คลิ๊ปนี้ใช้ microphone ของ logitech รุ่น h530 usb headset
แล้วใช้โปรแกรม camtasia 7.1 บันทึกภาพจาก powerpoint แล้วจัดเก็บแบบ mp4 สำหรับ web ขนาด 1024 * 768 px มี frame rate อยู่ที่ 15 frame/sec ระยะเวลา 18 นาที ใช้พื้นที่ประมาณ 18 MB ที่ได้แฟ้มขนาดไม่ใหญ่เกิดจากมี slide เพียง 3 slides มีเนื้อหาเกี่ยวกับ โครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
แต่ถ้าใช้ slide เพิ่มขึ้น แล้วเปลี่ยนบ่อยขนาดของแฟ้มก็จะเพิ่มขึ้น
Author: เก๋กับนก
ใครเอาเนยแข็งของฉันไป
ใครเอาเนยแข็งของฉันไป?
เขียนโดย นพ.สเปนเซอร์ จอห์นสัน
แปลโดย ดนัย บัวเลิศ 16 มิถุนายน 2546
http://www.budmgt.com/budman/bm02/whomovedmycheese.html
การรวมกลุ่มสังสรรค์ ในชิคาโก
วันอาทิตย์ที่อบอุ่นวันหนึ่งในเมืองชิคาโก เพื่อนร่วมรุ่นกลุ่มหนึ่งตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนก็มารับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน หลังจากที่ได้ไปร่วมงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนเมื่อคืนก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องการที่จะรับรู้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของพรรคพวกแต่ละคนให้มากขึ้น หลังจากที่รับประทานอาหารดีๆร่วมกันและหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานแล้ว พวกเขาจึงตั้งวงสนทนากันในหัวข้อที่น่าสนใจ
แองเจลลา ดาวเด่นคนหนึ่งของชั้นเรียนก็เอ่ยขึ้นว่า “เชื่อได้เลยล่ะว่า ชีวิตพวกเราผันออกมาแตกต่างไปจากที่ฉันคาดหมายไว้เมื่อครั้งเรายังเป็นเด็กนักเรียน หลายๆอย่างเปลี่ยนไปมาก”
“แน่นอน มันต้องเป็นเช่นนั้น” นาธาน สอดรับขึ้นมา พวกเพื่อนๆรู้ว่า เขาได้ทำธุรกิจของครอบครัวที่ดำเนินไปเช่นเดิมและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของที่นั่นมาตั้งแต่พวกเขาจำความได้ ด้วยเหตุดังกล่าวพวกเขาจึงรู้สึกแปลกใจเมื่อ นาธาน กล่าวออกมาเช่นนั้น เขา(นาธาน)พูดต่อมาว่า “แต่ พวกเราสังเกตออกไหมล่ะว่า พวกเรามักไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป”
คาร์ลอส กล่าวต่อว่า “ผมคิดว่าเราต่อต้านการเปลี่ยนแปลงก็เนื่องจากเรากลัวความเปลี่ยนแปลง”
“คาร์ลอส คุณเคยเป็นถึงหัวหน้าทีมฟุตบอล” เจสสิกา พูดขึ้น “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินเธอพูดถึงความกลัวออกมา”
ถึงตอนนี้พวกเขาก็หัวเราะออกมา ราวกับรู้ว่า แม้ว่าพวกเขาจะก้าวออกไปสู่ทิศทางต่างๆ – จากการทำงานบ้านไปจนถึงการบริหารบริษัท – พวกเขาก็ยังมีความรู้สึก(กลัว)คล้ายๆกันอยู่ดี
ทุกๆคนมักจะพยายามที่จะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในช่วงปีที่ผ่านมา และ ส่วนมากก็ยอมรับว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการรับมือที่ดีในเรื่องนี้
และแล้ว ไมเคิล ก็พูดต่อว่า “ผมเคยเป็นคนหนึ่งที่กลัวการเปลี่ยนแปลง เมื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พุ่งเข้ามาสู่ธุรกิจของเรา เราไม่รู้แม้แต่น้อยว่าควรจะทำอย่างไร ดังนั้นเราจึงไม่ทำอะไรที่แตกต่างออกไปเลย และ ในที่สุดเราก็เกือบจะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป”
“เราเป็นเช่นนั้น” เขา(ไมเคิล) กล่าวต่อ “จนกระทั่งผมได้ยินนิทานตลกๆเรื่องสั้นๆเรื่องหนึ่งเข้า จึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป”
“เรื่องนั้นมันเป็นอย่างไรนะ” นาธาน ถาม
“พูดให้ง่ายก็คือ นิทานเรื่องนี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง – จากการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ก็กลับกลายเป็นได้หลายสิ่งหลายอย่างกลับมา – และก็ด้วยนิทานเรื่องนี้แหละที่แสดงให้ผมเห็นถึงวิธีการรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะปรับปรุงขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ขึ้น – ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือ เรื่องในชีวิตส่วนตัวของผม”
“แรกๆผมก็รู้สึกรำคาญกับความเรียบง่ายของนิทานเรื่องนี้ เพราะว่า มันดูเหมือนเรื่องที่เราเคยรับรู้มาแล้วในสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่”
“หลังจากนั้น ผมก็เรียนรู้ว่า ผมน่าจะรำคาญตัวผมเองมากกว่า ที่ไม่สามารถหยั่งถึงความเรียบง่ายและนำมาปฏิบัติได้เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น”
“เมื่อผมได้เรียนรู้ถึงคุณลักษณะ 4 ประการ จากนิทานดังกล่าวซึ่งดูจะเป็นแบบอย่างที่เกิดขึ้นในหลายๆส่วนของตัวผม ผมจึงตัดสินใจว่าผมจะเลียนแบบคุณลักษณะแบบใด และ นั่นล่ะที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป”
“หลังจากนั้น เมื่อผมส่งนิทานดังกล่าวต่อไปให้คนอื่นๆในบริษัทของเราได้อ่านต่อกันไป และ ในไม่ช้าธุรกิจของเราก็ขยับตัวดีขึ้น ทั้งนี้เพราะพวกเราส่วนใหญ่ยอมที่จะปรับตัวให้รับกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น และก็เหมือนผม หลายๆคนพูดว่า นิทานเรื่องนี้ได้ช่วยพวกเขาแม้แต่ในชีวิตส่วนตัว”
“อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมักจะเอ่ยออกมาว่า พวกเขาไม่ค่อยได้อะไรเลยจากนิทานเรื่องนี้ พวกเขาไม่มีโอกาสเรียนรู้ถึงบทเรียน และ ใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ หรือ ในส่วนที่คล้ายๆกัน พวกเขามักจะคิดว่าพวกเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างดีแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องเรียนรู้ให้มากขึ้นไปอีก พวกเขามองไม่ออกว่า คนอีกเป็นจำนวนมากทีเดียวที่ได้รับประโยชน์จากนิทานเรื่องนี้”
“มีครั้งหนึ่งที่พนักงานจัดการระดับสูงของเราซึ่งมีความลำบากในการปรับตัวอย่างมาก กล่าวว่า นิทานเรื่องนี้ ทำให้เขาเสียเวลามาก พวกเราคนอื่นๆจึงต้องล่อหลอกเขาว่า พวกเรารู้ว่าเขามีคุณสมบัติเหมือนตัวละครตัวไหน – ซึ่งหมายความถึง คนที่ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ และ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”
“มันเป็นนิทานเรื่องอะไรน่ะ” แองเจลลา ถามขึ้น
“เรื่องนี้มีชื่อว่า Who Moved My Cheese?”
พวกเขาทั้งกลุ่มก็หัวเราะออกมา “ผมคิดว่าผมชักชอบเรื่องนี้ซะแล้ว” คาร์ลอส พูดออกมา “ช่วยเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม บางทีเราอาจได้อะไรไปบ้างจากเรื่องนี้”
“ได้สิ” ไมเคิล ตอบ “ผมก็รู้สึกมีความสุขด้วย – เรื่องนี้ก็ไม่ได้ใช้เวลานานนักหรอก” แล้วเขาจึงเริ่มเล่า เรื่องดังต่อไปนี้
นิทานเรื่อง “Who Moved My Cheese”
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนที่ไกลออกไป มีสิ่งมีชีวิต 4 ลักษณะวิ่งไปมาอยู่ในเขาวงกต มองหาเนยแข็ง(Cheese) เพื่อยังชีพและสร้างความสุขให้กับตนเอง
สิ่งมีชีวิต 2 ตัวแรกเป็นหนู ชื่อว่า “สนิฟ (Sniff)” กับ “สเคอร์รี่ (Scurry)” และ เป็นคนตัวเล็กๆอีก 2 คน – ที่มีร่างกายขนาดเล็กเท่ากับหนู แต่มีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนเราปกติทั่วไปทุกวันนี้ พวกเขามีชื่อว่า “เฮ็ม(Hem)” และ “ฮอว์(Haw)”
เนื่องจากทั้งสี่มีขนาดที่เล็กมาก ดังนั้นหากไม่สังเกตให้ดีแล้ว จะมองไม่ออกว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ แต่หากมองเข้าไปใกล้ๆแล้ว เราจะพบความมหัศจรรย์ของพวกเขา
ทุกวันทั้งหนูและคนใช้เวลาอยู่ในเขาวงกต มองหาเนยแข็งที่ตนเองชอบ
เจ้าหนู สนิฟ และ สเคอร์รี่ มีมันสมองเท่าๆกับหนูทั่วๆไป แต่มีสัญชาติญาณที่ดี กำลังความหาเนยแข็งชนิดเนื้อแน่นตามที่พวกตนชอบ
ชายตัวจิ๋วทั้งสอง เฮ็ม และ ฮอว์ มีสมองของมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยความเชื่อ และ อารมณ์ วิ่งหาเนยแข็งประเภทต่างๆ – ที่มีเครื่องหมายตัว “C” – ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะสามารถทำให้พวกเขามีความสุขและประสบความสำเร็จ
แม้ว่าจะมีความแตกต่างระหว่าง หนู กับ คน แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาเหมือนกัน นั่นคือ ทุกๆเช้า พวกเขาจะสวมชุดวิ่งจ๊อกกิ้ง และ รองเท้า ออกจากบ้าน วิ่งไปตามที่ต่างๆในเขาวงกตเพื่อหาเนยแข็งที่เขาชื่นชอบ
เขาวงกตนั้น ประกอบไปด้วยช่องทางวกวน และ ห้อง บางแห่งก็มีเนยแข็งที่แสนอร่อย แต่บางแห่งก็เป็นมุมมืด หรือ ทางตัน ซึ่งไปต่อไปไม่ได้ เป็นที่ที่ง่ายต่อการหลงทาง
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่สามารถเสาะหาเส้นทางของตนเองได้แล้ว เขาวงกตก็มีความเร้นลับที่จะเปิดให้เขาผู้นั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น
เจ้าหนู สนิฟ และ สเคอร์รี่ ใช้วิธีการง่ายๆคือ ลองผิดลองถูกในการค้นหาเนยแข็ง พวกมันจะวิ่งไปตามเส้นทางเส้นหนึ่ง และ เมื่อมันพบว่ามีแต่ความว่างเปล่า มันก็จะหันกลับและวิ่งไปอีกเส้นทางหนึ่ง พวกมันสามารถจำช่องทางที่ไม่มีเนยแข็ง และ ก็ไม่รีรอที่จะวิ่งไปสู่พื้นที่อื่นๆ
สนิฟ มักจะสูดดมกลิ่นไปสู่ทิศทางของเนยแข็ง โดยใช้จมูกโตของมัน ในขณะที่ สเคอร์รี่ มักจะวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเล็งทิศทางใดๆ แน่นอนพวกมันมักจะหลงทาง อย่างที่พวกเราคาดเดาได้ หรือ วิ่งออกไปผิดเส้นทาง และ บ่อยครั้งที่วิ่งไปจนชนกำแพง แต่หลังจากชั่วขณะหนึ่ง พวกมันก็เริ่มค้นพบเส้นทางของมัน
เช่นเดียวกับเจ้าหนูทั้งสอง คนทั้งคู่ เฮ็ม และ ฮอว์ มักจะใช้ความสามารถในการคิด และ เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คนทั้งคู่มักจะมั่นใจในการใช้สมองที่ยุ่งยาก พัฒนาวิธีการที่ทันสมัยขึ้นมาหาเนยแข็ง
ในบางคราวคนทั้งคู่ก็ทำได้ดี แต่ในหลายๆโอกาสที่ความเชื่อที่ยึดติด และ อารมณ์ของมนุษย์ที่เข้าครอบงำ ทำให้พวกเขามองดูสิ่งต่างๆได้เพียงภาพที่คลุมเครือเท่านั้น มันทำให้ชีวิตในเขาวงกตของพวกเขายุ่งยาก และ ดูน่าท้าทายมากขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้ง สนิฟ สเคอร์รี่ เฮ็ม และ ฮอว์ ก็สามารถค้นพบสิ่งที่กำลังมองหาอยู่ตามวิถีทางของตนเอง ทั้งหมดสามารถหาเนยแข็งชนิดที่ตนเองชอบรับประทานในวันหนึ่งที่ปลายช่องทางแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่า สถานีเนยแข็ง ซี
หลังจากนั้นมา ทุกๆเช้าทั้งหนูและคนจะแต่งชุดและออกวิ่งตรงไปที่ สถานีเนยแข็ง ซี และ ไม่นานจากนั้นต่อมาการเดินทางดังกล่าวก็กลายเป็นชีวิตประจำวันไป
ทุกๆวันทั้ง สนิฟ และ สเคอร์รี่ ยังคงตื่นแต่เช้า ออกวิ่งฝ่าเขาวงกตไปยังสถานที่เดิมตามทิศทางที่เคยผ่านมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อไปถึงพวกหนูก็จะถอดรองเท้าวิ่งออก ผูกไว้ด้วยกัน และ คล้องรองเท้าวิ่งไว้ที่คอ ทั้งนี้ก็เพื่อประกันว่า เมื่อพวกเขาต้องการมันอีกครั้งก็สามารถสวมได้ทันที แล้วก็ง่วนอยู่กับเนยแข็งต่อไป
ทางด้านของ เฮ็ม และ ฮอว์ นั้นในช่วงต้นๆ ก็ยังคงออกวิ่งไปยัง สถานีเนยแข็ง ซี ทุกๆเช้า และ เอร็ดอร่อยกับเนยแข็งชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่รอพวกเขาอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานคนตัวเล็กทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงภารกิจประจำวันไปจากเดิมโดย เฮ็ม และ ฮอว์ ตื่นสายขึ้น แต่งตัวช้าลง และ เดินไปยัง สถานีเนยแข็ง ซี เนื่องจากพวกเขารู้อยู่แล้วว่า เนยแข็งอยู่ที่ไหน และ จะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร พวกเขาไม่เคยฉุกใจคิดเลยว่า เนยแข็งมาจากไหน หรือ ใครเอาเนยแข็งมาไว้ที่ตรงนั้น พวกเขาได้แต่อนุมานว่า เนยแข็งมันอยู่ตรงนั้น
ทุกๆเช้าหลังจากที่ เฮ็ม และ ฮอว์ ไปถึง สถานีเนยแข็ง ซี พวกเขาจะเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นประหนึ่งเหมือนกับที่อยู่ที่บ้านของตนเอง พวกเขาถอดชุดวิ่งออกแขวนไว้ สลัดรองเท้าวิ่งออกไป และ สวมใส่รองเท้าแตะแทน พวกเขารู้สึกถึงความสะดวกสะบายมากขึ้นหลังจากที่ได้ค้นพบเนยแข็งดังกล่าว
“แจ๋วที่สุด” เฮ็ม พูดขึ้นมา “มีเนยแข็งมากเพียงพอสำหรับเราไปตลอดกาล” คนตัวเล็กๆทั้งสองปลาบปลื้มในความสุขและความสำเร็จ และ มั่นใจว่าพวกเขามีความมั่นคงในชีวิตแล้ว
ไม่นานนัก หลังจากที่ เฮ็ม และ ฮอว์ เริ่มตู่เอาว่าเนยแข็งที่ สถานีเนยแข็ง ซี เป็นเนยแข็งของพวกเขา แล้วก็เลยย้ายบ้านให้มาอยู่ใกล้ๆ และ สร้างความสุขในชีวิตอยู่แถวนั้น เพื่อให้รู้สึกว่า บ้านน่าอยู่มากขึ้น เฮ็ม และ ฮอว์ ก็ตกแต่งผนังด้วยบทกวี และ วาดภาพของเนยแข็งไว้รอบๆบ้าน ซึ่งทำให้พวกเขายิ้มออกมาได้เมื่อพบเห็น บทกวีตอนหนึ่งเขียนว่า
การมีเนยแข็ง ทำให้เกิดความสุขยิ่ง
ในบางครั้ง เฮ็ม และ ฮอว์ จะพาเพื่อนๆมาชม และ ชี้ไปที่กองเนยแข็ง ที่ สถานีเนยแข็ง ซี และ กล่าวอย่างภูมิใจว่า “เป็นเนยแข็งที่น่ากินมากไหมล่ะ” ในบางคราวพวกเขาก็แบ่งให้เพื่อนๆได้กินด้วย แต่ในบางโอกาสก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น “เราต้องรักษาเนยแข็งนี้ไว้” เฮ็ม กล่าวขึ้น “เนื่องจากพวกเราต้องทำงานอย่างยาวนาน และ หนักมากกว่าจะหามันพบ” แล้วเขาก็หยิบเนยแข็งชิ้นใหม่ขึ้นมาแล้วกินลงไป
หลังจากนั้น เฮ็ม ก็จะล้มตัวลงนอนเหมือนอย่างที่เคยทำตลอดมา ทุกคืนคนตัวน้อยๆก็จะเดินส่ายไปส่ายมากลับบ้าน ในท้องเต็มไปด้วยเนยแข็ง และ ทุกๆเช้าพวกเขาก็จะกลับมากินมันอีกอย่างมั่นใจ
เมื่อเหตุการณ์ลักษณะนี้ได้ผ่านพ้นไปในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ความมั่นใจของ เฮ็ม และ ฮอว์ ก็เพิ่มขึ้นกลายเป็นความทระนงตนในความสำเร็จ ในไม่ช้าพวกเขาก็ถูกความสะบายเข้าสิง และ ไม่เคยแม้กระทั่งสังเกตว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง
เมื่อเวลาผ่านไป สนิฟ และ สเคอร์รี่ ก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา พวกมันจะมาถึงสถานีเนยแข็งแต่เช้าตรู่ ใช้จมูกสูดดม จัดทำรอยตำแหน่ง และ วิ่งไปรอบๆ สถานีเนยแข็ง ซี เพื่อตรวจดูพื้นที่ทั้งหมดว่า มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง จากวันที่ผ่านมา แล้วจึงนั่งลงแทะเนยแข็งต่อไป
