อยากเกิดเป็นคนหลายใจ

เพลง อยากเกิดเป็นคนหลายใจ ของ กะลา
มีเนื้อหาที่ดี สอดคล้องกับวิถีพุทธที่ว่า
ถ้าถือแล้วหนักก็ปล่อยก็วาง ถ้าปล่อยวางได้แล้ว
ทำใจได้แล้ว ก็จะไม่หนักไม่ทุกข์อีกต่อไป
เนื้อเพลง
ตั้งแต่ที่รักเธอ ก็ไม่เคยรักใคร
ไม่เคยแบ่งหัวใจ ให้ใครเลยสักหน
แต่หนึ่งใจของเธอ ทำไมช่างวกวน
มีใครอีกหลายคน ซ่อนไว้ตั้งมากมาย
ไม่เคยจะคิดเลย ว่าเธอทำได้ลง
กับคนที่มั่นคง ให้เธออย่างหมดใจ
ไม่มีใจเหลือเฟือ ไม่เผื่อใจให้ใคร
เมื่อเธอมาทิ้งไป มันทนไม่ได้เลย
* อยากเกิดเป็นคนหลายใจ รักใครทีละหลายคน
ไม่ต้องมาทุกข์ทน เสียคนแทบเป็นแทบตาย
เกิดเป็นคนใจเดียว แล้วมันไม่มีความหมาย
อยากเป็นคนหลายใจ(เหมือน/อย่าง)เธอ
ไม่อยากจะโทษเธอ ไม่อยากจะโทษใคร
ที่เจ็บและเสียใจ เมื่อเธอไม่เหลียวแล
มันผิดที่ฉันเอง ที่เกิดมารักเดียว
ก็เจ็บอยู่ข้างเดียว ไม่มีใครสนใจ
(ซ้ำ *)
(ซ้ำ * , *)

หนังสือ “กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม” ที่ 7-eleven เล่มยี่สิบ

กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม @booksmile
กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม @booksmile
ต้นปี 2556 ผมอ่านหนังสือ “หกสิบคาถาชีวิต” ของ คุณวิกรม กรมดิษฐ์
แล้วแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ด้วย เพราะหัวหน้าบอกว่าเป็นหนังสือดี
จึงไปหามาอ่าน แล้วก็พบว่าดีจริง ๆ

แล้วต้นปี 2559 ได้อ่านหนังสือ “กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม” เล่ม 20 บาท
พบว่าไม่ผิดหวังเลยที่ได้ซื้อ และได้อ่าน
เมื่ออ่านบทที่ 1 แล้วทำให้นึกถึงหนังสือ Steve jobs
ตอนนั้น Jobs ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน พยายามรักษาแล้ว
แต่สุดท้ายก็ยื้อชีวิตต่อไปไม่ได้ ซึ่งคุณวิกรม โชคดีกว่า
คุณวิกรม เล่าเรื่อง “เมื่อผมเกือบตาย
ซึ่งเขาต้องไปผ่านตัดหัวใจที่อเมริกาตอนอายุ 43 ปี
ผมชอบบทนี้มาก ในตอนที่พูดถึงการดื่มไวน์จนเมา
แล้วชี้ให้เห็นโทษของการดื่มสุรา
ซึ่งน้อยคนนักที่จะหยุดการดื่มได้เอง
เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เลิกสุราด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพ
คือ “ป่วยแล้วเลิก” ไม่ใช่ “คิดแล้วเลิก
ปัญหาจากการดื่มสุราที่คุณวิกรมสะท้อนในหนังสือ
หน้า 15 เล่าได้ชัดเจน คือ โรคหัวใจ โรคตับ
เส้นเลือดในสมองแตก ขับรถชนเขา หรือเสียชีวิต
ซึ่งเป็นภัยเงียบ
แลกความสุขด้วยความเจ็บป่วย เป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย
ที่จะไปแลกความทุกข์กับความสุขเพียง 1 – 2 ชั่วโมง
อ่านแล้วรู้สึกดี รู้สึกว่าเขาคิดได้ และได้มีสุขภาพที่แข็งแรง

มีความตอนหนัง พอสรุปได้ว่า
.. สมัยหนุ่ม ๆ เรียนอยู่ปี 3 คุณวิกรม ปั่นจักรยานเสือหมอบ
ทำด้วยอะลูมิเนียม Made in England เบามาก
ปั่นขึ้นลงเขาจากไทเป ไปจนถึงซินจู๋ รวมกว่า 150 กม.
ในวันเดียว คือไปเช้าเย็นกลับ กลับมาหนังไปเกือบ 2 วัน ..

