ประโยชน์ของเมล็ดทานตะวัน..

เมล็ดทานตะวัน

เมล็ดทานตะวันเป็นธัญพืชที่ช่วยลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นอีกตัวหนึ่ง เพราะสามารถกินเป็นขนมขบเคี้ยวได้ตลอดทั้งวัน เหมาะกับคนที่ชอบกินจุกจิก ที่สำคัญเมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด สามารถกำจัดกับสารพิษ และป้องกันการอักเสบต่างในร่างกาย

นอกจากนี้เมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ที่จะช่วยลดความตึงเครียด ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายได้มากขึ้น ส่วนโปรตีน ไฟเบอร์ และวิตามินบีที่อยู่ในเมล็ดทานตะวัน ยังมีส่วนสำคัญในการเผาผลาญพลังงานและทำให้คุณอิ่มอยู่ท้องนานกว่าเดิมอีกด้วยจ้า

http://health.kapook.com/view75546.html

เคล็ดลับ “ลดหน้าท้อง”

ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ล้วนแล้วแต่อยากมีหน้าท้องที่แบนเรียบ แต่หากใครกำลังมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่ วันนี้มีเคล็ดลับ “การลดหน้าท้อง” มาฝากค่ะ

หมดปัญหา
หมดปัญหา

1. ใช้ฟิตเนสบอลเป็นตัวช่วย

การนั่งบนลูกบอลฟิตเนสลูกโตๆ แม้จะลำบากเอาการกว่าจะทรงตัวบนลูกบอลได้ แต่ลำบากอย่างนี้แหละ จะช่วยให้เราเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณท้องไปโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณสาวๆ นั่งดูทีวี ก็ลองเปลี่ยนเก้าอี้มาเป็นลูกบอลฟิตเนสดูดีกว่า รับรองว่าหน้าท้องหายไปแน่นอน ถ้าจะให้เห็นผลยิ่งขึ้น ลองหลับตาด้วยขณะทรงตัวบนลูกบอล เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นในการรักษาความสมดุลนั่นเอง

2. เล่นโยคะ
การเล่นโยคะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายสมดุล มีสุขภาพดีแล้ว บางท่าของโยคะยังสามารถลดหน้าท้องได้ด้วย โดยขั้นแรกให้นอนหงาย มือประสานกันใต้ศีรษะ วางเท้าชิด จากนั้หายใจเข้า หายใจออก ยกลำตัว ยกขาซ้ายขึ้น 45 องศา ขาตรง ไม่งอเข่า เกร็งหน้าท้อง ไม่กลั้นหายใจ ค้างไว้ แล้วหายใจเข้า-ออก 5–10 วินาทีก่อนวางขาลง จากนั้นให้ทำสลับกับขาขวาเช่นเดียวกัน ทำซ้ำไปมา 2-3 ครั้ง แล้วให้หายใจเข้า หายใจออก ยกทั้งสองขาและลำตัวค้างไว้ หายใจเข้าออก 10 วินาที แล้วลดลง

3. มาเต้นกันดีกว่า
ทราบไหมว่า การเต้นหนึ่งชั่วโมงจะสามารถเผาผลาญได้ถึง 400 แคลอรี่ แถมยังจะช่วยให้คุณสาวๆ มีเชฟเป็นทรวดเป็นทรงมากขึ้นด้วย หรือใครอยากลดหน้าท้องจริงๆ ก็หัดเต้น Belly Dance ไปเลย

4. แขม่วหน้าท้อง
แขม่วท้องเป็นการออกกำลังกายง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ตลอดเวลา แถมยังช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานตลอดเวลาด้วย ลองแขม่วท้องให้ติดเป็นนิสัยดูสิ รับรองว่ากล้ามเนื้อจะกระชับขึ้น แถมยังช่วยให้ขับถ่ายสะดวกขึ้นด้วย

5. ซิทอัพ+ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
หลายคนเข้าใจว่า การซิทอัพจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบ แต่จริงๆ แล้ว การซิทอัพแค่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องเท่านั้นเอง แต่ไขมันยังคงอยู่ เพราะฉะนั้น ควรซิทอัพผสมกับการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่งจ้อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป

6. นอนให้เร็วขึ้น
รู้ไหมคะว่า การเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำไม่ให้เกิน 4 ทุ่ม จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยเผาผลาญพลังงานออกมา เป็นวิธีที่จะช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกได้อย่างง่ายดาย และถ้าจะให้ดี ควรนอนหลับให้ได้ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันด้วย

ชอบวิธีไหนทำกันดูนะค่ะ..

