วิธีหมักผมด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ

เพราะเส้นผมเป็นส่วนหนึ่งที่ใคร ๆ สามารถมองเห็นได้เป็นอย่างแรก ดังนั้นการดูแลเส้นผมให้นุ่มสลวยมีน้ำหนักจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ

ไม่ควรละเลยเลยทีเดียวค่ะ ยิ่งผมยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใส่ใจกับสุขภาพผมมากเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะ ว่าเส้นผมที่ยิ่งสวยเงางามเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างเสน่ห์ให้กับตัวคุณมากมายเลยทีเดียว

แล้วอย่างนี้จะรอช้าอยู่ใยๆ สาว ๆ ที่กำลังประสบสารพัดปัญหาเส้นผมมาดูวิธีดูแลผมสวยกันดีกว่า วันนี้มีวิธีหมักผมด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติที่เหมาะกับสภาพผมแต่ละประเภทมาฝากกัน ไปดูกันดีกว่าว่า สภาพผมแบบไหนควรหมักผมด้วยอะไรกันบ้าง

Hair
Hair

สาวผมแห้ง

ปัญหาใหญ่ของสาวผมแห้งคงจะหนีไม่พ้นสภาพผมที่แห้งพันกันยุ่งเหยิง โดยเฉพาะเวลาโดนลมหนัก ๆ เข้าหน่อยก็หวียากซะแล้ว

ดังนั้น การหมักผมที่ดีที่สุดก็ควรจะใช้น้ำมันหมักค่ะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา หรือน้ำมันมะกอก โดยหมักทิ้งไว้ก่อนสระผมประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วนวดให้น้ำมันซึมเข้าสู่เส้นผม เสร็จแล้วล้างออก ทำอย่างนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และหลีกเลี่ยงการไดร์ผมอย่างเด็ดขาดจะดีที่สุดค่ะ เพราะยิ่งทำให้ผมแห้งเข้าไปใหญ่นะเออ

สาวผมแตกปลาย

สำหรับสาว ๆ ที่มีผมแตกปลาย ให้นำไข่แดงมาตีเข้ากับน้ำส้มสายชู หรืออาจผสมน้ำส้มสายชูลงในแชมพูซัก 1 ช้อนโต๊ะก็ได้ จากนั้นให้สระผมแล้วนวดให้ทั่วโดยเฉพาะบริเวณปลายผม น้ำส้มสายชูจะช่วยให้เส้นผมคุณเงางามขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ วิธีนี้สามารถทำได้ทุกวันค่ะ

สาวผมมัน

สำหรับสาวผมมัน ให้คุณใช้ไข่ขาวผสมกับน้ำอุ่นดูค่ะ โดยผสมไข่ขาว 1 ฟองกับน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่ากัน หลังจากนั้นนำไปชโลมให้ทั่วศีรษะ แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นให้สระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ผมจะค่อย ๆ ดีขึ้นค่ะ

สาวที่มีปัญหารังแค

น้ำมันมะพร้าวเป็นกุญแจสำคัญเลยล่ะค่ะ เพราะมันจะทำให้รังแคบนหนังศีรษะของคุณค่อย ๆ หายไปอย่างไม่น่าเชื่อ

สำหรับวิธีการหมักผมนั้น ให้คุณใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย ชโลมผมทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงหรือหากเป็นวันหยุดก็สามารถหมักไว้ทั้งวันได้ ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้งจะทำให้ปัญหารังแคบนหนังศีรษะของคุณค่อย ๆ หายไป และยังช่วยให้ผมคุณมีน้ำหนักขึ้นอีกด้วยค่ะ

สาวผมเสีย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีผมเสียอย่างหนักไม่ว่าจากการดัด ทำสี ย้อม ยืด ก็ตาม ใจเย็น ๆ ค่ะ สมุนไพรที่นำมาหมักผมนั้นอาจจะเยอะหน่อยแต่รับรองว่าได้ผลเลยทีเดียว สำหรับสาวผมเสียนั้น ให้คุณหมักผมได้วันเว้นวันโดยใช้วัตถุดิบในการหมักผมที่ต่างกันไป

โดยแบ่งเป็น 2 สูตร ดังนี้ สูตรแรกให้คุณใช้ไข่แดงผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมันมะกอก ผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วสระตามปกติ จากนั้นให้เว้น 1 วัน ก่อนจะใช้สูตรที่สองคือ น้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าวและไข่แดง ผสมให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้นาน ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำอย่างนี้ไม่เกิน 2 สัปดาห์คุณจะเริ่มเห็นผลค่ะ

สาวที่มีปัญหาผมร่วง

เพราะผมร่วงบ่งบอกให้เห็นว่าผมของเรานั้นอ่อนแออย่างมาก ดังนั้นสิ่งแรกที่สาว ๆ ที่มีผมร่วงควรจะทำนั่นคือ การหาแชมพูสูตรอ่อนโยนมาใช้เสียก่อนค่ะ โดยอาจจะใช้เป็นสมุนไพรที่มีส่วนผสมของอัญชัน หรือขิง ซึ่งช่วยในเรื่องของผมร่วงได้ดีเลยทีเดียว เมื่อใช้ยาสระผมสูตรอ่อนโยนแล้ว ต่อไปให้คุณหมักผมด้วยขิงค่ะ คือ ให้ใช้ขิงสดมาเผาไฟแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาผสมน้ำแล้วชโลมให้ทั่วศีรษะทุกวัน ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่เกิน 2 สัปดาห์ผมก็จะร่วงน้อยลง  หรือคุณอาจจะใช้น้ำมันมะพร้าวหมักผมควบคู่กันไปด้วยก็ได้ค่ะ

คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า สาวๆ ที่มีปัญหาเส้นผมทั้งหลายจะขยันหมักผมให้สม่ำเสมอหรือเปล่า แต่ถ้าทำได้อย่างนั้น รับรองเลยค่ะว่า คุณจะมีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา
http://women.kapook.com/view15456.html

http://www.yanchaow.com/view494.aspx

อาการนอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับ (insomnia) โดยทั่วๆไปจะหมายถึง การที่นอนหลับยาก หลับๆ ตื่นๆ หรือตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วหลับต่อไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้รู้สึกเพลีย หลับได้ไม่เต็มอิ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น