ก็เป็นเรื่องเล่าเร้าพลัง ทำให้อยากปั่นจักรยานได้ดีมาก

ภาพลักษณ์พนักงาน (itinlife531)

นอนเล่นบนกองขนมปังที่ใช้ทำเบอร์เกอร์
นอนเล่นบนกองขนมปังที่ใช้ทำเบอร์เกอร์

เคยอ่านโพสต์ของคุณอนัณทินี จิตจรุงพร เป็น Image and branding consultant แล้วสนใจคำว่า Personal branding บอกว่า ภาพลักษณ์พนักงานมีผลต่อภาพลักษณ์องค์กร ทำให้นึกถึงภาพลักษณ์ของพนักงานในเครือข่ายสังคม ทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ อินสตาแกรม หรือกูเกิ้ลพลัส ซึ่งมีพนักงานจำนวนหนึ่งเชื่อว่าตนเองไม่ใช่เจ้าขององค์กร เป็นเพียงพนักงานคนหนึ่ง ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ขององค์กร จึงไม่มีความจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเองในบทบาทที่เป็นพนักงานองค์กร ซึ่งก็ใช่ถ้าพนักงานไม่คิดจะก้าวหน้าในองค์กร และไม่มีกลุ่มเป้าหมายขององค์กรเข้าถึงตัวคุณ หรือรับรู้ว่าคุณคือพนักงานขององค์กร
เมื่อถึงเวลาประเมินการปฏิบัติงานประจำปี ที่ต้องพิจารณาผลการดำเนินงานเชิงปริมาณตามที่ตกลงกันไว้แล้ว เช่น ความสำเร็จตามตัวบ่งชี้ ทำยอดทะลุเป้า ทำงานที่มอบหมายได้ครบถ้วน คุณภาพของชิ้นงาน การขาดลาสายหรือไม่ อีกปัจจัยที่มักใช้ประกอบการประเมินคือหัวหน้ามักมองภาพรวมด้วยเช่นกัน ว่าพนักงานแต่ละคนมีภาพลักษณ์ที่เหมาะสมหรือไม่ อาจดูรูปลักษณ์ภายนอก มีบุคลิกที่ดี แต่งหน้าทำผมมาทำงาน ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยที่ดี มีจิตอาสา มีจิตสำนึกสาธารณะ แลกเปลี่ยนกับเพื่อนและหัวหน้าเชิงบวกเป็นประจำ รีดเสื้อผ้าและสะอาดเสริมภาพลักษณ์องค์กร ทำห้าสอเป็นประจำ สมเป็นพนักงานของบริษัทที่ส่งเสริม Brand Ambassador
มีคำกล่าวว่า ไม่ทำดี ก็อย่าทำเสีย ซึ่งเกี่ยวกับการรักษาภาพลักษณ์พนักงาน เมื่อมีการใช้เครือข่ายสังคมก็จะพบเห็นพฤติกรรมพนักงานจำนวนหนึ่งที่ไม่ให้ความสำคัญกับการรักษาภาพลักษณ์ ไม่สนใจกลุ่มเฟสองค์กร ไม่สนใจแฟนเพจองค์กร แล้วคิดว่าได้กำหนดการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะเพื่อนแล้ว จะทำให้การแสดงความคิดเห็นของตนไม่รั่วไหล ไม่รับหัวหน้า หรือลูกค้าขององค์กร หรือคนที่ไม่หวังดีต่อตนมาเป็นเพื่อน แล้วบ่น ระบาย โพสต์ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ซึ่งอาจเป็นภาพลักษณ์เชิงลบในมุมมองขององค์กร หรือปล่อยเกียร์ว่าระหว่างทำงาน เช่น แชทในเวลางานถูกเชิญออกได้ ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้สิทธินายจ้างบอกเลิกจ้างได้ทันที เมื่อพบพฤติกรรมการแชทออนไลน์เรื่องส่วนตัวในที่ทำงาน

