นางสาวไทย และ มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส

Miss Thailand Universe
Miss Thailand Universe

มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส (Miss Thailand Universe) เป็นเวทีการประกวดความงามระดับประเทศที่มีมาตรฐานสากล จัดขึ้นเป็นปีที่ 11 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 2543 (2000) เป็นต้นมา สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7 ได้ดำเนินการจัดขึ้น เพื่อสรรหาสาวไทย ที่มีความงาม มีกริยามารยาทที่งดงามแบบไทย มีความคิดอ่าน เฉลียวฉลาด ทันสมัย มั่นใจในตนเอง และเหมาะสมที่จะรับหน้าที่ในนามตัวแทนประเทศไทยไปสู่การประชาสัมพันธ์ และ สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณอันดีงาม ให้กับประเทศผ่านกิจกรรมการประกวดระดับโลก เช่น การประกวดนางงามจักรวาล Miss Universe, Miss Earth, Miss Asia Pacific, และ Miss Tourism world เป็นต้น
ช่อง 7 สี ได้รับสิทธิ์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จาก Miss Universe L.P., LLLP ในการค้นหาสาวงามเข้าร่วมประกวด มิสยูนิเวิร์ส (Miss Universe 2011)
http://mtu.ch7.com/history.aspx

การประกวดนางสาวไทย
ครั้งแรกได้เริ่มขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม 2477 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 โดยรัฐบาลได้จัดขึ้นในงานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญภายในพระราชอุทยานสราญรมย์ ใช้ชื่อในการประกวดครั้งนั้นว่า “ นางสาวสยาม ”
การประกวดนางสาวไทยเสมือน เป็นกิจกรรมที่สืบทอดเจตนารมณ์ของรัฐบาลมาโดยตลอดทั้งนี้นับตั้งแต่ยุคที่ 1 และยุคที่ 2 เป็นกิจกรรมของทางราชการโดยหน่วยงานราชการผู้จัดและรับผิดชอบ คือกองการต่างประเทศกระทรวงมหาดไทย การจัดการประกวดนางสาวไทยในสมัยนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การประกวดเป็นสื่อด้านความบันเทิง ดึงดูดความสนใจให้ประชาชนมาเที่ยวงานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ อันเป็นงานเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย
ต่อมาในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายต้องการส่งเสริมฐานะสตรีให้เท่าเทียมอารยประเทศและมีบทบาทในการช่วย เหลือสังคม รัฐบาลในสมัยนั้นจึงใช้เวทีการประกวดนางสาวไทยเป็นสื่อในการสนับสนุนนโยบาย รัฐนิยมของรัฐบาล โดยเฉพาะวิวัฒนาการการแต่งกายของสตรีโดยมีการเปลี่ยนแปลงด้านเครื่องแต่งกาย ของผู้เข้าประกวดในยุคแรก ดังนี้
พ.ศ. 2477 ผู้เข้าประกวดแต่งกายด้วยชุดไทยห่มสไบเฉียง นุ่งซิ่นยาวกรอมเท้า
พ.ศ. 2482 ผู้เข้าประกวดแต่งกายชุดเสื้อกระโปรงติดกัน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมของไทย เสื้อเปิดหลัง กางเกง กระโปรงยาวถึงเข่า
พ.ศ. 2483 ชุดกีฬา กางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุดเปิดหลัง
พ.ศ. 2493 ผู้เข้าประกวดสวมใส่ชุดว่ายน้ำในการประกวด

การประกวดนางสาวไทย
ยุคที่ 1 ประเทศไทยมีผู้ได้รับเลือกเป็น “ นางสาวสยาม ” จำนวน 5 คน และ “ นางสาวไทย ” จำนวน 2 คน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 1 ว่าด้วยนามของประเทศ พ.ศ. 2482 กำหนดเรียกนามของประเทศว่าประเทศไทย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใด ซึ่งใช้คำว่า “ สยาม ” ให้ใช้คำว่า “ ไทย ” แทน ดังนั้นการประกวด “ นางสาวสยาม ” จึงเปลี่ยนมาใช้การประกวด “ นางสาวไทย ” นับตั้งแต่ พ.ศ. 2482
ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2493 – 2497) ปี 2497 เป็นปีสุดท้ายที่ รัฐบาลเป็นผู้มีบทบาทในการจัดการประกวด เนื่องจากการประกวดนางสาวไทยได้ถูกยกเลิกการจัดไปพร้อมกับงานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ
ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2507 – 2515) ปี 2504 สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ทดลองจัดการประกวด “ นางงามวชิราวุธ ” ขึ้นในงานวชิราวุธานุสรณ์ ซึ่งเป็นงานที่สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ หัว และอีกวัตถุประสงค์คือ เพื่อสร้างความบันเทิงแก่ประชาชนผู้มาเที่ยวงาน ส่วนสถานที่จัดงานคือบริเวณพระราชอุทยานสราญรมย์
จากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายของการจัดประกวดนางสาวไทย ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการใช้ตำแหน่งนางสาวไทยเป็นสื่อเผยแพร่ชื่อเสียงให้แก่ประเทศ และใช้รูปแบบของการเข้าร่วมประกวดนางงามระดับชาติทำให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมาก ยิ่งขึ้น ดังนั้นในปี พ.ศ. 2507 คณะกรรมการการจัดงานวชิราวุธานุสรณ์ได้มีการเปลี่ยนชื่อการประกวดมาเป็นการ ประกวด “ นางสาวไทย ”
การประกวดนางสาวไทยในยุคที่ 3 ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งการประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงประเทศไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นางสาวไทยเป็นสื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยให้ เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และสร้างภาพพจน์ให้ชาวโลกรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ยุคที่ 4 (พ.ศ. 2527 – 2542) การจัดการประกวดนางสาวไทยในปีที่ผ่านมาสื่อมวลชนและเทคโนโลยีการสื่อสาร มีบทบาทโดยตรงต่อการประชาสัมพันธ์การจัดการประกวดนางสาวไทย ในยุคแรกสื่อมวลชนที่มีบทบาทในการประชาสัมพันธ์การประกวด ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ และวิทยุกระจายเสียง ในส่วนของทางสถานีโทรทัศน์นั้น เริ่มมีการถ่ายทอดสดการประกวดนางสาวไทยทางสถานีโทรทัศน์เป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2508 ในงานวชิราวุธานุสรณ์ โดยสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 และต่อมาในปี พ.ศ. 2510 สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์สีแห่งแรกของประเทศไทยได้ทำการทดลองแพร่ภาพถ่ายทอดสด ให้ผู้ชมที่อยู่ต่างจังหวัดได้รับชมการประกวดนางสาวไทย
ในปี 2526 บริษัทมิสยูนิเวิร์สซึ่งเป็นบริษัทจัดการประกวดนางงามจักรวาล ได้เดินทางมาดูสถานที่ในประเทศไทยเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการจัดการประกวด นางงามจักรวาลขึ้นในประเทศไทย โดยในขณะนั้น คุณชาติเชื้อ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปภัมถ์ จึงได้รื้อฟื้นการจัดขึ้นอีกครั้งในปี 2527 ในงานเทศกาลพัทยา ครั้งที่ 3 ณ เมืองพัทยา โดยสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 และด้วยความร่วมมือสนับสนุนกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
การจัดการประกวดนางสาวไทยในยุคนี้ นับเป็นยุคแห่งการประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อคัดเลือกสาวไทยเป็นตัวแทนไปประกวดนางงามจักรวาล
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยมีนางสาวไทยมาแล้วถึง 36 คน โดยสตรีไทยผู้ได้รับตำแหน่งนางสาวไทยได้ปฏิบัติภาระกิจต่างๆเพื่อประชา สัมพันธ์ชื่อเสียงของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักกับนานาประเทศ นับได้ว่าเวทีการประกวดนางสาวไทยเป็นเวทีแห่งเกียรติยศที่ทรงคุณค่าของสตรี ไทย
ยุคที่ 5 ( พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา) สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มอบสิทธิ์ให้สถานีโทรทัศน์ไอทีวีเป็นผู้ดำเนินการจัดการประกวด โดยมีการพัฒนารูปแบบการจัดประกวดให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน มากยิ่งขึ้น อาทิ การยกเลิกการใส่ชุดว่ายน้ำบนเวที, การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลคะแนน, การวัดระดับ IQ และ EQ ตลอดจนการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์และความคิดริเริ่มแบบสร้างสรรค์ รวมทั้งการนำความสามารถพิเศษของผู้เข้าประกวดมาใช้ประกอบในการพิจารณาการตัดสิน
นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีการประกวดรอบคัดเลือกของภูมิภาคต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้หญิงไทยทั่วประเทศได้มีโอกาสเข้าร่วมการประกวดอย่างทั่วถึง ในยุคนี้ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนางสาวไทยจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง “ ทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ” ทำหน้าที่เผยแพร่วัฒนธรรมประเพณีของไทยให้ชาวต่างชาติได้รู้จัก ซึ่งต้องเดินทางไปยังสำนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่มี สำนักงานสาขาถึง 17 แห่งทั่วโลก รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตามจังหวัดต่างๆ ภายในประเทศตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่าง ๆ คือ สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ
ปัจจุบันสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเปลี่ยนชื่อเป็น สถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบยู เอช เอฟ (ทีไอทีวี) ภายใต้การดูแลของกรมประชาสัมพันธ์ ดังนั้นจึงเท่ากับว่า กรมประชาสัมพันธ์จะเป็นอีกองค์กรหนึ่ง ที่จะช่วยส่งเสริมบทบาทของนางสาวไทยในยุคที่ 5 ให้มีศักยภาพที่สูงยิ่งขึ้นจากเครือข่ายของกรมประชาสัมพันธ์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
http://www.missthailandcontest.com

โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง

โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง
โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง

11 มี.ค.54 เวลาประมาณ 18.35น. มีโอกาสคุยกับดารา ออกเสียงทางช่อง 9 (Mango Channel) ของจาน PSI ที่บ้านผม .. ท่านคือ อ.โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้เขียนหนังสือขายดี “สวย-หล่อ ไม่ต้องรอชาติหน้า Colour ‘n’ Style” ท่านมีเว็บไซต์สวย ๆ อยู่ที่ http://www.colourandstyle.net .. ผมโทรเข้ารายการถามว่า ผู้ชาย อายุ 40 ปี (แล้วยังไม่ปลงกับชีวิต) อยากจะย้อมสีผม ต้องใช้สีอะไร ก็ได้รับคำแนะนำจาก อ.หมู และอ.โจ๊ก ว่า สีดำ หรือสีบรอนซ์ .. โดยดูจากความเหมาะสมของหน้าที่การงานประกอบด้วย .. ทำให้ผมคิดได้ว่า สักวันหนึ่งถ้าจะต้องย้อมสีผมครั้งแรกในชีวิต ก็จะเลือกสีดำ ตามคำแนะนำของท่าน
(ภาพของท่านก็ได้จาก e-book ในเว็บไซต์ของท่านครับ)
http://www.facebook.com/sopasbkk

ต่อมาเช้าวันอาทิตย์ที่ 13 มี.ค.54 อ.โจ๊ก โทรมาพูดคุยกับแฟนรายการคือผม ประทับใจมาก เพราะผู้จัดรายการโทรมาคุยกับแฟนรายการ .. ดีใจครับ (ในใจก็คิดว่า ต่อไปคงต้องหมั่นติดตามรายการท่านซะแล้ว) .. ท่านจัดรายการทางแมงโก้ทีวี ชื่อรายการ Colour&Style ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 18.00-19.00น. เสาร์-อาทิตย์ 21.30.-22.30 น. ซึ่งท่านให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการจัดรายการเชื่อมโยงกับการหาสิบดีไซด์เนอร์ สิบนายแบบ สิบนางแบบ ของแมงโก้ทีวี .. ผมก็กระเซ้าท่านไปผ่าน fb ว่า “ผมออกตัวก่อนนะครับ ว่าร่วมประกวดไม่ได้แล้ว .. คาดว่าอายุเกินมานิดหน่อย” ก็อายุผมปาเข้าไปตั้ง 40 แล้ว ไปแข่งเป็นนายแบบคงไม่ไหว >> หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่อยากสวย อยากหล่อ ติดตามรายการท่านได้นะครับ ผมว่าบุคลิกท่านดีมาก พูดเก่ง เป็นกันเอง และอัธยาศัยดีเยี่ยม

Clip รายการ
http://www.mangotv.tv/home/program/color-style/
http://www.mangotv.tv/home/program/color-style/20110111/352/Colour&Style/
http://www.youtube.com/user/sopasbkk
http://www.colourandstyle.net

สั่งคอมพิวเตอร์ด้วยคลื่นสมอง

ฟังข่าวทางช่องทีวีไทย เมื่อ 5 มี.ค.54 เวลา 19.45น. เรื่องการใช้คลื่นสมอง สั่งงานคอมพิวเตอร์ ถูกนำเสนอในงาน CeBIT 2011 โดย Guger Technologies เรียกว่า Intendix สามารถใช้ “สมอง” สะกดคำที่ต้องการพิมพ์บนคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ต้องใช้มือ ซึ่ง Intendix เป็นอุปกรณ์อ่านคลื่นสมอง (EEG  :  Electroencephalography) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์ข้อความบนคอมพิวเตอร์ด้วยจิตใจ (ที่ส่งผ่านคลื่นสมอง)
http://www.arip.co.th/news.php?id=413309

http://www.thaipbs.or.th/DailySchedule/
http://www.thaipbs.or.th/Clip/
http://www.thaiall.com/opinion/readonly.php?view=488

ทันโลกทันเหตุการณ์

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

26 ก.พ.54 แต่ละวันมีเหตุการณ์มากมายทั้งที่เกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวข้อง ส่วนที่เกี่ยวข้องในแต่ละล่วงเวลาอาจมีหลายกิจกรรม บางวันในเวลาเดียวกันต้องเข้าประชุมกลุ่ม เรียนหนังสือ ไปส่งคนในครอบครัว ไปหาหมอ และอยู่เฝ้ารถที่เสีย ซึ่งทุกเรื่องล้วนสำคัญ แต่มนุษย์เราแยกร่างไม่ได้ ทำให้ต้องเลือกและดำเนินทุกกิจกรรมให้บรรลุไปด้วยวิธีที่แตกต่างและมีความเสียหายเกิดขึ้นน้อยที่สุด การรับรู้ข่าวสารด้วยการฟังวิทยุและดูโทรทัศน์ อาจช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของการดำเนินชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ อาทิ ดูข่าวพยากรณ์อากาศ ข่าวประท้วงปิดถนน ข่าวน้ำท่วม ข่าวเส้นทางอาชีพ รายการทีวีงานประดิษฐ์จากของเหลือใช้

วิทยุ และโทรทัศน์เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารสาธารณะแบบทางเดียว ส่วนโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสื่อสารสองทางที่ทำให้ผู้สื่อสารมีปฏิสัมพันธ์กันได้ สามารถเปลี่ยนบทบาทได้ตลอดเวลา ในอดีตเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น กว่าจะรู้ก็จะใช้เวลาเป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ เพราะสื่อที่เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ นิตยสารรายเดือน หรือหนังสือพิมพ์รายวันล้วนมีช่องว่างเรื่องเวลา ทีวีและเว็บไซต์ข่าวสารจะมีเนื้อหาที่ทันสมัยและมักเป็นการเผยแพร่แบบทางเดียว เพื่อให้ข่าวสารกระจายไปได้กว้างกว่า ส่วนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมจะมีข่าวสารที่เปิดให้กลุ่มเพื่อนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านระบบที่เชื่อมกับหัวข้อข่าวเหล่านั้น