นอนไม่หลับ
นอนไม่หลับ

ในผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยควรนอนให้ได้ประมาณ 7-8 ชม. โดยให้สังเกตว่าตราบใดที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วมีความสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย สมองแจ่มใส ทำงานได้ดีตามปกติ ไม่ง่วงหวาวหาวนอน มีการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ดี ถือว่าได้นอนเพียงพอแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะนอนเพียง 5-6 ชม. เท่านั้น

ผู้ที่นอนไม่หลับจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล แม้ขณะที่นอนหลับก็จะตื่นบ่อยกว่าปกติ ในช่วงเวลากลางวันจะง่วงนอนมากผิดปกติ อัตราเมตาบอลิสซึมของร่างกายตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น และเมื่อไปตรวจคลื่นสมอง จะพบลักษณะของ beta EEG activity เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน

ประเภทของการนอนไม่หลับ

1.แบบชั่วคราว หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ หลายคนอาจจะเคยประสบกับปัญหานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน มีปัญหากับที่ทำงาน หรือใกล้ๆวันสอบ หรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้น ก็สามารถหยุดยาได้

2.แบบระยะต่อเนื่อง หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียด หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น ตกงาน ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของตน เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง

3.แบบเรื้อรัง เกิดขึ้นต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน

นอกจากนี้แล้วยังพบได้อยู่เรื่อยๆว่า สาเหตุทางร่างกายบางอย่างก็เป็นต้นเหตุทำให้นอนไม่หลับเรื้อรังได้ เช่น การหายใจผิดปกติขณะหลับ กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างนอน อาการปวด หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคปอด เป็นต้น

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

ได้แก่ สาเหตุทางด้านจิตใจ ปัญหาทางจิตเวช รูปแบบการใช้ชีวิต และความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ซึ่งถ้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากปัญหาข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้อ จะช่วยให้แก้ไขปัญหาให้ลุล่วงลงไปได้

ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ ปัญหาในเรื่องการทำงานที่ยังมีความกังวลอยู่ ปัญหาในครอบครัวที่ยังไม่ได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน ปัญหาความเจ็บป่วยของตนเอง และบุคคลในครอบครัวที่ยังไม่หายเป็นปกติดี ปัญหาทางจิตใจ หรือมีภาวะซึมเศร้าที่ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างได้ผล บางคนอาจลืมนำยานอนหลับที่เคยรับประทานประจำติดตัวมา บางคนอาจรับประทานอาหารก่อนเข้านอนมากเกินไป และบางคนอาจจะรับประทานเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิดอาจทำให้นอนไม่หลับได้ เช่น ยาแก้หวัด ยารักษาโรคหอบหืด และยาลดความดันโลหิตบางชนิด

1.สาเหตุทางด้านจิตใจ
ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับได้บ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว การงาน หรือครอบครัว หลายครั้งที่การได้รับการช่วยเหลือ โดยคำปรึกษาแนะนำให้รู้จัก และเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา จะช่วยทำให้ปรับตัวกับปัญหาได้ดีขึ้น

แนวโน้มของแต่ละบุคคล บางคนมีแนวโน้มง่ายมากที่จะนอนไม่หลับ เช่น ชอบคิดมากคิดเล็กคิดน้อย หรือร่างกายไวหรือตื่นตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้เร็ว เช่น ได้ยินเสียงอะไรเล็กน้อยก็จะรู้สึกตัวตื่นอยู่เรื่อยๆ

2.ปัญหาทางจิตเวช
โรคซึมเศร้า นอนไม่หลับโดยเฉพาะหลับแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหลับต่อยาก เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในคนที่มีภาวะโรคซึมเศร้า ซึ่งอาการอื่นๆ ของโรคซึมเศร้าก็จะประกอบไปด้วย ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง พร้อมๆ กับใจคอที่หดหู่ เศร้า ไม่เบิกบาน ไม่สดชื่นเหมือนเมื่อก่อน ความคิดช้า ความจำไม่ค่อยดี ใจจดใจจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ มักมีเบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย โดยปกติแล้วการรักษาที่สาเหตุของภาวะเหล่านี้ จะช่วยทำให้การนอนหลับกลับมาเป็นปกติอย่างเดิมได้

โรควิตกกังวลชนิด somatized tension พบได้บ่อยที่เป็นสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ ผู้ป่วยมักพบว่าอาการนอนไม่เป็นอาการเด่นเป็นอาการเดียว ในขณะที่ผู้ป่วยโรควิตกกังวลโดยทั่วไปมักจะมีอาการหลายชนิดมาปรึกษาแพทย์
3.รูปแบบการใช้ชีวิต
การใช้สารกระตุ้นสมอง ปัจจุบันพบว่าเป็นปัญหามากขึ้น เนื่องจากสารเสพติดหลายชนิดมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง โดยความไวของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ ขึ้นกับโปรตีนตัวรับในสมอง

กาแฟที่มีคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นสมอง ทำให้มีผลต่อการนอนหลับ โดยพบว่าจะหลับได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการดื่มกาแฟใกล้เวลาเข้านอน ผลดังกล่าวเกิดขึ้นได้แม้จะเป็นกาแฟที่สกัดคาเฟอีนก็ตาม

สารนิโคตินในบุหรี่จะออกฤทธิ์กระตุ้นสมอง ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่บ่อยมักมีปัญหาหลับได้ยากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

การดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ก่อนนอน อาจช่วยทำให้ง่วงหรือรู้สึกหลับได้ง่ายขึ้น แต่ผลที่ตามมาหลังจากแอลกอฮอล์ถูกเผาผลาญในร่างกายประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังจากนั้น จะทำให้เกิดสารที่ไปรบกวนการนอนหลับ โดยมักจะหลับๆ ตื่นๆ หลับไม่ลึก ตลอดทั้งคืน

เวลาการเข้านอน หลายคนมักเข้านอนไม่เป็นเวลาและแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละคืน รวมถึงคนที่ต้องทำงานเป็นกะด้วย อาจจะทำให้มีผลต่อการนอน คือ นอนไม่หลับได้ การพยายามปรับเวลาเข้านอน-ตื่นนอนให้สม่ำเสมอ จะช่วยให้ปัญหานี้ดีขึ้นได้