อธิบายยากครับ ว่าทำไปทำไม
อธิบายยากครับ ว่าทำไปทำไม

คุณอนัณทินี จิตจรุงพร เป็น Image and branding consultant
https://www.facebook.com/imageinspirationbytinee/posts/1490879257880081
สัมภาษณ์แอร์โฮสเตส
https://www.youtube.com/watch?v=8aVjfSnwRvc
การเลือกคนไปทำงาน ความสามารถไม่ใช่สิ่งเดียว ภาพลักษณ์ก็เป็นปัจจัย
https://www.youtube.com/watch?v=Pbid7WRw1mc

ลงทะเบียนออนไลน์ร่วมกิจกรรม (itinlife530)

สิทธิความเป็นส่วนตัว (privacy)
สิทธิความเป็นส่วนตัว (privacy)

ประชาชนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากกว่าร้อยละ 80 เช่น อินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ ยิ่งเข้าถึงมากก็ยิ่งมีปัญหามาก จนภาครัฐต้องออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิด เช่น พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นต้น เทคโนโลยีอาจมีเพื่อการค้า บันเทิง  การศึกษา และการสื่อสาร การจัดกิจกรรมของหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนต่างก็หันมาใช้เว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไอจี ยูทูป หรือไลน์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เก็บข้อมูลจากผู้ใช้ บางท่านอาจมองข้อมูลที่มีปริมาณมากเป็นเสมือนเหมืองข้อมูล (Data mining) ดังที่อาจารย์อนุชิต เคยกล่าวว่า การศึกษาข้อมูลจากอดีตนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อทำนายรูปแบบในอนาคต

มีกิจกรรมมากมายทั้งระดับองค์กร จังหวัด หรือประเทศที่เปิดให้บุคคลลงทะเบียนออนไลน์ มีการสอบถามข้อมูลทั้งเลขที่บัตรประชาชน ชื่อ สกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด อายุ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือขนาดเสื้อ เพื่อนำข้อมูลไปใช้งานตามวัตถุประสงค์ เช่น ใช้จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม ใช้เตรียมของสมนาคุณ ใช้เลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ใช้เพื่อให้ฝ่ายขายติดต่อไป หรือนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จนมีการร้องเรียนเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว (Privacy) ประเด็นนี้เยาวชนไทยให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัวของตนน้อย ดังที่ อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย ได้นำเสนอบทความเรื่อง Information Ethics and Behaviors of Upper Secondary Students Regarding the Use of Computers แล้วได้ผลการทดสอบสมมติฐานว่านักเรียนมัธยมปลายในลำปางให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตน้อยกว่าจริยธรรมสารสนเทศในด้านอื่น

ได้เห็นหน่วยงานบางแห่งจัดกิจกรรมสอบถามข้อมูลของผู้เข้ามาร่วมกิจกรรม ได้นำไปเปิดเผยในหลายลักษณะ ทั้งผ่านอินเทอร์เน็ต หรือพิมพ์ติดไว้ตามบอร์ดประชาสัมพันธ์ เชื่อได้ว่ามีเจตนาดี แต่พบว่าข้อมูลหลายรายการควรเป็นความลับที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอาจไม่ประสงค์ที่จะเปิดเผย เพราะอาจถูกผู้ไม่หวังดีนำไปใช้ในทางมิชอบ หากไม่มีใครทักท้วงก็จะเกิดการทำซ้ำ เป็นความเคยชินให้เห็นต่อไป หากท่านตระหนักถึงปัญหา และเกี่ยวข้องในการเผยแพร่ก็เสนอให้พูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องทำความเข้าใจ เพื่อจะได้หยุดการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นในที่สาธารณะโดยไม่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล สรุปว่าการเผยแพร่สามารถทำได้แต่ต้องมีการควบคุมด้วยความเข้าใจ เพราะสิทธิความเป็นส่วนตัวเป็นประเด็นจริยธรรมสารสนเทศหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ

Continue reading “ลงทะเบียนออนไลน์ร่วมกิจกรรม (itinlife530)”

โซเชียลบิดเบือน (itinlife529)

โซเชียลบิดเบือน (social disguise)
โซเชียลบิดเบือน (social disguise)

