ถ้ามีร้อยละ 7 เป็นโรคซึมเศร้า ผมว่าตัวผมก็มีโอกาสเลยหละ โดยเฉพาะพฤติกรรมชอบตำหนิตนเอง

พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ หรือคุณหมอเบิร์ท
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ หรือคุณหมอเบิร์ท

http://picpost.postjung.com/m/108155.html

เห็นใครขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง
แสดงว่าเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้า ต้องเข้าไปพูดคุยด้วยบ่อย ๆ

สืบเนื่องมาจาก โรบิน แม็กลอริม วิลเลียมส์ (Robin McLaurim Williams)
นักแสดงชื่อก้องโลก อายุ 63 ปี ตัดสินใจปลิดชีพตนเอง พบเมื่อ 11 สิงหาคม ค.ศ.2014
เป็นชาวอเมริกันอีกคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้า ทำชาวโลกประหลาดใจ
http://en.wikipedia.org/wiki/Robin_Williams

แต่ที่เกาหลีใต้ ฆ่าตัวตายปีละกว่า 15000 คนต่อปี ติดต่อกัน 9 ปีแล้ว
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXpNVEUwTURFMU5nPT0
เกาหลีใต้ฆ่าตัวตายมากกว่าประเทศไทยที่มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 3,612 คนต่อปี
http://icare.kapook.com/suicide.php?ac=detail&s_id=65&id=116
ส่วนที่อเมริกามีประชากรเยอะ พบว่า มีสถิติฆ่าตัวตายมากกว่าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุซะอีก ปี 2010 มีผู้ฆ่าตัวตายสูงถึง 38,364 คน
http://www.manager.co.th/around/viewnews.aspx?NewsID=9560000053171
ญี่ปุ่น ฆ่าตัวตายกว่า 30000 ทุกปี สาวต่างจังหวัดที่ทำงานเรื่องเพศ
http://www.youtube.com/watch?v=ZOOo9gelonk
สารคดีแก้ปัญหาการฆ่าตัวตาย คลิ๊ปช่วยได้
http://www.youtube.com/watch?v=hJuE8Koiprc
http://www.youtube.com/watch?v=oo0SHLxc2d0

โรคซึมเศร้า” ชื่อโรคที่หลายคนเริ่มคุ้นหูจากคำเล่าลือว่า เมื่อเป็นแล้วจะมีอาการเครียดเศร้า และมีแนวโน้มทำให้คิดฆ่าตัวตาย! ที่สำคัญจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าในปัจจุบันก็มีมากถึง 5-7% ของจำนวนประชากรเลยทีเดียว
9 พฤติกรรมบ่งบอกคุณกำลังเป็น“โรคซึมเศร้า”โดยไม่รู้ตัว!
แม้จะเป็นอีกหนึ่งโรคฮิตที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยคิดสั้นปลิดชีพตัวเอง แต่หลายคนกลับไม่รู้ตัวว่ากำลังป่วยด้วยโรคซึมเศร้าอยู่
โอกาสนี้เราเลยขอพาคุณไปเจาะลึกถึงเรื่องราวของโรคซึมเศร้า ว่าแท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุใด เมื่อเป็นโรคแล้วผู้ป่วยจะมีอาการอย่างไร และเราจะสามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร กับ คุณหมอคนสวยอดีตนางสาวไทยปี 2542 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ หรือคุณหมอเบิร์ท จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลศรีธัญญา สาเหตุการฆ่าตัวตายที่พบได้บ่อย และคนไม่ค่อยทราบกันคือ เรื่องของโรคซึมเศร้า เนื่องจากมีคนจำนวนมาก ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแต่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ซึ่งหากป่วยแล้วปล่อยไว้นานๆ โดยไม่ได้รักษา ก็จะส่งผลให้คนไข้มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้” คุณหมออภิสมัยเกริ่นนำถึงภัยร้ายแรงของโรคซึมเศร้า
1. อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ก้าวร้าว
2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง
3. สมาธิเสีย คือ ไม่ค่อยมีสมาธิเวลาทำสิ่งต่างๆ
4. รู้สึกอ่อนเพลีย
5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด
6. รับประทานอาหารมากขึ้น หรือรับประทานน้อยลง
7. นอนมากขึ้น หรือนอนน้อยลง
8. ตำหนิตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พบได้มากในคนเป็นโรคซึมเศร้า
9. ฆ่าตัวตาย หากมีการพยายามฆ่าตัวตาย ก็ตั้งข้อสันนิษฐานได้เช่นกันว่า คนนั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้า
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122753