พฤติกรรมการเรียนรู้ หลายคนนอนไม่หลับหลังจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นคลี่คลายลงไปแล้ว การนอนไม่หลับยังคงดำเนินอยู่ และอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน คือ ความวิตกกังวลว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ใจจดใจจ่อกับนาฬิกาว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว บางคนถึงกับกลัวห้องนอน หรือการนอนเลยทีเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะหลับ เช่น นอนอ่านหนังสือบนโซฟา หรือนอนฟังวิทยุนอกห้องนอน กลับเผลอหลับได้ง่ายขึ้น

พฤติกรรมการเรียนรู้เหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง การรักษาปัญหานอนไม่หลับลักษณะนี้จะมุ่งที่พฤติกรรมการนอน, การลดความวิตกกังวล และการทำให้บรรยากาศของห้องนอนของเดิมนั้นเปลี่ยนไปและทำให้เกิดความรู้สึกง่วง สงบ และอยากนอน

ความเจ็บป่วยทางกาย

อาการปวด ไม่ว่าจะเป็นจากอาการปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ จะรบกวนคุณภาพและประสิทธิภาพการนอนหลับอย่างมาก

สาเหตุของนอนไม่หลับเรื้อรังเกิดจากกลุ่มอาการหายใจผิดปกติในขณะหลับ หรือหยุดหายใจเป็นพักๆ ในขณะหลับ ทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นพักๆ อาจรู้สึกได้ว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดีพอ หลับได้ไม่ลึก ไม่สดชื่น อาการหยุดหายใจจะเกิดขึ้นเป็นพักๆ อาจหลายสิบครั้งจนกระทั่งถึงหลายร้อยครั้งได้ในแต่ละคืน

ขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างหลับ ในบางรายจะพบว่าในขณะที่หลับนั้น กล้ามเนื้อที่ขาจะมีอาการกระตุกเร็วๆ เป็นพักๆ ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณทุกๆ 30-45 วินาที และอาจจะต่อเนื่องเป็นชั่วโมง หลายรอบต่อคืน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จะทำให้สมองตื่นเป็นพักๆ โดยที่คนผู้นั้นอาจไม่รู้สึกตัวตื่น ผลในตอนเช้าก็คือ จะรู้สึกว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดี

เมื่อไหร่จึงควรมาปรึกษาแพทย์

เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องการนอนที่รบกวนและมีผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างต่อเนื่อง 2-3 อาทิตย์ ขึ้นไปนั้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที หลายครั้งที่ปัญหาการนอนไม่หลับสามารถดีขึ้นได้ เพียงเข้าใจธรรมชาติของการนอน หรือปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม หรือทัศนคติบางอย่างที่มีต่อการนอนหลับ

แต่ในบางครั้งแพทย์อาจจะพิจารณาใช้ยาบางอย่าง เพื่อช่วยทำให้ปัญหาการนอนดีขึ้น หรืออาจจะต้องส่งตรวจเพื่อประเมินสภาพการนอนหลับให้ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ส่งตรวจห้องปฏิบัติการนอนหลับ เป็นต้น ปัจจุบันถือเป็นการตรวจมาตราฐานที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง สามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งของรัฐและเอกชน

พึงระลึกไว้เสมอว่าอาการนอนไม่หลับอาจเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ โดยเฉพาะโรคทางจิตเวชบางชนิด

ข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนไม่หลับ โดยเฉพาะในการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆ คลี่คลายลงไปได้ไม่มากก็น้อย การรักษาปัญหานอนไม่หลับมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร ผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ

1.เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง
2.ถ้าจะงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 นาฬิกา เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้นๆได้
3.ไม่ควรใช้เวลาอยู่บนเตียงนานๆ โดยที่ไม่หลับ ไม่ควรนอนค้างอยู่บนเตียงทั้งที่ไม่หลับ ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะชดเชยการนอนให้มากที่สุด เพราะการกระทำลักษณะนี้จะยิ่งทำให้คุณภาพการนอนยิ่งแย่ลง และเกิดความไม่ต่อเนื่องของการหลับได้มากขึ้น
4.ควรตื่นนอนในตอนเช้าให้เป็นเวลาทุกวันสม่ำเสมอ
5.พยายามหาเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีขึ้น
6.หลีกเลี่ยงยาหรือสารเคมีบางตัวที่จะมีผลต่อการนอนหลับ เช่น กาแฟ บุหรี่ เป็นต้น
7.ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้นจะไปมีผลรบกวนต่อการนอนหลับของเราเองได้ …

(จาก นสพ. ไทยรัฐ)

http://zybernia.wordpress.com/2009/07/05/sleepless-2/

นอนดึก…อันตรายกว่าที่คิด

การนอนน้อยมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันจะมีอายุสั้นกว่าวัยอันควร เนื่องจากร่างกายของเรามีกลไกทุกอย่างคล้ายนาฬิกา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรานอนผิดเวลาจะทำให้ระบบนาฬิกาตรงนี้เสียส่งผลให้ระบบของร่างกายแปรปรวน เพราะนอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ยังส่งผลดังนี้

ระบบแรกเลยที่จะต้องกระทบก็ คือ ระบบการย่อยอาหารจะสูญเสียไป ดังนั้น ถ้าวันไหนต้องนอนน้อยให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่ย่อยยาก เช่นเนื้อสัตว์ แล้วหันมารับประทานอาหารย่อยง่าย จำพวก ธัญพืช ข้าว ข้าวต้ม ไข่ นม ผลไม้ เพื่อช่วยระบบย่อย

นอกจากนี้การนอนดึกทำให้ร่างกายเสียน้ำมาก เนื่องจากร่างกายต้องใช้ “น้ำ” ในการสร้างพลังงาน,ระบายความร้อนและของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เป็นเช่นนี้มากเข้าทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดูดซึมน้ำในทางเดินอาหารซึ่งส่งผลให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนอีก เพราะฉะนั้นหากต้องนอนดึกเราต้องดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำแร่ แต่ไม่ควรดื่มน้ำเกลือแร่ประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะมีคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวขับน้ำออกมาเกิดภาวะขาดน้ำมากขึ้น