ข้อมูลจาก ISNHOTNEWS

http://variety.teenee.com/foodforbrain/56915.html

อาการของโรคมะเร็งตับ

อย่ามองข้ามหมั่นสังเกตุความผิดปกติของร่างกายเรานะค่ะ เรื่องเล็กๆ น้อยไม่ควรมองข้ามค่ะ ผิดปกติรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ วันนี้มีข้อมูลของอาการโรงมะเร็งตับมาฝาก… รู้ไว้ใช่ว่าค่ะ…

ตับ
ตับ

โรคมะเร็งตับ
ไม่มีอาการเด่นในระยะแรก ส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงอาการในระยะกลางและระยะสุดท้าย อาการของโรคมะเร็งตับระยะแรกมักไม่ได้รับความสนใจหรือถูกละเลยไปจากผู้ป่วย และถึงเวลาไปตรวจก็วินิฉัยออกเป็นโรคมะเร็งตับระยะสุดท้ายแล้ว ดังนั้น ต้องเรียนรู้ก่อนว่า อาการของโรคมะเร็งตับที่แสดงออกทางร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง

อาการของโรคมะเร็งตับที่แสดงออกทางร่างกาย

๑. บริเวณของตับเจ็บ: การเจ็บแบบเล็กน้อยตรงบริเวณตับส่วนขวาบน เป็นอาการสำคัญที่พบบ่อยของโรคมะเร็งตับปฐมภูมิ เนื่องจากปริมาณของตับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเนื้องอกรุกเข้าเยื่อหุ้มของตับหรือท้อง ทำให้ตับเจ็บบวมอย่างต่อเนื่อง บางครั้งเนื้องอกรุกเข้าไปกล้ามเนื้อกระบังลม ทำให้ความเจ็บกระจายไปที่ไหล่หรือหลังด้านขวา สำหรับเนื้องอกที่ออกทางด้านหลังขวานั้น อาจก่อให้มีอาการเจ็บเอวด้านขวา นอกจากนี้ เมื่อปุ่มเนื้องอกแตกร้าวและเข้าไปในช่องท้อง จะมีอาการเจ็บท้องอย่างร้ายแรงและเยื่อหุ้มท้องอักเสบ

๒. ตับบวม: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของโรคมะเร็งตับปฐมภูมิ รวมอาการตับแข็ง ตับไม่เรียบ มีก้อนและปุ่มเนื้อเกิดขึ้น ปริมาณของตับบวมอย่างต่อเนื่อง และมีอาการกดแล้วเจ็บอยู่เสมอ

๓.โรคดีซ่าน: เนื่องจากเซลล์ของตับได้รับความเสียหาย และเนื้องอกบีบทับถุงน้ำดี ทำให้เกือบหนึ่งในสามของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมีอาการนี้เกิดขึ้นในระยะสุดท้าย

๔. ความเป็นไข้: เนื่องจากองค์ประกอบของมะเร็งถูกทำลายและย่อยด้วยระบบร่างกาย หรือเนื้องอกบีบทับถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีอักเสบ มีอาการเป็นไข้อุณหภูมิสูงย่างต่อเนื่อง (บางครั้งมีอุณหภูมิสูงกว่า 39℃) และเป็นไข้อุณหภูมิสูงแบบผิดปกติ

๕. อาการทางกระเพาะอาหารและร่างกาย: มีอาการไม่หิวอาหาร อาการไม่ย่อย อาเจียน ท้องร่วง อ่อนเพลียไม่มีแรง และน้ำหนักตัวลดลงเป็นต้น

๖. อาการลาม: มะเร็งตับสามารถลามไปที่ปอด กระดูก ทรวงอก และสมองเป็นต้น กรณีลามไปที่ปอดและทรวงอก จะมีอาการไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก และน้ำขังเป็นเลือดในทรวงอก กรณีลามไปที่กระดูก จะมีอาการเจ็บกระดูกเฉพาะที่ และกระดูกหักผิดปกติ กรณีลามไปที่กระดูกสันหลัง และบีบรัดประสาท จะมีอาการเจ็บเฉพาะที่ และอัมพาตเป็นต้น และกรณีลามไปที่สมอง จะมีอาการปวดหัว อาเจียน และเส้นประสาทเฟเชียล