ครั้งหนึ่งต้องการเข้ารับฟังแถลงข่าวเหตุการณ์หนึ่ง แต่พลาดโอกาส หลังแถลงข่าวเสร็จมีเพื่อนในเครือข่ายสังคมได้ติดป้ายภาพ (Tag) จากการประชุมที่ถ่ายด้วยกล้องของ IPhone ส่งมาให้ จึงรู้ว่าในการประชุมมีบรรยากาศเป็นอย่างไร เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงก็มีเพื่อนบอกว่ามีคลิ๊ปวิดีโอสรุปจากการประชุมแถลงข่าวเผยแพร่แล้ว ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ตามต้องการ ทำให้รู้สึกว่าโลกเราแคบลงมาก และเทคโนโลยีก็เสมือนทำให้เราย้อนเวลาไปยังช่วงที่เราต้องการได้ นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีของผู้คนในปัจจุบัน

ชีวิตคู่ของภารดร ศรีชาพันธุ์ และนาตาลี เกลโบวา

natalie glebova
natalie glebova

เม้าท์กันให้หึ่ง นาตาลี เตรียมฟ้องหย่า บอล
http://absolutegossip.com/comment.php?topic=8150&section=172
9 มีนาคม 2553 มีเรื่องให้แมงเม้าท์ได้บินปล่อยข่าวอีกแล้ว! คู่รักระดับโลก บอล ภราดร กับ นาตาลี เกลโบว่า ที่มีข่าวลือออกมาว่า ฝั่งศรีภรรยาระดับนางงามเตรียมตัวที่จะฟ้องหย่าคุณสามี เพราะเบื่อหน่ายกับความเจ้าชู้ของฝ่ายชายเต็มทน แถมยังมีภาพหลุดเดินควงสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มออกมาตอกย้ำอีกซะด้วย เรื่องนี้ทำเอาทั้งคู่แท็คทีมกันออกมาโต้ข่าว ตอนนี้ยังเลิฟๆ กันดีอยู่เหมือนเดิม ส่วนตัวไม่ค่อยได้สนใจกับข่าวสักเท่าไหร่ เพราะต่างคน ต่างให้อิสระต่อกัน และตั้งแต่อยู่กินกันมาไม่เค๊ย ไม่เคยมีปัญหากันเลย เพราะด้วยความไว้ใจซึ่งกันและกัน
ออกจะเลิฟกันจะตายคู่นี้ มีหรือจะปล่อยให้รักล่มง่ายๆ แถมกบยังได้ข่าวว่าปีนี้ทั้งคู่เตรียมตัวเปิดอู่เดินเครื่องแบบเต็มกำลัง เพื่อจะได้ลูกน้อยกลอยใจมาเป็นโซ่ทองคล้องจั่ย!!

ภราดร-นาตาลี หมั้นอลังการเพชร 16 กะรัต
http://women.sanook.com/wedding/plan/plan_39580.php
หลังจากที่ “ซูเปอร์บอล” ภราดร ศรีชาพันธุ์ (Paradon Srichaphan) นักเทนนิสชื่อดังของไทย ตกเป็นข่าวรักสุดหวานกับ “น้องเพียงฟ้า” นาตาลี เกลโบวา (Natalie Glebova) อดีตนางงามจักรวาลชาวแคนาดา จนตัดสินใจวางอนาคตร่วมกัน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา ที่โรงแรมสุโขทัย ทั้งคู่ประกาศพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางครอบครัวของทั้งสองฝ่าย โดยมีสื่อมวลชนจากทุกสำนักเข้าไปทำข่าวแน่นขนัดกว่า 300 คน

บอล-นาตาลีควงคู่ประกาศรัก
บรรยากาศ ภายในงานประกาศพิธีหมั้นถือว่า จัดให้เข้ากับความรักของทั้งคู่ โดยดอกไม้ที่นำมาประดับเป็นดอกบัวสีขาว ซึ่งเป็นตัวแทนของภราดร มีความหมายถึงคนไทย กับดอกกุหลาบสีชมพู ซึ่งเป็นตัวแทนของนาตาลี และมีดอกรักเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทั้งนี้งานดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เวลา 09.10 น. ภราดรเดินทางมาถึงสถานที่จัดงาน ด้วยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 สีบรอนซ์ ป้ายแดงใหม่เอี่ยม หมายเลขทะเบียน ว 0084 กรุงเทพมหานคร จากนั้นได้เข้าไปยังห้องพักที่โรงแรมจัดไว้ให้ เพื่อรอฤกษ์ที่เตรียมไว้

ทั้ง นี้เมื่อถึงเวลาประมาณ 10.37 น. ซึ่งช้ากว่าฤกษ์ที่กำหนดไว้ 8 นาที ภราดร ที่ยังเข้าเฝือกอ่อนรักษาอาการบาดเจ็บที่ข้อมือขวาเข้ามาในชุดสูทสีเทาดำ เนกไทสีน้ำตาล พร้อมด้วยบิดามารดา นายชนะชัย-นางอุบล ศรีชาพันธุ์ เดินเคียงคู่มากับนาตาลีที่ใส่ชุดไทยเกาะอกสีเหลืองสด พร้อมกับพ่อและแม่ นายวลาด สเลซิน-นางแอนนา เกลโบวา และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกลอนเทนนิสสมาคม ประธานในพิธี เดินเข้าสู่ห้องแถลงข่าวท่ามกลางการกรูเข้าไปแย่งกันถ่ายภาพของช่างภาพจาก ทุกสำนัก จนเกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย กว่าจะจัดให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเพื่อให้พิธีการดำเนินต่อไปได้ก็ต้องใช้ เวลานานกว่า 15 นาที

มอบสร้อย-ต่างหูเพชร 16 กะรัต
หลัง จากเข้าสู่พิธีการ นายชนะชัย มอบของขวัญหมั้นให้แก่นาตาลี เป็นสร้อยเพชร และต่างหูเพชร ในกล่องกำมะหยี่สีแดง โดยมีภราดรเป็นผู้สวมใส่ให้ด้วยมือที่ค่อนข้างสั่น เนื่องจากอาการตื่นเต้น ก่อนที่จะบรรจงหอมแก้มว่าที่เจ้าสาว 1 ฟอดใหญ่ จากนั้นนายชนะชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้สวมแหวนหมั้นกันตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย แต่ยังถือเป็นการหมั้นหมายส่วนตัว ซึ่งเมื่อภราดรนำเรื่องมาบอก ครอบครัวมีความคิดว่าจะทำให้สาธารณชนรับทราบ จึงจัดงานดังกล่าว และเตรียมของขวัญให้ว่าที่ลูกสะใภ้

“สิ่งของทั้ง หมด เมื่อรวมกับแหวนเพชร 3 กะรัต ที่ภราดรสวมให้น้องฟ้าก่อนหน้านี้มีจำนวนรวมถึง 16 กะรัต แต่เราไม่ขอเปิดเผยว่ามีมูลค่าเท่าไร ส่วนงานแต่งงานเราประมาณไว้ว่า วันที่ 28 พฤศจิกายน” นายชนะชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เครื่องเพชรชุดดังกล่าว ภราดรพร้อมด้วยนายชนะชัยและนางอุบล ได้ไปเลือกซื้อด้วยกัน โดยมีมูลค่าทิ้งสิ้นประมาณ 5 ล้านบาท (รวมของหมั้นในวันนี้รวมทั้งสิ้น 8 ล้านบาท คือแหวนเพชร 3 กะรัต, สร้อยเพชร 13 กะรัต)