สถานที่ที่ฆ่าตัวตายมากที่สุดในโลก
ที่ Golden gate อันดับหนึ่ง
http://www.jirunghealthvillage.com/th/top-ten-place-suicide.php

คลิ๊ปแก้ปัญหาการฆ่าตัวตาย
http://www.youtube.com/watch?v=ZOOo9gelonk

ทหารอเมริกา ฆ่าตัวตายมากกว่าตายในสนามรบ
เนื่องจากผลกระทบทางจิต
http://news.voicetv.co.th/global/43700.html

http://www.youtube.com/watch?v=2GxSDZc8etg

ผลวิจัยบอกสิงห์อมควันไม่กลัวบุหรี่ แม้จะใช้ภาพขู่บนซองบุหรี่แล้วก็ตาม

ข่าวหนึ่งบอกว่าภาพบนซองบุหรี่ทำให้สิงห์อมควันกลัว ทำให้ยอดซื้อบุหรี่ลดลงอย่างชัดเจน
Australia smoking rates tumble after plain packaging shift
http://www.ft.com/cms/s/0/c4016952-0d4a-11e4-bcb2-00144feabdc0.html

แต่อีกข่าวสื่อสารมาว่าไม่มีผลกระทบหรอก ยอดซื้อยังเหมือน ๆ เดิม
‘Plain’ packaging not a boost to illegal tobacco use, study suggests
http://www.bbc.com/news/health-28966048
http://www.theguardian.com/business/2014/aug/28/cigarette-plain-packaging-fear-campaign-unfounded-victoria-study-finds

cigarettes
cigarettes

ซองบุหรี่สีเรียบ ไม่กระทบสิงห์อมควัน ที่ออสเตรเลีย
ผลวิจัยล่าสุดจากออสเตรเลียพบว่า รูปคำเตือนบนซองบุหรี่ ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือลดจำนวนนักสูบลงแต่อย่างใด
ไม่นานมานี้ ศาลปกครองสูงสุดของไทยยกเลิกคำสั่งระงับการขยายภาพบนซองบุหรี่จากร้อยละ 55 เป็นร้อยละ 85 ตามประกาศกระทรวงสาธารณะสุข พ.ศ. 2556 ส่งผลให้รูปภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ในปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าเดิมจนเกือบเต็มซอง แต่น้อยกว่าออสเตรเลียที่กำหนดให้ซองบุหรี่มีสีเรียบ ไม่มีสัญลักษณ์ยี่ห้อ และภาพคำเตือนที่มีขนาดประมาณร้อยละ 87.5 ของซองบุหรี่มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ล่าสุด ศูนย์วิจัยด้านพฤติกรรมในโรคมะเร็งแห่งนครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ออกมาระบุว่า ไม่มีหลักฐานใดยืนยันอย่างชัดเจนว่า ซองบุหรี่สีเรียบ มีรูปคำเตือนขนาดใหญ่ ไม่มีสัญลักษณ์ยี่ห้อ จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของสิงห์อมควันได้ หลังทำการสำรวจประชากรตัวอย่างทั่วออสเตรเลียกว่า 2,000 คน ด้วยการโทรศัพท์สัมภาษณ์สิงห์อมควันระหว่างปี 2554-2556 เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อบุหรี่ ทั้งก่อนและหลังที่กฎหมายซองบุหรี่จะมีผลบังคับใช้ในปลายปี 2555
จากการสำรวจพบว่า 3 เดือนหลังจากกฎหมายซองบุหรี่ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ สิงห์อมควันเพียงร้อยละ 2.6 เท่านั้นพยายามหาซื้อบุหรี่แบบเก่า อย่างมากก็หาซื้อได้เพียงแค่ซองเดียว ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ซื้อบุหรี่เถื่อนที่ไม่มีรูปภาพคำเตือนหรือซองสีเรียบมีจำนวนเพียง 2-3 รายเท่านั้น ตรงกับอัตราการบริโภคอัตราการสูบบุหรี่เถื่อนมวลรวมของประเทศที่มีเพียงร้อยละ 5 ในอัตราคงที่ระหว่างปี 2554-2556 ซึ่งหมายความว่า ซองบุหรี่ชนิดใหม่ที่มีรูปคำเตือนขนาดใหญ่แทบไม่ส่งผลอะไรต่อนักสูบเลย
ก่อนหน้านี้ ผลวิจัยจากสถาบัน KPMG ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถูกว่าจ้างโดยบริษัทบริติชอเมริกันโทแบคโคและฟิลิปมอริส ผู้ผลิตบุหรี่รายใหญ่ของโลก ชี้ให้เห็นว่า ภายหลังที่กฎหมายซองบุหรี่ของออสเตรเลียฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ จำนวนผู้ดูดบุหรี่ลดลงอย่างมาก ประกอบกับรัฐจัดเก็บภาษีบุหรี่ได้น้อยลง ขณะที่ บุหรี่เถื่อนกลับได้รับความนิยมในหมู่นักสูบที่ต้องการสองบุหรี่แบบปกติ ซึ่งตรงข้ามกับ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเพิ่มรูปคำเตือนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือทำซองสีเรียบ มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าสามารถลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้หรือไม่ แต่ในทางตรงกันข้าม จำนวนผู้สูบบุหรี่กลับมีแน้วโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยในแต่ละปี
http://shows.voicetv.co.th/voice-news/115954.html