๗. อาการอื่นๆ: ระบบเผาผลาญพลังงานทำงานผิดปกติของเนื้องอก ทำให้มีกลุ่มอาการทางระบบต่อมไร้ท่อเกิดขึ้น เรียกได้อีกว่า กลุ่มอาการเนื้องอก มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

๑) ภาวะเลือดน้ำตาลต่ำแบบปฐมภูมิ: เนื่องจากเซลล์ของตับคัดหลั่งฮอร์โมนอินซูลินหรือฮอร์โมนประเภทอินซูลินผิดปกติ และระบบเนื้องอกสิ้นเปลืองน้ำตาลกลูโคสมากเกิน ทำให้ 10%~30% ของผู้ป่วยมีภาวะเลือดน้ำตาลต่ำ จนกระทั่งเกิดอาการสลบ ช็อก และเสียชีวิต
๒) โรคเซลล์เม็ดเลือดแดงสูง: เนื่องจากฮอร์โมนผลิดเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ทำให้ 2%~10% ของผู้ป่วยเกิดอาการนี้ขึ้น
๓) อาการอื่นๆ: ยังมีอาการไขมันในเลือดสูง แคลเซียมในเลือดสูง กลุ่มอาการประเภทมะเร็ง อาการโรคคัดหลั่งฮอร์โมนทางเพศ อาการโรคโพรพีเรีย และโรคผลิตไฟบริน (fibrin) ผิดปกติเป็นต้น อาการพวกนี้อาจเป็นเพราะ องค์ประกอบของตับผลิตโปรตีนผิดปกติ มีของคัดหลั่งผิดสถานที่ และระบบเผาผลาญพลังงานของโพรพีเรียทำงานผิดปกติ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.asiancancer.com/thai/cancer-symptoms/liver-cancer-symptoms/

บำบัดอาการ “ปวดหัว” ด้วยวิธีธรรมชาติ

บำบัดอาการปวดหัวด้วยวิธีธรรมชาติ

ปวดหัว
ปวดหัว

1. บำบัดด้วยน้ำ วางถุงน้ำแข็งบนหน้าผาก หรือจะใช้ผ้าเย็นๆ โพกศีรษะก็ได้ ทำไปพร้อมกับการแช่เท้าในน้ำอุ่น ค่อยๆเพิ่มความร้อนของ น้ำขึ้น ใช้เวลา15-20 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลง

2. งดอาหาร อาหารแสลงบางชนิด เช่น เนื้อรมควัน ชอคโกแล็ค ผงชูรส ไส้กรอก เบคอน และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มักเป็นสาเหตุ ให้เกิดอาการปวดหัวได้

3. ใช้วิตามิน การขาดวิตามิน B- COMPLEX อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ ลองมองหาอาหารที่มี วิตามินบีมากๆ เช่น ผักโขม กะหล่ำปลี ข้าวซ้อมมือ และอาหารธัญพืชต่างๆ

4. ขิง มีงานวิจัยพบว่า ขิงมีคุณสมบัติในการแก้ไมเกรน หากมีอาการปวดหัวในช่วงบ่ายๆ ลองจิบน้ำขิงอุ่นๆ สักแก้ว ถ้าไม่สะดวก จะต้มเอง ขิงผงบรรจุซองก็สะดวกดี

5. น้ำมันหอม น้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการลดความกระวนกระวายใจได้ ลองนำมานวดบริเวณขมับ ไรผม และต้นคอ จะ ช่วยผ่อนคลายได้
6. นวด การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จะทำให้รู้สึก ผ่อนคลายได้ หาใครสักคนมาคอยนวดที่ต้นคอและช่วงไหล่

7. ไปเดินเล่นสักห้านาที การเดินเล่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินส์ ซึ่งเป็นยาแก้ปวดขนานเอก

8. ดนตรีบำบัด ถ้าคุณปวดหัวจากความเครียด ในทางการแพทย์ค้นพบว่า ดนตรี ช่วยบำบัด อาการได้ โดยเฉพาะดนตรีทีมีท่วงทำนองเรียบง่าย ฟังสบายๆ อาจมีสรรพเสียง ของธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เกลียวคลื่น เสียงนก หรือลมฝน จะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบนิ่งขึ้น ช่วยลดความตึงเครียดได้

แปดวิธีข้างต้น เป็นวิธีแก้อาการปวดหัว แบบธรรมชาติกันจริงๆ ใครชอบ แบบไหนก็ลองทำดูนะ รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ถ้าทำ ทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ก็ถึงเวลาที่คุณควรไปพบแพทย์แล้วล่ะค่ะ