พ่อ-แม่นาตาลีปลิ้มลูกเขยคนดี
ขณะ ที่ นายวลาด สเลซิน เกลโบวา พ่อของนาตาลี ได้พนมมือไหว้ พร้อมกล่าวทักทายเป็นภาษาไทยว่า “สวัสดีครับ เรารักเมืองไทย” พร้อมกล่าวอีกว่า วันนี้ถือเป็นวันที่สวยงามของครอบครัว เกลโบวา รู้สึกดีๆ ที่คนไทยและครอบครัวศรีชาพันธุ์ต้อนรับอย่างดี ขณะที่นางแอนนา เกลโบวา กล่าวว่า ภูมิใจมากที่ได้ภราดรมาเป็นลูกเขย เพราะภราดรเป็นลูกชายที่ดี

ส่วน นายสุวัจน์ ได้มอบพระกริ่งของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิชื่อดังวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ชื่อรุ่น “ทวีคูณ” 3 องค์ เพื่อคูณชื่อเสียงและคูณความรักของทั้งคู่ โดยองค์ที่เป็นพระทองคำองค์เดียวนั้นได้มอบให้แก่ภราดร องค์ที่สองให้กับนาตาลี ส่วนองค์ที่สาม ให้เก็บไว้ให้สวมคอให้ลูกที่จะเกิดในอนาคต พร้อมกล่าวว่า ดีใจกับภราดร ที่จะได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัว คู่รักคู่นี้ถือว่าเหมาะสมกันมาก เพราะเป็นคนดังระดับโลก และเป็นแบบอย่างแก่คนทั่วไป “ภราดรเป็นนักกีฬาที่มีสปิริตสูง เป็นนักสู้ และไหว้คนดูทุกครั้งที่แข่งขันเทนนิส ส่วนนาตาลี ชอบเมืองไทยมาก เมื่อได้แต่งงานกันจะทำให้ทั้งคู่เป็นกำลังใจให้กันและกัน ผมเชื่อว่า ผลงานเทนนิสของภราดร คงจะดีขึ้น เพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วคือ อังเดร อากัสซี ที่หลังจากแต่งงานกับ สเตฟี กราฟ ผลงานการแข่งขันดีขึ้นทันที เพราะมีกำลังใจ” นายสุวัจน์ กล่าว

“บอล” คุกเข่า “นาตาลี” เยส 4 ครั้ง
จาก นั้น ภราดร เล่าถึงวินาทีก่อนที่จะตัดสินใจขอแฟนสาวแต่งงานว่า ได้หมั้นหมายนาตาลีตั้งแต่วันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมาแล้ว ขณะเดินทางไปพักผ่อนร่วมกันที่เกาะบาหลี โดยวันนั้น บรรยากาศโรแมนติกมาก หลังจากกินข้าวเย็นกันแล้วได้ไปเดินเล่นด้วยกันประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงคุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมทั้งถามว่า จะแต่งงานกับผมมั้ย ซึ่งนาตาลีมองหน้า แล้วตอบกลับมาว่า “เยส” หรือแปลว่า “ใช่” ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน

“การหมั้นผมไม่ได้มีแผนการอะไรไว้ก่อน แต่ก่อนหน้านี้ได้ไปซื้อแหวนเพชรมาแล้ว 1 วง ขณะที่อยู่เกาะบาหลีบรรยากาศดีมาก ผมจึงขอแต่งงานด้วย ซึ่งนาตาลีก็ตอบตกลง พูดไปแล้วมันเหมือนกับในหนัง อย่างงานหมั้นครั้งนี้ ผมตื่นเต้นมาก นอนไม่หลับเลยทั้งคืน ยอมรับว่าตื่นเต้นกว่าแข่งเทนนิสเสียอีก ส่วนงานแต่งนั้น คาดว่าจะเป็นวันใดวันหนึ่งระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมปลาย ปีนี้”
ยอดนักเทนนิสเมืองไทย กล่าวอีกว่า การได้นาตาลีมาเป็นคู่หมั้น เป็นการเสริมกำลังใจให้ตนเอง เมื่อหายเจ็บข้อมือขวาแล้วจะแข่งขันเทนนิสต่อทันที ทั้งนี้หากนาตาลีว่างจากงานประชาสัมพันธ์ให้บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ ก็จะพาไปชมการแข่งขันด้วย ซึ่งคิดว่าจะเป็นผลดีในเรื่องของกำลังใจให้ได้รับชัยชนะ ส่วนเรื่องมีลูกนั้น ขอเล่นเทนนิสอีก 2 ปี แล้วจึงค่อยคิดจะมี

“นาตาลี” ขอขอบคุณวันที่สวยงาม
ด้าน นาตาลี ซึ่งได้ชื่อไทยจากการตั้งให้ของพ่อแม่ภราดร ว่า เพียงฟ้า กล่าวว่า ขอบคุณวันที่สวยงามที่พ่อแม่มาเป็นสักขีพยานวันที่สุดซึ้ง มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เราทั้งคู่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมั่นใจในตัวของภราดร ที่เป็นคนดี ใจบุญ ที่สำคัญหัวใจแข็งแกร่ง เป็นนักสู้ ส่วนเรื่องมีลูกนั้นคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนอนาคตนั้น ต้องการจะทำธุรกิจเกี่ยวกับความงามระดับชาติตามความถนัด

หลัง จากนั้นทั้งหมดได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม ซึ่งนักข่าวได้ให้ทั้งคู่บอกรักแก่กัน โดยภราดรลังเลอยู่นิดหนึ่ง ก่อนกล่าวเป็นภาษารัสเซีย ซึ่งเป็นเชื้อชาติของนาตาลี ขณะที่สาวฟ้าเองก็กล่าวเป็นภาษาไทยชัดเจนว่า ฟ้ารักพี่บอลมากๆ ค่ะ

หลัง จากเสร็จสิ้นพิธีการแล้วทั้งสองครอบครัวเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันร่วม กัน โดยอาหารประกอบด้วย กระทงทอง ไข่ลูกเขย ยำวุ้นเส้น ผัดผักรวมมิตร และก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ซึ่งขณะที่ทุกคนรับประทานด้วยความชื่นมื่นนั้น น้องเพียงฟ้า กล่าวถึงชุดเครื่องเพชรที่ได้รับจากครอบครัวศรีชาพันธุ์ว่า ในชีวิตไม่เคยใส่สร้อยเส้นสวยขนาดนี้มาก่อน ยอมรับว่า ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนประกวดนางงามจักรวาลเสียอีก

พี่ชายปลื้มเป็นคู่ที่เหมาะกันมาก
ด้าน “เจ้าเบิ้ม” ธนากร ศรีชาพันธุ์ พี่ชายของภราดร กล่าวว่า ทั้งนาตาลี และ ภราดร มีอะไรที่เหมือนกันคือ เป็นคนสู้ชีวิต ซึ่งภราดรกว่าจะเป็นนักเทนนิสระดับโลกได้ ต้องสู้สารพัด เช่นเดียวกับ นาตาลี ที่ย้ายครอบครัวจากรัสเซียมาอยู่แคนาดาก็ต้องสู้ชีวิต เมื่อทั้งคู่มาพบกัน จึงมีอะไรที่คล้ายๆ กัน และพัฒนาได้เร็วแค่ 8 เดือน จากเพื่อนมาเป็นแฟน ในฐานะพี่ชาย บอกได้เลยว่า ภราดรเหมาะสมกับนาตาลีมาก ตอนนี้ทั้งคู่เตรียมตั้งชื่อลูกกันไว้บ้างแล้ว โดยส่วนตัวเห็นว่าทั้งคู่เหมาะสมกันที่สุด เพราะหากภราดรไปคบกับพวกไฮโซคงอยู่กันไม่ยืด