หญิงอังกฤษซิลิโคนหน้าอกระเบิด หลังเสริมคัพ D

หญิงอังกฤษซิลิโคนหน้าอกระเบิด หลังเสริมอึ๋มสุดสะบึม เป็นคัพ D

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เว็บไซต์มิร์เรอร์ของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวน่าหวาดเสียว เมื่อหญิงชาวอังกฤษรายหนึ่ง ต้องเผชิญกับฝันร้าย หน้าอกปลอมระเบิดทำซิลิโคนรั่วไหล หลังจากเข้ารับการศัลยกรรมหน้าอกไซส์ใหญ่จัดเต็ม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ คิม บร็อกเฮิร์สต์ วัย 51 ปี ครูสอนกีฬาจากอังกฤษ ได้ทุ่มเงินกว่า 2 แสนบาท เข้ารับการผ่าตัดเสริมหน้าอกจาก 32A ให้ใหญ่ขึ้น 2 คัพ ซึ่งจะเท่ากับคัพ C แต่แล้วหลังจากผ่าตัดเสร็จ เธอกลับพบว่าหมอเข้าใจผิด จัดเต็มให้เธอมีหน้าอกคัพ D สุดสะบึมซะอย่างนั้น แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ตัดสินใจแก้ไขให้เป็นขนาดที่ต้องการ และใช้ชีวิตอยู่กับมันมาโดยตลอด กระทั่งวันหนึ่ง หน้าอกเจ้ากรรมของเธอก็เกิดการอักเสบขึ้น เนื่องจากซิลิโคนที่อกซ้ายระเบิดและรั่วภายในร่างกายเธอ เธอจึงต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาซิลิโคนออก

อย่างไรก็ดี ภายหลังแพทย์ผู้ผ่าตัดนำซิลิโคนออกจากหน้าอกเธอ ได้เปิดเผยว่า แพทย์ที่ทำศัลยกรรมหน้าอกให้คิมนั้น ใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงนำมาซึ่งการระเบิดของซิลิโคนดังกล่าว
—————–

ขอบคุณข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view91097.html

ภาพจาก Kim Brockhurst

ประโยชน์ของข้าวโพด

ข้าวโพด
ข้าวโพด

ข้าวโพดเป็นธัญพืช ที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน นอกจากจะมีฝักและเมล็ดที่มีรสชาติ หวาน แล้วยังประกอบไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมาย ยิ่งในปัจจุบันยุคไอที ข้าวโพดเป็นธัญพืชชั้นดี ที่จะช่วยดูแลสุขภาพร่างกายของเรา และป้องกันโรคต่างๆ อีกด้วย มาดูกันว่าข้าวโพดมีประโยชน์อะไรบ้าง