นอกจากผลกระทบทางด้านร่างกายแล้วยังส่งผลถึงผิวพรรณให้ดูไม่สดใส ขอบตาดำ มีสิวฝ้าขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อน้ำในร่างกายไม่พอก็ต้องดูดน้ำจากทางเดินอาหารซึ่งโดยปกติแล้วทางเดินอาหารส่วนปลายเป็นช่วงที่จะไม่มีการดูดซึมแล้ว แต่เมื่อไม่พอใช้ก็จะถูกดูดซึมกลับเข้ามาอีกและในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของเสียจึงเป็นการดูดของเสียเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองเมื่อน้ำเหลืองคั่งเสียทำให้เกิดภาวะสิวฝ้าขึ้นนั่นเอง

การนอนที่มีผลต่อสุขภาพคือการนอนระดับใด?
โดยปกติแล้วเวลาที่คนเรานอนหลับช่วงแรกที่นอนนั้น คลื่นสมองจะอยู่ในระดับตื้น แล้วลงไปเป็นลึก สลับกันอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เราหลับลึกจริงๆ นั้น อยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง/วัน ดังที่เราเคยได้ยินว่า พระธุดงค์ โยคี ที่ฝึกมาดี ท่านจะใช้เวลานอนน้อยมาก หรือไม่นอนเลยก็มี เพราะจริงๆ แล้ว เวลาที่สมาธิลงไปถึงคลื่นลึกนั้น คือ การนอนนั่นเอง ซึ่งร่างกายคนเราก็ต้องการอย่างนั้นวันละ 3-4 ชั่วโมงเอง แล้วเวลาท่านนั่งสมาธิลงไปลึกขนาดนั้นร่างกายซ่อมเลยกระบวนการของร่างกายดีขึ้นมาหมด สำหรับคนทั่วไปที่ทำสมาธิจิตไม่ได้ถึงระดับนั้นการนั่งสมาธิก่อนนอนก็ช่วยนำจิตให้ดิ่งไปสู่คลื่นที่ลึกลงไปทำให้ได้การนอนที่มีคุณภาพ “หลับก็ในอู่ทะเลบุญ” ตื่นมาก็สดชื่น

“ความจริงแล้วถ้าเรานอนให้พอ แล้วพอถึงคราวทำงานสามารถทำงานได้อย่างตั้งใจ และมีประสิทธิภาพที่ดีจะเป็นประโยชน์มากกว่า  สังเกตชาวเยอรมันจะเป็นคนที่มีวินัยดีมาก ถึงคราวทำงานทำจริงจัง ทำเต็มที่แต่เมื่อถึงเวลาพัก กล้าพักเลย ประเทศอื่นเวลาทำงานจะทำจันทร์-ศุกร์ แล้วพักเสาร์-อาทิตย์ แต่ของชาวเยอรมันถึงช่วงบ่ายของวันศุกร์พักแล้ว เย็นวันอาทิตย์ก็กลับมา พอถึงเวลาทำงานก็ทำอย่างจริงจัง รวมเวลาทำงานแล้ว 4 วันครึ่ง แต่ได้ผลงานมากกว่าคนที่ทำงาน 5-6 วันเสียอีก เพราะเวลาทำงานไม่มีอู้เลยทุ่มเต็มที่ แต่พอถึงเวลาพัก กล้าพัก อย่างนี้กลับมีประสิทธิภาพและคุณภาพในการดำเนินชีวิตดีกว่า”…

http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99.html

วิธีการขจัดกลิ่นปาก

กลิ่นปากเป็นปัญหาหนึ่งที่สร้างความกังวลใจ และความรู้สึกไม่มั่นใจ สำหรับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะพยายามใช้น้ำยาบ้วนปาก ยาอม หรือสเปรย์ดับกลิ่นปาก ก็ให้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้ายังไม่ได้รับการแก้ไขที่สาเหตุที่ถูกต้อง กลิ่นปากก็ยังคงอยู่ ซึ่งกลิ่นเหม็นนี้เกิดขึ้นได้คล้าย ๆ กับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นผลมาจากแบคทีเรียกลุ่มที่ทำให้เกิดการย่อยสลายโดยไม่ต้องการอากาศ

ดังนั้น บริเวณใดที่มีเศษอาหารตกค้าง แบคทีเรียก็ทำให้เกิดการบูดเน่าและมีกลิ่นเหม็นขึ้นได้ อะไรก็ตามที่มีผลให้มีเศษอาหารตกค้างหมักหมมก็จะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ บริเวณที่จะพบบ่อย ๆ คือที่ลิ้น ร่องเหงือก ใต้ขอบเหงือก ส่วนอื่นที่สามารถพบได้อีกคือ บริเวณที่อุดฟัน ครอบฟันไม่พอดี การเป็นโรคปริทันต์ เหงือกอักเสบ มีฟันผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ ทำให้มีเศษอาหารตกค้างในบริเวณดังกล่าว จึงเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกตกค้าง ที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้

การแก้ปัญหามีกลิ่นปาก ด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปาก สเปรย์ หรือลูกอมรสมินต์ เป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมากด้วย การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมคลอเฮ็กซิดีนในระยะยาวจะมีผลเสีย ทำให้เกิดคราบสีที่ฟัน ซึ่งน้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้กำจัดสาเหตุที่แท้จริงออกไป ทำให้อาการของโรคถูกปิดบังจนเกิดอาการรุนแรงได้โดยไม่รู้ตัว และในบางครั้งกลิ่นของน้ำยาบ้วนปากก็อาจผสมกับกลิ่นปากจนทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดของการรักษากลิ่นปากก็คือ การค้นหาและกำจัดโรคที่เกิดขึ้น และการแปรงฟันที่สะอาดอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

แปรงฟัน
แปรงฟัน

จึงสรุป 10 วิธีของการขจัดกลิ่นปาก ดังนี้ค่ะ
1. ดูแลใส่ใจสุขภาพในช่องปากให้ดี ด้วยการแปลงฟันอย่างน้อยวันล่ะสองครั้ง เช้าและก่อนนอน หรือแปลงฟังทุกครั้งหลังอาหารก็จะช่วยทำให้ไม่เกิดการสะสมของเศษอาหารในช่องปาก