ส่วน พิธีแต่งงานช่วงปลายปีนั้น พี่ชายของภราดร กล่าวว่า กำหนดไว้ที่หอประชุมกองทัพเรือ ย่านฝังธนฯ เนื่องจากนาตาลีมีความประทับใจในบรรยากาศ เมื่อครั้งเข้าร่วมงานฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ในหลวงที่ท่าช้าง ซึ่งพิธีแต่งงานจะเป็นแบบไทยๆ ช่วงเช้าเลี้ยงพระ ช่วงบ่ายรดน้ำสังข์ ส่วนช่วงเย็นจะเลี้ยงแบบค็อกเทล

อย่างไรก็ตาม หลังจากแต่งงานแล้ว ภราดร คงจะเล่นเทนนิสอีก 3-4 ปี แล้วค่อยเลิก จากนั้นจะหันมาจับธุรกิจเปิดศูนย์กีฬา “สปอร์ต คอมเพล็กซ์” ที่เขาชีจันทร์ จ.ชลบุรี ซึ่งอยู่ติดกับเรือนหอของของภราดรกับนาตาลี ที่ซื้อที่แถวนี้ไว้ถึง 50-60 ไร่ โดยร่วมทุนกับสามีของ สุพรรณษา เนื่องภิรมย์ อดีตนางเอกชื่อดัง

สิงห์ยันไม่เคยคิดปลดนาตาลี
ด้าน “ต๊อด” ปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการฝ่ายโฆษณา บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ เทรดดิ้ง จำกัด ที่มาร่วมงานกล่าวว่า เป็นเพื่อนกับภราดรมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ซึ่งทั้งคู่เหมาะสมกันมาก และขออวยพรให้ทั้งคู่มีแค่ความสุข ส่วนกระแสข่าวที่ว่า หากนาตาลีหมั้นหรือแต่งงาน อาจจะโดนปลดจากการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ค่ายสิงห์ ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ส่วนจะมีการต่อสัญญากับเบียร์สิงห์อีกต่อไปหรือไม่นั้น คงอยู่ที่ผู้ใหญ่ฝ่ายเบียร์สิงห์ และตัวของนาตาลีเองมากกว่า

ผู้ สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่ทั้งคู่กำลังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสอบถามนั้น นางนูซี บิลเลียด ชาวโคลัมเบีย วัย 38 ปี ได้นำภาพวาดหญิงและชายนั่งร่วมกัน พร้อมรูปหล่อเป็นรูปนางอัปสรณ์ เตรียมที่จะมอบให้ทั้งคู่ พร้อมกล่าวคำพูดเปรียบเทียบว่า นาตาลีเหมือนกับสวรรค์ มีความดีต่างๆ นานา ขณะที่ภราดรเปรียบเหมือนโลกมนุษย์ ซึ่งสร้างความงุนงงให้แก่ผู้ร่วมงานทั้งหมดอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย เจ้าหน้าที่ก็มาห้ามสาวใหญ่รายนี้ให้หยุดการกระทำทั้งหมดได้ทันเวลา

+ http://en.wikipedia.org/wiki/Natalie_Glebova
+ http://iheartlakorns.com/2011/02/paradorn-and-natalie-are-getting-a-divorce/

แบบสอบคำที่มักสะกดผิด สำหรับคุณครู

misspell
misspell

24 ก.พ.54 คำที่มักสะกดผิด หมายถึง คำในภาษาไทยที่ชาวไทยมักเขียนไม่ถูกต้อง และมีการนำไปออกเป็นข้อสอบในวิชาภาษาไทยอยู่เสมอ ตั้งแต่ระดับมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย ก็จะมีข้อสอบลักษณะนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ใช้ภาษาไทยเป็นประจำการสะกดผิดก็มักจะเกิดขึ้นได้

ระบบข้อสอบนี้ จึงจัดทำขึ้น เพื่อสุ่มคำที่มักสะกดผิดจากฐานข้อมูลประมาณ 300 คำ ซึ่งเป็นแฟ้มเสียง มานำเสนอครั้งละ 10 แฟ้ม หากต้องการเปิดให้นักเรียนดูเฉลยก็สามารถกดปุ่มแสดงด้านข้างนี้ได้ หรือซ่อนได้ตามต้องการ และสั่งเรียกคำใหม่ เพื่อสอบใหม่ได้ตลอดเวลา

ทดสอบได้ที่ http://www.thaiall.com/quiz/misspell

โปรแกรมแปลงชื่อแฟ้มภาษาไทยเป็น ascii number สำหรับ linux
+ http://www.thaiall.com/perlphpasp/source.pl?9139

ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ ทรงเตือนภัยจุดธูป เสี่ยงมะเร็ง

incense
จุดธูปเสี่ยงมะเร็ง

21 ก.พ.54 ศาสตราจารย์ พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเอ่ย ขอร้องเลี่ยงจุดธูป (Incense Burning) บูชาพระ ทรงชี้เป็นต้นเหตุมะเร็งน่ากลัวมากกว่าควันพิษที่ออกมาจากรถยนต์ เป็นไลฟ์สไตล์  (Life Style) ที่ทำให้คนร่วงผล็อย ๆ ตายด้วยโรคมะเร็ง ทรงแนะให้จุดในที่อากาศถ่ายเท ไม่ใช่ห้องแอร์ ทรงเผยวัดให้ความร่วมมือดีมาก แนะจุดเทียนอย่างเดียว

ที่ห้องประชุมพิบูลสงคราม  รพ.ราชวิถี เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2554 ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จทรงเป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการ รพ.ราชวิถี ครั้งที่ 22 ประจำปี 2554 ในวาระครบรอบ 60 ปี รพ.ราชวิถี โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ พญ.วารุณี จินารัตน์ ผอ.รพ.ราชวิถี พร้อมแพทย์และข้าราชการกว่า 1,000 คน เฝ้ารับเสด็จ

ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงบรรยายปาฐกถาพิเศษ Oncology หรือการศึกษาและการรักษาด้านเนื้องอกของร่างกาย ความตอนหนึ่งว่า เรื่องที่อันตรายมากคือเรื่องของควันธูปซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์ (Life Style) เป็นวิถีชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะคนสูงอายุ จะบอกให้เปลี่ยนหรือบอกไม่ให้ทำ บางครั้งก็เคยลองพูดบ้างแล้วก็โดนเถียงกลับมาว่ามันเป็นประเพณี ก็เลยกุมหัวแล้วถามผู้ใหญ่ท่านนั้นว่า แล้วจะเป็นประเพณีของคนไทยต่อไปด้วยหรือเปล่า ที่จะต้องร่วงผล็อย ๆ ตายด้วยโรคมะเร็ง (Cancer) เพราะว่าจริง ๆ แล้ว มันหลีกเลี่ยงได้หลายทาง เช่นว่า ถ้ายังอยากจะจุดอยู่ให้จุดในห้องที่มีอากาศถ่ายเทไปข้างนอกได้ ไม่ใช่มาจุดในห้องแอร์แล้วมานั่งสูดดมกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเลี่ยงได้เลยก็ควรเลี่ยง

“จริง ๆ แล้วที่ข้าพเจ้าทำงานมามีโอกาสได้พูดกับพระหลายวัด และพระท่านร่วมมือดีมาก เดี๋ยวนี้เวลามีคนไปบูชาพระท่านบอกว่าจุดเทียนเฉย ๆ นะไม่ต้องจุดธูป จริง ๆ เทียนก็มีสารพวกนี้ออกมาเหมือนกันจากการเผาไหม้ แต่เมื่อเทียบกันแล้วเป็นส่วนน้อยมาก ส่วนธูปมันมากจนน่ากลัว น่ากลัวมากกว่าควันพิษที่ออกมาจากรถยนต์เสียอีก เพราะฉะนั้นอยากจะขอร้องทุกท่านในที่นี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าส่วนใหญ่ก็เป็นแพทย์กันทั้งนั้น แพทย์ก็มีหน้าที่ต้องดูแลสุขภาพของคน เพราะฉะนั้นเชื่อว่าแพทย์ทุกคนก็คงคิดเหมือนข้าพเจ้า คือ ไม่อยากเห็นคนไข้เป็นมะเร็ง เห็นแล้วมันเศร้าใจจริง ๆ และท่านที่เป็นผู้ใหญ่ ในที่นี้ก็มีผู้ใหญ่ที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนด้วยการตัดสินใจของท่าน หรือ ด้วยการแนะนำของท่านในเพื่อนนักการเมืองด้วยกัน หรือผู้ปกครองระดับปกครองด้วยกันก็คิดว่าท่านจะสามารถช่วยได้มาก” ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงกล่าว

ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี  ทรงกล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องควันของไอเสียก็คงต้องแก้ไขในเรื่องของระบบจราจร ซึ่งกรณีนี้ข้าพเจ้าไม่เชี่ยวชาญ แต่เรื่องควันธูปขอร้องกันหน่อยว่า จุดให้น้อยลง หรือจุดในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ก็จะลดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงลงได้เยอะ และอีกแง่หนึ่งคือว่า ที่จะช่วยให้คนเข้าใจขึ้นคือต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลการวิจัยโดยใช้ภาษาง่าย ๆ ว่ามันอันตรายเพราะอะไรและอันตรายเกิดขึ้นอย่างไร ข้าพเจ้าทำงานอยู่ทางนี้ก็มี รพ.มะเร็ง จริง ๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะทำเหมือนกัน น่าจะทำเป็นแผ่นพับแจกก็ได้ หรือไม่ก็ทำเป็นฝึกอบรมสำหรับคนทั่วไปใครสนใจให้มาฝึกอบรมว่า คนเราทำไมถึงได้เป็นมะเร็ง ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกระดับทุกชนชั้นของคนรู้จักแล้วทั้งนั้นแล้วก็รู้ว่า เป็นโรคที่ทรมาน

ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬา ภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงกล่าวอีกว่า จริง ๆ ถ้ามองในแง่ของรัฐบาล มะเร็งเป็นโรคที่รัฐบาลขาดทุน เพราะการรักษาคนไข้มะเร็งต่อ 1 คนต่อปี ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำ 1 ล้านบาทต่อคน เพราะฉะนั้นถ้าคนเป็นมะเร็งยิ่งมากรัฐบาลยิ่งย่ำแย่ เพราะฉะนั้นถ้าอะไรที่จะเรียกว่าตัดวงจรนี้ได้ไม่ให้เกิดเป็นมะเร็ง ตัดวงจรตรงอัตราความเสี่ยงออก หรือให้น้อยลง น้อยที่สุด เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดเป็นมะเร็งมันก็จะน้อยลงตามไปด้วย

“ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็แก่แล้ว ไม่ใช่เด็กแล้ว เนื่องจากเป็นผู้น้อยและมีท่านผู้ใหญ่อยู่ในที่นี่หลายท่าน ก็ขอไหว้ ขอความกรุณา ทุกคนช่วยกันหน่อยนะคะเรื่องโรคมะเร็ง” ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการพูดจบ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงยกพระหัตถ์ไหว้ ขอร้องทุกคน โดยที่ประชุมได้ปรบมือเสียงดังกึกก้องนานหลายนาที

http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/20863
http://www.zone-it.com/184550
http://th.88db.com/Help/Question/3988/

งานวิจัยเพื่อสังคม

ความทรงจำที่สอง
น่าเสียดายที่เทคโนโลยีไปอยู่ในมือผู้ร้าย

20 ก.พ.54 ภาพยนตร์เรื่อง คนโคม่ายอดจารชน (Second Nature) ปี 2546 : ผมมองอีกมุมว่า เรื่องเกิดจากนักวิจัยพัฒนาระบบขึ้นมาเพื่อล้างสมองมนุษย์ และใส่ความทรงจำใหม่เข้าไป ผลงานวิจัยครั้งนี้ เปลี่ยนฆาตกรโรคจิต เป็นยอดสายลับได้จริง ซึ่งเป็นงานวิจัยเพื่อพัฒนา และนำผลมาใช้ในทางการทหาร โดยมีผู้เข้ารับการทดลองจริงเป็นเหยื่อทางทหาร และส่งไปปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงตาย

ถ้าจะนำผลวิจัยที่เป็นเทคโนโลยีแล้วมาใช้ประโยชน์ ผมว่าตั้งโต๊ะรับสมัครคนอมทุกข์ ตามสำนักปฏิบัติธรรมน่าจะมีคนอกหักที่อยากลืมอดีตไปเข้าคิวกันเพียบ และใส่ความทรงจำใหม่ที่มีแต่ความสุขเข้าไป น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอกหักนะครับ หรือนำผู้ต้องขังมาใส่ทัศนคติแต่เรื่องเสียสละ คิดถึงแต่ประโยชน์ของส่วนร่วม ผมว่าคงมีผู้นำท้องถิ่นที่คิดแต่เพื่อชุมชน ทำเพื่อประโยชน์ของสังคมเพิ่มขึ้นอีกเพียบ

+ http://www.imdb.com/title/tt0326121/

ประวัติยานยนต์ไทย

ford assembly
ford assembly line

รถยนต์ (อังกฤษ: car , automobile) หมายถึง ยานพาหนะทาง บกที่ขับเคลื่อนที่ด้วยพลังงานอย่างใดอย่างหนึ่งและถ่ายทอดลงสู่ล้อ เพื่อพาผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือสิ่งของ ไปยังจุดหมายปลายทาง ปัจจุบัน รถยนต์โดยส่วนมากได้รับการออกแบบอย่างซับซ้อนในทางวิศวกรรม และหลากหลายประเภท ตามความเหมาะสมของการใช้งาน หรือใช้สำหรับงานเฉพาะกิจ ทั้งนี้เว้นแต่รถไฟ

ย้อนกลับไปเมื่อ 100 ที่แล้ว

รถยนต์คันแรกเข้ามาวิ่งในแผ่นดินสยามถือเป็นสิ่งแปลกใหม่บนท้องถนน คนยุคนั่นคงนึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นพาหนะสำคัญ จนเป็นปัจจัยที่ 5 ของผู้คนในยุคปัจจุบัน ธุรกิจรถยนต์ยุคเริ่มต้นมีเพียงรถอิมพอร์ตเจ้าของร้านเป็นฝรั่งต่างชาติไม่กี่ร้านและแต่ละร้านก็สูญสลายไปใน เวลาต่อมาตำนานรถยนต์และธุรกิจรถยนต์ต่างเลือนไปจากความทรงจำของคนรุ่นปัจจุบันเสียสิ้นจากฝรั่งสู่มือคนไทย รถคันแรกในเมืองบางกอก ปี 2406 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้ตัดถนนสายแรกในมหานครขึ้นคือถนนเจริญกรุง ตั้งต้นที่กำแพงพระบรมมหาราชวังเลียบฝั่งเจ้าพระยาไปสิ้นสุดที่บางคอแหลมหรือถนนตกในปัจจุบัน ในยุคนั้นมีเพียงรถลากและรถม้าเป็นเจ้าครองถนนสายแรกที่มีความยาว 6.5 กม.และในช่วง 30 ปีต่อมาก็มีการตัดถนนเพิ่มเพียงไม่กี่สาย ในปี 2435 ในยุคของรัชกาลที่ 5 ถนนในเมืองบางกอกรวมกันแล้วมีความยาวเพียง 12 กม. แม้ถนนบางสายจะมีความกว้างถึง 20 เมตรก็ตาม หากหลับตานึกภาพบนท้องถนนสมัยนั้นมีรถยนตร์มาวิ่งท่ามกลางรถม้าและ รถลากคงเกิดความโกลาหลไม่น้อย
การกำเนิดรถยนต์ในประเทศไทยและการที่พระราชวงศ์ไทยสนพระทัยในเรื่องรถยนต์เป็นเรื่องที่อุบัติขึ้นแทบ จะเป็นเวลาเดียวกันกับช่วงเปลี่ยนศตวรรษเมื่อเริ่มมีการผลิตรถยนต์ในยุโรปและอเมริกาเหนือ รถยนต์คันแรกขึ้นบกที่ท่าเรืออู่บางกอก และมีการขับไปตามท้องถนนท่ามกลางสายตาของประชาชนที่เฝ้ามองอย่างพิศวง รถยนต์สมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นรถยี่ห้อใด คันเกียร์และคันห้ามล้อ ติดตั้งอยู่นอกตัวถ้งด้านขวามือของผู้ขับ รถยนต์อันเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 20 เข้ามาเมืองไทยครั้งแรกเมื่อใดยังเป็นข้อถกเถียงไม่สิ้นสุด แต่เชื่อกันว่าเป็นชาวต่างชาติเป็นผู้สั่งเข้ามาเป็นคนแรก รถคันนี้มีลักษณะคล้ายกับรถบดถนนในปัจจุบัน มีล้อเป็นยางตัน หลังคาคล้ายปะรำ ที่นั่ง 2 แถว ใช้น้ำมันปิโตเลียมเป็นเชื้อเพลิงและรถมีกำลังเพียงวิ่งตามพื้นราบ ไต่ขึ้นเนินสะพานไม่ได้ การใช้งานของรถคันแรกจึงมีขีดจำกัดเพราะท้องถนนเมืองบางกอกเต็มไปด้วยสะพานข้ามคลองสูง เพื่อให้เรือลอดผ่านได้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของรถยนต์ยุคนั้น