สรรพคุณของข้าวโพด

ข้าวโพดช่วยบำรุงสายตา

ในข้าวโพดจะมีสาร เบต้าแคโรทีน (β-carotene) หรือที่เรารู้กันว่าเป็น โปรวิตามินเอ ร่างกายเราจะนำไปใช้สร้างสาร โรดอปซินนะครับช่วยให้ลดอัตราเสื่อมของลูกตาและป้องกันการเป็นโรคต้อกระจกตาด้วย อีกทั้งยังมี โฟเลตซึ่งจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอในการเสื่อมสภาพของร่างกาย

ป้องกันโรคหัวใจ

ข้าวโพดจะมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ผูกกับใยที่ละลายกับน้ำดีจากคอเลสเตอรอลในตับของเรา ซึ่งจะช่วยให้คอเลสเตอรอลในร่างกาย สลายไปได้ดีอีกด้วย แถมยังอุดมไปด้วยโฟเลต, วิตามินบีที่ช่วยในการลดระดับของ homocysteine, กรดอะมิโนที่ตามผลิตภัณฑ์ในกระบวนการเมตาบอลิสำคัญ (เรียกว่ารอบการเติมหมู่เมธิ) ระดับสูงของ homocysteine สามารถทำลายเส้นเลือดที่นำไปสู่หัวใจวายโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดันในร่างกาย

ต้านมะเร็ง

นอกจากข้าวโพดจะมีสารที่ช่วยในการสร้าง โรดอปซิน ที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ข้าวโพดยังช่วยลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งปอด และเส้นใยในข้าวโพดยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารเพื่อสุขภาพจึงลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่

ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร

เส้นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ ในข้าวโพดจะช่วยให้ดี สำหรับริดสีดวงทวาร จากโรคทางเดินอาหาร หรืออาหารท้องผูก ทุเลาลง เนื่องจาก เส้นใยจะช่วยดูดซับน้ำ และช่วยระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น

ช่วยบำรุงผิวพรรณ

อย่างที่เราทราบกันดีเรื่อง สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในข้าวโพด ทำให้ผิวพรรณของเราไม่เหี่ยวย่น เปล่งปลั่งดูสดชื่นมีชีวิตชีวา

————-

และยังมีผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ (Cornell University : เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนตั้งอยู่ที่เมืองอิทากา ในมลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2408) รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษ ในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด นักวิจัยเปิดเผยว่า “ผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน” ว่าผักและผลไม้หากต้มหรือปรุงสุกแล้ว จะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถ เก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีไป

นักวิจัยยังพบอีกว่าการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานเท่าไหร่ จะทำให้มันมีสาร ที่เป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรค อันสืบเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ เช่น ต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยชี้แจงว่าข้าวโพดหวาน ที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก (Ferulic acid) อันเป็นคุณกับร่างกาย และจะยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพวก “พฤกษเคมี” (Phytochemical หรือ Phytonutrients) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ พบเฉพาะในผักและผลไม้และมีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบว่ามีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด ซึ่งผสมปนเปรวมอยู่กับพฤกษเคมีอย่างอื่นๆ เพราะฉะนั้นการทำให้มันสุก จึงช่วยให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น”

—————————————

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.xn--22c6buahm7b6c3b8g.com/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94.html

http://www.jitdrathanee.com/blog/2010/10/corn/

ญี่ปุ่นส่งเสริมประชาชนแต่งชุดลำลองในที่ทำงานเพื่อประหยัดพลังงาน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

2 มิ.ย.- สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานอ้างสื่อญี่ปุ่นว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มดำเนินโครงการรณรงค์ซูเปอร์คูลบิซส่งเสริมให้ประชาชนแต่งกายด้วยชุดลำลองในสถานที่ทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องปรับอากาศมากเกินไปซึ่งจะช่วยให้ประหยัดพลังงาน
สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานว่า โครงการซูเปอร์คูลบิซเริ่มขึ้นในปี 2554 ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนพลังงานหลังจากเกิดวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะไดอิจิ โดยได้รับการปรับปรุงมาจากโครงการคูลบิซที่เริ่มขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งอนุญาตให้ลูกจ้างของรัฐไม่ต้องสวมสูทมาทำงาน