2. โคนลิ้นเป็นที่อยู่ของแบคทีเรีย อาจจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ การทำความสะอาดโคนลิ้นทุกครั้งหลังที่แปลงฟัน จึงมีความสำคัญมาก โดยใช้แปลงสีฟัน หรือแปลงทำความสะอาดลิ้นโดยเฉพราะก็จะได้ผลดี

3. หลังแปลงฟันตอนก่อนนอน ควรที่จะกลั่วปากด้วยน้ำยาทำความสะอาดทุกครั้ง เพราะว่าน้ำยาจะเคลือบอยู่ในปากเราได้นานในเวลานอน นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดกลิ่นปากในเวลานอนที่มีน้ำลายหลั่งออกมาน้อยได้อีกด้วย

4. น้ำจะช่วยล้างแบคทีเรียที่ออมาจากน้ำลาย ถ้าเราปล่อยให้ปากแห้ง แบททีเรียในปากก็จะเพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นปาก เพราะฉะนั้นในแต่ละวัน เราจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงวพอ

5. ควรงดอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียม หอมใหญ่ เนยแข็งพริกไทย และอาหารที่ให้เกิดกลิ่นฉุนผักชีฝรั่งที่ใช้โรยหน้าอาหารนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะมันจะเป็นตัวช่วยระงับกลิ่น ปากหลังมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี

6. ใบสะระแหน่ หรือใบมิ้นท์ ก็เป็นผักอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถช่วยให้ลมหายใจของเรา หอมสดชื่นขึ้นได้

7. การพกหมากฝรั่งหรือลูกอมกลิ่นมิ้นท์ติดตัวได้ จะช่วยเรื่องกลิ่นปากได้เยอะ แต่ต้องเป็บแบบไม่มีน้ำตาลนะครับ จะฟันผุครับ

8. ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ รับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากๆ เพราะการรับประทานอาหารที่ดีนี่แหละ ที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างปกติ

9. เลิกไปเลยดีกว่าสำหรับพวกชา กาแฟ และเครื่องพวกที่มีแอลดฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงการสูบบุหรี่ด้วย เพราะว่าการบริโภคสิ่งเหล่านี้ อาจจะทำให้สุขภาพในช่องปากไม่ดีได้

10. ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันทุกหกเดือนเพื่อรักษาสุขภาพปากและฟันให้ดีที่สุด

หมดปัญหากลิ่นปาก
หมดปัญหากลิ่นปาก

แหล่งที่มา : http://www.krabork.com/2012/05/11/วิธีการขจัดกลิ่นปาก/

http://health.kapook.com/view31533.html

http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81/

บอกลาปัญหารูขุมขนกว้าง

ลดปัญหารูขุมขนกว้างด้วย  5 เทคนิครับรองเคล็ดลับนี้หากสาวๆ นำไปใช้แล้ว ผิวหน้าของคุณต้องกลับมาเรียบเนียน กระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รูขุมขนกว้าง
รูขุมขนกว้าง

1. ไม่สัมผัสใบหน้าบ่อย

การสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ นั้นเป็นแหล่งต้นตอของการเกิดสิวเลยล่ะ เพราะมือของเราไม่รู้ว่าผ่านการหยิบจับอะไรที่สกปรกมาแล้วบ้าง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าไว้จะดีที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดสิวนั่นเอง

2. ล้างหน้าให้สะอาดเสมอ
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและกรดไกลโคลิก เพราะจะช่วยทำหน้าที่ค่อยๆ ผลัดผิวอย่างอ่อนโยน อีกทั้งช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนได้อย่างล้ำลึกไร้สาเหตุของการเกิดสิว เมื่อใบหน้าไร้ปัญหาสิวรับรองว่าไม่มีปัญหารูขุมขนกว้างตามมาแน่นอน

3. ครีมบำรุงผิวช่วยกระชับรูขุมขน
ผลิตภัณฑ์บางชนิดสามารถช่วยกระชับปิดรูขุมขนให้เล็กลงได้ ดังนั้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวของคุณและมีสรรพคุณที่สามารถช่วยได้ดังกล่าว เพราะจะช่วยแก้ปัญหาให้การผลิตต่อมน้ำมันลดลง อีกทั้งยังช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนใสขึ้น

4. ใช้เครื่องสำอางที่เหมาะกับผิว
เครื่องสำอางสูตร oil control หรือ oil free เหมาะกับสาวๆ ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างมากที่สุด เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำมันซึ่งจะทำให้ใบหน้ายิ่งเหนียวเหนอะหนะ ไม่ทำให้หนักผิวหน้า และไม่ซึมเข้าไปยังรูขุมขน อีกทั้งการแต่งหน้าด้วยเบสจะช่วยสร้างเกราะบางๆ ป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางลงไปอุดตันในผิวจนกลายเป็นปัญหาสิวอุดตันตามมา

5. สูตรพอกหน้ากระชับผิว
เลือกใช้สูตรพอกหน้าหนึ่งสูตรง่ายๆ จากธรรมชาติหรือแผ่นมาร์กที่มีประสิทธิภาพช่วยในการกระชับผิวให้เรียบเนียน เต่งตึงขึ้น และหลังจากพอกหน้าหรือมาร์กหน้าเสร็จแล้ว ให้ตบท้ายด้วยการประคบน้ำแข็งก้อนเป็นการปิดท้ายรูขุมขน น้ำแข็งนั้นเป็นตัวช่วยอย่างดีเลยทีเดียวที่จะทำให้รูขุมขนเล็กลง ป้องกันปัญหารูขุมขนกว้างและทำให้ใบหน้าเรียบเนียนใสขึ้น

อย่าปล่อยให้ผิวสวยของคุณต้องมีปัญหารูขุมขนกว้างอยู่อีกเลย มาเริ่มปรนนิบัติเพื่อการถนอมผิวให้เรียบเนียนกระชับขึ้นกันตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ

http://www.meemodel.com/health/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87

ปภ.แนะวิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยช่วงหมอกควันปกคลุมภาคเหนือ

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 11:38 น. ข่าวสดออนไลน์

กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่หมอกควันปกคลุม งดเว้นการเผาวัสดุและการประกอบกิจกรรมที่ทำให้สถานการณ์หมอกควันรุนแรงมากขึ้น เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หากจำเป็นต้องออกจากบ้านควรสวมแว่นตาและหน้ากากอนามัย เพื่อลดปริมาณการสูดดมควันพิษจากฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย

Mask
Mask

ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะมีภูมิต้านทานต่ำ ควรปิดหน้าต่าง ประตู เพื่อป้องกันไม่ให้หมอกควันลอยเข้าสู่บ้าน หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น ก่อนออกจากบ้านควรสวมแว่นตา เพื่อป้องกันการระคายเคืองตา พร้อมทั้งสวมหน้ากากอนามัยหรือใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดจมูกและปาก เพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมละอองควันไฟเข้าสู่ร่างกายโดยตรง และลดปริมาณการสูดดมควันพิษจากฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ระบบทางเดินหายใจขัดข้อง หากมีอาการผิดปกติหลังจากสูดดมฝุ่นละอองหมอกควัน เช่น แน่นหน้าอก หายใจติดขัด แสบตา เป็นต้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

ที่สำคัญ ในช่วงที่มีสถานการณ์หมอกควัน ควรงดการรองน้ำฝนมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคชั่วคราว หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์หมอกควันสามารถติดต่อได้ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 1 – 18 สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeU9UYzVPVEl6TWc9PQ==

เคล็ดลับการถนอมดวงตาขณะใช้คอมพิวเตอร์

ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์กันมาทั้งวัน ปวดตากันใช่ไหมค่ะ เรามีวิธีการถนอมดวงตาคู่สวยขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์มาฝากให้ปฏิบัติตามกัน  เพื่อดวงตาคู่สวยของเราจะสวยอย่างนี้ไปอีกนาน ๆ ค่ะ

ถนอมดวงตา
ถนอมดวงตา

1. กระพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากระพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตรากระพริบตาจะลดลงจาก 20 – 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 -8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรกระพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 – 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 -9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้านที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น

5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อนที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 – 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์สมองใกล้ทั่วไป

6. พักสายตาทุก ๆ ชั่งโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถหรือลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักกฎหมาย(ข้อมูลจาก www.bloggang.com)

http://www.ops.moj.go.th/mini105/inner.php?section=mini105_km&view=detail&id=3270

เคล็ดลับเพื่อผิวกระจ่างใสแบบธรรมชาติ

เคล็ดลับหน้าขาวใสแบบธรรมชาติทำเองที่บ้านได้ไม่ยากค่ะ  วันนี้ได้รวบรวมเอาผลไม้ต่าง ๆ ที่เราแทบจะรู้จักกันดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านการบำรุงผิวหน้าให้ขาวสวย ใส ซึ่งหลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าผลไม้ หรือ ผักที่เรากินไปนั้นหลาย ๆ ตัวนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้ผิวพรรณเราสดใส แต่ส่วนใหญ่เรานิยมเอามากินกันซะมากกว่า แต่วันนี้เราจะนำเสนอวิธีการใช้ผักผลไม้เหล่านี้ในการบำรุงผิวให้สวยกระจ่าง ใสนุ่มนิ่มหน้าจับเป็นที่สุดค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 1 แตงกวาช่วยผิวใส

ขาวใสด้วยแตงกวา
ขาวใสด้วยแตงกวา

หลายคนอาจจะรู้จักแตงกวากันอยู่แล้วแต่รู้หรือไม่ว่า ผลแตงกวานั้นมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีนในปริมาณสูง ถ้าเรานำผลแตงกวามาฝานบาง ๆ วางไว้บนผิวหน้านั้นจะช่วยในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวให้หลุดออกนอกจากนี้น้ำที่คั้นได้จากแตงกวายังสามารถนำไปใช้ทาหน้า ช่วยทำให้ผิวหน้าอ่อนนุ่มและใช้ลอกฝ้าทำให้ผิวขาวกระจ่างใสเป็นที่สุดค่ะ
เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 2 กล้วยหอมช่วยกระชับหน้าเต่งตึง

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 2 กล้วยหอม

นำกล้วยหอมสุกตัดมาประมาณครึ่งลูกแล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วผสมกับนมสดหรือน้ำผึ้งประมาณครึ่งช้อนชา พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำอย่างนี้เพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณจะสดใส กระชับ และเต่งตึงขึ้นได้ค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 3 คืนความชุ่มช่ำแก่ผิวด้วยแตงโม

ผลไม้สีแดงเนื้อชุ่มช่ำ สำหรับแตงโมนั้นความชุ่มชื้นจากน้ำแตงโมจะช่วยในการปรับสภาพเซล์ผิวหน้าที่แห้งจากการตากแดดที่ทำให้ดำคล้ำกลับมามีสภาพเปล่งปลั่งดีดังเดิมได้ เพียงแค่ใช้น้ำแตงโมมาทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วตามด้วยน้ำเย็นอีกรอบหรือจะนำเนื้อแตงโมมาฝานบาง ๆ นำไปแช่เย็น แล้วนำมาวางให้ทั่วใบหน้าและลำคอ แค่นี้ผิวพรรณของคุณก็จะกลับมาสดชื่นและนุ่มนวลดังเดิมแล้วค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 4 ฝรั่งสดช่วยหน้าใส

ให้คุณนำเนื้อของผลฝรั่งสด 1 ลูกมาปั่นให้เละ แล้วเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อมาพอกหน้า โดยทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าที่เคยหมองคล้ำนั้นกลับมาผ่องใสได้ค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 5 มะเขือเทศ

เป็นที่รู้กันดีของสาว ๆ หลายคนว่ามะเขือเทศนั้นช่วยให้น่าใสได้ขนาดไหนเพียงแค่นำมาปั่นให้ละเอียดแล้วใช้พอกหน้า หรือฝานบาง ๆ วางให้ทั่วใบหน้า ประมาณ 20 นาที ทำเป็นประจำทุกๆหนึ่งสัปดาห์จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มความขาวเนียนผุดผ่องให้ใบหน้าได้อย่างวิเศษทีเดียว

ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

วิธีคิด..เพื่อสร้างความสุข

ความสุข ใครๆก็อยากมีกันทั้งนั้น ซึ่งการทำให้มีความสุขนั้นก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเช่นกัน แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการทำให้มีความสุข คือ การรักษาความสุขให้อยู่กับเราไปนานๆ