เช้าวันหนึ่ง เมื่อพวกมันมาถึง สถานีเนยแข็ง ซี และ พบว่า ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่เลย พวกมันกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เนื่องจากทั้ง สนิฟ และ สเคอร์รี่ ต่างก็สังเกตพบว่า เนยแข็งในที่แห่งนั้นมีขนาดเล็กลงทุกวัน พวกมันได้เตรียมพร้อมแล้วสำหรับเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และ รู้ด้วยสัญชาติญาณว่าควรทำอะไรต่อไป
พวกมันมองหน้าซึ่งกันและกัน แล้วก็ยกรองเท้าวิ่งออกจากคอ แก้เชือกที่ผูกรองเท้าวิ่งไว้ด้วยกันออก สวมรองเท้าวิ่ง และ ผูกเชือกให้แน่น พวกหนูไม่ได้ประเมินสถานการณ์ดีเกินไป สำหรับพวกหนูแล้ว ปัญหา หรือ คำตอบ เป็นเรื่องง่ายๆ สถานการณ์ที่ สถานีเนยแข็ง ซี ได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นทั้ง สนิฟ และ สเคอร์รี่ ก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทั้งคู่มองออกไปยังเขาวงกตอีกครั้งหนึ่ง สนิฟ ก็เริ่มใช้จมูกของเขาสูดดมและ ผงกหัวให้ สเคอร์รี่ ที่วิ่งออกไปสู่เขาวงกตแล้ว สนิฟ จึงวิ่งตามออกไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกมันจำเป็นต้องออกไปค้นหาเนยแข็งโดยเร็วที่สุด
สายๆของวันเดียวกันนั้น เมื่อ เฮ็ม และ ฮอว์ มาถึง สถานีเนยแข็ง ซี พวกเขาไม่ได้สังเกตุถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพียงคิดอยู่แต่ว่า จะต้องมีเนยแข็งอยู่ตรงนั้น พวกเขาไม่เคยเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังค้นพบเลย “อะไรนะ ไม่มีเนยแข็งหรือ” เฮ็ม ร้องตะโกนออกมา และ ก็ร้องต่อไปอีกว่า “ไม่มีเนยแข็งหรือ” “ไม่มีเนยแข็งหรือ” ราวกับว่าถ้าเขาตะโกนให้ดังเพียงพอแล้ว ใครบางคนอาจจะเอาเนยแข็งกลับมาไว้ในที่เดิม “ใครมาเอาเนยแข็งของผมไป” เขาตะโกนออกมาดังลั่น ในที่สุด เขาก็เอามือท้าวสะเอว หน้าแดงก่ำ และ ตะโกนเสียงหลงว่า “มันไม่ยุติธรรมเลย”
ฮอว์ นั้นทำได้เพียงสั่นศีรษะอย่างไม่เชื่อในสายตา เขานั้นเป็นคนหนึ่งที่ค้นพบเนยแข็งที่ สถานีเนยแข็ง ซี เขายืนนิ่งอยู่นาน ตัวแข็งด้วยความรู้สึกตกใจ เขายังไม่พร้อมที่จะรับรู้ถึงสถานการณ์เช่นนี้
เฮ็ม ก็ตะโกนด่าบางสิ่งบางอย่างออกมา ในขณะที่ ฮอว์ ไม่ต้องการได้ยินคำด่าดังกล่าว เขาไม่อยากที่จะต้องรับรู้หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจกับอะไรทั้งสิ้น การกระทำของคนตัวเล็กๆทั้งสองไม่ก่อให้เกิดความน่าสนใจ หรือ ผลผลิตแต่อย่างใด แต่การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นที่เข้าใจได้ การค้นพบเนยแข็งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และ เป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงมากสำหรับคนทั้งสองที่จะต้องมีเนยแข็งกินต่อไปทุกวัน การค้นพบเนยแข็งของคนตัวเล็กทั้งสองเป็นวิธีการเดียวที่พวกเขาคิดว่า จะทำให้พวกเขามีความสุขสมบูรณ์ พวกเขาจะมีความคิดเป็นของตนเองถึงความหมายของเนยแข็งที่มีต่อชิวิตพวกเขา และ ก็ขึ้นอยู่กับรสชาดของมันด้วย
สำหรับบางคน การค้นพบเนยแข็งก็คือการมีอาหาร แต่สำหรับอีกหลายๆคนการค้นพบดังกล่าวกลายเป็นความสุขที่ทำให้มีสุขภาพที่ดี หรือ พัฒนาจิตวิญญาณไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น
สำหรับ ฮอว์ เนยแข็งหมายถึง ความปลอดภัย การมีครอบครัวที่น่ารักในวันข้างหน้า และ อาศัยอยู่ในบ้านที่มั่นคงบนถนนแห่งเนยแข็งเช็ดดาห์ (Cheddar)
สำหรับ เฮ็ม เนยแข็งกลายเป็น สิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด เหมือนกับการมีบ้านอยู่เหนือเนินแห่งเนยเคเมนเบอร์ท (Camembert)
เนื่องจากเนยแข็งมีความสำคัญอย่างมากต่อพวกเขา คนตัวเล็กๆทั้งสองจึงใช้เวลานานอย่างยิ่งในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทั้งหมดที่พวกเขาคิดออกในเวลานั้นก็คือ การค้นหาไปรอบๆ สถานีเนยแข็ง ซี เพื่อดูให้แน่ใจว่า เนยแข็งหายไปจริงๆ
ในขณะที่ สนิฟ และ สเคอร์รี่ นั้นเคลื่อนตัวออกไปหาเนยแข็งแหล่งใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ เฮ็ม และ ฮอว์ ยังคงกระวนกระวายที่จะตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขายังคงสบถด้วยความกราดเกรี้ยวถึงความไม่ยุติธรรมในเรื่องทั้งหมด ฮอว์ เริ่มที่จะเกิดความกลัดกลุ้ม ด้วยความกังวลว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากยังไม่มีเนยแข็งอีกในวันรุ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะ แผนการของเขาในอนาคตทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเนยแข็งเหล่านี้
คนตัวเล็กๆทั้งสองยังคงไม่อยากที่จะเชื่อว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ครุ่นสงสัยแต่ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เหตุใดจึงไม่มีใครเตือนพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และไม่น่าจะใช่วิถีทางที่ควรจะเกิดขึ้นได้กับพวกเขา
เฮ็ม และ ฮอว์ กลับบ้านไปในคืนนั้นด้วยความโกรธ และ ขลาดกลัว แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไป ฮอว์ ได้เขียนบทกวีไว้บนกำแพงความว่า
เมื่อเนยแข็งมีความสำคัญต่อท่านมากเพียงใด ท่านก็อยากที่จะได้เนยแข็งไว้มากเท่านั้น วันรุ่งขึ้น เฮ็ม และ ฮอว์ ก็ออกจากบ้าน และ กลับไปยัง สถานีเนยแข็ง ซี ที่ซึ่งพวกเขาคาดหวังว่าจะพบ เนยแข็ง อีกสักครั้ง แต่สถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีเนยแข็งอยู่ที่นั่นอีกต่อไป คนตัวเล็กๆทั้งสอง ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี เฮ็ม และ ฮอว์ จึงยืนนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว คล้ายๆกับเป็นอนุสาวรีย์ 2 ต้นไปแล้ว
ฮอว์ พยายามหลับตาลงให้สนิทเท่าที่จะทำได้ และ เอามือปิดหูทั้งสองข้างไว้ เขาต้องการเพียงจะปิดกั้นไม่ให้สิ่งต่างๆเข้ามากระทบต่อเขา เขาไม่อยากที่รับรู้ว่า เนยแข็งที่เคยมีอยู่ได้ลดน้อยลงไปตามลำดับ เขาเชื่อว่าเนยแข็งจะต้องถูกใครสักคนโยกย้ายออกไปจากที่นั่นอย่างกระทันหัน
เฮ็ม วิเคราะห์สถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วในที่สุดสมองที่ยุ่งเหยิงของเขาก็ถูกครอบงำด้วยความเชื่อ “ทำไมพวกนั้นจึงทำเรื่องนี้กับผม” เขาคาดคั้นออกมา “มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่”
ในที่สุด ฮอว์ ก็ลืมตาขึ้น มองไปรอบๆและกล่าวออกมาว่า “ไม่ว่าอะไรก็ตาม สนิฟ กับ สเคอร์รี่ ไปไหน เสียล่ะ คุณคิดว่าพวกมันรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ไหมเนี่ย”
เฮ็ม ตอบออกมาอย่างขุ่นเคืองว่า “พวกมันจะรู้อะไร” แล้วก็พูดต่อว่า “พวกมันเป็นแค่หนูตัวกระจ้อยธรรมดาๆ พวกมันก็ดีแต่ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง พวกเราเป็นคนตัวเล็ก เราฉลาดกว่า เราควรจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ผมรู้ว่าพวกเราฉลาดกว่า” ฮอว์ ตอบรับ “แต่ดูเหมือนว่า ตอนนี้เราไม่ได้แสดงออกให้เห็นถึงการกระทำที่ฉลาดกว่าเลยนี่ ทุกอย่างที่นี่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เฮ็ม บางทีพวกเราคงต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย และ ทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิมนะ”
“ทำไมเราต้องเปลี่ยนแปลงด้วย” เฮ็ม ถามกลับมาทันที “เราเป็นคนตัวเล็ก เราเป็นสิ่งที่พิเศษ เรื่องพวกนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับพวกเราสิ หรือ หากว่าเกิดขึ้นจริง พวกเราก็สมควรที่จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอะไรบางอย่างด้วยสิ”
“ทำไมพวกเราถึงสมควรที่จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนล่ะ” ฮอว์ถามกลับไป
“ก็เพราะเราสมควรที่จะได้รับน่ะสิ” เฮ็มตอบกลับมา
“เราสมควรจะได้รับอะไรล่ะ” ฮอว์ถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“พวกเราสมควรที่จะได้รับเนยแข็งที่เป็นของเราน่ะสิ”
“เพราะเหตุใดล่ะ” ฮอว์ ถามอีก
“ก็เพราะพวกเราไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาเช่นนี้เองนี่” เฮ็มกล่าวตอบ “มีคนอื่นต่างหากที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ และ พวกเราควรเอาบางสิ่งบางอย่างออกไป”
ฮอว์ จึงแนะนำว่า “บางที่อาจจะดีกว่านะ หากเราจะเลิกวิเคราะห์สถานการณ์ในที่นี้ และ เริ่มออกไปค้นหาเนยแข็งในแหล่งใหม่ๆ”
“โอ ไม่เอาหรอก” เฮ็ม คัดค้าน “ผมต้องการค้นหาคำตอบสุดท้ายจากเรื่องนี้ให้ได้”
ตลอดเวลาที่ เฮ็ม และ ฮอว์ พยายามที่จะตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรดีอยู่นั้น ทั้ง สนิฟ และ สเคอร์รี่ ก็พร้อมอยู่ในเส้นทางของพวกมัน พวกมันออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆในเขาวงกต ขึ้นๆลงๆ ไปตามช่องทางต่างๆ เพื่อค้นหาเนยแข็ง ณ ทุกๆ สถานีเนยแข็ง ที่ค้นพบ พวกมันไม่ได้ไปเสียเวลาคิดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องเนยแข็ง แม้ว่าพวกมันยังคงไม่สามารถค้นพบเนยแข็งในช่วงเวลาแรกๆ จนกระทั่งในที่สุดพวกมันก็เข้าไปในพื้นที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนในเขาวงกตนั้น คือ สถานีเนยแข็ง เอ็น พวกมันก็ต้องส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจที่ค้นพบสิ่งที่ต้องการค้นหาคือ แหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ที่มีปริมาณมากมาย พวกมันแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง ทั้งนี้เพราะตรงนั้นเป็นแหลงเนยแข็งที่ใหญ่ที่สุดที่พวกหนูเคยเห็นมา
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เฮ็ม และ ฮอว์ ยังคงกลับไปที่ สถานีเนยแข็ง ซี เพื่อประเมินสถานการณ์ พวกเขากำลังลำบากกับผลจากการไม่มีเนยแข็ง พวกเขากำลังเข้าสู่ภาวะหงุดหงิดและโกรธ แล้วก็พยายามกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นต้นเหตุของสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
และแล้ว ฮอว์ ก็คิดถึงพวกเพื่อนที่เป็นหนู สนิฟ และ สเคอร์รี่ และกำลังสงสัยว่า พวกมันค้นพบแหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่แล้วหรือไม่ เขาเชื่อว่า พวกมันอาจจะต้องลำบากไปสักระยะหนึ่งในช่วงที่วิ่งไปตามเขาวงกต ซึ่งมีความไม่แน่นอนร่วมอยู่ด้วย แต่เขาก็พอจะรู้ว่าความไม่แน่นอนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับเราไปเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง บางครั้ง ฮอว์ ก็นึกถึงภาพที่ สนิฟ และ สเคอร์รี่ ค้นพบแหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ และ กำลังกินอยู่อย่างสนุกสนาน เขาก็คิดต่อไปว่า มันอาจจะดีกว่าสำหรับเขาที่จะออกไปเผชิญภัยในเขาวงกต เพื่อหาแหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ด้วยเช่นกัน เขารู้สึกเหมือนกับได้ลิ้มรสชาดของเนยแข็งจากแหล่งใหม่แล้วด้วยซ้ำไป
ยิ่ง ฮอว์ เริ่มมองเห็นภาพของตัวเขาในการออกไปหาแหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ และ กำลังเพลิดเพลินอยู่กับเนยแข็งเหล่านั้นมากเท่าใด เขาก็ยิ่งพบว่าเขาจำเป็นต้องออกไปจาก สถานีเนยแข็ง ซี มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
“ไปเถอะ” เขาตะโกนออกมา ทันใดนั้น
“ไม่ไปหรอก” เฮ็ม ตอบมาในทันที “ผมชอบที่นี่ มันเป็นที่ที่สะดวกสบาย มันเป็นที่ที่ผมรู้จัก นอกจากนี้ มันน่าจะมีอันตรายอยู่ข้างนอกนั้นด้วย”
“มันไม่เป็นเช่นนั้นหรอก” ฮอว์คัดค้าน “พวกเราเองก็เคยวิ่งไปตามที่ต่างๆในเขาวงกตนี้มาก่อน และ เราก็น่าจะทำได้อีกสักครั้ง”
“ผมมันแก่ลงไปมากแล้วสำหรับเรื่องนี้” เฮ็ม ตอบ “และผมก็กลัว ผมไม่อยากหลงทาง และ ทำให้กลายเป็นคนโง่, คุณคิดเช่นนั้นไหมล่ะ”
ด้วยเหตุดังกล่าว ความกลัวที่จะล้มเหลวของ ฮอว์ ก็กลับมาครอบงำเขาอีกครั้ง และ ความหวังที่จะออกไปหาเนยแข็งแหล่งใหม่ก็จางหายไป
ดังนั้นทุกๆวัน คนตัวเล็กๆทั้งสองก็ยังคงทำในสิ่งที่เคยทำมาโดยตลอดคือ พวกเขากลับไปที่ สถานีเนยแข็ง ซี และ ไม่พบว่ามีเนยแข็ง แล้วก็กลับบ้าน แบกเอาความกังวล และ ความกระวนกระวายใจไปด้วย พวกเขาพยายามปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามพวกเขาก็พบว่า พวกเขาหลับได้ยากขึ้น มีพลังงานน้อยลงสำหรับวันถัดไป และ กำลังกลายเป็นคนโกรธง่าย บ้านของพวกเขาไม่ใช่ที่ที่จะฟูมฟักพวกเขาเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ต่อไปแล้ว คนตัวเล็กๆทั้งสองนอนไม่หลับ และ ฝันร้ายว่าไม่สามารถจะค้นพบเนยแข็งแหล่งใหม่ๆอีกแล้ว
แต่ทั้ง เฮ็ม และ ฮอว์ ก็ยังคงเดินกลับไปที่ สถานีเนยแข็ง ซี และ คอยอยู่ที่นั่นทุกวัน
เฮ็มพูดออกมาว่า “คุณรู้ไหมว่า หากพวกเราทำงานให้หนักขึ้น พวกเราอาจพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เนยแข็งของเราอาจจะอยู่ในที่ใกล้เคียงกันนี้สักแห่งหนึ่ง บางทีคนพวกนั้นอาจนำมันไปซ่อนไว้หลังกำแพงก็ได้
วันถัดมา เฮ็ม และ ฮอว์ ก็กลับมาพร้อมกับเครื่องมือ เฮ็ม วางและจับสิ่วไว้ในตำแหน่ง ในขณะที่ ฮอว์ก็ใช้ฆ้อนตีลงไป เพื่อทำลายกำแพงของ สถานีเนยแข็ง ซี ให้เป็นรู เมื่อพวกเขาโผล่หน้าเข้าไปดูก็ไม่พบว่ามีเนยแข็งอยู่ตรงนั้น พวกเขารู้สึกผิดหวัง แต่ก็ก็ยังคงเชื่อว่าพวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มกระบวนการตรวจสอบและเสาะหาใหม่ให้เช้าขึ้น อยู่ที่นั่นให้นานขึ้น และ ทำงานหนักมากยิ่งขึ้น แต่ในที่สุดสิ่งที่พวกเขาค้นพบก็คือโพรงใหญ่ๆบนกำแพงเท่านั้นเอง
ฮอว์ เริ่มตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างคำที่ว่า “การทำงาน และ ผลผลิต”
“บางที” เฮ็ม เอ่ยขึ้น “พวกเราควรนั่งรออยู่ที่นี่ เพื่อสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ในไม่ช้าหรือหลังจากนี้ไป คนพวกนั้นอาจจะเอาเนยแข็งกลับมาวางไว้ในที่เดิมของมัน”