ปัจจุบันในโซเชียลมีเดีย (Social Media) ใครจะโพสต์อะไรก็ทำได้ บ่อยครั้งที่พบพฤติกรรมที่เรียกว่า ไม่คิดก่อนโพสต์ แต่พบพฤติกรรมอีกแบบที่เรียกว่า คิดก่อนโพสต์ ในมุมที่เจตนาบิดเบือนความจริง จนเป็นปัญหาต่อสังคม การเมือง และการปกครอง จน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม (บิ๊กป้อม) ต้องออกมาขอเจ้าหน้าที่ติดตามการเสนอข้อมูลทาง Social Media ที่บิดเบือนจากความจริง และไม่ยอมผู้ไม่หวังดีใช้สื่อนำเสนอเรื่องราวที่เป็นเท็จ สร้างความแตกแยกของคนในชาติ กระทบต่อสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน ซึ่งผู้เขียนอ่านพบในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

การบิดเบือนนอกจากประเด็นทางการเมืองที่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างเด่นชัดแล้ว ก็มีประเด็นมากมายที่ปรากฏออกมาให้คิดเห็นได้ว่ามีการบิดเบือนความจริง อาทิ การศึกษา สุขภาพ ความเชื่อลี้ลับ เมื่อนึกถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวกับโซเชียลมีเดียบิดเบือนก็นึกถึง 3 คำ ดังนี้ Social disguise, Social distortion และ Social blending การบิดเบือนความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับคำว่า คิดก่อนเชื่อ (Think first) และ คิดก่อนโพสต์ (Think before you post) ปัจจุบันเรามักไม่ได้คิดก่อนโพสต์ เพราะการโพสต์เป็นเรื่องง่าย คิดอะไรก็โพสต์ไป ด่าใครในข่าวก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เห็นการด่ากันในข่าวโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องปกติ จนส่งผลให้คิดก่อนเชื่อลดน้อยถอยลง เชื่ออะไรง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องสุขภาพ บอกว่าทานอะไรแล้วเป็นพิษก็เชื่อ เห็นอะไรแล้วเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติก็เชื่อ จน ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ เก็บประเด็นมาเล่าในรายการวิทยาตาสว่าง

ในทางการเกษตรระยะหลังเห็นสื่อเล่าเรื่องความสำเร็จของการทำเกษตร เช่น ออกงานไปปลูกไผ่กิมซุ่ง ปลูกมะลิ ปลูกดาวเรือง หรือ ปลูกผักหวานรายได้เป็นล้าน มีความจริง 2 ข้อ คือ ทำเกษตรแล้วสำเร็จ กับทำเกษตรแล้วล้มเหลว ดังนั้นต้องคิดก่อนเชื่อ เพราะการเกษตรเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่ต้องใช้เงินเพื่อให้ได้เงิน ไม่ว่าจะเกษตรผสมผสาน เกษตรพันธสัญญา หรือค้าขายต่างก็มีความเสี่ยง มีเกษตรกรมากมายที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ที่ออกมาประท้วงขอรัฐช่วยเยี่ยวยา หรือผลผลิตมากเกินความต้องการจนต้องนำมาเท เพื่อประท้วงให้รัฐออกมาตรการช่วยเหลือ ดังนั้นจะเชื่ออะไรก็ต้องคิดก่อน ศึกษาตนเอง ตลาด ความเสี่ยง ประเมินรอบด้าน และสรุปให้ชัดเจน ก่อนตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิต เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จได้ดังที่ข่าวนำเสนอ

+ http://www.baanmaha.com/community/threads/51297

+ http://www.thairath.co.th/content/506598

+ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1304399853&grpid=no&catid=51

บางทีโซเชียลก็อาจไม่ได้บิดเบือนก็ได้
เป็นที่ตัวเรามังครับ ที่ไม่คิดให้ดีก่อน ข่าวอาจดีอยู่แล้วก็ได้