โดยปกติแล้วคนทำงานในญี่ปุ่นจะสวมชุดสูทและผูกเนคไทเสมอ แต่ระหว่างช่วงที่มีการดำเนินโครงการซูเปอร์คูลบิซคนทำงานจะได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อโปโล รองเท้าผ้าใบหรือแม้แต่เสื้อฮาวายในที่ทำงานได้ ทั้งนี้ โครงการซูเปอร์คูลบิซจะยังคงดำเนินไปจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ และโครงการคูลบิซจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม

นอกจากนี้ กระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นยังได้แนะให้ประชาชนเปลี่ยนช่วงการทำงานให้เช้าขึ้นซึ่งสภาพอากาศเย็นกว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคลมแดดแล้ว 3 คน และล้มป่วยอีกหลายร้อยคน หลังจากหย่อมความกดอากาศสูงปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นและส่งผลให้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น.

-สำนักข่าวไทย  http://www.mcot.net/site/content?id=538c11d2be0470e3068b4569#.U45303J_tLE

กินกล้วย…ช่วยแก้ตะคริว

Banana
Banana

หากคุณเป็นตะคริวบ่อยๆ วิธีการแก้ในระยาวก็คือ  รับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมให้มากๆ ซึ่งอาหารที่พบได้ว่ามีโพแทสเซียมก็หาไม่ยาก  เช่น ผลไม้พื้นเมืองบ้านเราอย่าง “กล้วย” นั่นเอง

เมื่อรับประทานกล้วยบ่อยๆ อาการตะคริวก็ค่อยๆ หายไปและไม่เป็นอีก นอกจากนี้ควรหมั่นยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ ระหว่างนั่งทำงาน ก็เป็นวิธีป้องกันการเป็นตะคริวได้ค่ะ

————–
ขอบคุณข้อมูลจาก.นิตยสารเพื่อนแพน

กรมวิทย์ฯ ยัน ตรวจขวดน้ำพลาสติกในรถไม่พบสารก่อมะเร็ง

      images
      images

    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันไม่เคยมีรายงานการตรวจพบสารไดออกซินในขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่ม พร้อมเผยผลการตรวจวิเคราะห์ไม่พบในทุกตัวอย่าง (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)

    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยัน ไม่เคยมีรายงานการตรวจพบสารไดออกซินในขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่มที่วางทิ้งไว้ในรถ หลังมีข้อมูลส่งต่อกันว่า ขวดพลาสติกที่ตากแดดนาน ๆ จะมีสารแพร่ออกมาทำให้เสี่ยงมะเร็ง

    เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2557 นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากกระแสข่าวผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสังคมออนไลน์เตือนให้หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกที่เก็บในหลังรถยนต์ และจอดกลางแดด โดยมีโอกาสได้รับสารไดออกซินที่แพร่ออกมาจากขวดน้ำพลาสติก เนื่องจากอากาศร้อนจัด อาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งอื่น ๆ ได้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นกลัวถึงอันตรายจากการดื่มน้ำบรรจุขวดพลาสติกนั้น

    ในเรื่องนี้ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ซึ่งมีภารกิจในการวิเคราะห์ วิจัยทางด้านไดออกซิน น้ำดื่มและวัสดุสัมผัสอาหาร ขอชี้แจงข้อมูลเพื่อให้ความรู้ผู้บริโภคดังนี้…

    สารไดออกซิน (Dioxins) เป็นชื่อกลุ่มสารที่มีโครงสร้างและสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกัน ประกอบด้วย สารกลุ่มโพลี คลอริเนตเตท ไดเบนโซพารา ไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-para-dioxins: PCDDs) สารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตท ไดเบนโซ ฟูแรน (Polychlorinated dibenzo furans: PCDFs) และสารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตทไบฟีนิล ที่มีสมบัติคล้ายสารไดออกซิน (Dioxins–like polychlorinated biphenyls: DL-PCBs) ซึ่งกลุ่มสารไดออกซินที่ก่อให้เกิดพิษมี 29 ตัว และสารแต่ละตัวจะมีค่าความเป็นพิษแตกต่างกัน โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือว่าสาร 2,3,7,8–Tetrachlorodibenzo-para-dioxin (2,3,7,8-TCDD) เป็นสารที่มีความเป็นพิษสูงสุด