ฮอว์ ก็มีความปรารถนาที่จะเชื่อเช่นนั้น ดังนั้นในแต่ละวันเขาจะกลับบ้านไปพักผ่อน และ กลับมาที่ สถานีเนยแข็ง ซี พร้อมๆกับ เฮ็ม ด้วยความรู้สึกที่ไขว้เขวมากขึ้น แต่ก็ไม่มีวี่แววของเนยแข็งปรากฎออกมา
ตอนนี้ คนตัวเล็กๆทั้งสองก็เริ่มอิดโรย ด้วยความหิว และ ความเครียด ฮอว์ รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะคอยให้สถานการณ์ปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น เขาเริ่มสำเหนียกว่ายิ่งเขารออยู่ที่สถานีเนยแข็งนานเท่าใดก็ตาม สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น ฮอว์ เริ่มรู้ว่าพวกเขากำลังเข้าตาจน
ในที่สุดวัหนึ่ง ฮอว์ ก็นึกขึ้นมาได้พร้อมๆหัวเราะเยาะตนเองออกมาดังๆว่า “ฮอว์ ฮอว์ ลองดูพวกเราซิ พวกเรามัวแต่ทำอะไรบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา และ ก็มาพาลสงสัยว่าทำไมสถานการณ์ต่างๆมันถึงไม่ดีขึ้น ถ้าไม่ใช่เรื่องเส็งเคร็ง ก็เป็นเรื่องที่น่าตลกมาก” ฮอว์ ไม่ได้ชอบแนวคิดที่จะวิ่งออกไปในเขาวงกตอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเขาตระหนักว่า เขาอาจหลงทาง และ ยังไม่รู้ว่าจะไปหาเนยแข็งได้ที่ไหน แต่ที่เขาหัวเราะออกมานั้นก็เนื่องจากเขาเริ่มมองเห็นว่า “ความกลัว” กำลังทำอะไรกับเขา
เขาจึงเอ่ยถาม เฮ็ม ว่า “พวกเราเอารองเท้าวิ่งไปไว้ที่ไหนกันเนี่ย” พวกเขาใช้เวลามากพอสมควรในการหารองเท้าวิ่ง ตั้งแต่ที่พวกเขาทิ้งมันไปเมื่อพบเนยแข็งที่ สถานีเนยแข็ง ซี แห่งนี้ เพราะเพียงแต่คิดว่าคงไม่ต้องใช้มันอีกแล้ว
เมื่อ เฮ็ม มองเห็นเพื่อนของเขาแต่งตัวพร้อมที่จะออกวิ่งอีกครั้ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “นายคงไม่ออกวิ่งไปในเขาวงกตจริงๆหรอก ใช่ไหม ทำไมนายไม่รออยู่ตรงนี้กับผมจนกว่าคนพวกนั้นจะเอาเนยแข็งของเรากลับมาให้ล่ะ”
“ก็เพราะนายจะไม่มีวันได้เนยแข็งกลับมาน่ะซิ” ฮอว์ ตอบกลับมา “ผมไม่อยากที่จะรอดูอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ผมเริ่มตระหนักแล้วว่า คนพวกนั้นไม่มีทางที่จะเอาเนยแข็งของวันวานกลับมาคืนให้เราได้ มันถึงเวลาที่เราจะต้องออกไปหาเนยแข็งแหล่งใหม่แล้ว”
เฮ็ม คัดค้านต่อไปว่า “แต่ว่า มันจะเป็นอย่างไรล่ะถ้ามันไม่มีเนยแข็งข้างนอกนั่น หรือ แม้ว่าจะมีเนยแข็งอยู่ที่ข้างนอกนั่น แล้วเราหามันไม่พบล่ะ”
“ผมไม่รู้หรอก” ฮอว์ กล่าวตอบ เขาเองก็ถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านั้นหลายครั้งหลายหนและก็พบว่าความกลัวนั่นแหละที่กักตัวเขาไว้ในที่เดิม เขามักจะถามตนเองว่า “ผมควรจะหาเนยแข็งได้จากที่ไหน ที่นี่ หรือ ในเขาวงกต” เขาเริ่มวาดจินตนาการว่าเห็น ตัวเองออกเดินทางเข้าไปในเขาวงกตด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม แม้ว่าภาพในจินตนาการดังกล่าวจะทำให้เขาร็สึกประหลาดใจ แต่เขาก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น เขามองเห็นว่าเขาหลงทาง แล้วก็กลับเข้ามาในเขาวงกตใหม่ แต่ก็มีความรู้สึกเชื่อมั่นว่า เขาจะสามารถค้นพบ สถานีเนยแข็ง แห่งใหม่ได้ และ สิ่งที่ดีๆกำลังจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงรวบรวมมันขึ้นเป็น “ความกล้า” แล้วเขาก็เริ่มใช้ภาพจากจินตนาการในการวาดภาพที่น่าเชื่อถือที่สุด พร้อมๆกับการให้รายละเอียดที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด ซึ่งทำให้เขาเริ่มออกค้นหา และ เริ่มสนุกกับรสชาดใหม่ๆของเนยแข็งแหล่งใหม่
เขามองเห็นภาพตนเองกำลังกิน เนยแข็งสวีส(Swiss Cheese) ที่มีรูในเนื้อของเนยแข็งด้วย หรือ กินเนยแข็งเช็ดดา(Cheddar Cheese) ที่มีสีส้มสดและเนยแข็งอเมริกัน(American Cheese) กินเนยแข็งอิตาลี(Italian Mozzarella) และ เนยผรั่งเศสคาเมมเบอร์ท(French Camembert Cheese) และ อื่นๆอีกมากมาย… แล้วเขาก็ได้ยิน เฮ็ม เอ่ยอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงมีสติว่า พวกเขายังคงอยู่ที่ สถานีเนยแข็ง ซี
ฮอว์ จึงเอ่ยขึ้นมา “เฮ็ม ในบางครั้งทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และ ไม่มีทางที่จะกลับมาเหมือนเดิมได้อีก หากพิจารณาตอนนี้สถานการณ์ก็เหมือนกับที่เกิดมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ นี่แหละคือชีวิตจริง ชีวิตที่เคลื่อนที่ไปตลอดเวลา รวมทั้งเราทั้งสองคนด้วย”
ฮอว์ หันไปมองคู่หูที่ขลาดเขลาของเขา และ พยายามที่จะกระตุ้นให้เขาตื่นขึ้นมา แต่ความกลับของ เฮ็ม ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นความโกรธ และ ไม่ต้องการฟังเรื่องเช่นนั้นอีก
ฮอว์ ไม่ได้พยายามที่จะหยามน้ำหน้าเพื่อนของเขา แต่เขารู้สึกจำเป็นต้องหัวเราะเยาะให้ความความงี่เง่าของพวกเขาทั้งสองที่เขามองเห็นตอนนี้
ในขณะที่ ฮอว์ เตรียมตัวที่จะออกวิ่งอีกครั้งหนึ่ง เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวามากขึ้น และ ก็รู้ว่าเขาหัวเราะเยาะให้กับตัวเองได้ เพื่อออกไปและเคลื่อนที่ต่อไป ฮอว์ จึงหัวเราะและประกาศออกมาว่า “ถึงเวลาแห่งเขาวงกตแล้ว”
เฮ็ม หัวเราะไม่ออก และ ไม่มีอาการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น
ฮอว์ จึงหยิบก้อนหินเล็กๆคมๆก้อนหนึ่งขึ้นมา ขีดเขียนแนวความคิดไว้บนกำแพงอย่างเคร่งเครียด เพื่อเอาไว้ให้ เฮ็ม ลองพิจารณาคิดดู โดยวาดเป็นรูปเนยแข็งเหมือนกับที่เขาเคยทำไว้รอบๆข้อเขียนเหล่านั้นด้วย เขาหวังว่าภาพและข้อความจะทำให้ เฮ็ม ยิ้มออกมาได้ และ จุดประกายในการแสวงหาเนยแข็งจากแหล่งใหม่ๆ แต่นั่นแหละ เฮ็ม ก็ไม่ต้องการเห็นภาพและข้อความเหล่านั้น มันเขียนไว้ว่า
ถ้าคุณไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง คุณก็จะไม่มีตัวตนอีกต่อไป
แล้ว ฮอว์ ก็บ่ายหน้าออกไปสู่ความยุ่งเหยิงของเขาวงกตอีกครั้ง เขาคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องมาติดกับอยู่ใน สถานีไร้เนยแข็ง แห่งนี้ เขาเคยเชื่อว่า อาจจะไม่มีเนยแข็ง ในเขาวงกตเลยก็เป็นไปได้ หรือ ไม่ก็เป็นเพราะเขาหามันไม่พบ ความเชื่อที่น่ากลัวเหล่านี้ ทำให้เขาอยู่เฉยๆ และ กำลังฆ่าเขา ฮอว์ ยิ้มออกมา เขาเริ่มรู้ว่า เฮ็ม กำลังประหลาดใจไปกับความรู้สึกที่ว่า “ใครมาเอาเนยแข็งของเขาไป” ในขณะที่ตัวเขา ฮอว์ กำลังประหลาดใจไปกับความรู้สึกที่ว่า “ทำไมเราไม่รู้จักตื่นขึ้นมา และ รีบออกไปหาเนยแข็งแหล่งใหม่ๆให้เร็วกว่านี้”
ในขณะที่เขามุ่งหน้าออกไปยังเขาวงกต ฮอว์ หันกลับไปมองยังสถานที่ที่เขาจากมา และ ก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น เขาเริ่มตระหนักถึงความรู้สึกที่จะถูกดึงกลับไปสู่ท้องถิ่นที่คุ้นเคย แม้ว่าจะหาเนยแข็งไม่พบมาช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็ตาม ฮอว์ เริ่มกระวนกระวาย และ แปลกใจว่า เขาต้องการออกไปสู่เขาวงกตจริงหรือไม่ เขาจึงเขียนบทกวีไว้บนกำแพงตรงหน้าเขา และ ก็เพ่งมองอยู่ชั่วขณะ ความว่า
คุณจะทำอะไรต่อไป หากคุณไม่มีความรู้สึกกลัวดังกล่าว
เขาครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว เขารู้ว่า บางคราว ความกลัวเป็นสิ่งที่ดี เมื่อเรากลัวบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เราต้องเลวร้ายลงไป หากเราไม่ทำอะไรบางอย่างที่พร้อมที่จะทำโดยไม่ต้องรีรอ แต่ในบางครั้งมันก็ไม่ค่อยดีนักหากคุณปล่อยให้ความกลัว ทำให้คุณไม่กล้าทำอะไรเลย
เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วจึงหันไปหาเขาวงกต และ เริ่มออกวิ่งไปอย่างช้าๆ ไปยังที่ที่เขายังไม่รู้จัก ในช่วงเวลาที่เขากำลังพยายามที่จะหาเส้นทางของเขาอยู่นั้น ฮอว์ ก็ยังคงมีความวิตกกังวลในช่วงต้นๆว่า การที่เขารีรออยู่ใน สถานีเนยแข็ง ซี นานเกินไปนั้น ทำให้เขาไม่ได้กินเนยแข็งมาเป็นเวลาพอสมควรนั้น จะทำให้เขาอ่อนแออิดโรย มันจะทำให้เขาใช้เวลานานขึ้น และ ก็เจ็บปวดมากขึ้นกว่าปกติที่จะมุ่งหน้าไปตามเขาวงกต เขาจึงตัดสินใจว่า หากเขามีโอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง เขาจะกระโจนออกมาจากพื้นที่ที่เขามีความสะดวกสบาย และ ปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้น มันน่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายขึ้นไปด้วย และแล้ว ฮอว์ ก็ยิ้มอ่อยๆออกมาด้วยความคิดที่ว่า “แม้ว่าจะออกมาสายไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่ออกมาเลย”
ถัดจากนั้นหลายวัน ฮอว์ ก็พบเนยแข็งเล็กๆน้อยๆตามที่ต่างที่เขาผ่านไป แต่ไม่มีวี่แววของแหล่งที่จะมีเนยแข็งให้ได้กินไปนานๆเลย เขาก็ยังหวังว่า เขาจะเสาะพบเนยแข็งที่มากพอที่เขาจะหอบกลับไปให้ เฮ็ม ได้กินบ้าง และ จะได้กระตุ้นให้เพื่อนของเขาก้าวออกมาสู่เขาวงกตต่อไป แต่ ฮอว์ เองก็ยังไม่มีความมั่นใจเพียงพอ เขาต้องยอมรับว่า มันเต็มไปด้วยความสับสนเหมือนกันในเขาวงกต ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เขาผ่านไปเมื่อครั้งสุดท้าย
เมื่อเขาคิดว่าเขาควรมุ่งหน้าต่อไป เขาก็อาจจะหลงทางเข้าไปในช่องต่างๆได้ เขาเริ่มรู้สึกว่าความก้าวหน้าของเขาดูเหมือนจะเป็นการเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วก็ถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นความท้าทายประการหนึ่ง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า การกลับเข้าสู่เขาวงกตเพื่อตามล่าหาเนยแข็งนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้เลวร้ายมากเท่ากับที่เขาเกิดความกลัวไว้ก่อนหน้านี้
ตลอดเวลาที่ผ่านไป เขาเริ่มรู้สึกถึงความประหลาดใจว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ที่เขาจะหวังที่จะพบแหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ เขาประหลาดใจว่าเขาทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่ และแล้วเขาก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่า เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยตอนนี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา เขาก็จะเตือนตัวเองว่า เขากำลังทำอะไรอยู่ที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายในตอนนั้น ซึ่งก็ดีกว่าที่จะอยู่เฉยๆกับ สถานีที่ไม่มีเนยแข็ง เขากำลังควบคุมทิศทางของตนเองมากกว่าที่จะปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง นอกจากนี้เขาก็ยังเตือนตนเองอีกว่า ในเมื่อ สนิฟ และ สเคอร์รี่ ยังเคลื่อนออกไปได้ เหตุไฉนเขาจึงจะทำไม่ได้
หลังจากนั้น เมื่อ ฮอว์ หันกลับมาพิจารณาเรื่องเก่าๆ เขาก็เริ่มเรียนรู้ว่าเนยแข็งที่ สถานีเนยแข็ง ซี ไม่ได้เพิ่งจะหมดลงไปในชั่วข้ามคืนอย่างที่เขาเชื่อกันมาแต่ต้นหรอก ปริมาณเนยแข็งที่เคยมีอยู่ที่นั่นมันค่อยๆร่อยหรอลง และ เหลือไว้เพียงบางส่วนที่เก่านานเกินไป จนทำให้รสชาดไม่ได้เรื่อง
เรื่องของเรื่องอาจจะเกิดจากการที่เนยแข็งเริ่มเก่าลงมา โดยที่เขาไม่ได้สังเกตมันแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามเขาคงต้องยอมรับว่า หากเขาเพียงแต่ให้ความสนใจที่จะไปดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ บางที่เขาอาจจะพบเห็นเหตุการณ์เหล่านี้แต่ต้น เพียงแต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเท่านั้นเอง ฮอว์ เริ่มที่จะเรียนรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมานั้นจะไม่ทำให้เขาตกอกตกใจเลย หากว่าเขาได้คอยเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้น และ ประเมินถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า และ บางที่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ สนิฟ และ สเคอร์รี่ ทำมาตลอดเวลาก็ได้ เขาจึงตัดสนใจว่า จากนี้ไปเขาจะต้องอยู่อย่างเตรียมพร้อม เขาจำเป็นต้องคาดหมายถึงความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น และ ค้นหาความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นแต่เนิ่นๆ เขาจะต้องมั่นใจในสัมผัสเบื้องต้นที่จะสะท้อนความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นออกมา และ ต้องพร้อมที่จะรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อไป
เมื่อเขาหยุดพักผ่อนระหว่างทาง เขาจึงเขียนข้อความไว้บนกำแพงในเขาวงกตว่า
จงสูดดมกลิ่นของเนยแข็งให้บ่อยขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อไรเนยแข็งเหล่านั้นจะเก่าเกินไป
หลังจากที่เขาไม่สามารถค้นพบเนยแข็งมาตลอดช่วงเวลาอันยาวนานช่วงหนึ่ง ฮอว์ ก็ได้วิ่งผ่าน สถานีเนยแข็ง ที่ดูเหมือนว่ามีเนยแข็งอยู่เป็นจำนวนมากพอที่จะใช้ไปได้อีกนาน แต่เมื่อเขาเข้าไปในสถานีดังกล่าว ก็ทำให้ต้องผิดหวังเนื่องจากใน สถานีเนยแข็ง ดังกล่าวมีแต่ความว่างเปล่า “ความว่างเปล่าเกิดขึ้นกับผมมาบ่อยครั้งเหลือเกิน” เขาคำนึงขึ้นมา และ เริ่มรู้สึกถึงความท้อถอยอยากที่จะเลิกค้นหาเนยแข็งต่อไป
ฮอว์ กำลังสูญเสียพลังวังชาของร่างกายไปเรื่อยๆ เขารู้ว่าเขาหลงทาง และ เกิดความกลัวว่าจะไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ เขากำลังคิดที่จะหันหลังกลบไปอยู่ที่ สถานีเนยแข็ง ซี อย่างน้อยที่สุดเมื่อเขากลับไป เฮ็ม คงรอเขาอยู่ที่นั่น ฮอว์ ก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป และแล้วเขาก็ต้องถามตัวเองด้วยคำถามที่ถามมาหลายรอบแล้วว่า “มันจะเกิดอะไรขึ้น หากเขาไม่มีความกลัวเกิดขึ้น” ฮอว์ รู้สึกว่าเขาเกิดความกลัวขึ้นบ่อยครั้งกว่าที่จะยอมรับได้ แม้กับตนเอง แต่เขาก็ไม่เคยมั่นใจไดเลยว่า เขากำลังกลัวอะไรอยู่ แต่ในช่วงที่เขารู้สึกอ่อนล้าช่วงนี้ เขาเริ่มเรียนรู้ว่าเขากลัวในสิ่งที่ธรรมดามากคือ ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ฮอว์ ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าเขากำลังวิ่งตามไปข้างหลัง เนื่องจากเขาถูกความเชื่อที่ทำให้เกิดความกลัวเหล่านั้นเป็นตุ้มถ่วงที่ทำให้เขาช้าลง