ในทาง การเสี่ยงโชค ระยะหลังเห็น สื่อเล่าเรื่องรางวัลที่ 1
ใคร ๆ ก็ถูกได้ รวยได้
ผมงี้เชื่อสนิทใจเลยว่าสักวันต้องเป็นผม
หลัง ๆ ลงทุนค่อนข้างเยอะซะด้วย
ผมก็โทษสื่อไว้ก่อน เหมือนคำว่า
รำไม่ดี โทษปี่ โทษกลอง
นี่ถ้าสื่อไม่ลงข่าวว่าคนธรรมดาอย่างผมก็มีโอกาส
ผมก็คงไม่ทุนเยอะ ๆ หวังเยอะ และผิดหวังเยอะ
แบบที่ผ่าน ๆ มา สรุปว่าง
“ปี่กลองผิดครับ ส่วนผมน่ะรำถูกล่ะ”

แบนหนังอาบัติ

คุณสรยุทธ สัมภาษณ์ ผู้พิจารณาห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องอาบัติ
https://www.youtube.com/watch?v=9t0NtyeT-BI

คำถาม ทำไมภาพยนตร์เรื่อง อาบัติ ถูกห้ามฉาย
คำตอบ พบข้อความจาก http://movie.kapook.com/view131608.html
ว่า “มีการนำเสนอในแง่มุมของพระสงฆ์ที่ประพฤติผิดศีลในข้อ 3 (ประพฤติผิดในกาม)
พูดส่อชู้สาวต่อสาธารณชน นอกจากนี้ยังมีภาพของภาพสามเณรเสพของมึนเมา
ใช้ความรุนแรง ไม่เคารพพระพุทธรูป
ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจเป็นการทำลายศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนาได้
ดังนั้น การนำเสนอภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าประโยชน์

ผลพิจารณาเหตุหลัก ๆ เชื่อกันว่านำมาซึ่ง
– เป็นความเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาประจานกัน
– รายละเอียดหลายตอนลบหลู่พระสงฆ์
– เณรโอบกอดสีกา สูบบุหรี่ ไม่ศรัทธาศาสนา เป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง

ซิงเกิล เกตเวย์ single gateway (itinlife 521)

ในแวดวงไอทีวิพากษ์เรื่องซิงเกิลเกตเวย์ (Single Gateway) กันมาก โดยเฉพาะการแสดงความเห็นที่ส่วนใหญ่จะออกไปในแนวว่าไม่เห็นด้วย ในความจริงแล้วองค์กรในประเทศไทยมีช่องทางเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปยังต่างประเทศได้อย่างอิสระในระดับหนึ่ง ส่วนผู้ใช้แต่ละคนใช้อุปกรณ์สื่อสารและบริการของแต่ละค่าย ซึ่งแต่ละค่าย (ISP) ก็จะมีเส้นทางออกไปต่างประเทศตามที่ค่ายนั้นเลือกใช้ ปัจจุบันมี 13 การเชื่อมต่อ แต่ภาครัฐกำลังศึกษาว่าจะควบคุมการเชื่อมต่ออย่างไร เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม เป็นการคิดแบบรวมศูนย์เชื่อมต่อ (Centralization) หรือแบบหลอมรวม (Convergence) จากเดิมเป็นแบบกระจายศูนย์เชื่อมต่อ (Decentralization) ที่ไม่มีการควบคุม

ถ้าหลอมรวมเป็นช่องทางเดียวก็จะทำให้การกำกับดูแลการเข้าใช้มีความปลอดภัยสูง ควบคุมให้เป็นตามนโยบายได้ง่าย ปิดกั้นเว็บไซต์หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งมีข้อกังวล แล้ววิจารณ์ว่าข้อมูลจะไปอยู่ในมือภาครัฐ แล้วเจ้าหน้าที่บางคนที่ดูแลอาจเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ คำว่าซิงเกิลแปลว่าช่องเดียว หากล่มก็จะไม่มีสำรอง นักลงทุนจากต่างประเทศเห็นปัญหาข้างต้นก็จะไม่เข้ามาลงทุน ประเทศที่ใช้นโยบายซิงเกิลเกตเวย์ คือ จีน เกาหลีเหนือ และลาว ซึ่งผู้เกี่ยวข้องก็ชี้แจงว่าซิงเกิลเกตเวย์จะไม่กระทบภาคธุรกิจ อยู่ระหว่างศึกษา ยังไม่มีโมเดลที่ชัดเจน และต้องไม่กระทบในสิ่งที่สังคมกังวล

