นคนต่อไป”

https://ph01.tci-thaijo.org/index.php/JIE/article/download/146253/107851/

http://www.thaiall.com/education/indexo.html

ดัชนีความคล้ายคลึง

ตามที่ได้อ่านจาก thailibrary.in.th พบว่า Pharmaceutical and Biosciences Journal และ Bentham Science ได้ระบุในเงื่อนไขการรับบทความวารสารต้นฉบับเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ว่า อนุญาตให้มีความคล้ายคลึงกันโดยรวม 20% สำหรับต้นฉบับที่จะพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ และมีความคล้ายคลึงกันของข้อความจากแหล่งเดียวที่ยอมรับได้คือ 5% ดังนั้น เรื่อง “ดัชนีความคล้ายคลึง” ระบุให้ 1) ความคล้ายคลึงโดยรวมไม่เกินร้อยละ 20 2) ความคล้ายคลึงจากแหล่งเดียวกันไม่เกินร้อยละ 5 พบว่า บางสถาบันกำหนดละเอียดลงไปว่า “ส่วนของผลการวิจัยและอภิปรายผลต้องมีค่าไม่เกินร้อยละ 10” เป็นเงื่อนไขที่น่ายึดเป็นแนวปฏิบัติสำหรับนักวิชาการที่ต้องการตีพิมพ์ผลงาน และตรวจสอบความเหมือน ด้วย อักขราวิสุทธิ์

https://www.thaiall.com/research/apa.htm

thailibrary.in.th
ukjpb.com

พัฒนาสมรรถนะผู้สูงอายุ กรณี โรงเรียนผู้สูงอายุทุ่งกว๋าว

มหาวิทยาลัยเนชั่น ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งกว๋าว ทำโครงการ มหาวิทยาลัยเนชั่นบูรณาการวิชาการเพื่อบริการแก่สังคมในสถานการณ์ COVID-19 ประจำปีการศึกษา 2564 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งกว๋าว อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง เมื่อวันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 โดยมี 6 กิจกรรมพัฒนาสมรรถนะนักเรียนผู้สูงอายุ ดังนี้

  1. การตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยชุด ATK (เทคนิคการแพทย์)
  2. การล้างมืออย่างไรให้ปลอดภัย (พยาบาลศาสตร์)
  3. การเดินทางโดยเครื่องบิน (สาขาธุรกิจการบินฯ)
  4. ตรวจสุขภาพฟันและแนะนำการดูแลช่องปาก (ทันตแพทยศาสตร์)
  5. การยืดเหยียดสำหรับผู้สูงอายุ (สาธารณสุขศาสตร์)
  6. เทคนิคการถ่ายภาพเพื่อส่งเสริมการขายสินค้า (นิเทศศาสตร์ + MBA)
    เพิ่มเติม ฐานกิจกรรมวาดภาพระบายสี (ศิลปศาสตร์ฯ)
    ดูแลพิธีการโดย อ.วีระพันธ์ แก้วรัตน์ (บริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์)

และเป็น โครงการ ดูแล ส่งเสริมสุขภาพ ผู้สูงอายุ โดยหมอมือใหม่ จิตอาสา มหาวิทยาลัยเนชั่นบูรณาการวิชาการเพื่อบริการแก่สังคมในสถานการณ์โควิด (Covid-19) โดย สโมสรนิสิตมหาวิทยาลัยเนชั่น ร่วมกับ คณะกรรมการนิสิต 5 คณะวิชา ซึ่งพบการเล่าเรื่องแบบ Story telling ในสื่อสังคมของมหาวิทยาลัยเนชั่น

โรงเรียนผู้สูงอายุ

https://www.thaiall.com/education/indexo.html

กำหนดการ

ประวัติวัดบ้านต๋อมกลาง

วัดบ้านต๋อมกลาง ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.ต๋อม อ.เมือง จ.พะเยา มีเนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 45 ตารางวา
ประกาศตั้งวัด พ.ศ.2346 ผูกพันธสีมา พ.ศ.2350 ก่อนจะสร้างวัดนี้ขึ้น ได้มีราษฎรอพยพมาจาก อ.เมือง จ.ลำปาง เพื่อมาตั้งหลักฐานทำมาหากิน ในราว พ.ศ.2346 โดยมี พระภิกษุแสนภาพ เป็นประธาน พร้อมด้วยทายกทายิกา ก่อสร้างสำนักขึ้นเป็นสถานบำเพ็ญกุศล และได้ไปอาราธนานิมนต์ พระภิกษุพิมสาร จากวัดพระเจ้าทันใจ จังหวัดลำปาง มาเป็นประธานสร้างวัด และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จนสิ้นอายุของท่าน ต่อมาลูกศิษย์ของท่านปกครอบสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาพระภิกษุคำมา ธมมวโส (สอนใจ) เป็นประธานพร้อมด้วยทายกทายิกา ได้ก่อสร้างอุโบสถขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2477 โดยใช้ที่ดินก่อตั้งวัด เดิมมีประมาณ 5 ไร่เศษ ต่อมาสร้างถนนตัดผ่าน แยกที่ออกเป็น 2 แปลง ที่ดินส่วนหนึ่งได้สร้างเป็นตาดสดขึ้นด้านทิศใต้ เพื่อเก็บผลประโยชน์บำรุงวัด ส่วนเขตที่ตั้งวัดและเขตที่ธรณีสงฆ์นั้นมีตามใบ น.ส.3 ของวัดแล้ว