ฮอว์ รู้สึกประหลาดใจว่า เฮ็ม ได้ออกมาจากที่นั่นแล้ว หรือ ยังคงอยู่ที่นั่นกับความกลัวของเขาต่อไป และแล้ว ฮอว์ ก็เริ่มรู้สึกถึงช่วงเวลาที่เขามีความรู้สึกที่ดีๆในเวลาที่อยู่ในเขาวงกต มันเกิดขึ้นเมื่อเขาเคลื่อนหน้าต่อไป เขาจึงเขียนลงไปบนกำแพงอีกครั้ง เพื่อเป็นข้อเตือนใจตัวเขา และ เป็นเครื่องหมายบอกให้เพื่อนของเขา เฮ็ม ซึ่งเขาหวังไว้ว่ากำลังวิ่งตามเขามา มีใจความว่า
เมื่อวิ่งออกไปสู่เส้นทางใหม่ๆ จะทำให้ท่านค้นพบเนยแข็งแหล่งใหม่
ฮอว์ มองลงไปในเส้นทางมืดมิด และ ก็เกิดความระมัดระวังความกลัวของเขา มีอะไรอยู่ข้างหน้า จะเป็นที่ว่างเปล่าอีกหรือไม่ หรือ ในทำนองที่เลวร้ายกว่า อาจมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เขาเริ่มที่จะจินตนาการถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความหน้ากลัวทุกชนิด ที่อาจเกิดขึ้นกับเขา เขาเริ่มกลัวตาย
และแล้วเขาก็หัวเราะเยาะตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าความกลัวของเขาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายลงไป ดังนั้นเขาจึงทำในสิ่งที่เขาควรจะทำก็คือ การไม่กลัว เขาจึงวิ่งไปในเส้นทางใหม่ต่อไป
เมื่อเขาเริ่มวิ่งเข้าสูช่องที่มืดมิดนั้น เขาก็เริ่มยิ้มออกมาได้ ฮอว์ ยังคงไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่เขากำลังค้นพบสิ่งที่จรรโลงวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา เขากำลังปล่อยวางกับสิ่งที่ผ่านมา และ กำลังสร้างความเชื่อมั่นว่า มีบางสิ่งบางอย่างรอเขาอยู่ข้างหน้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็ตาม สำหรับความแปลกใจของเขา ฮอว์ เริ่มที่จะพอใจกับการกระทำของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ “ทำไมผมถึงรู้สึกดีขึ้น” เขาเริ่มแปลกใจ “ผมไม่มีเนยแข็งสักก้อน และ ไม่รู้แม้กระทั่งกำลังจะไปไหน”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงรู้ว่าเหตุใดเขาจึงมีความรู้สึกที่ดีขึ้น เขาจึงหยุดเขียนบทกวีอีกครั้งบนกำแพง ดังนี้
เมื่อคุณวิ่งออกจากความกลัวที่มีอยู่ในตัวของคุณเอง คุณจึงรู้สึกถึงอิสรภาพได้ ฮอว์ ได้เรียนรู้ว่า เขาได้กักขังตนเองไว้ให้อยู่กับความกลัวตลอดมา เมื่อเขาวิ่งออกไปสู่เส้นทางใหม่ๆ เขาจึงได้ทำให้อิสรภาพกลับมาสู่ตัวของเขาเอง บัดนี้เขาเริ่มรู้สึกถึงกระแสลมเย็นที่พัดออกมาจากบางส่วนของเขาวงกตนั้น และ ทำให้เขารู้สึกสดชื่น เขาเริ่มสูดหายใจลึกๆ และ รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้น เมื่อเขาสามารถขจดความกลัวออกไปได้ ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นก็คือความรู้สึกชื่นบานที่เขาเคยเชื่อว่ามีอยู่ในตัวเขา
ฮอว์ ไม่ได้รับความร็สึกเช่นนี้มานานแสนนาน เขาเกือบที่จะลืมไปแล้วถึงความตื่นเต้นในการได้ทดลองของใหม่ๆต่างๆ และเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นอีก เขาเริ่มวาดมโนภาพอีกครั้งหนึ่ง เขาเริ่มมองเห็นตนเองโดยมีรายละเอียดที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด กำลังนั่งอยู่กลางกองเนยแข็งประเภทต่างๆที่เขาชอบ ตั้งแต่ เช็ดดา(Cheddar) ไปจนถึง ไบร(Brie) เขาฝันเห็นตัวเองกำลังกัดกินเนยแข็งอย่างเอร็ดอร่อย และ รู้สึกสนุกที่ได้เห็นเช่นนั้น แล้วเขาก็จินตนาการต่อไปถึงความสุขที่ได้กินเนยแข็งเหล่านั้น ยิ่งเขามองเห็นภาพของตนเองกำลัเพลิดเพลินกับเนยแข็งแหล่งใหม่จากจินตนาการมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกเชื่อมั่นว่ามันจะเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น และ เขาก็เกิดความรู้สึกว่าเขาจะต้องหาเนยแข็งพบอย่างแน่นอน เขาจึงเขียนบทกวีอีกครั้งว่า
การมองเห็นภาพตนเองกำลัง เพลิดเพลินกับเนยแข็งแหล่งใหม่ แม้ว่าจะยังค้นไม่พบในตอนนี้ก็ตาม
จะทำให้ผมต้องไปถึงที่นั่น
ฮอว์ ยังคงแปลกใจว่า เหตุใดเขาจึงมัวแต่คิดว่าความเปลี่ยนแปลงจะทำให้เขาตกต่ำ บัดนี้เขาได้ตระหนักดีแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีกว่า “ทำไมผมถึงไม่เข้าใจเรื่องนี้เสียตั้งแต่ต้น” เขาเฝ้าถามตนเอง แล้วเขาก็วิ่งต่อไปตามเขาวงกตด้วยพลังและความเต็มใจมากขึ้น ไม่นานนักเขาก็พบเห็น สถานีเนยแข็ง และ ก็เริ่มตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อพบว่ามีเศษเนยแข็งตกอยู่ใกล้ๆกับทางที่จะเข้าไป เนยแข็งที่ว่าเป็นประเภทที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ก็ดูใช้ได้อย่างยิ่ง เขาลองกินเข้าไปแล้วก็พบว่ามีรสชาดเอร็ดอร่อย เขาจึงกินเนยแข็งแถวนั้นลงไปและเก็บอีกส่วนหนึ่งไว้ในกระเป๋า เพื่อเอาไว้กินวันหลัง หรือ ไว้ค่อยเอาไปให้ เฮ็ม กินก็ยังได้ เขาก็เริ่มมีพลังกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเขาเข้าไปใน สถานีเนยแข็ง ด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วเขาก็ต้องสลดอีกครั้งหนึ่งเมื่อพบว่าไม่มีเนยแข็งอยู่ที่นั่นเลย ใครบางคนอาจมาอยู่ที่นี่แล้ว และ เหลือเศษเนยแข็งไว้ให้เพียงเท่านี้ เขาเริ่มเรียนรู้ต่อไปว่า หากเขาวิ่งออกมาหาเนยแข็งเสียตั้งแต่ต้น เขาคงจะค้นพบเนยแข็งดีๆในแหล่งนี้เป็นแน่ ฮอว์ จึงตัดสินใจกลับไปดูว่า เฮ็ม พร้อมที่จะออกมาร่วมทางกับเขาแล้วหรือยัง ในขณะที่เขาเดินกลับออกมา เขาจึงหยุดเขียนข้อความไว้บนกำแพงดังนี้
หากคุณปล่อยเนยที่เก่าๆออกไปได้เร็วเท่าไร คุณก็จะค้นพบเนยรุ่นใหม่ๆเร็วมากขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน ฮอว์ ก็พบเส้นทางที่จะกลับไปยัง สถานีเนยแข็ง ซี และพบกับ เฮ็ม เขาเอาเนยแข็งที่พบใหม่ออกมาให้ เฮ็ม แต่ได้รับการปฏิเสธ เฮ็ม รู้สึกประทับใจกับความตั้งใจดีของเพื่อน แต่กล่าวต่อมาว่า “ผมไม่คิดว่าผมจะชอบเนยแข็งประเภทใหม่ๆหรอก มันเป็นประเภทที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นเคย ผมต้องการเนยแข็งที่ผมชอบกลับคืนมามากกว่า และ ผมไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก นอกจากว่าผมจะได้ของของผมคืนมา” ฮอว์ ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง และ กลับไปยังบ้านของเขาอย่างกระอักกระอ่วนใจอย่างมาก หลังจากที่เขากลับมาจากจุดที่ไกลที่สุดในเขาวงกตที่เขาไปถึง ก็เพราะเขาคิดถึงเพื่อนของเขา แต่ก็ต้องมาพบว่าเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ชอบเนยแข็งประเภทที่เขาหาพบ แม้ว่าก่อนหน้านี้หากเขาค้นพบสิ่งที่คาดหวังไว้คือ แหล่งเนยแข็งแหล่งใหม่ เขาก็เริ่มที่จะเรียนรู้ว่า สิ่งที่ทำให้เขามีความรู้สึกสดชื่นนั้น ไม่ใช่เฉพาะเนยแข็งที่พบเท่านั้น เขามีความสุขสดชื่นเมื่อเขาพบว่าเขาไม่ต้องวิ่งออกไปด้วยความหวาดกลัว เขาเริ่มชอบในสิ่งที่เขาทำขณะนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อเขารู้เช่นนี้แล้ว ฮอว์ ก็ไม่รู้สึกอ่อนแอเหมือนที่เขาเคยเป็นมาก่อนหน้านี้ เมื่อเขาอยู่ที่ สถานีเนยแข็ง ซี ที่ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่อีกแล้ว เมื่อสามารถเรียนรู้วิธีที่จะไม่ให้ความหวาดกลัวในตัวเขามาหยุดยั้งตัวเขาจากการแสวงหางใหม่ๆ และ การที่เขาวิ่งออกไปสู่เส้นทางใหม่ๆ ทำให้เขามีความสุข และ มีพลังมากยิ่งขึ้น
บัดนี้เขารู้สึกได้ว่า มันเป็นเพียงแค่เรื่องของกำหนดเวลาเท่านั้นเอง ที่จะทำให้เขาสามารถค้นพบสิ่งที่เขาต้องการ ในความเป็นจริง เขาเชื่อว่าเขาค้นพบสิ่งที่เขามองหาเรียบร้อยแล้ว เขายิ้มออกมาและรู้ว่า
จะมีความรู้สึกปลอดภัยที่จะค้นหาไปในเขาวงกต มากกว่าที่จะนอนอยู่ในสถานีที่ไม่มีเนยแข็งแล้ว ฮอว์ ได้เรียนรู้มากขึ้นไปอีกว่า สิ่งที่คุณเคยหวาดกลัวมานนั้น ไม่มีอะไรเลวร้ายเท่ากับจินตนาการของตัวคุณเอง ความหวดกลัวที่คุณสร้างไว้ในใจของตนเองนั้น เลวร้ายกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆมากมายนัก เขาเคยกลัวว่าจะไม่สามารถค้นหาเนยแข็งแหล่งใหม่ๆทั้งๆที่ยังไม่เคยเริ่มที่จะมองหามันเลย แต่หลังจากที่เขาเริ่มออกเดินทางไปแสวงหา เขาก็เริ่มพบเนยแข็งตามช่องทางต่างๆที่มีจำนวนเพียงพอที่จะทำให้เขาเดินหน้าต่อไปได้ ขณะนี้เขากำลังมองหามันมากยิ่งขึ้น การมองไปข้างหน้าก็จะกลายเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น
ความคิดเก่าๆของเขาเคยถูกครอบงำไปด้วยความวิตกกังวล และ ความหวาดกลัว เขาเคยคิดถึงการที่จะมีเนยแข็งไม่เพียงพอต่อไป หรือ มีเนยแข็งไม่มากพอที่จะใช้ไปได้นานๆดังที่ต้องการ เขาเคยคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำให้ผิดพลาด มากไปกว่า การคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำให้ถูกต้อง แต่สิ่งเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่เขาวิ่งออกไปจาก สถานีเนยแข็ง ซี เขาจึงมีความเชื่อว่า ไม่มีใครมาเอาเนยแข็งออกไปจากที่นั่นหรอก ความเปลี่ยนแปลงในลักษณะนั้นเป็นเรื่องที่คิดอย่างไม่ถูกต้อง บัดนี้เขาเรียนรู้แล้วว่า มันเป็นธรรมชาติที่ความเปลี่ยนแปลงต่างๆจำเป็นต้องเกิดขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่า คุณจะคาดหวังถึงมันหรือไม่ก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับตัวคุณ แม้ว่า คุณจะไม่คาดหวังถึง หรือ ไม่ได้แม้แต่มองหามันก็ตาม
เมื่อเขาเรียนรู้เช่นนี้แล้ว เขาจึงเปลี่ยนความเชื่อของเขาไปจากเดิม เขาจึงหยุดเขียนข้อคิดลงบนกำแพงอีกครั้ง ความว่า
ความเชื่อเก่าๆ ไม่เคยนำคุณไปสู่ที่ ที่มีเนยแข็งแหล่งใหม่ๆได้ แม้ว่า ฮอว์ ยังไม่สามารถค้นพบเนยแข็งเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาวิ่งไปตามเขวงกต เขาก็ครุ่นคิดถึงบทเรียนที่เขาได้รับรู้ไปตลอดเวลา บัดนี้ ฮอว์ เรียนรู้ว่า ความเชื่อใหม่ของเขา ช่วยกระตุ้นให้เขามีความกล้าหาญที่จะทำอะไรใหม่ๆ เขากำลังปรับเปลี่ยนการกระทำไปสู่วิธีการอีกวิธีหนึ่ง จากวิธีการเดิมๆที่เคยทำมาแล้ว นับจากวันที่ที่คอยกลับไปเฝ้าดูเนยแข็งที่ สถานีเนยแข็ง แห่งเดิมนั่นเอง
คุณอาจเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงนั้นอาจส่งผลร้ายต่อตัวคุณเอง และ ต่อต้านมัน หรือ คุณอาจเชื่อว่า การค้นหาเนยแข็งแหล่งใหม่ๆ จะมีส่วนช่วยคุณ และ ทำให้คุณยอมรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับสิ่งที่คุณจะเลือกให้ความเชื่อถือ เขาจึงเขียนข้อความไว้บนกำแพงอีกครั้งว่า
เมื่อคุณรู้ว่า คุณสามารถค้นพบและเพลิดเพลิน ไปกับเนยแข็งแหล่งใหม่แล้ว นั่นคือ คุณได้เปลี่ยนทิศทางไปแล้ว
ฮอว์ รู้ว่าเขาจะอยู่ในสถานะที่ดีกว่านี้ หากเขายอมรับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่านี้ และ วิ่งออกจาก สถานีเนยแข็ง ซี ไปเสียแต่เนิ่นๆ เขาจะได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของร่างกาย และ จิตวิญญาณ และ สามารถที่จะจัดการกับความท้าทายในการค้นหาเนยแข็งแหล่งใหม่ๆได้ดีขึ้น โดยความจริงแล้ว บางทีเขาอาจค้นพบเนยแข็งไปแล้วก็เป็นได้ หากเขาคาดหมายถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มากกว่าที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปเพื่อปฏิเสธการยอมรับในความเปลี่ยนแปลงที่มาถึง
เขาเริ่มใช้จินตนาการของเขาอีกครั้ง และ เห็นภาพของตนเองค้นพบ และ เพลิดเพลินไปกับการกินเนยแข็งจากแหล่งใหม่ เขาจึงตัดสินใจที่จะวิ่งต่อไปในเส้นทางที่ไม่รู้จักในเขาวงกตแห่งนั้น และก็มักจะพบเศษเนยแข็งตรงโน้นที ตรงนี้ที ฮอว์ จึงเริ่มมีพละกำลังมากขึ้น ไปพร้อมๆกับความมั่นใจที่เปี่ยมล้นมากยิ่งขึ้น
เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปจากจุดที่เขาเริ่มจากมา ฮอว์ รู้สึกยินดีที่เขาได้ขีดเขียนข้อความต่างๆไว้บนกำแพงตามที่ต่างๆ เขาเชื่อว่าข้อความเหล่านั้นจะเป็นเหมือนเครื่องหมายนำทางให้ เฮ็ม ติดตามเขาเข้ามาในเขาวงกตแห่งนี้ เมื่อเขาเลือกที่จะทิ้ง สถานีเนยแข็ง ซี ออกมาได้แล้ว
ฮอว์ มีเพียงความหวังว่า เขาได้วิ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง เขายังคงคิดถึงโอกาสที่ เฮ็ม จะได้อ่านข้อความที่เขาขีดเขียนไว้บนกำแพง และ หาทางติดตามมาได้ เขาจึงเขียนข้อความลงบนกำแพง เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เขาคิดถึงในบางเวลาดังนี้
การสังเกตุความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยที่เริ่มเกิดขึ้น จะช่วยให้คุณปรับตัวรับกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่ที่ติดตามมาได้หนักแน่นขึ้น จากนี้ไป ฮอว์ ได้ปล่อยให้อดีตผ่านพ้นไปแล้ว และ ได้ปรับตัวให้เข้ากับปัจจุบันแล้ว เขายังคงวิ่งต่อไปข้างหน้าในเขาวงกต ด้วยพลังและความเร็วที่กล้าแกร่ง และ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก สิ่งดีๆก็เกิดขึ้น เมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะต้องวิ่งอยู่ในเขาวงกตตลอดการเดินทาง หรือ อย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งในการเดินทางของเขา เขาก็มาพบกับจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว และ มีความสุข ฮอว์ วิ่งไปตามช่องทางที่ใหม่สำหรับเขา เมื่ออ้อมผ่านโค้ง เขาก็ค้นพบเนยแข็งแหล่งใหม่ ที่ สถานีเนยแข็ง เอ็น และ เมื่อเขาเข้าไปในนั้น เขาก็ต้องตกตะลึงไปกับสิ่งที่เขาเห็น มีเนยแข็งกองสูงไปทั่วทุกหนแห่งที่เขาไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน เขาสังเกตุไม่ออกเลยว่า เนยแข็งที่เขาพบทั้งหมดนี้ มีบางประเภทที่เป็นของใหม่สำหรับเขาด้วยซ้ำไป เขายังคงประหลาดใจอยู่ชั่วขณะว่า สิ่งที่ปรากฎอยู่ต่อหน้านั้นเป็นความจริง หรือ เป็นเพียงภาพในจินตนาการของเขา จนกระทั่งเขาหันไปพบเพื่อนเก่า สนิฟ และ สเคอร์รี่
สนิฟ ทักทายเขาด้วยการผงกหัวให้ และ สเคอร์รี่ โบกอุ้งเท้าของมันให้กับเขา จากพุงที่ป่องของพวกมันแสดงว่า พวกมันค้นพบสถานที่แห่งนี้มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ฮอว์ จึงรีบร้องทักทายไป และ เริ่มกินเนยแข็งที่เขาชอบ เขาถอดรองเท้าวิ่งออกมา ผูกเชือกรองเท้าไว้ด้วยกัน และ แขวนรองเท้าไว้รอบคอ เพื่อจะได้ใช้มันอีกเมื่อต้องการ เมื่อเห็นเช่นนั้น สนิฟ และ สเคอร์รี่ ก็หัวเราะออกมา และ ผงกหัวแสดงความยอมรับในความเปลี่ยนแปลงของ ฮอว์ หลังจากนั้น ฮอว์ ก็กระโดดเข้าไปในกองเนยแข็งใหม่ๆ เมื่อเขารู้สึกอิ่มท้อง เขาก็ยกเนยแข็งขึ้นมาชิ้นหนึ่ง และ กล่าวสดุดีขึ้นว่า “ไชโย สำหรับการเปลี่ยนแปลง”