รถยนต์คันแรกสามารถปลุกเร้าความสนใจของคนไทยและคนต่างชาติได้เป็นอย่างดี ต่อมาไม่นานเจ้าของรถคันดังกล่าวก็ขายต่อให้จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ถือเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นเจ้าของรถยนต์ ท่านจอมพลฯ ซื้อรถยนต์มาทั้งที่ขับไม่เป็นจึงต้องให้ท่านพระยาอนุทูตวาที (เข็ม แสงชูโต) น้องชายเป็นผู้ขับแทน เชื่อกันว่าพระยาอนุทูตวาทีเป็นคนไทยคนแรกที่ขับรถยนต์ได้ เนื่องจากเคยทำงานที่ประเทศอังกฤษจึงมีโอกาสได้ขับรถยนต์ ต่อมาก็สอนคนอื่นเรียนรู้การขับรถยนต์อย่างแพร่หลาย หลังการซื้อรถมาเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้มีโอกาสขับโลดแล่นไปตามท้องถนน เมืองบางกอกอยู่หลายปีก่อนที่รถคันแรกจะเสื่อมสูญไปตามกาล ยุคนั้นผู้ที่สั่งรถเข้ามาจะเป็นพระราชวงศ์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2411 พระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องรถยนต์เป็นอย่างมาก และพระราชวงศ์หลายพระองค์ก็มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติยานยนต์ของไทย ปี 2447 มีรถยนต์ 3 คันเข้ามาวิ่งในถนนบางกอก แต่ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเป็นรถยนต์ยี่ห้ออะไรและใครเป็นเจ้าของ

ปีนั้นเองรัฐบาลเห็นความสำคัญเรื่องเทคโนโลยีใหม่ไม่น้อย โดยได้สั่งซื้อรถแวนแล่นได้เร็วถึง 10 ไมล์ต่อชั่วโมงเพื่อใช้ในการขนส่งทองแท่งเงินแท่งและเหรียญกษาปณ์หนักหนึ่ง ตัน ในพ.ศ. เดียวกันนั้น ขณะที่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงประชวรและเสด็จรักษา พระองค์ที่กรุงปารีส ได้ทรงซื้อรถยนต์เดมเลอร์-เบนซ์หนึ่งคันซึ่งถือว่าเป็นรถที่ดีที่สุดในยุค นั้น เมื่อทรงเสด็จกลับแผ่นดินสยาม พระองค์ได้น้อมเกล้าฯ ถวายรถคันดังกล่าวแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในประวัติศาสตร์ไทย และผู้ที่ทำหน้าที่สารถีก็คือกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์นั่นเอง รถยนต์หลวงคันที่ 2 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเมอเซเดส-เบ็นซ์ ปี 2448 ได้รับพระราชทานนามว่า “แก้วจักรพรรดิ์” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานรถยนต์พระที่นั่งมากเพราะ มีความสะดวกสบายและเดินทางได้เร็วกว่ารถม้าพระที่นั่ง เมื่อทรงว่างจากพระราชกรณียกิจจะเสด็จไปที่ต่างๆ ด้วยรถยนต์พระที่นั่งคันดังกล่าวเสมอ ต่อมาทรงเล็งเห็นว่ารถคันเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้งานตามพระราชประสงค์ พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะซื้อรถยนต์พระที่นั่งอีกหนึ่งคัน เสด็จในกรมฯกรมหลวงราชบุรีฯ เป็นผู้แทนพระองค์ในการสั่งซื้อและทรงเลือกรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเป็นรถนำเข้าโดยตรงจากประเทศเยอรมนี รุ่นปี 2448 เครื่องยนต์สี่ลูกสูบขนาด 28 แรงม้า วิ่งเร็ว 73 กม.ต่อชั่วโมง นับว่าเร็วมากในยุคนั้น

รถพระที่นั่งคันนั้นเกือบเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เมื่อมาถึงคณะกรรมการตรวจรับ ช่วยกันเติมน้ำมันเบนซินใส่ถัง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นละอองน้ำมันลอยฟุ้งไปถึงตะเกียงรั้วซึ่งแขกยามแขวนไว้ ในโรงม้าที่อยู่ใกล้ ๆ กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อน้ำมันเบนซินในปี๊บลุกเป็นไฟอย่างฉับพลัน ต้องช่วยกันใช้ฟ่อนหญ้าสำหรับม้ากินฟาดดับไฟ แขกโรงม้าต้องวิ่งไปเอาถังน้ำมาช่วยดับอีกแรง ทุกคนต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อตรวจพบว่าเปลวไฟลวกสีรถเกรียมไปแถบหนึ่ง บานประตูใช้ไม่ได้อีกข้างหนึ่ง ผู้รับผิดชอบที่นำข่าวร้ายไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวคือพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีฯ ขณะที่ทรงประทับอยู่ที่สวนอัมพร ทรงนิ่งอึ้งชั่วครู่ ก่อนที่รับสั่งให้ซ่อมแซมความเสียหาย 2-3 สัปดาห์ต่อมารถซ่อมเสร็จ คณะกรรมการจึงนำรถมาถวายให้ทอดพระเนตรพระองค์ขึ้นประทับและทรงลองขับดูชั่ว ครู่ทรงรู้สึกว่าต้องพระราชหฤทัย ความนิยมในการใช้รถยนต์แพร่หลายในหมู่พระราชวงศ์และคหบดีในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงดำริว่า สมควรจัดงานเฉลิมฉลองสักครั้งหนึ่ง ดังนั้นปลายฤดูฝน วันที่ 7 ตุลาคม ปี 2448 จึงมีพระบรมราชโองการให้มีการชุมนุมพบปะกันของรถยนต์ครั้งแรกในเมืองบางกอก