ปี พ.ศ. 2521 พระภิกษุบุญมี วชิรญาโณ
เจ้าอาวาสพร้อมด้วยทายกทายิกา
ได้พร้อมกันซื้อที่ดินด้านทิศเหนือ
ในเนื้อที่ 2 งาน 70 ตารางวา
เพื่อขยายเขตวัดออกไป

สิ่งสำคัญประจำวัดนี้ได้แก่ พระวิหารจำลองหลังเล็ก ซึ่งแกะสลักด้วยมีภาพจิตกรรมของโบราณ ซึ่งพระพิมสาร เป็นผู้สร้าง นายแสงภาพเป็นประธานเจ้าภาพ สร้างเมื่อจุลศักราช 1216 ตรงกับพุทธศักราช 2397 วัดนี้เดิมเรียกว่า “วัดศรีดอนไชย” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “วัดบ้านต๋อมกลาง” จนถึงปัจจุบันนี้ เหตุที่เรียกชื่อวัดและหมู่บ้านนี้ อาศัยมูลเหตุมาจากลำแม่น้ำต๋อม

ผู้เรียบเรียงคือ พระอธิการบุญมี วชิราญาโณ (สอนใจ)

ประวัติวัดบ้านต๋อมกลาง

หลับจำศีลยาว ๆ ทำให้พลังงานถูกใช้จนหมดระหว่างจำศีลได้

ถ้าสนใจบทความฉบับเต็ม หาซื้ออ่านได้จากผู้ให้บริการ
https://doi.org/10.1098/rspb.2022.0456

ตามที่ ทีมนักวิทยาศาสตร์ 3 คน คือ Roberto F. NespoloCarlos Mejias และ Francisco Bozinovic จากมหาวิทยาลัยปอนติฟิคัลคาทอลิก (PUC) และสถาบันสหัสวรรษเพื่อชีววิทยาบูรณาการ (iBio) ของประเทศชิลี เผยผลการศึกษา “Why bears hibernate? Redefining the scaling energetics of hibernation” Published: 27 เมษายน 2022 ว่า สัตว์ที่มีร่างกายใหญ่จะใช้พลังงานมากกว่าสัตว์ที่มีขนาดเล็กในระหว่างจำศีล เช่น หมีก็จะใช้พลังงานมากระหว่างจำศีล ส่วนสุนัขหรือหนูขนาดเล็กก็จะใช้พลังงานน้อยลงไปตามขนาดร่างกาย จาก ผลคำนวณทางคณิตศาสตร์และชีววิทยา ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the Royal Society B ทำให้เชื่อได้ว่ามนุษย์จะต้องใช้พลังงานในระหว่างจำศีล และประหยัดพลังงานได้ไม่มากพอ จนทำให้เสี่ยงที่พลังงานจะหมดระหว่างจำศีลแล้วเสียชีวิต เนื่องจากพลังงานถูกใช้ไปจนหมด โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางในห้วงอวกาศที่ยาวนานนับสิบนับร้อยปี

Nespolo Roberto F., Mejias Carlos and Bozinovic Francisco 2022Why bears hibernate? Redefining the scaling energetics of hibernationProc. R. Soc. B.2892022045620220456
http://doi.org/10.1098/rspb.2022.0456

การมีชีวิตของมนุษย์หรือสัตว์นั้น ร่างกายประกอบขึ้นด้วยเซลล์ พบว่า ร่างกายมนุษย์เราสร้าง 3.8 ล้านเซลล์ใหม่ทุกหนึ่งวินาที ผลัดเซลล์ 80 กรัมต่อวัน ข้อมูลจาก รายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน วารสาร Nature Medicine โดย Ron Sender และ Ron Milo พบว่า ในร่างกายของเรามีเซลล์หลายชนิด เซลล์บางชนิดอยู่ได้ไม่กี่วัน แต่ประสาทในสมองส่วนซีรีเบลลัมและเซลล์ไขมันในเลนส์ตา ไม่มีการผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอัตราการสร้างและผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ของมนุษย์ พบว่า เซลล์เม็ดเลือดใหม่ผลัดเปลี่ยนได้สูงสุด ซึ่งมากกว่าเซลล์บุผนังลำไส้ใหม่ เซลล์ผิวหนัง และเซลล์ไขมัน นั่นหมายความว่า มนุษย์เราต้องใช้พลังงาน และร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะการสร้างและผลัดเปลี่ยนเซลใหม่ในร่างกายของเรา