ในขณะที่ ฮอว์ เพลิดเพลินไปกับเนยแข็งในแหล่งใหม่ เขาก็สามารถเปล่งประกายของการเรียนรู้ของตัวเขาออกมาได้ เขาเรียนรู้แล้วว่า เมื่อเขาเกิดความกลัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่เขากำลังเผชิญอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับเนยแข็งเก่าๆที่ไม่มีในที่นั้นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น อะไรล่ะที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป มันคือความกลัวต่อ ความรู้สึกในการอดตายหรือไม่ ฮอว์ ยิ้มออกมาในระหว่างที่เขาคิดถึงมัน ซึ่งอาจมีส่วนช่วยเขาด้วยก็ได้ และแล้วเขาก็หัวเราะออกมา และ ตระหนักดีว่า เขาเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงในทันทีที่เขาเรียนรู้ที่จะหัวเราะให้กับการกระทำของตนเอง และ ให้กับความผิดพลาดที่เขาทำไป เขาเรียนรู้ว่า วิธีการที่เร็วที่สุดในการเปลี่ยนแปลง คือ การหัวเราะให้กับความงี่เง่าของคุณเอง และ คุณก็สามารถที่จะละมันออกไป และ วิ่งออกไปได้เร็วขึ้น เขารู้ว่าเขาก็ได้เรียนรู้ประโยชน์บางอย่างในเรื่องของการไม่หยุดนิ่ง จากเพื่อนหนูของเขา สนิฟ และ สเคอร์รี่ พวกมันใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พวกมันไม่เคยวิเคราะห์อะไรมากเกินไป หรือ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยากเกินไป เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป และ เนยแข็งถูกเคลื่อนย้ายออกไป พวกมันก็เปลี่ยนตาม และ เคลื่อนตามไปกับเนยแข็ง เขาจำมันได้เช่นนั้น ฮอว์ ยังคงใช้สมองที่เลอเลิศของเขาคิดถึงสิ่งที่ คนตัวเล็กๆ สามารถทำได้ดีกว่า หนู เขาใช้มันในการทำให้เขามองเห็นภาพ โดยมีรายละเอียดที่ใกล้เคียงความจริง เพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ดีกว่า และ ดีกว่ามากขึ้น เขาสะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดที่เขาได้ทำไว้ในอดีต และ ใช้ความผิดพลาดเหล่านั้นในการวางแผนในอนาคต เขารู้ว่า คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะต่อกรกับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ คุณจำเป็นต้องมีความระแวดระวังที่จะเข้าใจและดำรงไว้ซึ่งความง่าย(Simple) ยืดหยุ่น(Flexible) และ ดำเนินการอย่างรวดเร็วต่อการกระทำในเรื่องต่างๆ คุณไม่มีความจำเป็นจะต้องทำให้เรื่องต่างๆมันยุ่งยากมากขึ้น หรือ ทำให้ตัวคุณเองเชื่ออยู่บนความหวาดกลัวต่างๆ คุณจะต้องสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าที่กำลังคืบคลานเข้ามา
เขารู้ว่า เขาจำเป็นต้องปรับปรุงตัวเองให้เร็วขึ้น เพราะว่าหากคุณไม่ปรับปรุงตนเองในเวลาที่เหมาะสมแล้ว คุณอาจไม่มีโอกาสที่จะปรับปรุงตนเองไปตลอดด้วยซ้ำไป คุณต้องยอมรับสิ่งที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นฝังอยู่ในตัวของคุณเอง และ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ดีไปกว่าเดิมจนกระทั่งคุณยอมที่จะเปลี่ยนแปลง
บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการที่เขาเรียนรู้ว่า มีเนยแข็งแหล่งใหม่อยู่ข้างนอกตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะสังเกตมันออกมาได้ในเวลาที่เหมาะสม หรือ ไม่ก็ตาม และ นั่นแหละ คุณจะได้รับรางวัลก็ต่อเมื่อคุณสามารถที่จะผ่านพ้นภาวะแห่งความกลัว และ เพลิดเพลินไปกับการผจญภัยครั้งใหม่ต่อไป
เขาเรียนรู้ว่า ความกลัวบางอย่างควรค่าที่จะให้ความยำเกรง เนื่องจากมันจะทำให้คุณรอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลายได้ แต่เมื่อเขาเรียนรู้ว่า ความหวาดกลัวที่มีอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และ เป็นสิ่งที่กักขังคุณไว้จากความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลงในเวลานั้นก็ตาม แต่เขาจำเป็นต้องรู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงจะพลิกผันไปสู่เสียงสรรเสริญในความแตกต่างที่นำเขาไปสู่การหาเนยแข็งที่ดีกว่า เขายังอาจค้นพบส่วนที่ดีกว่าในตัวของเขาเองด้วยก็ได้
เมื่อ ฮอว์ ฟื้นฟูสิ่งที่เขาเรียนรู้มาดังกล่าว เขาจึงคิดถึงเพื่อน เฮ็ม เขารู้สึกสงสัยว่า เฮ็ม จะได้อ่านสิ่งที่เขาเขียนไว้บนกำแพงที่ สถานีเนยแข็ง ซี หรือ ในเขาวงกต บ้างหรือไม่ เขาอยากรู้ว่า เฮ็ม ติดสินใจที่จะปล่อยเรื่องเก่าๆทิ้งไป และ ออกมาจากที่เดิมแล้วหรือไม่ ไม่รู้ว่า เฮ็ม จะมุ่งเข้าสูเขาวงกต เพื่อค้นหาสิ่งดีๆในชีวิตแล้วหรือยัง หรือว่า เฮ็ม ก็ยังคงสถิตย์อยู่ที่นั่นเนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ฮอว์ คิดถึงการกลับไปยัง สถานีเนยแข็ง ซี เพื่อหาตัว เฮ็ม หากหาทางที่จะกลับไปได้ หากเขาพบ เฮ็ม เขาคิดว่าเขาอาจจะแสดงให้ เฮ็ม เห็นถึงวิธีการที่จะก้าวออกมาจากสถานการณ์ยุ่งยากที่ครอบงำตัวเขาอยู่ แต่ ฮอว์ ก็รู้ดีว่า เขาได้เคยพยายามที่จะชักจูงให้เพื่อนของเขาเปลี่ยนแปลงมาแล้วครั้งหนึ่ง
เฮ็ม จำเป็นต้องขวนขวายที่จะหาทางออกที่นอกเหนือไปจากความสะดวกสบาย และ ความกลัวในอดีตของเขาให้กับตนเอง หากเขาได้มีโอกาสที่จะอ่านข้อความที่ ฮอว์ เขียนทิ้งไว้ให้ เขาได้ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆอีกครั้งหนึ่ง และ เขียนบทสรุปสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ไว้ให้บนกำแพงใหญ่ที่ สถานีเนยแข็ง เอ็น เขาวาดภาพเนยแข็งชิ้นโตรอบๆบันทึกความเข้าใจอันลึกซึ้งของเขาที่เกิดขึ้น และ ยิ้มให้กับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มา มีใจความว่า
เมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มันเคลื่อนย้ายเนยแข็งออกไป
จงคาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลง
เตรียมพร้อมที่เนยแข็งจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป
จงติดตามความเปลี่ยนแปลง
สูดดมกลิ่นของเนยแข็งให้บ่อยขึ้น จะได้รู้ว่ามันเก่าลง
จงปรับตัวให้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ยิ่งคุณปล่อยให้เนยแข็งเก่าๆพ้นไปเร็วเท่าใด คุณก็สามารถเพลิดเพลินกับเนยแข็งใหม่ๆได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ความเปลี่ยนแปลง
ย่อมเคลื่อนตามเนยแข็งไป
จงชื่นชมความเปลี่ยนแปลง
คอยลิ้มรสของการผจญภัยและชื่นชมกับรสชาดใหม่ๆของเนยแข็ง
จงเตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ ชื่มชมมันอีกครั้งหนึ่ง มันเคลื่อนย้ายเนยแข็งออกไป
ฮอว์ รู้แล้วว่า ความหยั่งรู้ของเขาก้าวออกมาไกลสักเท่าไร นับจากวันที่เขาอยู่ร่วมกับ เฮ็ม ที่ สถานีเนยแข็ง ซี แต่ก็รู้ว่า มันพร้อมที่จะไหลกลับไปสู่ที่เดิมได้เสมอ หากเขามีและคิดถึงความสุขสบายมากจนเกินไป ดังนั้น ทุกๆวันเขาจึงตรวจตรา สถานีเนยแข็ง เอ็น เพื่อพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงของเนยแข็งของเขา เขาจึงพยายามทำทุกอย่างที่ทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงความตกใจจากความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดไว้เสมอ
แม้ในขณะที่ ฮอว์ มีแหล่งเนยแข็งที่มีอยู่มากมาย บ่อยครั้งที่เขายังคงออกวิ่งไปในเขาวงกตเพื่อสำรวจหาพื้นที่ใหม่ เพื่อให้มีการรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเขา เขารู้ว่ามันน่าจะปลอดภัยสำหรับเขาที่จะระมัดระวังทางเลือกให้กับตัวเขา มากกว่าที่จะกักตัวเขาเองไว้ในความสมบูรณ์พูนสุขที่มีอยู่
และแล้ว ฮอว์ ก็ได้ยินบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายๆกับเสียงของการเคลื่อนไหวมาจากเขาวงกต เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นมาเรื่อยๆ เขาก็รู้ว่าใครบางคนกำลังเข้ามาถึงที่นั่น “จะเป็นไปได้ไหมที่ เฮ็ม กำลังมาถึงที่นี่ เขาจะเลี้ยวเข้ามาไหม” ฮอว์ พยายามสวดมนต์ และ อธิษฐานให้เกิดสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ เหมือนกับที่เขาเคยทำมาหลายๆครั้งที่ผ่านมา มันอาจเป็นเช่นนั้นได้ ในที่สุดเพื่อนของเขาอาจจะกำลังเข้ามา………
เคลื่อนไปพร้อมๆกับเนยแข็ง และชื่นชมมัน
นี่เป็นจุดจบ หรือ เพิ่งจะเริ่มต้น
การหารือในเย็นวันนั้น
เมื่อ ไมเคิล เล่านิทานจบลง เขาก็มองไปรอบๆห้อง และ เห็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นส่งยิ้มมาให้ หลายคนกล่าวคำขอบคุณต่อเขา และ กล่าวว่าพวกเขาเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากเรื่องนี้
นาธาน เอ่ยถามทุกคนในกลุ่มว่า “พวกเราคิดอย่างไร หากจะมารวมกันอีกครั้ง และ หารือกันในเรื่องนี้”
พวกเขาส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะกลับมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงจัดให้มีการพบกันอีกครั้งในช่วงเย็นเพื่อหาอะไรดื่มกันก่อนอาหารมื้อค่ำ
เย็นวันนั้นพวกเขาก็มารวมกันอีกครั้งในห้องนั่งเล่นของโรงแรม พวกเขาเริ่มหยอกเย้ากันเล่นเหมือนสมัยเด็กๆ ในการแสวงหา “เนยแข็ง” และ มองภาพตัวเองอยู่ในเขาวงกต
แล้ว แองเจลลา ก็เริ่มสอบถามคนในกลุ่มอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดว่า “เอาล่ะ ลองดูซิพวกเราเป็นใครกันบ้างในนิทานเรื่องนี้ ระหว่าง สนิฟ สเคอร์รี่ เฮ็ม หรือ ฮอว์”
คาลอส ตอบกลับไปว่า “ผมคิดถึงเรื่องนี้ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผมจำได้อย่างแม่นยำถึงช่วงเวลาก่อนที่ผมจะมีธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องกีฬา เมื่อผมต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าผมคงไม่ใช่ สนิฟ เนื่องจากผมไม่เคยสูดดมถึงสถานการณ์และมองเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ต้น และ ผมก็มั่นใจว่า ผมคงไม่ใช่ สเคอร์รี่ ผมไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำในทันที ผมคงค่อนข้างจะเหมือนกับ เฮ็ม ซึ่งต้องการที่จะอยู่กับอาณาจักรที่คุ้นเคยเสียมากกว่า ความจริงก็คือ ผมไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการแม้กระทั่งจะเห็นมันเข้ามา”
ไมเคิล ผู้ซึ่งรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาไม่ได้ล่วงไปเลยนับตั้งแต่เขากับ คาลอส เป็นเพื่อนสนิทกันในโรงเรียน แห่งนี้ จึงถามออกไปว่า “คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ คาลอส”
คาลอส ตอบไปว่า “เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของงานที่ไม่คาดฝัน”
ไมเคิล หัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “คุณถูกไล่ออกจากงานหรือ”
“เอาล่ะเอาเป็นว่าผมไม่ต้องการที่จะมองหาเนยแข็งแหล่งใหม่ ผมคิดว่ามีเหตุผลที่ดีที่ความเปลี่ยนแปลงไม่ควรจะเกิดขึ้นกับตัวผม ดังนั้นผมจึงเกิดความรู้สึกหงุดหงิดอย่างมากในช่วงนั้น”
เพื่อนร่วมรุ่นบางคนที่สงบเงียบอยู่ในตอนแรกก็เริ่มรู้สึกเป็นกันเองได้มากขึ้น จึงเริ่มพูดกันออกมา รวมทั้ง แฟรงค์ ที่ไปเป็นทหารในกองทัพด้วย
“เฮ็ม เตือนให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง” แฟรงค์ เอ่ยออกมา “หน่วยงานของเขากำลังจะถูกยุบลง แต่เขาไม่ต้องการเห็นเรื่องเช่นนั้น กองทัพเริ่มที่จะจัดตำแหน่งงานใหม่ให้กับคนของหน่วยงานนี้ เราทั้งหมดพยายามที่จะพูดให้เขาเห็นถึงโอกาสที่มีอยู่ในกองทัพ สำหรับคนที่ยอมที่จะยืดหยุ่นได้ แต่เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เขาจึงเป็นคนๆเดียวที่จะต้องตระหนกเมื่อหน่วยงานของเขาถูกปิดลงไป มาบัดนี้จึงเป็นเวลาที่เขาต้องลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เจสสิกา เอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันไม่คิดว่าความเปลี่ยนแปลงควรจะเกิดขึ้นกับฉันด้วยเช่นกัน แต่เนยแข็งของฉันเคยถูกเคลื่อนย้ายออกไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งเสียด้วยซ้ำไป”
หลายๆคนในกลุ่มก็หัวเราะออกมา ยกเว้นแต่ นาธาน
“บางที่นั่นอาจเป็นประเด็นของเรื่องทั้งหมด” นาธาน กล่าว “ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน” เขาเสริมต่อไปว่า “ผมหวังให้ครอบครัวของผมได้มีโอกาสรับฟังนิทานเรื่องเนยแข็งมาก่อนหน้านี้ แต่โชคไม่เข้าข้างพวกเราไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาสู่ธุรกิจของเรา และมาบัดนี้ก็ดูเหมือนสายเกินไป เราจึงจำเป็นต้องปิดร้านค้าของเราหลายแห่ง”
เรื่องนั้นทำให้ทุกคนในกลุ่มเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ทั้งนี้เพราะพวกเขาคิดว่า นาธาน เป็นคนที่โชคดีที่ได้ทำงานในธุรกิจที่มั่นคงมาตลอดปีแล้วปีเล่า “เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะ” เจสสิกา เอ่ยถามออกมา
“ธุรกิจลูกโซ่ของเราเป็นธุรกิจค้าปลีกที่มีร้านค้าเล็กๆ ฉับพลันก็กลายเป็นธุรกิจที่ล้าสมัยไปทันที เมื่อเกิดร้านค้าประเภทยักษ์ใหญ่(Mega-Store) เข้ามาสู่ชุมชน ร้านประเภทนี้มีปริมาณสินค้าคงคลังมาก และ ยังสั่งซื้อสินค้าคราวละมากๆ จึงทำให้ราคาถูกลงตามไปด้วย ทำให้เราไม่สามารถแข่งขันกับมันได้ ผมจึงเข้าใจในช่วงนี้เองว่า แทนที่เราจะเป็นเหมือน สนิฟ หรือ สเคอร์รี่ เรากลับคล้ายๆ เฮ็ม เรายังคงยืนหยัดอยู่อย่างที่เราเป็น โดยไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆ เราพยายามที่จะไม่สนใจว่าอะไรเกิดขึ้น และ มาบัดนี้เราจึงติดกับอยู่กับปัญหา เราสามารถเรียนรู้บทเรียนสองสามบทจากเรื่องของ ฮอว์ ทั้งนี้เพราะเราแน่ใจว่าเราไม่ยอมหัวเราะเยาะตัวเอง และ เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราทำอยู่”
ลอร่า สาวผู้ประสบความสำเร็จในฐานะนักธุรกิจหญิงซึ่งนั่งนิ่งสงบ รับฟังมาโดยตลอดโดยไม่ยอมเอ่ยปากพูดออกมาก่อนจนถึงตอนนี้ ก็พูดขึ้นว่า “ฉันคิดถึงนิทานตลอดช่วงบ่ายวันนี้ด้วยเช่นกัน ฉันรู้สึกแปลกใจว่า ฉันจะใกล้เคียงกับ ฮอว์ เสียมากกว่า และ ก็มองเห็นสิ่งที่ทำผิดพร้อมๆกันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การหัวเราเยาะตัวเอง ความเปลี่ยนแปลง และ การทำสิ่งที่ดีกว่า”