ปรากฏว่ามอเตอร์โชว์ครั้งแรกของสยามมีรถยนต์ไปชุมนุมในบริเวณพระบรมมหาราช วังทั้งสิ้น 30 คัน พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับเจ้าของรถทุกคน ครั้นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นจึงเคลื่อนขบวนรถไปตามถนนสามเสนและเลี้ยวเข้าสู่สวน ดุสิตสองข้างทางมีผู้คนยืนเรียงรายชมขบวนด้วยความตื่นตาตื่นใจ ในวาระเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 56 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปี 2451 ทรงสั่งรถยนต์เข้ามาเป็นของขวัญพระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นสูงเพื่อใช้ในราชการแผ่นดิน ทรงสั่งรถยนต์จำนวน 10 คันจากฝรั่งเศสเช่นเคยและทรงพระราชทานนามแก่รถยนต์แต่ละคันเช่นเดียวกับพระ ราชทานนามแก่รถยนต์แต่ละคันเช่นเดียวกับพระราชทานนามช้างเผือก เพื่อแสดงถึงฐานะและความมั่งคั่ง เวลาข้าราชบริพารพูดถึงรถจึงไม่เรียกชื่อรุ่นหรือยี่ห้อ แต่จะเรียกชื่อพระราชทานเป็นเรื่องสับสนสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาไทย ว่าหมายถึงรถคันไหน ตัวอย่างนามพระราชทานเช่น แก้วจักรพรรดิ, มณีรัตนา, ทัดมารุต, ไอยราพต, กังหัน, ราชอนุยันต์, สละสลวย, กระสวยทอง, ลำพองทัพ, พรายพยนต์, กลกำบังและสุวรรณมุขี เป็นต้น

400 กว่าคัน .. ทั่วประเทศครั้งแรกของกฎหมายรถยนต์
เมื่อมีการใช้รถอย่างแพร่หลาย ถนนเมืองบางกอกเริ่มมีการประลองความเร็วกันจนฝุ่นตลบสร้างความเดือดร้อนให้ คนที่สัญจรไปมาเป็นอย่างมากอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อุบัติเหตุถึงชีวิตเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ปี 2448 แต่ก็ไม่ทำให้ความนิยมในการใช้รถถดถอยลง หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ในสมัยนั้นจึงมีข่าวอุบัติเหตุรถยนต์ชนกับรางไฟฟ้า พาดหัวไม้ให้อ่านแทบทุกวัน โดยคู่กรณีมีทั้งสองล้อ สามล้อและสี่ล้อ แม้กระทั่งรถยนต์ประสานงากับรถม้าหรือคนเดินเท้าจึงเป็นที่มาของกฎหมายจราจร ในเวลาต่อมา จำนวนรถยนต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนโกงก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว นอกจากมีการขโมยรถแล้วเจ้าของรถบางคนก็ใช้เล่ห์เลี่ยมขายรถแล้วกล่าวหาว่าคน ซื้อเป็นขโมย ต้องเดือนร้อนขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ตราพระราชบัญญัติรถยนต์ ฉบับแรกของไทยขึ้นเมื่อปี 2452 ให้มีผลบังคับใช้ในปีถัดมา พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้เจ้าของรถจดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย และเสียค่าธรรมเนียมคันละ 10 บาท รถยนต์นั่งและรถบรรทุกในพระราชอาณาจักรที่มีการจดทะเบียนในเวลานั่นมีจำนวน ดังนี้ เมืองบางกอกและจังหวัดใกล้เคียงมี 401 คัน นครสวรรค์ 1 คัน นครศรีธรรมราช 2 คัน ภูเก็ต 2 คันและภาคเหนือ 6 คัน รถยนต์เริ่มเข้ามามีบทบาทเปลี่ยนโฉมหน้าเมืองบางกอกเป็นอย่างมาก ถนนที่เคยจอแจด้วยรถลากและรถม้าก็มีรถยนต์วิ่งไปมาทั้งวัน ในเวลาต่อมาถนนหลายสายก็ผุดขึ้น ป้อมปราการหลายแห่งเริ่มหายไป ประตูเมืองบางที่ถูกทุบเพื่อนำอิฐและเศษปูนมาปูเป็นถนน

กำเนิดธุรกิจรถยนต์รถอิมพอร์ตเฟื่องฟู
เมื่อมีผู้นิยมใช้รถมากขึ้น ร้านรวงในย่านการค้าเมืองหลวงเริ่มเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์จะมีการขึ้นป้าย ประกาศเปิดกิจการของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหม่ ส่วนใหญ่เจ้าของร้านมักจะเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาหากินในเมืองไทย ซึ่งไม่ต่างกับธุรกิจคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันรถยี่ห้อใหม่ ๆ หลั่งไหลเข้ามาสนองความต้องการของลูกค้าผู้กระหาย
-จี.อาร์.อองเดร.ตั้งอยู่สี่กั๊กพระยาศรี ตัวแทนจำหน่ายของอดัม โอเพล แห่งรัสเซลส์ไฮม์
-บางกอก ทรัสต์ ลิมิเทด ตั้งอยู่ยานนาวา ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นั่งของอาร์ม สตรอง ซิดลีด์,ไซเลนท์ ไนท์ และฟอร์ด และเป็นตัวแทนจำหน่ายรถบรรทุก รถโดยสารของสตาร์ สโตร์ บริษัทนี้มีอู่ซ่อมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยรองรับรถได้ถึง 20 คัน
-กองตัวร์ ฟรองซัว ดือ เซียม ตั้งอยู่ถนนสี่พระยา จำหน่ายรถฝรั่งเศสหลายยี่ห้อ
-จอห์น เอ็ม. ดันลอป ตัวแทนจำหน่ายรถของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส จำกัด ของสหรัฐอเมริกา
-เอส.เอ.บี. ตั้งอยู่ถนนเจริญกรุง จำหน่าย รถแบลริโอต์ และมีอู่ซ่อมรถหลายยี่ห้อ
-สยาม อิมพอร์ท คัมปะนี เป็นตัวแทนจำหน่ายรถนาปิแอร์
-ส่วนรถเปอร์โยต์มีผู้จำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวคือ สยาม ฟอเรสต์ ทรัสต์ ลิมิเทด
-วินด์เซอร์ คัมปะนี เป็นตัวแทนจำหน่ายรถกาเกเนา มีอู่ซ่อมขนาดใหญ่เช่นกัน

ความนิยมการใช้รถทำให้เกิดธุรกิจมือสองตามมา ในปี 2450 โดยพระพิศาลสุขุมวิท โชคดีจับสลากชิงรางวัลรถยนต์ของชาวต่างชาติผู้หนึ่งเสมือนเป็นการขายทอดตลาดรถมือสอง

+ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C
+ http://www.chuansin.com/doctorcar/auto-history-1.html
+ http://www.car2t.com/news-20
+ http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=78407890c6b3191a
+ http://www.hanabika.com/bbs/archiver/?tid-1542.html

รถเสียอีกครั้ง

รถเสีย ไม่ถึงกับเป็นหมื่น
รถเสีย ไม่ถึงกับเป็นหมื่น

19 ก.พ.54 รถเสียในหลายครั้ง รู้สึกไม่โชคร้ายไปซะทั้งหมด เพราะเวลา และสถานที่ของเหตุการณ์รถเสียครั้งนี้ หรือที่ผ่านมาไม่ส่งผลร้ายต่อการดำเนินชีวิตมากนัก ถ้ารถไปเสียอยู่กลางดอยที่ห่างไกลผู้คน ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ คงหาช่างซ่อม หรืออู่ที่รู้จักในบริเวณนั้นได้ยาก ถ้ารถเสียบนทางด่วน บนสะพาน อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ถ้าเสียในวันที่มีนัดหมายสำคัญ เช่น รับเจ้าสาวไปงานแต่งงาน ในวันสอบเข้าทำงาน หรือนัดประชุมกับนายกรัฐมนตรีก็คงแย่แน่
วันนี้รถเสียใจกลางเมือง ต้องเข็น ก็มีพลเมืองดีมาช่วยเข็น มีที่จอดรถ และมีเพื่อนร่วมงานมารับไปทำงานต่อ เพราะมีประชุมสำคัญที่ไม่น่าพลาด และมีคนที่บ้านทำหน้าที่หาช่างมาซ่อมรถ แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี แต่ค่าซ่อมรถกว่า 3000 บาทก็ยังพอรับได้ เพราะถ้าปีกนกเสียร่วมยางสึก และมีอาการอื่นผสมโรงอาจเสียเป็นหมื่นก็ได้