ข้าวโพดเป็นธัญพืช ที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน นอกจากจะมีฝักและเมล็ดที่มีรสชาติ หวาน แล้วยังประกอบไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมาย ยิ่งในปัจจุบันยุคไอที ข้าวโพดเป็นธัญพืชชั้นดี ที่จะช่วยดูแลสุขภาพร่างกายของเรา และป้องกันโรคต่างๆ อีกด้วย มาดูกันว่าข้าวโพดมีประโยชน์อะไรบ้าง
สรรพคุณของข้าวโพด
ข้าวโพดช่วยบำรุงสายตา
ในข้าวโพดจะมีสาร เบต้าแคโรทีน (β-carotene) หรือที่เรารู้กันว่าเป็น โปรวิตามินเอ ร่างกายเราจะนำไปใช้สร้างสาร โรดอปซินนะครับช่วยให้ลดอัตราเสื่อมของลูกตาและป้องกันการเป็นโรคต้อกระจกตาด้วย อีกทั้งยังมี โฟเลตซึ่งจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอในการเสื่อมสภาพของร่างกาย
ป้องกันโรคหัวใจ
ข้าวโพดจะมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ผูกกับใยที่ละลายกับน้ำดีจากคอเลสเตอรอลในตับของเรา ซึ่งจะช่วยให้คอเลสเตอรอลในร่างกาย สลายไปได้ดีอีกด้วย แถมยังอุดมไปด้วยโฟเลต, วิตามินบีที่ช่วยในการลดระดับของ homocysteine, กรดอะมิโนที่ตามผลิตภัณฑ์ในกระบวนการเมตาบอลิสำคัญ (เรียกว่ารอบการเติมหมู่เมธิ) ระดับสูงของ homocysteine สามารถทำลายเส้นเลือดที่นำไปสู่หัวใจวายโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดันในร่างกาย
ต้านมะเร็ง
นอกจากข้าวโพดจะมีสารที่ช่วยในการสร้าง โรดอปซิน ที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ข้าวโพดยังช่วยลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งปอด และเส้นใยในข้าวโพดยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารเพื่อสุขภาพจึงลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่
ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร
เส้นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ ในข้าวโพดจะช่วยให้ดี สำหรับริดสีดวงทวาร จากโรคทางเดินอาหาร หรืออาหารท้องผูก ทุเลาลง เนื่องจาก เส้นใยจะช่วยดูดซับน้ำ และช่วยระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยบำรุงผิวพรรณ
อย่างที่เราทราบกันดีเรื่อง สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในข้าวโพด ทำให้ผิวพรรณของเราไม่เหี่ยวย่น เปล่งปลั่งดูสดชื่นมีชีวิตชีวา
————-
และยังมีผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ (Cornell University : เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนตั้งอยู่ที่เมืองอิทากา ในมลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2408) รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษ ในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด นักวิจัยเปิดเผยว่า “ผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน” ว่าผักและผลไม้หากต้มหรือปรุงสุกแล้ว จะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถ เก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีไป
นักวิจัยยังพบอีกว่าการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานเท่าไหร่ จะทำให้มันมีสาร ที่เป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรค อันสืบเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ เช่น ต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
คณะนักวิจัยชี้แจงว่าข้าวโพดหวาน ที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก (Ferulic acid) อันเป็นคุณกับร่างกาย และจะยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพวก “พฤกษเคมี” (Phytochemical หรือ Phytonutrients) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ พบเฉพาะในผักและผลไม้และมีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบว่ามีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด ซึ่งผสมปนเปรวมอยู่กับพฤกษเคมีอย่างอื่นๆ เพราะฉะนั้นการทำให้มันสุก จึงช่วยให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น”
—————————————
ขอขอบคุณข้อมูลจาก