แล้วเธอก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ฉันอยากรู้จังเลยว่า พวกเราในที่นี้มีใครบ้างที่หวาดกลัวความเปลี่ยนแปลง” เมื่อเธอถามจบ ไม่มีใครสักคนที่ตอบรับ เธอจึงเสนอแนะต่อไปว่า “ไหนลองยกมือขึ้นหน่อยซิ”
มีมือข้างเดียวที่ยกขึ้น
“เอาล่ะ ดูเหมือนจะมีผู้ที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งในกลุ่มของพวกเรา” เธอกล่าวตามมาแล้วต่อด้วย “บางทีพวกเราอาจชอบคำถามถัดไปมากกว่า มีพวกเราสักกี่คนที่คิดว่า เพื่อนเราคนอื่นๆมีความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง” คราวนี้ทุกคนยกมือกันหมด แล้วพวกเขาก็เริ่มหัวเราะกับสภาพดังกล่าวที่เกิดขึ้น
“แล้วมันบอกอะไรเราล่ะ”
“บอกถึงการปฏิเสธไงล่ะ” นาธาน ตอบออกมา
“แน่นอน” ไมเคิล เสริมขึ้นมา “บางครั้งเรายังคงไม่รู้ตัวเลยว่าเรากำลังกลัวอะไรบางอย่าง ผมรู้ว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้ตัวในเรื่องนี้ ครั้งแรกเมื่อผมได้ฟังนิทานเรื่องนี้ ผมจึงชอบคำถามที่ว่า คุณจะทำอะไรหากคุณไม่มีความกลัว”
แล้ว เจสสิกา ก็เสริมต่อไปว่า “เอาล่ะ สิ่งที่ฉันได้ไปจากนิทานเรื่องนี้คือ ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง และ ฉันจะรับสถานการณ์ได้ดีเมื่อฉันปรับตัวให้เข้ากับมันอย่างรวดเร็วมากขึ้น ฉันยังคงจำได้ว่าหลายปีมาแล้วที่บริษัทฯของเรากำลังขายหนังสือสารานุกรม(Encyclopedia) โดยขายเป็นชุดมีหนังสือมากกว่ายี่สิบเล่มต่อชุด ใครคนหนึ่งพยายามที่จะบอกเราว่า เราควรเอาหนังสือสารานุกรมทั้งหมดใส่ลงไปไว้ในแผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์ และ ขายมันด้วยราคาเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมด วิธีการนี้ทำให้เกิดความง่ายในการปรับปรุงให้ทันสมัย และ ยังมีต้นทุนในการผลิตไม่สูงนัก จึงทำให้มีลูกค้าที่จะตอบรับสินค้าลักษณะนี้ได้มากขึ้น แต่พวกเรากลับต่อต้านมัน”
“ทำไมถึงไปต่อต้านแบบนั้นล่ะ” นาธาน ถามขึ้น
“ก็เพราะว่าเราเชื่อว่า กระดูกสันหลังของการขายของธุรกิจของเราคือ การที่เรามีตัวแทนขายจำนวนมาก ที่สามารถจะเข้าไปหาลูกค้าได้แบบตัวต่อตัว การรักษาตัวแทนขายจำนวนมากนี้ จึงขึ้นกับค่านายหน้าที่สูง และ เราก็ใช้วิธีการเหล่านี้สร้างความสำเร็จมาโดยตลอดเป็นระยะเวลานานพอสมควร และ ยังคิดเพียงแต่ว่า วิธีการเหล่านี้จะอยู่ต่อไปได้อีกนานแสนนาน”
ลอร่า พูดขึ้นมาว่า “บางที่นั่นอาจเป็นการสื่อถึงความหมายของนิทานเรื่องนี้ เมื่อกล่าวถึง เฮ็ม และ ฮอว์ ที่มีความผยองในความสำเร็จที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยรู้สึกถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยทำมาก่อนหน้านี้”
นาธาน จึงกล่าวออกมาว่า “คุณหมายความว่า เนยแข็งเก่าๆของคุณนั้น ก็คือเนยแข็งเท่าที่คุณมีอยู่เท่านั้นใช่ไหม”
“ถูกต้อง แล้วเราก็ยังคงต้องการที่จะขึ้นอยู่กับมัน เมื่อผมย้อนไปคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา ผมจึงเข้าใจได้ว่า เรื่องของเรื่องไม่ใช่เพียงแค่ ใครมาเคลื่อนย้ายเนยแข็งของเราเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่า เนยแข็งนั้นจะมีชีวิตจิตใจและในบางคราวก็วิ่งหนีไปจากเรา” “อย่างไรก็ตาม เราไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง แต่คู่แข่งของเรายอมที่จะเปลี่ยนไป จึงเป็นเหตุให้ยอดขายของเราทรุดลงอย่างย่ำแย่ เราได้ผ่านพ้นเวลาอันสาหัสมาแล้วในช่วงนี้ ตอนนี้ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในอุตสาหกรรม และ ไม่มีใครเลยในบริษัทฯ ที่อยากจะเข้าไปข้องแวะกับความเปลี่ยนแปลงอันนี้ มันจึงเกิดปัญหาที่ไม่น่าดูเกิดขึ้นตามมา ผมคิดว่าผมอาจไม่มีงานทำในเร็วๆนี้”
“มันเป็นเวลาแห่งเขาวงกตแล้ว” คาลอส โพล่งออกมา ทุกๆคนก็หัวเราะออกมาได้ รวมทั้ง เจสสิกา ด้วย คาลอสจึงหันไปทาง เจสสิกา แล้วพูดว่า “มันเป็นสิ่งที่ดีนะที่คุณสามารถหัวเราะเยาะตัวเองได้”
แฟรงค์ เสนอขึ้นมาว่า “นั่นเป็นประเด็นที่ทำให้ผมต้องหลีกเลี่ยงจากนิทานเรื่องนี้ ผมตั้งใจที่จะแสดงความคร่ำเคร่งต่อเรื่องดังกล่าว ผมสังเกตเห็นถึง วิธีการที่ ฮอว์ เปลี่ยนไปหัวเราะเยาะตัวเอง และ ปรับปรุงการกระทำของตนเองต่อมา จึงไม่แปลกใจที่ถูกเรียกว่า ฮอว์”
คนทั้งหมดก็พึมพำออกมาอย่างไม่พอใจในการสะบัดสำนวนเล่นคำของ แฟรงค์
แองเจลลา จึงถามว่า “คุณคิดว่า เฮ็ม จะเปลี่ยนแปลงไปได้ไหม และ จะมีโอกาสค้นพบเนยแข็งใหม่ๆหรือไม่ “
อีเลน ตอบว่า “ฉันคิดว่า เขาคงทำเช่นนั้นได้นะ”
“แต่ฉันไม่คิดเช่นนั้น” คอรี่ กล่าว “คนบางคนไม่เคยยอมที่จะเปลี่ยนแปลง และ ยอมที่จะเสียหายไปกับเรื่องนี้ ฉันเห็นคนที่เหมือน เฮ็ม ตอนฉันเป็นแพทย์ฝึกหัด พวกเขาพยายามยืนหยัดอยู่กับเนยแข็งของเขา พวกเขาจึงรู้สึกว่ากลายเป็นเหยื่อไปเมื่อ เนยแข็งถูกเคลื่อนย้ายออกไป และ ตำหนิผู้อื่นแทน พวกเขาป่วยมากกว่าคนที่ปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไป และ เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเองต่อไป”
แล้ว นาธาน ก็เปรยออกมาเบาๆราวกับพูดกับตนเองว่า “ผมคิดว่า คำถามคือ อะไรคือสิ่งที่เราควรจะปล่อยให้ผ่านไป และ อะไรคือสิ่งที่เราควรจะเคลื่อนต่อไป”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาชั่วขณะ
“ผมต้องยอมรับว่า” นาธาน กล่าว “ผมเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้านค้าของเราในหลายๆส่วนของประเทศ แต่ผมยังหวังว่า มันคงไม่ส่งผลกระทบต่อเรา ผมเดาว่ามันอาจเป็นการดีกว่าที่เราจะเป็นผู้จุดชนวนของความเปลี่ยนแปลงเสียเอง มากกว่าที่จะรอและพยายามที่จะตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่มาถึง บางที เราอาจจะต้องเคลื่อนย้ายเนยแข็งด้วยตัวเราเองก็ได้”
“คุณหมายความว่าอย่างไรน่ะ” แฟรงค์ เอ่ยถามออกมา
นาธาน ตอบกลับไปว่า “ผมอดไม่ได้ที่จะคิด แต่ก็ยังสงสัยว่า เราจะอยู่ตรงไหนกันแน่ ถ้าเราขายบ้านจัดสรรในร้านค้าของเรา และ สร้างร้านใหญ่แห่งหนึ่งที่ทันสมัย เพื่อแข่งขันกับร้านที่ดีที่สุดของคู่แข่ง”
ลอร่า กล่าวว่า “บางทีนั่นอาจจะเป็นความหมายที่ ฮอว์ อยากจะให้ไว้เมื่อเขาเขียนลงไปบนกำแพงว่า คอยลิ้มรสของการผจญภัยและชื่นชมกับรสชาดใหม่ๆของเนยแข็ง”
แฟรงค์ เอ่ยว่า “ผมคิดว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอย่างเช่น ผมต้องการให้คงไว้ซึ่งคุณค่าพื้นฐานของธุรกิจไว้ แต่ผมก็เรียนรู้ว่า ผมจะมีอะไรดีขึ้น หากผมเคลื่อนที่ไปพร้อมๆกับเนยแข็งในชีวิตจริง ให้รวดเร็วขึ้น”
“เอาล่ะ ไมเคิล มันเป็นนิทานที่ดีมากเรื่องหนึ่ง” ริชาร์ด เพื่อนขี้สงสัยประจำชั้นกล่าวออกมา “แต่คุณจะทำอย่างไรที่จะนำเรื่องนี้ไปใช้ในบริษัทฯของคุณจริงๆล่ะ”
คนทั้งกลุ่มยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ดีนัก แต่ ริชาร์ด เองก็มีประสบการณ์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวของเขาเอง เมื่อเร็วๆนี้ เขาหย่าขาดกับภรรยา และ เขาก็ต้องพยายามอย่างหนักที่จะทำหน้าที่การงานของเขา ให้สมดุลย์ กับ ลูกๆวัยรุ่นของเขา
ไมเคิล จึงตอบไปว่า “ก็อย่างที่คุณรู้ ผมคิดว่างานของผมนั้นก็คือการจัดการปัญหาต่างๆรายวันที่เกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่ ผมต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับการมองไปข้างหน้า และ เฝ้ามองทิศทางที่เรากำลังจะก้าวไป และ เพื่อนเอ๋ย ผมต้องจัดการกับปัญหาเหล่านั้น – ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมไม่รู้สึกสนุกเลยกับการที่จะมีคนมาล้อมหน้าล้อมหลัง ผมเหมือนกับหนูที่อยู่ในสนามวิ่งแข่งหนู ซึ่งไม่มีทางออกมาได้”
ลอร่า กล่าวต่อว่า “หมายความว่าคุณพยายามที่จะจัดการก็ต่อเมื่อ คุณจำเป็นต้องเป็นผู้นำ”
“ก็อย่างนั้นแหละ” ไมเคิล ตอบ “แล้วเมื่อผมได้ยินนิทานเรื่อง ใครเอาเนยแข็งของฉันไป ผมจึงเริ่มรู้ว่า งานของผมคือการที่จะต้องวาดภาพเนยแข็งแหล่งใหม่ๆ ที่ซึ่งพวกเรามุ่งหวังที่จะไปหาให้พบ จึงทำให้เริ่มสนุกสนานกับความเปลี่ยนแปลง และ ความสำเร็จ แม้ในที่ทำงาน หรือ ในชีวิตส่วนตัวก็ตาม”
นาธาน ถามกลับมาว่า “คุณทำอะไรในที่ทำงานน่ะ”
“เอ้อ เมื่อผมถามทุกคนในบริษัทฯ ว่า พวกเขาเปรียบเสมือนใครบ้างในนิทานเรื่องนี้ ผมพบว่าพวกเรามีตัวละครทั้งสี่ลักษณะอยู่ในองค์กรของเรา ผมเริ่มมองเห็น สนิฟ สเคอร์รี่ เฮ็ม และ ฮอว์ ซึ่งแต่ละกลุ่มจำเป็นต้องได้รับการดูแลในวิถีทางที่แตกต่างกัน พวกที่เป็นประเภท สนิฟ จะสามารถสูดดมกลิ่นของความเปลี่ยนแปลงในท้องตลาด ดังนั้นพวกเขาจึงเหมาะที่จะช่วยเราในการปรับปรุงวิสัยทัศน์ขององค์กร พวกเขาจะได้รับการกระตุ้นให้ระบุถึงผลที่อาจเกิดจากความเปลี่ยนแปลงในส่วนของ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และ การให้บริการที่ลูกค้าต้องการ คนประเภท สนิฟ ชอบที่จะทำงานในลักษณะนี้ และ ก็อยากที่จะทำงานในสถานที่ที่พวกเขาสามารถสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง และ การปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ให้ทันเวลา”
“ส่วนคนประเภท สคอร์รี่ ชอบที่จะทำแต่งาน พวกเขาจะได้รับการกระตุ้นให้มีส่วนในการปฏิบัติการบนพื้นฐานของวิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กร พวกเขาเพียงต้องการให้มีคนคอยเฝ้าดูการทำงานของพวกเขา เพื่อที่จะได้ไม่ทำงานจนหลงออกไปผิดทิศผิดทาง แล้วพวกเขาก็ได้รับรางวัลสำหรับการกระทำที่สามารถค้นพบเนยแข็งใหม่ๆได้ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ชอบทำงานกับบริษัทฯ ที่มองเห็นคุณค่าในการทำงาน และ ผลลัพท์ของงาน”
“แล้วพวกที่เป็นเหมือน เฮ็ม และ ฮอว์ ล่ะ” แองเจลลา ถามขึ้น
“โชคไม่ดีที่ คนประเภท เฮ็ม เปรียบเสมือนสมอเรือ ที่ดึงให้พวกเราช้าลง” ไมเคิล ตอบ “พวกเขามักจะสบายเกินไป หรือ ไม่ก็กลัวการเปลี่ยนแปลงมากไป คนประเภท เฮ็ม ของเราบางกลุ่มจะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถมองเห็นภาพที่แสดงให้พวกเขาเห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดผลดีต่อพวกเขาได้อย่างไรบ้าง คนประเภท เฮ็ม มักจะขอทำงานในสถานที่ที่มีความปลอดภัย ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงต่างๆจำเป็นต้องทำให้พวกเขาเชื่อ และ สามารถเพิ่มความมั่นคงให้พวกเขาได้ เมื่อพวกเขารู้ถึงอันตรายที่แท้จริงของการไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง พวกเขาบางคนจึงยอมที่จะเปลี่ยนแปลง และ ก็มักจะทำได้เป็นอย่างดี วิสัยทัศน์ของเราที่ได้มานั้น ช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนให้ เฮ็ม กลายเป็น ฮอว์ ได้”
“แล้วคุณทำอะไรกับคนประเภท เฮ็ม ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงบ้างล่ะ” แฟรงค์ อยากที่จะรู้มากขึ้น
“เราก็จำเป็นจะต้องปล่อยพวกเขาไป” ไมเคิล ตอบอย่างเศร้าๆ “ความจริงเราต้องการให้พนักงานทุกคนอยู่กับเรา แต่เราก็รู้ว่า หากธุรกิจของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วพอ พวกเราทุกคนจะต้องประสบชะตากรรมโดยทั่วกัน” แล้วเขาก็เล่าต่อว่า “ข่าวดีก็คือ ในขณะที่คนประเภท ฮอว์ ของเราที่ยังลังเลใจอยู่ในช่วงแรกนั้น เป็นคนประเภทเปิดใจกว้างที่จะ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆบางสิ่ง ทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม และ ปรับปรุงตนเองได้ทันเวลาที่จะมาช่วยให้เราประสบความสำเร็จ”
“พวกเขากลับกลายมาเป็นคนที่คาดหมายถึงความเปลี่ยนแปลง และ พยายามมองหามันอย่างมุ่งมั่น เนื่องจากพวกเขารู้ดีถึงธรรมชาติของมนุษย์ พวกเขาจึงช่วยเราในการวาดภาพเนยแข็งแหล่งใหม่ ที่ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ทุกๆคนทำงานได้ดีขึ้น พวกเขาบอกเราว่า พวกเขาต้องการทำงานในองค์กรที่ทำให้คนมีความมั่นใจ และ มีเครื่องมือในการรับการเปลี่ยนแปลง และพวกเขายังคอยช่วยให้เรารักษาอารมณ์ขันของเราไว้ ระหว่างการไล่ล่าหาเนยแข็งใหม่ๆ”
ริชาร์ด ให้ความเห็นต่อไปว่า “คุณได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากนิทานเรื่องนี้เลยหรือ”
ไมเคิล ยิ้มและตอบว่า “มันไม่ใช่เพราะนิทานหรอก แต่สิ่งที่ทำให้เรา ทำสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิมนั้นมีพื้นฐานจากส่วนที่ได้มาจากนิทานเรื่องนี้”
แองเจลลา ยอมรับว่า “ฉันคิดว่า ฉันคงคล้ายๆกับ เฮ็ม อยู่เล็กน้อย ฉันรู้สึกว่า ตอนที่มีอิทธิพลต่อฉันมากที่สุดก็คือ ตอนที่ ฮอว์ หัวเราะเยาะให้กับความกลัวของตัวเอง และ ยังคงพยายามจินตนาการภาพของเขาต่อไปถึงสถานที่ที่เขาได้เพลิดเพลินกับ เนยแข็งใหม่ๆ มันทำให้การเข้าไปในเขาวงกตลดความน่ากลัวลงไป และ ทำให้สนุกสนานมากขึ้นด้วย และ เขาก็ได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากทำให้บ่อยมากขึ้น”
แฟรงค์ ยิ้มกว้างๆ “แม้แต่ เฮ็ม ก็อาจจะมองเห็นความได้เปรียบจากความเปลี่ยนแปลงนะ”
คาลอส หัวเราะแล้วต่อว่า “เหมือนกับการผจญภัยเพื่อรักษางานของพวกเขาไว้”
แองเจลลา เสริมว่า “หรือ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ดี”
ริชาร์ด ผู้ที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดการหารือ กล่าวต่อว่า “ผู้จัดการของผม เคยบอกว่าบริษัทฯของเราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าสิ่งที่เธออยากจะบอกมากกว่าคือ ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แต่ผมไม่อยากที่จะฟังมันเท่านั้นเอง ผมเดาว่าผมไม่เคยรู้อะไรที่เกี่ยวกับ เนยแข็งใหม่ๆ ที่เธอต้องการที่จะพาพวกเราไปค้นหา หรือว่า ผมจะได้บรรลุถึงอะไรบ้างจากเรื่องนี้”