ความสุข ก็คือความพอใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความพอใจที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะทำให้แต่ละคนมีความสุขจึงมีความยากง่ายไม่เท่ากันเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความปรารถนาของบุคคลนั้นๆ แต่โดยรวมแล้ว การจะทำให้ชีวิตมีความสุขนั้นก็มีหลักการคิดอยู่ไม่กี่ข้อ ดังนี้ค่ะ

การสร้างความสุขนั้นสามารถทำได้โดย

smile
smile

1. การตั้งความหวัง หรือการคาดหวัง จะต้องระลึกถึงความเป็นไปได้จริงด้วย พยายามอย่าคาดหวังอะไรที่เกินความสามารถ ที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริง หรือคาดหวังโดยมีผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง เพราะถ้าเกิดการผิดหวังขึ้นมากะทำให้ชีวิตพบกับความทุกข์ได้

2. รักและเข้าใจตัวเอง ก่อนที่จะไปรักใคร เข้าใจใครเราจะต้องรักและเข้าใจตัวเองก่อน ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น ถึงแม้ว่าอาจไม่ได้ดีเท่าคนอื่น แต่ก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา ไม่มีใครที่ดีไปเสียหมดทุกอย่างหรอก เราต้องยอมรับความเป็นจริง ในเมื่อธรรมชาติสร้างมาให้เราเท่านี้ เราก็ต้องพอใจและยอมรับมัน คนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ค่ะ

3. รู้จักเมตตาและให้อภัย คำนี้ต้องสร้างให้เป็นนิสัยติดตัวไปตลอด โดยการเริ่มจากตัวเองก่อน เมื่อผิดพลั้ง ผิดพลาดไป ก็ต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง ไม่โกรธ ไม่เกลียดตัวเอง ไม่มีใครที่ถูกไปหมด หรือผิดไปหมดทุกเรื่องหรอกค่ะ เราจะต้องรู้จักการให้อภัย ซึ่งเมื่ออภัยให้ตัวเองได้แล้วก็จะเป็นพื้นฐานการ ให้อภัย และเมตตาผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เราไม่มีนิสัย อาคาด พยาบาท ไม่คิดร้ายก็ทำให้ชีวิตมีความสุข

4. รู้สึกดีกับตัวเอง เพราะการรู้สึกดีกับตัวเองก็คือการมีความสุขกับตัวเองนั่นเอง ลดความอิจฉา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เค้ามีในสิ่งที่เราต้องการมากกว่า แต่จงมองดูว่าสิ่งที่เรามีนี้ บางคนเค้าก็อยากมีแต่ไม่มีเหมือนเรา จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา และจงอย่าไปอิจฉาชีวิตของคนอื่น พอใจในสิ่งที่ตนเองมี รู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เพียงเท่านี้กะมีความสุขแล้ว

อย่างไรก็ตามถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ชีวิตก็ยังมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ถ้ารู้สึกว่าชีวิตนี้หาความสุขไม่ได้อีกแล้ว  เราขอแนะนำให้คุณรีบไปปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อหาทางออกที่ดีค่ะ อย่าคิดว่าคนที่มีปัญหาทางจิต หรือเป็นบ้าเท่านั้นที่จะต้องไปพบจิตแพทย์ เพราะไม่เช่นนั้นการที่คุณหาทางออกจากความทุกข์ไม่ได้ จะเป็นสาเหตุให้สุขภาพกายแย่ สุขภาพจิตตก โรคต่างๆ รุมเร้าได้ รีบหาทางแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่านะคะ

ที่มาบทความ:Thaieditorial.com

http://women.mthai.com/women-variety/102739.html

การใช้ยาอย่างถูกวิธี

ยาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งยาแต่ละชนิดก็มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน เช่น ยาทา ยาฉีด ยากิน เป็นต้น หากเราใช้ยาไม่ถูกต้อง หรือใช้โดยไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนและทำให้เกิดอันตรายได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา เราจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยา ทั้งในเรื่องของการใช้ยาที่ถูกต้อง รู้จักวิธีการเก็บรักษายาไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว และรู้จักสังเกตว่ายานั้นเสื่อมสภาพหรือยัง ดังนี้

ยา
ยา

1. ใช้ให้ถูกโรค คือ ใช้ยาให้ตรงกับโรคที่เป็น เราไม่ควรซื้อยาหรือใช้ยาตามคำบอกเล่าของคนอื่น หรือหลงเชื่อคำโฆษณา ควรจะให้แพทย์ หรือเภสัชกรเป็นคนจัดให้ เพราะหากใช้ยาไม่ถูกกับโรคอาจทำให้ได้รับอันตรายจากยานั้นได้ หรือไม่ได้ผลในการรักษา และยังอาจเกิดโรคอื่นแทรกซ้อนได้ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะทั้งที่โรคที่เป็นไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อเลย ซึ่งทำให้เชื้อโรคเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้ในภายหลัง

2. ใช้ยาให้ถูกกับคน คือ ต้องดูให้ละเอียดก่อนใช้ว่า ยาชนิดใดใช้กับใคร เพศใด และ อายุเท่าใด เพราะอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของคนแต่ละเพศ แต่ละวัยมีความแตกต่างกัน เช่น ในเด็กการตอบสนองต่อยาจะเร็วกว่าผู้ใหญ่มาก ในสตรีมีครรภ์ยาหลายชนิดมีผลทำให้ทารกพิการได้ ในสตรีที่ให้นมบุตรก็ต้องระวังเพราะยาอาจถูกขับทางน้ำนมซึ่งจะส่งผลให้ทารกได้ ในผู้สูงอายุการทำลายยาโดยตับและไตจะช้ากว่าคนหนุ่มสาว

3. ใช้ยาให้ถูกเวลา ควรปฏิบัติดังนี้

– การรับประทานยาก่อนอาหาร ต้องรับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดี ถ้าลืมกินยาในช่วงดังกล่าวก็ให้รับประทานเมื่ออาหารมื้อนั้นผ่านไปแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมได้ดี

– การรับประทานยาหลังอาหาร โดยทั่วไปจะให้รับประทานยาหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วประมาณ 15 – 30 นาที