    สารไดออกซินเป็นผลผลิตทางเคมีที่เกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ แหล่งกำเนิดสำคัญของสารกลุ่มนี้คือกระบวนการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ อุตสาหกรรมผลิตยาฆ่าแมลง เป็นต้น หรือกระบวนการเผาไหม้อุณหภูมิสูงทุกชนิด เช่น เตาเผาขยะทั่วไป เตาเผาขยะจากโรงพยาบาล เตาเผาศพ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง และการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น

    การสร้างกลุ่มสารไดออกซินจากการเผาไหม้จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิประมาณ 200-550 องศาเซลเซียส และจะเริ่มถูกทำลายเมื่ออุณหภูมิ 850 องศาเซลเซียสขึ้นไป ทำให้มีการปลดปล่อยและสะสมสารกลุ่มนี้ในสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ดิน หรือน้ำ ซึ่งสามารถปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้

ประโยชน์ที่ได้รับจากการ..อบสมุนไพร

วันหยุดที่ผ่านมา ได้มีโอกาสอบสมุนไพร ที่ลำปางรักษ์สมุนไพร ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ว่าการอบสมุนไพรจะมีข้อดีมากมาย  รู้สึกได้เลยค่ะสบายตัว ดีมากๆ  คุ้มกับเวลาที่เสียไป

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วันนี้จึงนำประโยชน์จากการอบสมุนไพรมาฝากค่ะ

– ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก

-ช่วยบรรเทาอาการหอบหืดเรื้อรัง

-ทำให้ปอดขยายตัวได้ดี ระบบหายใจปลอดโปร่ง มีความคล่องตัวมากขึ้นไม่อึดอัด

-ทำให้ผดผื่นคัน และอาการอักเสบของผิวหนังกายไปได้

-ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย อันก่อให้เกิดโรคกลากเกลื้อน ทำให้ผิวหนังเกลี้ยงเกลา สะอาด มีน้ำมีนวล ไม่หมองคล้ำ

-ช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะเส้นโลหิตจะขยายออกทำให้โลหิตไหลเวียนสะดวกขึ้น ผิวพรรณจึงผุดผ่อง เปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด

-ช่วยฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น ให้คืนกลับมาแข็งแรงเป็นปกติเร็วขึ้น เสริมสร้างสุขภาพของผู้ที่อ่อนแอ ขี้โรค ให้กลายเป็นคนที่มีสุขภาพดี กระปรี้กระเปร่า มีเรี่ยวแรงดีขึ้น สุขภาพจิตผ่องใส สุขภาพกายแข็งแรง

-ทำให้มดลูกของสตรีหลังคลอดเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ช่วยขับน้ำคาวปลา การอบสมุนไพรจะทำให้สุขภาพร่างกายของสตรีหลังคลอดดีขึ้น แต่จะต้องทำการอบสมุนไพรหลังการคลอดประมาณ 10 วัน จึงจะได้ผลดี ว่ากันว่าสตรีหลังคลอดที่ผ่านการอบสมุนไพรมาแล้วนั้น ผิวพรรรจะผุดผ่องเป็นยองใยยิ่งกว่าเด็กสาว ๆ เสียอีก เพราะการอบสมุนไพร จะทำให้เกิดเลือดฝาดที่มีสีแดงบริสุทธิ์ขึ้นมานั่นเอง

-ทำให้ใบหน้านิ่มนวล เกลี้ยงเกลา ผิวหน้าปราศจากความมัน และความหยาบกร้าน

-ช่วยรักษาสิว ฝ้า ขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ลบรอยตีนกา ริ้วรอยที่หัวคิ้ว ขอบตาและหน้าผาก

-ช่วยแก้อาการเหน็บชา อาการชาตามปลายเท้า ปลายนิ้วมือ แขน และขา

-ช่วยทุเลาอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต และทำให้หายขาดได้

-ช่วยขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ เส้น และเอ็น ให้เบาบางลง จนกระทั่งเป็นปกติในที่สุด

-ลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

ทราบถึงประโยชน์ของการอบสมุนไพรแบบนี้แล้ว ต้องหาเวลาไปบ่อยๆ แล้วล่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะค่ะ…

——————————

ผลกระทบที่เกิดจากการ..นอนไม่หลับ

นอนไม่หลับ
นอนไม่หลับ

การนอนหลับสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสุขภาพอย่างมาก
แต่หลายคนไม่รู้ว่า ถ้านอนไม่หลับ จะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพมากเลยเลยค่ะ