รอยยิ้มน้อยๆเคลื่อนผ่านใบหน้าของ ริชาร์ด ไป เมื่อเขากล่าวว่า “ผมต้องยอมรับว่า ผมเริ่มชอบแนวคิดในการให้เห็นภาพ เนยแข็งใหม่ๆ และ จินตนาการให้เห็นตัวเรากำลังเพลิดเพลินอยู่กับมัน มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูสว่างไสวขึ้น เมื่อคุณสามารถค้นพบวิธีการที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น คุณก็จะให้ความใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากขึ้น”
“บางทีผมยังอาจใช้สิ่งนี้ในชีวิตส่วนตัวของผมอีกด้วย” เขากล่าวต่อ “ลูกๆของผมดูเหมือนจะคิดว่าไม่มีอะไรในชีวิตของพวกเขาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป ผมคิดว่า พวกเขาคงเป็นคล้ายๆกับ เฮ็ม – พวกเขาคงจะโกรธ บางทีพวกเขาอาจจะกลัวอะไรบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต บางที่อาจเป็นเพราะผมไม่เคยวาดภาพของ เนยแข็งใหม่ๆ ที่ใกล้เคียงความจริงให้พวกเขาได้รับรู้ บางทีอาจเป็นเพราะผมเองก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน”
คนทั้งกลุ่มก็นิ่งเงียบไปในขณะที่หลายๆคนกำลังคิดถึงชีวิตของพวกเขาเอง
“เอาล่ะ” เจสสิกา เอ่ยขึ้น “หลายๆคนในที่นี้ก็พูดกันถึงเรื่องของงานมามากแล้ว แต่จากนิทานที่ได้ฟังมานี้ ฉันคิดถึงชีวิตส่วนตัวของฉัน ฉันคิดว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัวของฉันขณะนี้กำลังคล้ายๆกับ เนยแข็งเก่าๆ ที่มีกรอบครอบไว้
คอรี่ หัวเราะอย่างเห็นด้วย “ฉันก็ด้วยเหมือนกัน บางที่ฉันคงจะต้องปล่อยให้ความสัมพันธ์เก่าๆผ่านพ้นไป”
แองเจลลา ร่วมเข้ามาว่า “หรือ บางที เนยแข็งเก่าๆ นี่ก็อาจจะเปรียบเสมือน พฤติกรรมเก่าๆ สิ่งที่เราควรปล่อยมันทิ้งไปก็คือ พฤติกรรมที่บั่นทอนความสัมพันธ์ของเราให้แย่ลงไป แล้วก็เปลี่ยนตัวเองไปหาแนวคิดและการกระทำที่ดีขึ้น”
“โอ้” คอรี่ ร้องออกมา “ตรงประเด็นเลย เนยแข็งใหม่ๆ ก็คือ ความสัมพันธ์แบบใหม่กับคนๆเดิม”
ริชาร์ด กล่าวต่อว่า “ผมเริ่มคิดว่า มีอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ผมยังคิดไปไม่ถึง ผมก็ชอบแนวคิดที่ว่า ปล่อยให้พฤติกรรมเก่าๆ ในอดีตผ่านไป การประพฤติซ้ำไปซ้ำมาแบบเดิม ก็มักจะทำให้คุณได้ผลลัพท์แบบเดิมเสมอ”
“ตราบนานเท่าที่งานยังคงดำเนินต่อไป บางทีแทนที่จะเปลี่ยนงาน ผมอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีทำงานบ้างก็ได้ ซึ่งอาจจะทำให้ผมมีตำแหน่งที่ดีกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำไป”
แล้ว เบ็คกี้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองอีกเมืองหนึ่ง แต่ก็ยังกลับมาร่วมงานคืนสู่เหย้านี้ เอ่ยขึ้นว่า “ตลอดเวลาที่ฉันฟังนิทานเรื่องนี้ และ รับฟังความเห็นจากพวกเราหลายๆคนมา ฉันเองก็คงต้องหัวเราะเยาะให้กับตนเองไปด้วย ฉันคิดว่าฉันคงเหมือนๆกับ เฮ็ม มาเป็นเวลานานแล้ว ปล่อยให้ตนเองมัวแต่สงสัย และ ลังเล และ กลัวความเปลี่ยนแปลง ฉันไม่รู้ว่าจะมีคนสักกี่คนที่ทำเรื่องนี้ได้ดี ฉันเกรงว่า ฉันได้ส่งมันต่อไปให้ลูกๆของฉัน โดยที่พวกเขาไม่รู้อะไรเลย”
“ในขณะที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันเริ่มรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงจะสามารถนำพาคุณไปสู่สถานที่ใหม่และดีกว่าเดิม แม้ว่าคุณจะยังคงรู้สึกกลัวว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนั้นอยู่ในขณะนี้ ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อลูกของเราขึ้นชั้นปีที่สองในโรงเรียนมัธยมปลาย ในขณะเดียวกันสามีของฉันก็จำเป็นจะต้องโยกย้ายจาก อิลลินอยส์ ไปยัง เวอร์มอนต์ นั้น เรื่องนี้ทำให้ลูกชายของเราเกิดความรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้เขาต้องไปจากเพื่อนสนิทมิตรสหายของเขา เขาเป็นดาวรุ่งในทีมว่ายน้ำ ในขณะที่โรงเรียนมัธยมใน เวอร์มอนต์ ไม่มีทีมว่ายน้ำ ดังนั้นลูกของเราจึงโกรธเราเอาอย่างมากที่ต้องทำให้เขาโยกย้ายตามไปด้วย”
“หลังจากนั้นมันก็กลับกลายเป็นว่า พ่อลูกชายกลับเกิดความรู้สึกรักต่อเทือกเขาต่างๆใน เวอร์มอนต์ เลยสวมชุดสกี และเข้าร่วมทีมสกีของวิทยาลัยไป และ ปัจจุบันเขาก็อยู่อย่างมีความสุขใน โคโลราโด นั่นเอง หากพวกเรามีความสนใจต่อเรื่องเนยแข็งนี้ด้วยกันแล้ว เพียงชั่วเวลาแค่การดื่มช๊อกโกแลตร้อนๆ เราก็สามารถช่วยให้คนในครอบครัวของเราลดความเคร่งเครียดลงได้อย่างมาก”
เจสสิกา กล่าวต่อว่า “ฉันจะกลับไปเล่านิทานเรื่องนี้ให้ทุกคนที่บ้านฟัง แล้วก็จะถามลูกๆว่า พวกเขาคิดว่าแม่ของเขาคล้ายใครในเรื่อง – สนิฟ สเคอร์รี่ เฮ็ม หรือ ฮอว์ – และพวกเขาคล้ายกับใคร เราสามารถพูดถึงความรู้สึกเกี่ยวกับ เนยแข็งเก่าๆ ของเรา และ เนยแข็งใหม่ๆ ควรจะเป็นอย่างไร”
“เป็นความคิดที่เยี่ยม” ริชาร์ด เอ่ยชมขึ้น – ทำให้ทุกคนแปลกใจ รวมทั้งตัวเขาเองด้วย
แฟรงค์ ก็ให้ความเห็นต่อว่า “ผมคิดว่าผมอยากจะเป็นเหมือนกับ ฮอว์ ที่เคลื่อนตามไปกับเนยแข็ง และ เพลิดเพลินไปกับมัน และก็คงจะเล่านิทานเรื่องนี้ให้เพื่อนๆที่ยังคงวิตกกังวลกับการออกจากกองทัพ และ ความหมายของการเปลี่ยนแปลงที่มีต่อพวกเขา มันน่าจะทำให้เราได้หารือกันอย่างน่าสนใจทีเดียว”
ไมเคิล กล่าวต่อว่า “ดี นั่นก็เป็นวิธีการเดียวกันที่เราใช้ในการปรับปรุงธุรกิจของเรา เราจัดให้มีการหารือกันหลายต่อหลายครั้งเกี่ยวกับความหมายที่เราได้รับจากนิทานเรื่องเนยแข็งนี้ และ วิธีการที่เราจะนำไปใช้ในสถานการณ์ของบริษัทฯ”
“มันเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ เพราะว่าเรามีภาษาที่สนุกที่จะใช้หารือกันถึงการรับความเปลี่ยนแปลง มันเป็นภาษาที่มีประสิทธิผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันแพร่และหยั่งลึกลงไปทั่วบริษัทฯ”
นาธาน ถามขึ้นว่า “คุณให้ความหมายกับคำว่า หยั่งลึก อย่างไร”
“อ้อ หมายความว่า ยิ่งเราสำรวจลงไปมากเท่าไรในองค์กรของเรา เราก็พบว่ายังมีคนอีกมากที่รู้สึกว่ามีอำนาจน้อยเกินไป พวกเขาเข้าใจถึงความกลัวที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงที่หน่วยเหนือกำหนดลงไปให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต่อต้านการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด พูดสั้นคือ ยิ่งเรากำหนดความเปลี่ยนแปลงลงไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งสร้างการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงมากเท่านั้น”
“แต่เมื่อพวกเขาได้รับรู้ถึงนิทานเรื่องเนยแข็งกันทั่วทั้งองค์กร มันช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนวิธีการมองความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มันช่วยให้ทุกคนหัวเราะเยาะ หรือ ยิ้มเยาะความหวาดกลัวของพวกเขา และ ต้องการที่จะก้าวออกไปจากมัน”
“ผมเพียงหวังให้ผมได้ยินนิทานเรื่องเนยแข็งได้เร็วกว่านี้” ไมเคิล เสริม
“หมายความว่าอย่างไร” คาลอส ถามขึ้น
“เพราะว่า ในช่วงเวลาที่เราเริ่มเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น ธุรกิจของเราก็ตกต่ำอย่างเลวร้ายจนกระทั่งเราต้องปลดพนักงานของเราบางส่วนออกไป เหมือนที่ผมเล่าไปแล้วก่อนหน้านี้ และ นั่นรวมถึงเพื่อนที่ดีๆอีกหลายคนด้วย มันเป็นเวลาที่ลำบากที่สุดสำหรับเราทุกคน แต่ก็นั่นแหละ พวกที่ยังอยู่ และ พวกที่ต้องออกไปทุกคน ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นิทานเรื่องเนยแข็งนี้ ช่วยให้พวกเขาเข้าใจและมองทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างออกไป และ ต่อสู้ต่อไปได้ดีขึ้น พวกที่ต้องออกไปหางานใหม่เล่าว่า มันเป็นความยากลำบากในช่วงแรก แต่เมื่อหวนระลึกถึงนิทานเรื่องนี้พวกเขาก็รู้สึกดีขึ้น”
แองเจลลา ถามต่อไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาล่ะ”
ไมเคิล ตอบ “หลังจากที่พวกเขาทิ้งความหวาดกลัวไป พวกเขาเล่าว่า สิ่งที่ดีที่สุดพวกเขาเรียนรู้ก็คือความเข้าใจที่ว่า มีเนยแข็งอยู่ข้างนอกให้พวกเขาไปค้นหาเสมอ”
“พวกเขาเล่าว่า การจินตนาการถึงภาพของเนยแข็งใหม่ๆ – เหมือนกับการมองเห็นภาพของตนเองสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีในงานใหม่ ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น และ ช่วยพวกเขาในการผ่านการสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างดี และ หลายๆคนก็ได้งานใหม่”
ลอร่า ถามต่อว่า “แล้วคนที่ยังอยู่ในบริษัทฯล่ะ”
“เอ้อ” ไมเคิล ตอบกลับไป “แทนที่พวกเขาจะบ่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พวกเขากลับพูดว่า เมื่อคนอื่นเอาเนยแข็งของเราไป เราก็ควรมองหาเนยแข็งใหม่ๆต่อไป มันช่วยให้เราประหยัดเวลา และ ลดความตึงเครียดไปได้มาก”
“ไม่ช้า เมื่อพวกที่ต่อต้านเริ่มมองเห็นคุณค่าของการเปลี่ยนแปลง พวกเขายังเข้ามาร่วมผลักดันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว”
คอรี่ ถามว่า “ทำไมคุณถึงคิดว่า พวกเขาเปลี่ยนไปล่ะ”
“พวกเขาเปลี่ยนเมื่อความกดดันที่ทุกคนได้รับเปลี่ยนไป”
แล้วเขาก็ถามขึ้นว่า “แล้วเกิดอะไรขึ้นในองค์กรที่คุณอยู่ เมื่อผู้บริหารระดับสูงประกาศความเปลี่ยนแปลงให้รับรู้ พวกพนักงานจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงว่าเป็น แนวคิดที่ยิ่งใหญ่ หรือ ความงี่เง่า ล่ะ”
“ความงี่เง่าน่ะซิ” แฟรงค์ กล่าวตอบ
“คงเป็นเช่นนั้น” ไมเคิล แสดงความเห็นด้วย “แต่ทำไมล่ะ”
คาลอส ตอบว่า “เพราะทุกคนอยากที่จะให้ทุกอย่างเหมือนเดิม และ คิดว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับพวกเขา เมื่อใครสักคนหนึ่งพูดว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งเลวร้าย คนอื่นๆก็จะพูดตามไปด้วย”
“ถูกต้อง พวกเขาอาจจะไม่ถึงกับรู้สึกเช่นนั้น” ไมเคิล พูดต่อ “แต่พวกเขาก็ตกลงใจที่จะเห็นด้วย นั่นเป็นความกดดันที่เกิดขึ้นอย่างทั่วหน้า ที่ทำให้เกิดการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงในองค์กรใดๆก็ตาม”
เบ็คกี้ ถามต่อว่า “แล้วทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร เมื่อพวกเขาได้ยินนิทานเรื่องเนยแข็งแล้ว”
ไมเคิล ตอบเรียบๆว่า “ความกดดันที่เปลี่ยนไปนั้น เกิดจากการที่ทุกคนไม่ต้องการเป็นเหมือน เฮ็ม”
ทุกคนจึงหัวเราะออกมา
“พวกเขาต้องการที่จะได้กลิ่นของการเปลี่ยนแปลงแต่เนิ่นๆ และ มุ่งไปหาวิธีการแก้ไข มากกว่าที่จะรีรอ และ ถูกทิ้งให้อยู่เบื้องหลัง”
นาธาน กล่าวขึ้นว่า “นี่น่าจะเป็นประเด็นที่ตรงที่สุด ไม่มีใครในบริษัทฯต้องการเป็นเหมือน เฮ็ม พวกเขาจึงต้องเปลี่ยนไป ทำไมคุณไม่เล่านิทานเรื่องนี้ตั้งแต่งานคืนสู่เหย้าคราวก่อนล่ะ มันอาจช่วยอะไรได้มาก”
“มันช่วยได้อยู่แล้ว” ไมเคิล ตอบ ”มันจะช่วยได้มากที่สุดเมื่อทุกคนในองค์กรเข้าใจนิทานเรื่องนี้ – ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก หรือ แม้แต่ครอบครัวของคุณ เพราะองค์กรจะเปลี่ยนไปได้ก็ต่อเมื่อผู้คนในองค์กรเปลี่ยนแปลงไป”
แล้ว ไมเคิล ก็สรุปแนวคิดเป็นข้อสุดท้ายว่า “เมื่อเราพบว่า มันทำให้สถานการณ์ของเราดีขึ้น เราจึงเล่านิทานเรื่องนี้ต่อๆกันไปยัง คนที่เราร่วมธุรกิจด้วย การได้รู้ว่าพวกเขาก็กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง เราแนะนำพวกเขาว่า เราอาจเป็น เนยแข็งแหล่งใหม่ สำหรับพวกเขาก็ได้ และนั่นเป็นการเริ่มต้นด้วยเพื่อนทางธุรกิจที่ดีเพื่อความสำเร็จต่อไป มันทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ”
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ เจสสิกา ได้เก็บเกี่ยวแนวคิดหลากหลายไป และ นึกขึ้นมาได้ว่า เธอมีนัดโทรศัพท์ไปหาลูกค้าในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อดูเวลาแล้วจึงเอ่ยว่า “เอาล่ะ ถึงเวลาที่ฉันคงต้องไปจาก สถานีเนยแข็ง ก่อน เพื่อไปหา เนยแข็งใหม่ๆ แล้วนะ”
คนทั้งกลุ่มก็หัวเราะออกมา และ เริ่มส่งเสียงร่ำลากัน หลายๆคนยังต้องการที่จะพูดกันในเรื่องเดิมต่อ แต่เมื่อจำเป็นต้องแยกกลับบ้าน พวกเขาจึงกล่าวขอบคุณ ไมเคิล อีกครั้งก่อนที่จะจากไป
ไมเคิล จึงกล่าวว่า “ผมดีใจมากที่คุณพบว่านิทานเรื่องนี้มีประโยชน์ และ หวังว่าคุณคงจะมีโอกาสเล่าให้คนอื่นฟังบ้างในไม่ช้านี้นะ”
………………………
ผมแปลและเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ขึ้น ก็เพื่อให้ทุกคนในส่วนผลิต หรือ มิตรสหายในหน่วยงานอื่นๆที่สนใจได้อ่านกันบ้าง ผมเองก็หวังเช่นเดียวกับ ไมเคิล ในเรื่อง คือ อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องคิดใหม่ และ ต้องทำใหม่ (ไม่ใช่ ไทยรักไทย) เพื่อความอยู่รอดของพวกเราทุกคน รวมถึงประเทศชาติด้วย
ผมหวังแม้กระทั่งลูกหลานของพวกเราจะได้อ่านเรื่องนี้ด้วย เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้แนวคิดเกี่ยวกับการยอมรับความเปลี่ยนแปลง และ ใช้ประโยชน์จากแนวคิดเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น หากเราทุกคนช่วยกันสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆให้เกิดขึ้น ประเทศไทยคงจะดีขึ้นเร็วตามไปด้วย
ผมคิดว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องไปเลียนแบบอย่างที่ไม่ดี ไม่ว่าจากนักการเมือง ข้าราชการบางคน เพื่อนบางกลุ่ม เพื่อเป็นข้ออ้างให้เราทำสิ่งที่ไม่ดี แต่เราควรเปลี่ยนแปลงตัวเราเสียก่อนที่จะต้องให้คนอื่นมาเปลี่ยนให้ เราจะมีความสุขมากขึ้น
พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนให้พวกเรารู้จัก บัว 4 ประเภท บัวเหนือน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำ และ บัวใต้ตม มานานมากแล้ว และ เรารู้เสมอมาว่า เราอยากที่จะเป็น บัวเหนือน้ำ แต่หากเรายังคงไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว เราจะหลุดพ้นจากบัวอีก 3 ประเภทได้อย่างไร
ลองพิจารณากันเองนะครับ
อนึ่งผมแปลหนังสือเล่มนี้โดยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้เขียน เพราะไม่รู้จัก และ ตั้งใจแปลให้คนที่รู้จัก คนที่เป็นที่รัก และ เป็นที่เคารพ อ่าน ไม่ได้ต้องการเอาไปขาย หรือ เอาไปแจก จึงขอให้ช่วยกันอ่าน และ ไม่ควรนำเผยแพร่ให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมาย…..