สาเหตุทีี่ทำให้คนเราปวดหัว มีดังนี้ค่ะ

ปวดหัวจากความเครียด มีอาการปวดบริเวณรอบศีรษะ รู้สึกมึนๆ เหมือนสมองถูกบีบ มักเกิดจากความเครียด หรืออาการอ่อนเพลีย การพักผ่อนให้เพียงพอ หรือนวดบริเวณต้นคอและขมับจะช่วย บรรเทาอาการปวดหัวชนิดนี้ได้ หรือจะใช้วิธี การฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ และหายใจลึกๆ และสำหรับการทำงานที่ติดต่อกันหลายชั่วโมง ก็ควรจะหยุดพักเป็นระยะๆ รวมทั้งออกกำลังกาย เป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดอาการ ปวดหัวชนิดนี้ได้
ปวดหัวจากแอลกฮอล์ มักมีอาการปวดบริเวณเบ้าตา ,ถ้าคืนไหนคุณดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป ก่อนเข้านอนควรจะดื่มน้ำตามมากๆด้วย เนื่องจากน้ำจะช่วยต้านฤทธิ์ของแอลกฮอล์ได้ ส่วนรุ่งเช้าควรดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ จะช่วย บรรเทาอาการปวดหัวจากเมาค้างได้

ปวดหัวจากไซนัส จะมีอาการปวดบริเวณดั้งจมูกและเบ้าตา วิธีการบรรเทาอาการปวดหัวแบบนี้ ต้องพึ่ง ยาลดน้ำมูก เพื่อให้จมูกโล่งหรืออาจจะใช้วิธี ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น การจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณมีไข้ ควรจะหา หมอด้วยนะ

ปวดหัวจากคาเฟอีน จะมีอาการปวดตุ๊บๆบริเวณด้านบนของศีรษะ อาการส่วนใหญ่จะคล้ายๆกับปวดหัวที่เกิดจาก ความเครียด ถ้าคุณปวดหัวแบบนี้ การพักผ่อน ให้เต็มอิ่ม จะช่วยได้ดีทีเดียว การหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และการนอนเป็นเวลา จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปวดหัวชนิดนี้ได้ แต่ถ้าคุณติดกาแฟ ก็ควรจะดื่มให้เป็นเวลา (เวลาเดียวกันทุกวัน) และดื่มเพียงวันละ 1-2 แก้ว จะดีกว่า

ปวดแบบไมเกรน จะมีอาการปวดตุ๊บๆ บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง บางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดไมเกรนนั้น เชื่อว่า เกิดจากระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาหารบางชนิด อาจทำให้บางคนเกิดอาการไมเกรนกำเริบ มากขึ้นได้ เช่น ไวน์แดง เนื้อสัตว์แปรรูป ผงชูรส การเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่นร้อนอบอ้าวเกินไป ความหิว ความตื่นเต้น การเดินทางหลายๆ แห่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เกิดไมเกรนได้ คนที่เป็นไมเกรนบ่อยๆ จึงควรหมั่นสังเกตว่าเกิด จากปัจจัยอะไรจะได้หลีกเลี่ยงได้ การเข้านอน เป็นเวลา และหลับให้เต็มตา จะช่วยผ่อนคลาย อาการไมเกรนได้ ส่วนเซ็กส์ที่สุขสมนั้น มีงาน วิจัยยืนยันว่า เป็นยาขนานเอกในการบำบัดอาการ ไมเกรนกันทีเดียว

คนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อยๆ นักวิจัยเขาแนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Tyramines และ Nitrite เพราะบางคน อาจจะมีความไวต่อสารสองชนิดนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของหลอดเลือดและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

ช็อกโกแลต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรน จะมีอาการ กำเริบขึ้นทุกครั้งที่กินช็อกโกแลต คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลต อย่า เพิ่งเศร้าใจนะคะ เพราะนักวิจัยเขาบอกต่ออีกว่า ช็อกโกแลต ชนิดขาวกินได้ไม่ทำให้ปวดหัวหรอก

ไวน์แดง ผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แดง จะเกิดอาการปวดหัว อย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ เมื่อเทียบกับคน ที่ดื่มวอดก้ามะนาว ซึ่งไม่เกิดอาการดังกล่าว ผู้ที่มีอาการไมเกรน เรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงไวน์แดงจะดีกว่า

กุนเชียง เนื้อแดดเดียว เป็นอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทำให้มีสีแดง โดยเติมดินประสิวลงไป ซึ่งก็คือสาร Nitrite ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิด การปวดหัวได้