– การรับประทานยาหลังอาหารทันที หรือพร้อมอาหาร ให้รับประทานยาทันทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หรือจะรับประทานยาในระหว่างที่รับประทานอาหารก็ได้ เพราะยาประเภทนี้จะระคายเคืองต่อกระเพาะมาก หากรับประทานยาในช่วงที่ท้องว่าง อาจทำให้กระเพาะเป็นแผลได้

– การรับประทานยาก่อนนอน ให้รับประทานยาก่อนเข้านอนตอนกลางคืนประมาณ 15-30 นาที

– การรับประทานยาเมื่อมีอาการ ให้รับประทานยาเมื่อมีอาการของโรค เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้ แก้ปวด

4. ใช้ยาให้ถูกขนาด ควรรับประทานให้ถูกขนาดตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ จึงจะให้ผลดีในการรักษา และควรใช้อุปกรณ์มาตรฐานในการตวงยาไม่ใช้ช้อนทานข้าวหรือช้อนชงกาแฟ เพราะจะทำให้ได้ปริมาณยาที่ไม่ถูกต้อง แต่หากต้อง สามารถเปรียบเทียบหน่วยมาตรฐานดังนี้

1 ช้อนชา (มาตรฐาน) = 5 มิลลิลิตร = 2 ช้อนกาแฟ (ในครัว) = 1 ช้อนกินข้าว
1 ช้อนโต๊ะ (มาตรฐาน) =15 มิลลิลิตร = 6 ช้อนกาแฟ (ในครัว) = 3 ช้อนกินข้าว

5. ใช้ยาให้ถูกวิธี มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ยาที่ใช้ภายนอก ได้แก่ ขี้ผึ้ง ครีม ยาผง ยาเหน็บ ยาหยอด มีข้อดีคือมีผลเฉพาะบริเวณที่ให้ยาเท่านั้นและมีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย จึงไม่ค่อยมีผลอื่นต่อระบบในร่างกาย ข้อเสียคือ ใช้ได้ดีกับโรคที่เกิดบริเวณพื้นผิวร่างกายเท่านั้น และฤทธิ์ของยาอยู่ได้ไม่นาน โดยมีวิธีการใช้ดังนี้

– ยาใช้ทา ให้ทาเพียงบางๆ เฉพาะบริเวณที่เป็นหรือบริเวณที่มีอาการ ระวังอย่าให้ถูกน้ำล้างออกหรือถูกเสื้อผ้าเช็ดออก

– ยาใช้ถูนวด ก็ให้ทาและถูบริเวณที่มีอาการเบาๆ

– ยาใช้โรย ก่อนที่จะโรยยาควรทำความสะอาดแผล และเช็ดบริเวณที่จะโรยให้แห้งเสียก่อน ไม่ควรโรยยาที่แผลสด หรือแผลมีน้ำเหลือง เพราะผงยาจะเกาะกันแข็งและปิดแผล อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคภายใน แผลได้

– ยาใช้หยอด จะมีทั้งยาหยอดตา หยอดหู หยอดจมูก หรือพ่นจมูก

ยาที่ใช้ภายใน ได้แก่ ยาเม็ดยาผง ยาน้ำ ข้อดี คือ สะดวก ปลอดภัย และใช้ได้กับยาส่วนใหญ่ แต่มีข้อเสียคือ ออกฤทธิ์ได้ช้าและปริมาณยาที่เข้าสู่กระแสเลือดอาจแตกต่างกันตามสภาพการดูดซึม โดยมีวิธีการใช้ดังนี้

– ยาเม็ดที่ให้เคี้ยวก่อนรับประทาน ได้แก่ ยาลดกรดและยาขับลมชนิดเม็ดทั้งนี้เพื่อให้เม็ดยาแตกเป็นชิ้นเล็ก จะได้มีผิวสัมผัสกับกรดหรือฟองอากาศในกระเพาะอาหารได้มากขึ้น

– ยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนลงไปเลย ได้แก่ ยาชนิดที่เคลือบน้ำตาล และชนิดที่เคลือบฟิล์มบาง ๆ จับดูจะรู้สึกลื่น ยาดังกล่าวเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์เนิ่นนาน ต้องการให้ยาเม็ดค่อยๆละลายทีละน้อย

– ยาแคปซูล เป็นยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนลงไปเลย ข้อดีคือรับประทานง่าย เพราะกลบรสและกลิ่นของยาได้ดี

– ยาผง มีอยู่หลายชนิด และใช้แตกต่างกัน เช่น ตวงใส่ช้อนรับประทานแล้วดื่มน้ำตาม หรือชนิดตวงมาละลายน้ำก่อน และยาผงที่ต้องละลายน้ำในขวดให้ได้ปริมาตรที่กำหนดไว้ก่อนที่จะใช้รับประทาน เช่นยาปฏิชีวนะชนิดผงสำหรับเด็ก โดยน้ำที่นำมาผสมต้องเป็น น้ำดื่มที่ต้มสุกและทิ้งให้เย็น ต้องเก็บในตู้เย็นที่ไม่ใช่ช่องแช่แข็งและหากใช้ไม่หมดใน 7 วันหลังจากที่ผสมน้ำแล้วให้ทิ้งเสีย

– ยาน้ำแขวนตะกอน (Suspension) เช่น ยาลดกรดต้องเขย่าขวดให้ ผงยาที่ตกตะกอนกระจายเป็นเนื้อเดียวกัน จึงรินยารับประทาน ถ้าเขย่าแล้วตะกอนยังไม่กระจายตัว แสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

– ยาน้ำใส เช่น ยาน้ำเชื่อม ต้องเขย่าขวดก่อนใช้ ถ้าเกิดผลึกขึ้น หรือเขย่าแล้วไม่ละลาย ไม่ควรนำมารับประทาน

– ยาน้ำแขวนละออง (Emulsion) เช่น น้ำมันตับปลา ยาอาจจะแยกออกให้เห็นเป็นของเหลว 2 ชั้น เวลาจะใช้ให้เขย่าจนของเหลวเป็นชั้นเดียวกันก่อน จึงรินมารับประทาน ถ้าเขย่าแล้วยาไม่รวมตัวกันแสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

สรุปข้อแนะนำการใช้ยา

1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ

2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง

3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ

4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหาร ในมื้อนั้นๆ

5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง

6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้ว จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ

8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด

10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้ว มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที

http://www.mnst.go.th/dicpharmacy/PATIENT2.html