ด้วยความปรารถนาดี
พุทธวิธีบริหาร
Buddhist Style in Management
WhoMovedMyCheese
เช่นนั้นเอง ของพุทธทาส
ฟังวิทยุตอนเช้า เรื่อง “เช่นนั้นเอง ของพุทธทาส”
.. ทำให้ผมคิดว่าการเปลี่ยน เสื้อผ้า หน้า ผม ก็ไม่เห็นจะทำให้เกิดความแตกต่าง
เพราะความแตกต่างเกิดจาก ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ รวมถึงจินตนาการที่ฟุ้งไป
.. ถ้าคำว่า “เช่นนั้นเอง” ถูกใช้เป็นฐานคิดว่า
การเปลี่ยนไปของ เสื้อผ้า หน้า ผม ไม่ทำให้มนุษย์เราต่างกัน
ก็ย่อมคิดได้ว่า ทรงผมไม่ทำให้คนเราเปลี่ยนไป
ที่เห็นก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนเดิม เหมือนที่เราเคยพบเห็นทุกวัน
ถ้าคิดว่าไม่ใช่คนเดิม ก็คงเพราะการปล่อยความคิดให้ล่องลอย
.. ไปตามกระแสค่านิยมของสังคม ที่เห็นอะไรก็นำมาเป็นสาระไปหมด
—
ปัญหาใหญ่ คือ ผมเป็นพวกหลงไปตามกระแสค่านิยมของสังคม .. ซะด้วย
multifunction ของ cannon สำหรับองค์กรขนาดใหญ่
19 มิ.ย. 2555 ห้าโมงกว่า .. คุณพิเชษฐ์ บำเพ็ญ และคุณสุจริต จันทกูล มานำเสนอ multifunction printer ของ Cannon ที่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเริ่มต้นที่ 12,000 บาท มีค่าพิมพ์ขาวดำต่อแผน 35 สตางค์ ค่าพิมพ์สีต่แผ่น 4 บาท ซึ่งรายละเอียดต้องขึ้นกับรุ่นของเครื่องพิมพ์ รวมถึงเงื่อนไขการซื้อขาด หรือเช่าเข้าไฟแนนท์ มี อ.ภควัต สมิธธ์ เป็นประธานรับฟังการนำเสนอ โดยเจ้าหน้าที่ของ cannon ทั้ง 2 ท่านมาจาก ศูนย์เชียงใหม่ และมาพร้อมคลิ๊ปที่เป็นคำบอกเล่าของผู้ใช้บริการที่เป็นบริษัทแม่ของลูกค้ารายหนึ่ง สรุปว่าเป็นการเลือกใช้เครื่องพิมพ์ที่เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยประหยัด สะดวก และควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทโนเกียปลดคนงานเป็นหมื่น (you are fired)
บริษัทโนเกียปลดคนงานเป็นหมื่น
ปัจจุบันมีบริษัทขนาดใหญ่มากมายเกิดขึ้นในโลก โดยอาศัยแรงผลักจากนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด แต่จากการติดตามข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็พบว่าบริษัทขนาดใหญ่ไม่น้อยยุบรวมเข้าด้วยกัน ทำให้สัมผัสได้ถึงความสำเร็จที่ไม่แน่นอน แม้แต่บริษัทแอบเปิ้ลก็เคยสั่นคลอนมาก่อนที่สตีฟ จ็อบ จะเข้าไปรับตำแหน่งบริหารในรอบสอง แล้วด้วยความนิยมในผลิตภัณฑ์ อาทิ ipod iphone และ ipad ทำให้มีบริษัทมากมายต้องล้มหายไปจากการพ่ายแพ้ในการแข่งขัน บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ระดับโลกอย่างบริษัท HP และ Compaq ก็ยุบรวมกันมาหลายปีแล้ว แต่หลังยุบรวมก็ยังมีแนวโน้มที่ไม่ดีนัก เพราะลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย
มาตรการลดค่าใช้จ่ายถูกนำมาใช้กับบริษัทโนเกีย ซึ่งคนไทยทุกคนน่าจะรู้จัก เพราะเป็นโทรศัพท์ที่ดีที่สุดยุคหนึ่ง ถ้าจะใช้โทรศัพท์ไฮโซก็ต้องยี่ห้อโนเกีย แต่มาวันนี้มีข่าวว่า Stephen Elop ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท ประกาศจะลดพนักงานลงกว่า 10,000 คน จากก่อนหน้านี้ลดไปแล้วหลายพันตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าจะช่วยให้โนเกียมีศักยภาพในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในระยะยาว ตั้งแต่บริษัทประกาศในต้นปี 2554 ว่าจะยกเลิกระบบปฏิบัติการซิบเบียน (Symbian) แต่ไปใช้ระบบวินโดว์โฟน (Windows Phone) ของไมโครซอฟท์สำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของบริษัท ทำให้หุ่นตกลงอย่างต่อเนื่องกว่า 70%
เมื่อต้นปี 2012 มีรายงานว่าบริษัทโนเกียเคยเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของโลกติดต่อกัน 14 ปี แต่ถูกบริษัทซัมซุงของเกาหลีใต้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน จากการคาดการณ์เชื่อว่ามาตรการลดค่าใช้จ่าย (Reduce Cost) จะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะความนิยมในการใช้สมาร์ทโฟนยี่ห้อ iPhone ยังไม่มีทีท่าชะลอตัว ประกอบกับกระแสของ Windows 8 จะส่งเสริมให้ TabletPC เป็นทางเลือกใหม่ของการสื่อสาร แล้ว อ.ธวัชชัย แสนชมภู แนะนำว่า Samsung Galaxy Tab 10.1 ที่มหาวิทยาลัยเนชั่นจัดให้นั้น สามารถใช้เป็นโทรศัพท์แบบเห็นหน้าที่โทรออกผ่านซิม 3G หรือ Wi-Fi ด้วย Tango Apps ได้ เป็นอีกนวัตกรรมของการสื่อสารที่กระทบสมาร์ทโฟนแบบเดิมอย่างแน่นนอน
แหล่งเก็บข้อมูลในก้อนเมฆ
แหล่งเก็บข้อมูลในก้อนเมฆ (Cloud Storage)
ในอนาคตอันใกล้ แนวโน้มการจัดเก็บข้อมูลในสื่อต่าง ๆ อาจเปลี่ยนเป็นไป เราเคยใช้แผ่นดิสก์ (Floppy Disk) ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) แผ่นซีดี (CD-ROM) และแฟรชไดร์ฟ (Flash Drive) ปัจจุบันมีบริการคลาวสตอเรจ (Cloud Storage) หรือ แหล่งเก็บข้อมูลในก้อนเมฆ หรือ แหล่งเก็บข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต คือ การมีผู้ให้บริการจัดเตรียมสื่อเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่พร้อมให้บริการ โดยผู้ใช้ไม่ต้องทราบว่าเครื่องจัดเก็บข้อมูลนั้นอยู่ที่ใด เพียงแต่เสียค่าใช้จ่ายตามลักษณะของบริการ ขนาด หรือ Bandwidth ที่ใช้ ส่วนสถานที่จัดเก็บ การดูแลรักษา หรือเทคโนโลยีที่ใช้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการ
ผู้เขียนมีโอกาสใช้แท็บเล็ต (TabletPC) ที่ใช้ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยบริษัทกูเกิ้ล (Google) ชื่อว่าแอนดรอย (Android) รุ่นหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานกับอุปกรณ์พกพาอาท สมาร์ทโฟน (Smart Phone) หรือแท็บเล็ต พบว่า ซอฟท์แวร์ในอุปกรณ์ได้จำกัดความสามารถในการเลือกแฟ้มที่จะอัพโหลด (Upload) โดยแฟ้มที่สามารถอัพโหลดได้มีเพียงแฟ้มประเภทภาพถ่าย (Photo) เสียง (Sound) และคลิ๊ปวีดีโอ (Video) เป็นต้น แต่ถ้าจะอัพโหลดแฟ้มประเภท PDF, DOC, PPT, XLS ก็ต้องถ่ายโอนออกจากแท็บเล็ต ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) จึงจะอัพโหลดไปยังแหล่งเก็บข้อมูลที่ต้องการได้
หากต้องการจัดการกับแฟ้มเอกสารก็พบว่ามีบริการกูเกิ้ลดอค (Google Docs) ของบริษัทกูเกิ้ล ซึ่งเป็นสื่อประเภทคลาวสตอเรจ ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างแฟ้ม แก้ไข ดาวน์โหลด หรือแบ่งปันแฟ้มกับเพื่อนให้ร่วมกันแก้ไขแบบร่วมแรงร่วมใจ (Collaboration) ดังนั้นอีกทางเลือกที่จะใช้แท็บเล็ตทำงานกับแฟ้มข้อมูล คือ ใช้บริการของกูเกิ้ลดอค แทนการเก็บข้อมูลในสื่อดั่งเดิมที่สามารถดาวน์โหลดแฟ้มเอกสารมาอ่าน และแก้ไขได้ แต่ไม่สามารถอัพโหลดแฟ้มที่แก้ไขแล้วกลับเข้าไปทับแฟ้มเดิม หากจะใช้งานได้ก็ต้องเลือกใช้งานคลาวสตอเรจ หากแนวโน้มเป็นการใช้คลาวก็จะทำให้ความนิยมแฟรชไดร์ฟ และซอฟท์แวร์จัดการเอกสารดั้งเดิม (Classic Document Software) ลดบทบาทไปในอนาคต แล้วเรามาร่วมสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้สตอเรจของมนุษย์ที่กำลังปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยกัน
Cloud storage is a model of networked online storage where data is stored in virtualized pools of storage which are generally hosted by third parties. Hosting companies operate large data centers, and people who require their data to be hosted buy or lease storage capacity from them. The data center operators, in the background, virtualize the resources according to the requirements of the customer and expose them as storage pools, which the customers can themselves use to store files or data objects. Physically, the resource may span across multiple servers.
http://en.wikipedia.org/wiki/Cloud_storage
เหตุผลที่อาจเลิกเข้าเฟซกรุ๊ป
2 มิ.ย.55 หากมีคำถามว่า ในปัจจุบันผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เวลานาน และมีจำนวนผู้ใช้มากที่สุด อยู่ในเว็บไซต์ใด ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมของเฟซบุ๊ค (Facebook.com) และพฤติกรรมของผู้ใช้ส่วนหนึ่ง ก็มิได้เกาะติดกับหน้าโปรไฟร์ (Profile) แต่เป็นขาประจำของกรุ๊ป (Group) หรือกลุ่มเฉพาะ อาทิ เพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมหอพัก เพื่อนร่วมองค์กร เพื่อนร่วมธุรกิจ เพื่อนร่วมชมรม เพราะมีเป้าหมาย และสนใจเรื่องเดียวกัน ซึ่งเฟซบุ๊คสามารถตอบความต้องการของกลุ่มได้อย่างลงตัว หากรวมคำว่าเฟซบุ๊ก กับคำว่ากลุ่มเพื่อน ก็อาจเรียกอีกชื่อว่า เฟซกรุ๊ป (Facegroup = Group in Facebook.com) ซึ่งผู้เขียนพบเพื่อนหลายท่านมิได้สนใจการแบ่งปันในหน้าโปรไฟร์ จะมีกิจกรรมเฉพาะในกลุ่ม เพราะคนคุ้นเคย หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียล้วนอยู่แต่ในกลุ่ม
จากการใช้บริการ yammer.com แล้วมีผู้ใหญ่ใจดีแนะนำว่าน่าจะย้ายจาก เฟซกรุ๊ป ไปอยู่ใน yammer แทนด้วยเหตุผล 5 ข้อ คือ 1) มีบริการสนับสนุนการสื่อสารที่ดีกว่า อาทิ การตอบผู้เขียนบันทึก หรือตอบผู้ที่ตอบบันทึกเฉพาะคนได้ 2) สร้างกลุ่มเฉพาะในองค์กรที่มีความเป็นส่วนตัว และข้อมูลปลอดภัยกว่า 3) ควบคุมการเข้าออกของสมาชิกได้ดีกว่า 4) สนับสนุนให้บุคลากรทั้งองค์กรใช้ระบบอีเมลเดียวกัน ทำให้การสื่อสารมีความเป็นมาตรฐาน 5) รองรับห้องเก็บแฟ้มข้อมูลของกลุ่ม และมีระบบรุ่นของเอกสารที่เข้าถึงได้ทุกรุ่น
ปัจจุบันพฤติกรรมการเข้าถึงเครือข่ายสังคมของผู้ใช้ในบางองค์กรเริ่มเปลี่ยนจากการเข้าไปพบเพื่อนร่วมงานในเฟซกรุ๊ปก็หันไปพบเพื่อนร่วมงานใน yammer เพราะส่วนใหญ่ไปใช้ชีวิตกันใน yammer หมด สาเหตุมาจากสามารถคุยเรื่องงานได้เต็มที่ ไม่มีคนนอกองค์กรเข้ากลุ่ม รองรับการเขียน Page หรือ Poll เพื่อนำเสนอเนื้อหาแบบไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด มีบริการ Subscribe ส่งรายละเอียดแจ้งไปกับอีเมลได้ มี Apps เพิ่มเติมให้ใช้งาน และการใช้งานเหมือนกับเฟซบุ๊กก่อนเปลี่ยนเป็น timeline ทำให้ไม่ต้องเรียนรู้ใหม่ แล้วเรามาดูอนาคตของเฟซบุ๊คกันต่อไป ว่า yammer จะมาแทนเฟซบุ๊คได้หรือไม่ และเป็นอย่างไรต่อไป
http://blog.duoconsulting.com/tag/yammer/
นักประดิษฐ์รีโหมดคอนโทรลเสียชีวิตแล้ว
Eugene J. Polley นักประดิษฐ์รีโหมดคอนโทรลเสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 96 ปี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 เป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญอีกคนที่จากไป เพราะก่อนหน้านี้โลกเราก็เสีย Steve Jobs ไปเมื่อ 5 ตุลาคม 2554
http://soundcloud.com/thaiall/remote-control-inventor-dies
—
Remote Control Inventor Dies Aged 96
The inventor of the television remote control has passed away at the age of 96. The Associated Press news agency reported that Eugene J. Polley died of natural causes on Sunday. His creation is one of today’s most commonly used and ubiquitous (แพร่หลาย) devices. Mr Polley worked as an engineer for a company called Zenith, now part of Korea’s LG Electronics. He introduced his gun-shaped remote control, called the Flash-Matic, in 1955. It was one of 18 patents he owned. The Flash-Matic used light to turn the TV on and off, adjust the volume and change channels. His invention was followed up five years later by fellow Zenith engineer Robert Adler, who used ultrasound instead of light. Today’s remote controls use infrared light.
Polley worked for Zenith for 47 years and held some top technology posts. In 1997, the USA’s National Academy of Television Arts and Sciences honoured him by awarding him with an Emmy Award for ‘Pioneering Development of Wireless Remote Controls for Consumer Television.’ Polley’s invention is something we all take for granted nowadays. Generations of people have grown up not knowing that before remote controls, people actually had to leave the sofa and push a button or turn a dial to change their TV settings. Today we use remotes for everything from adjusting the brightness of lights to changing songs on our iPods to opening the garage door from 30 metres. Life would be quite different without this handy gadget.
http://www.breakingnewsenglish.com/1205/120523-remote_control.mp3
http://www.breakingnewsenglish.com/1205/120523-remote_control.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Eugene_Polley
หนังสือ Strategic Management
หนังสือ Strategic Management ร่วมกันเขียน 6 ท่าน เนื้อหาแน่นเอียดครับ โดย ศ.ดร.เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์ ดร.ศิรินทร ภู่จินดา ดร.อาทิตา ชูตระกูล ดร.นันท์นภัส จินานุรักษ์ อ.พิมพ์ชนก พ่วงกระแสร์ อ.วรพจน์ นิลจู จัดพิมพ์โดย บริษัท อินเฮาส์ โนว์เลจ จำกัด
สำหรับผมชอบภาคผนวกหน้า 315 ที่มีรายการเครื่องมือทางการบริหารที่นิยมใช้ มีที่มาจาก Bain & Company : Tool included in the survey for the first time in 2007 ซึ่งมี 3 รายการแรก คือ
Strategic Planning
Customers Relationship Management (CRM)
Customer Segmentation
e-marketing
19 พ.ค.55 วันนี้ได้ฟังคุณป้อม บรรยายเรื่อง e-marketing แล้วพูดถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้ใช้เทคโนโลยีว่า สมัยนี้เข้าห้องน้ำกันนานขึ้น เพราะเวลาตื่นมาเข้าห้องน้ำ จะนำ Tablet PC เข้าไปนั่งด้วย ทำให้ใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่าปกติ และเสียสุขภาพ .. เป็นมุขขำขำ
อาจารย์ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ (ป้อม) บรรยายหัวข้อ “กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ทำเว็บไซต์ให้ทั่วโลกรู้จัก” ณ ห้องประชุม อาคารคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 มีประเด็นในสไลด์ที่สำคัญ คือ
การเริ่มต้นการตลาดออนไลน์
1. กำหนดวัตถุประสงค์ (sell or image)
2. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย (5W 1H season sex)
3. วางแผนงบประมาณ (cpd cpm cpc cpa)
cost per duration
cost per impression
cost per click
cost per action
4. กำหนดแนวความคิดและรูปแบบ (หาจุดขาย ลูกเล่น ไอเดีย)
5. วางแผนกลยุทธ์ และสื่อ ช่วงเวลา (กลยุทธ์อะไร สื่ออะไร เมื่อใด)
6. ดำเนินแผนการ
7. วัดผล และประเมินผลลัพธ์