https://www.bbc.com/thai/features-55786664
https://stem.in.th/20210124/

PDPA ebook โดย อ.เธียรชัย ณ นคร ใน PDPAthailand.com

PDPA Thailand (Personal Data Protection Act) ได้รับอนุญาตจาก อ.เธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในการเผยแพร่เอกสาร “หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลในองค์กรภาคเอกชน” สืบเนื่องในโอกาสที่อาจารย์มาบรรยายให้กับวิทยากรและที่ปรึกษาของบริษัท Digital Business Consult ตลอดจนผู้เข้าอบรมหลักสูตร Train the Trainer รุ่นที่ 1-4 ของสถาบันพัฒนาและทดสอบทักษะดิจิทัล DDTI เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2565 ณ สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และได้ส่งมอบเอกสารฉบับนี้ไว้

PDPA Guideline สำหรับองค์กรภาคเอกชน โดย เธียรชัย ณ นคร ครอบคลุมบทสรุปของหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นสากล นำเสนอให้องค์กรได้นำไปพิจารณาและปรับใข้ตามความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทในการประกอบธุรกิจ โดยอ้างอิงถึงบทบัญญัติใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ประกอบ เชื่อว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกองค์กร (ไม่เพียงเฉพาะภาคเอกชน) ที่เริ่มต้นหรือกำลังดำเนินการตาม PDPA กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยที่ “ทุกองค์กรต้องทำตาม” หากมีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่นแม้เพียงเล็กน้อย

http://www.thaiall.com/pdpa/index.html

e-book 31 หน้า : [Full] PDPA Guideline for Private Sector การบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลในองค์กรภาคเอกชน โดย อ.เธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการ คณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคล

เกมสนุกและสร้างสรรค์ #puzzle #1

โค้ดเกมหากุญแจ ที่เขียนด้วย javascript ใน homepage นี้ มีวัตถุประสงค์ในการสุ่ม กุญแจ (key) และสร้างคำแนะนำ (hint) ทั้ง 5 ข้อ ให้กับผู้เล่นเกมได้ทายตัวเลข 3 ตัวที่ไม่ซ้ำกัน กรอกลงในช่อง 3 ช่องแบบไม่ซ้ำ แล้วกดปุ่ม check ถ้าทายถูกก็จะพบคำว่า “You Crack it.” แต่ถ้าทายผิดก็จะพบคำว่า “Try once again.”

ซึ่งการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน มีขั้นตอนที่ 1 คือ การกระตุ้นความสนใจ ดังนั้นการเริ่มต้นด้วยการคำนวณชวนคิดอย่างมีจินตนาการ เพื่อตามหาตัวเลข 3 ตัว หรือตามหากุญแจที่หายไป จากลายแทงที่เตรียมให้ทั้งหมด 5 ลายแทงดังตัวอย่าง เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นความสนใจ ก่อนเข้าสู่บทเรียนได้เป็นอย่างดี สำหรับ การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL = Creative-Based Learning)

What is the key?


ซึ่ง CBL ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Interested) ขั้นตอนที่ 2 ตั้งปัญหารายบุคคลและกลุ่มตามความสนใจ (Problem) ขั้นตอนที่ 3 ค้นคว้าและทดลอง (Search and Test) ขั้นตอนที่ 4 นำเสนอผลงาน (Result) ขั้นตอนที่ 5 สรุปและประเมินผล (Conclusion) พบว่า เวทิสา ตุ้ยเขียว สกนธ์ชัย ชะนูนันท์ และ อัญชลี สิริกุลขจร (2563) ศึกษาเรื่อง แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานที่ส่งเสริมสมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี ซึ่งผลการวิจัยมีแนวทาง 5 ขั้นตอน อ้างอิงจาก Luachaiphanit, W. (2015). Creativity-Based Learning (CBL). Journal of Learning Innovations Walailak University,1(2), 23-37. [in Thai]

https://www.thaiall.com/php/whatisthekey.htm

แฮนด์ออนเทเบิล (Handsontable)