1. เพิ่มความอยากกินอาหารขยะ เพราะการนอนไม่หลับมีผลกระทบต่อสมองส่วนเชื่อมโยงอาหารที่ร่างกายต้องการ ทำให้เราฟังเสียงจากร่างกายไม่ได้ ทำให้กินตามใจปาก นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสมองส่วนอะมิกดาลา ซึ่งเป็นตัวควบคุมความอยากอาหาร ทำให้เราอยากกินนั่นนี่ตลอดเวลา

2. ทำลายผิวพรรณ หากนอนไม่หลับ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวทำลายคอลลาเจน การศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิพม์ใน Journal of Investigative Dermatology กล่าวว่า การนอนไม่หลับเป็นสาเหตุสำคัญทำให้สุขภาพผิวเสีย แลดูแก่ก่อนวัย

3. ทำลายความจำ ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร์ เบิร์คลี่ รายงานไว้ในวารสาร Nature Neuroscience ว่า หากนอนไม่หลับความจำจะติดอยู่ในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ซึ่งช่วยจัดระเยียบให้ความจำ ฉะนั้นหากไม่แก้ไข ต่อไปก็จะกลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืมก่อนวัย

4. สมรรถภาพทางเพศเสื่อม วารสาร Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism รายงานว่า ผู้ชายร้อยละ 50 ที่มีอาการนอนไม่หลับ จะมีความต้องการทางเพศลดลง

5. ทำป่วยโรคหัวใจ เพราะการนอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมงจะช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนและสารเคมีต่างๆในร่างกาย ซึ่งหลายตัวนั้นมีผลต่อการทำงานของหัวใจ ฉะนั้นหากเกิดการทำงานรวนขึ้นมา สุขภาพหัวใจจะพลอยแย่ไปด้วย

6. เสี่ยงตายเร็ว นอกจากโรคหัวใจที่อาจพิฆาตชีวิตคุณแล้ว จากการศึกษาที่ตีพิพม์ในวารสาร Sleep พบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่าคืนละ 6 ชั่วโมงเป็นประจำ จะมีอายุสั้นลง 14 ปี

ถ้ากลัวปัญหาสุขภาพเหล่านี้ รีบหาสาเหตุของการนอนไม่หลับนะค่ะ แล้วแก้ไขปัญหาเหล่านั้น หรือไม่ก็ควรปรึกษาแพทย์ค่ะ  เพื่อการนอนหลับที่ดี นำไปสู่สุขภาพกายและใจแข็งแรง

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.cheewajit.com/articleView.aspx?cateId=6&articleId=2584

สปาหอยทาก..ล่าสุดเปิดตัวที่จีน

สปาหอยทาก
สปาหอยทาก

สปาหอยทาก วิธีเสริมความงามที่ฮิตสุด ๆ ในประเทศญี่ปุ่น ล่าสุดเปิดตัวแล้วที่เมืองฉางซา มณฑลหูหนานของจีน

วันที่ 27 พฤษภาคม 2557 เว็บไซต์จีบีไทม์ส ของประเทศจีน รายงานจากเมืองฉางซา ว่า สปาหอยทากซึ่งเคยเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น โดยการนำหอยทากที่ยังมีชีวิตมาไต่บนใบหน้า โดยเชื่อว่าเมือกของมันสามารถคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวได้นั้น ขณะนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดยร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งที่เมืองฉางซา มณฑลหูหนานของจีน

ทั้งนี้ ร้านดังกล่าวโฆษณาสรรพคุณของการทำสปาหอยทากว่า เมือกของมันมีโปรตีนที่มีประโยชน์บางตัว ซึ่งสามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำความสะอาดรูขุมขน ซ่อมแซมผิวจากการเผาไหม้ของแสงแดด และคืนความชุ่มชื้นให้ผิวได้ อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า หอยทากที่ใช้ในสปาที่ญี่ปุ่นดูเหมือนจะเป็นคนละพันธุ์กับที่ใช้ในจีน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณออกมาเตือนว่า การนำหอยทากที่ยังมีชีวิตมาไต่บนใบหน้า เมือกของมันอาจมีแบคทีเรียและปรสิตที่เรามองไม่เห็น ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ ทำความเสียหายให้แก่ผิว และอาจถึงขนาดเป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view89483.html