ถ้าทำจริงแบบที่กังวลแล้ว การหลอมรวมผสานเครือข่ายที่แตกต่างกันมีเรื่องที่ท้าทายอีกหลายเรื่อง เช่น การผสานเครือข่ายระหว่างองค์กรที่แตกต่างกัน การผสานแอพพลิเคชัน การผสานขั้นตอนการทำงาน การหลอมรวมนโยบายการให้บริการ ซึ่งคาดว่าความเห็นของผู้ดูแลเครือข่ายของแต่ละองค์กรที่มีอยู่ก็เดิมย่อมไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้ต้องปรับเปลี่ยนระบบทั้งหมด การบอกเลิกสัญญากับเครือข่ายเดิม การลดบุคลากรที่รับผิดชอบดูแลเครือข่าย และปรับนโยบายขององค์กรให้เข้ากับส่วนกลาง ซึ่งทั้งหมดเป็นภาระ และบางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ได้นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าสำหรับบางคน จึงเป็นที่มาของการต่อต้านการรวมศูนย์ด้วยการกดปุ่ม F5 ต่อเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เห็นปัญหาของการรวมศูนย์เชื่อมโยง และข้อกังวลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

http://www.dailynews.co.th/article/334074

https://www.youtube.com/watch?v=IhGDvaXxgwE

https://en.wikipedia.org/wiki/Internet_in_Thailand

http://hilight.kapook.com/view/126924

การปลูก มะละกอต้นเตี้ย

งานอดิเรก คือ ปลูกต้นไม้

ได้ต้นมะละกอจาก อ.ตุ้ย มาปลูกที่บ้าน
ที่บ้านมีพื้นดินไม่กว้างนัก
จึงเลือกปลูกใกล้กับต้นอัญชัญที่คุณเรณูให้มา
ก็เป็นพืชจากกัลยาณมิตรทั้งคู่
ที่บ้านจึงมีครบทั้งไม้ดอกและไม้ผล

ใช้ sound เพลง the muffin man ที่ youtube.com มีให้เลือก
ไปเพราะดีครับ เป็น children song

ภาพจาก
https://www.facebook.com/ajburin/media_set?set=a.10153598637013895.1073741875.814248894


วิธีตอนกิ่งมะละกอต้นเตี้ย

ส้ำตำแยกน้ำ กับตู้เอทีเอ็มในอดีต

ส้มตำแยกน้ำ
ส้มตำแยกน้ำ

ส้มตำ เป็นหนึ่งใน 2 รายการอาหารกลางวัน
ที่พอจะนึกออกว่ามีอะไรในหมู่บ้านให้ทานบ้าง (บ้านนอก)
ราชาแห่งอาหารกลางวันคงหนีไม่พ้นก๋วยเตี๋ยว
นั่นก็หลายสิบปีมาแล้ว
เมื่อราวปี 2526 หรือก่อนนั้น ที่ลำปาง
มีเครื่อง ATM เครื่องแรก ๆ เข้ามาที่โรงเรียน หน้าโรงเรียนก็มี
ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่มีบัตร ATM จำได้ว่า
คิดไม่ออกว่า ทำไมต้องพกบัตร ATM
เพราะส้มตำ กับก๋วยเตี๋ยวก็ใช้ตังนิดเดียว แม่ถอนมาไว้ทุกต้นเดือนแล้ว
จะเอาตังไปซื้ออะไรกันนักหนา กะส้มตำจาน 5 บาท
ที่สำคัญ ส้มตำนี่เลย ที่บ้านผมตำเอง เรียกคนข้างบ้านมากินด้วย
เพราะไปขอมะละกอ หรือส้มโอจากบ้านเค้า บ้านเรามีกุ้งแห้งกับถั่วลิสง
ก๋วยเตี๋ยว นี่ก็แล้วแต่อารมณ์กันหน่อย
ต้องซื้อเส้น กับลูกชิ้น และกระดูกหมู
ทำกินเองทีไร เบิ้นสองทุกที โดยเฉพาะลูกชิ้นตักกันเต็มที่ครับ
ฟินไปเลย