Handsontable คือ เครื่องมือที่พัฒนาด้วย Javascript ที่ทำงานฝั่งไคลเอนต์ (Client) มีหน้าที่แสดงรายการข้อมูลในรูปของตาราง หรือกระดาษทำการ (Spreadsheet) ที่แสดงผลคล้ายกับ MS Excel ซึ่งนำมาพัฒนาต่อยอดได้ง่าย รองรับการประมวลผลที่ยืดหยุ่น ใช้ข้อมูลรูปแบบ JSON เข้ากันได้กับเฟรมเวิร์ก (Framework) ที่เป็นที่นิยม เช่น Angular, Vue และ React เป็นต้น

พบว่า ถูกนำมาใช้โดย ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Government Data) ภายใต้ชื่อ “data.go.th” เพื่อพรีวิวข้อมูล สำหรับข้อมูลส่วนที่สามารถแสดงได้กลุ่มหนึ่งจากข้อมูลที่มีทั้งหมด 5,843 ชุดข้อมูล (10 เมษายน 2565) สำหรับการใช้งานข้อมูล สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก คู่มือการใช้งานระบบศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ ที่เตรียมเอกสารโดย Witwisit Kesornsit ตั้งแต่รุ่น 0.1 เมื่อ 24 มกราคม 2563 โดย คู่มือฉบับล่าสุด รุ่น 3 เผยแพร่ ธันวาคม 2564 ของ สถาบันนวัตกรรมและธรรมาภิบาลข้อมูล มีข้อมูล preview ในหน้า 13 ที่อธิบายว่า “ระบบจะแสดงการ preview ชุดข้อมูลในแบบตาราง data explorer อย่างอัตโนมัติ” ซึ่งตารางที่ปรากฎในรูป คือ ผลของการใช้ Handsontable นั่นเอง

http://www.thaiall.com/json/

http://www.thaiall.com/jslibrary/

โครงการห้องเรียนที่ดี (Good Classroom) : 50 คลิปวิดีโอ
https://www.thaiall.com/education/indexo.html

ข้อเสนอแนะ และเพิ่มเติม หลังมอง 17 ข้อ ของ ลอย ชุนพงษ์ทอง

ชำแหละ #แผนการศึกษา #จุดจบความคิดสร้างสรรค์ #ใส่กรอบแบบเดียวกัน

ข้อเสนอแนะ และเพิ่มเติม หลังมอง 17 ข้อ ของ ลอย ชุนพงษ์ทอง
#1 รัฐจัดให้เด็กได้เรียนรู้
– ตามความถนัด จัดให้เรียนที่ถนัด (คณิต อังกฤษ จีน เกาหลี เป็นต้น)
– ตามท้องถิ่น จัดให้เรียนตามภูมิปัญญาท้องถิ่น (ประมง เกษตร เลี้ยงสัตว์ สิ่งทอ เป็นต้น)
– ตามความเชื่อ จัดให้เรียนที่เชื่อ (นวัตกรรม ศาสนา วัฒนธรรม เป็นต้น)
– ตามศักยภาพ จัดให้เรียนตามศักยภาพ (ดนตรี กีฬา วิชาการ ค้าขาย เป็นต้น)
#2 รัฐส่งเสริมสนับสนุน และมีช่องทาง
– ให้ภาคเอกชน มีส่วนร่วมจัดการศึกษา (ฝึกงาน สหกิจศึกษา งานพิเศษ เป็นต้น)
– ให้องค์กรท้องถิ่น มีส่วนร่วมจัดการศึกษา (ครูพี่เลี้ยง จิตอาสา ภูมิปัญญา เป็นต้น)
#3 ภาคประชาชนมีสิทธิตรวจสอบ
– ร่วมตรวจสอบความโปร่งใสการใช้งบการเงิน
– ร่วมกันโหวตให้คะแนนที่นำไปสู่การจัดสรรงบประมาณ
#4 ระบุให้ชัดเจนถึงสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้
– หน้าที่ของพ่อแม่
– หน้าที่ของผู้ปกครอง
– หน้าที่ของเด็ก
– หน้าที่สถานศึกษา
โดย หน้าที่ คือ ข้อปฏิบัติของบุคคลที่จะต้องกระทำให้เกิดประโยชน์เป็นผลดี
#5 ระบุสิทธิ เสรีภาพ ขอบเขต การแสดงออก
– สิทธิของพ่อแม่
– สิทธิของผู้ปกครอง
– สิทธิของเด็ก
– สิทธิของสถานศึกษา
โดย สิทธิ คือ อำนาจอันชอบธรรม ซึ่งบุคคลทุกคนพึงมีพึงได้ โดยไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น
#6 ระบุสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่
– สิทธิและหน้าที่ของครูในสถานศึกษา
– สิทธิและหน้าที่ของครูนอกสถานศึกษา
#7 สนับสนุน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ
– แก้ไขกฎกระทรวงต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ฯ
– จัดคนให้เหมาะสมกับงาน และเป็นตัวแบบที่ดีให้เด็ก

https://www.thaiall.com/student/law.htm