เข้าตัวเมืองสุดสัปดาห์แต่ละที
มี 100 นึงยังใช้ไม่หมดเลย
ยกเว้นไปซื้อสมุด หนังสือ ชุดนักเรียนก่อนเปิดเทอมจะใช้เยอะหน่อย
หลายสิบปีต่อมา มีส้มตำแยกน้ำ .. โอ้โห สุดยอดนวัตกรรม ส้มตำไม่เซ็งอีกต่อไป
สมัยก่อนกุ้งแห้งตัวเท่าพริกขี้หนู ปูดองตัวดำ ๆ เค็มปี๋กลิ่นห้อมหอม
ซื้อมาเข้าตู้เย็น กินเมื่อไรก็หยิบมาคลุก อร่อย ได้ปริมาณเยอะกว่า
สับมะละกอเพิ่มก็ทำบ่อย เพราะน้ำส้มตำเข้มข้น
ปล. เล่าเรื่องนี้ให้นักศึกษาฟัง ถึงความรู้สึกที่มีต่อเครื่อง ATM ของผม

ส้มตำแยกน้ำ
ส้มตำแยกน้ำ

น้ำมะพร้าวอ่อน

น้ำมะพร้าวอ่อนเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ น้ำเกลือแร่จากธรรมชาติ (mineral water)

น้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูงประกอบด้วยโพแทสเซียม  รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจาก อาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็น “สปอร์ต ดริ๊งค์” สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย และยังมีคุณสมบัติ ปลอดเชื้อโรค เป็นสารละลาย ไอโซโทนิก (สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ) สามารถลดอาการขาดน้ำได้ดี ลดอาการเมาหลังดื่มแอลกอฮอร์

  • การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำยัง ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เนื่องจากกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
  • มีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง
  • ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายจึงช่วย  ให้ผิวพรรณ ผ่องใส
  • สำหรับสตรีวัยทอง หรือกำลังเข้าสู่วัยทอง ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน สัปดาห์ละ 2-3 ลูก จะช่วยทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายสมดุล ทำให้แก่ช้าลง และไม่ต้องทานฮอร์โมนเสริม

ข้อดีของน้ำมะพร้าวอ่อน…

  • ช่วยลดอาการก่อนมีรอบเดือน ของสตรีวัยเจริญพันธุ์เช่นอาการปวดศีรษะ  ปวดท้องน้อย
  • ถ้าทานน้ำมะพร้าว พร้อมกับเนื้อ ร่างกายจะได้ทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสติน ซึ่งจะไปออกฤทธิ์ ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้สิวลดลง ผิวพรรณเรียบเนียน แลดูสุขภาพผิวดีขึ้น  เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่เป็นสิว
  • ช่วยตับทำลาย “เอสโทรน” (estrone) ซึ่งเป็นสารที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ให้กลายเป็นสาร  “เอสไทรออล” (estriol) ซึ่งถือว่าเป็นรูปเอสโตรเจนที่ปลอดภัยที่สุด  คนที่รับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนสามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้  เพราะทานน้ำมะพร้าวอ่อนจะช่วยรักษาสมดุลเอสโตรเจนได้
  • ลดอาการ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืนในสตรีวัยหมดประจำเดือน
  • นอกจากนี้  น้ำมะพร้าวยังเอาไว้ล้างหน้าที่สดใสเปล่งปลั่งได้เนื่องจาก น้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยเกลือแร่ และยังเป็นกรดอ่อนๆ ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสอยู่เสมอ
  • สำหรับสาวๆ ที่ชอบสปา  อาบน้ำแร่  หันมาอาบน้ำมะพร้าวก็ได้นะ เพราะน้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมน แถมยังซึมเข้าสู่ผิวได้ดีอีกด้วย  อาบบ่อยๆผิวพรรณจะเต่งตึง สวยเหมือนสาวยุค 2010

ข้อควรระวัง…
สำหรับวัยรุ่น  ถ้าจะทานน้ำมะพร้าวอ่อน ไม่ควร รับประทานขณะมีประจำเดือน เพราะอาจทำให้มีไข้เนื่องจากน้ำมะพร้าว  เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง     และจะทำให้ประจำเดือนมานานวันเพิ่มขึ้น  ควรงดก่อนมีประจำเดือนสัก 5 วันนะครับ

….. อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/388240

….. อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/388240