ลูกชิ้นเด้งทั้งหลาย ผู้ผลิตบางรายจะใส่สารบอแร็กซ์ ซึ่งเป็น สารอันตราย ทำให้บางคนเกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ และอาเจียนได้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สำหรับคนที่มีอาการปวดหัว เรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลการวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนจะมี อาการกำเริบขึ้นเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไป

——————–

ข้อมูลจาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/56689.html

7 วิธีทำให้หน้าเด็ก

วิธีทำให้หน้าดูเด็กลง
วิธีทำให้หน้าดูเด็กลง

1. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ครีมกันแดด เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากภัยแดดที่ขึ้นชื่อว่า >b?เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจึงเป็นเสมือนการสร้างเกราะคุ้มกันให้กับผิวหน้า ถ้าไม่ได้ไปเผชิญกับแดดแรง ๆ เลือกครีมกันแดดที่มีค่า>SPF 15 ก็พอค่ะ และในช่วงกลางวันที่แดดจ้า หลบแดดได้จะเป็นวิธีปกป้องผิวที่ดีที่สุด หรือถ้าต้องไปรับไอแดดกันจริง ๆ ควรสวมหมวกปีกกว้าง สวมแว่นกันแดด และใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้ม เนื้อหนา ที่สามารถป้องกันการทะลุทะลวงของรังสี UV ทั้ง UVA ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวคล้ำและมีริ้วรอย และ UVB ที่ทำให้ผิวไหม้เกรียม

2. อย่ารบกวนผิวมากเกินไป

การรบกวนผิวมากไป ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวแต่อย่างใดการล้างหน้าบ่อยเกินไป หรือขัดถูเช็ดผิวหน้าอย่างรุนแรงเพื่อให้มั่นใจ ว่าสะอาดเพียงพอ กลับเป็นการทำร้ายผิวแบบไม่รู้ตัว เพราะอาจทำให้ผิวมีริ้วรอยและหยาบกร้านได้โดยเฉพาะคนที่ผิวแห้ง การล้างหน้าต้องทำอย่างนุ่มนวลเช็ดผิวอย่างเบามือ เพื่อป้องกันริ้วรอยก่อนวัยนอกจากนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณท์ที่อ่อนโยนต่อผิวด้วย

3. เลือกใช้ผลิตภัณท์ที่มีส่วนผสมของ AHA

AHA หรือ Alpha hydroxy acid มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ขาวขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาริ้วรอยจากแสงแดดได้ด้วยซี่งปัจจุบัน เครื่องสำอางส่วนใหญ่ จะมีส่วนผสมของ AHAในปริมาณ 2-15 % ซึ่งมักไม่เป็นอันตรายกับผิว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรเลี่ยงที่จะไปตากแดดแรง ๆ เพราะการใช้ AHAจะทำให้ผิวหน้าไวต่อแดดมากขึ้นดังนั้นเพื่อป้องกันการแพ้ ควรใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเสมอ

4. ลดริ้วรอยบาง ๆ ใต้ตาด้วยเรตินอล

เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยใต้ตา อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความร่วงโรยของผิวได้ โดยเฉพาะผิวใต้ตา ซึ่งค่อนข้างบอบบาง

จึงเกิดริ้วรอยได้ง่าย หากทิ้งไว้ ก็กลายเป็นรอยตีนกาได้คงถึงเวลาที่คุณจะต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งมีคุณสมบัติลดเลือนริ้วรอยจางๆ ได้ดี นอกจากนี้เรตินอลยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจน ทำใหผิวหน้าเต่งตึงขึ้นได้

5. อาหารต่อต้านริ้วรอย

ผู้เชี่ยวชาญท่านได้ศึกษาพบว่า อาหารที่อุดมไปด้วยผลไม้,ผัก และไขมันต่ำ จะช่วยให้ผิวพรรณของเราแข็งแรงพอที่จะต่อต้านสิ่งที่จะมาทำลายผิวให้อ่อนแอ จนเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยได้ ค่ะ โดยเฉพาะแสงแดดภัยตัวฉกาจของการทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของหญิงสาวค่ะชนิดของอาหารที่แนะนำให้รับประทานก็คือ อาหารที่มีไขมันต่ำลดการรับประทานเนื้อแดงและของหวานลง นอกจากนี้ก็ควรเพิ่มการรับประทานผักใบเขียว, ผลไม้ เมล็ดถั่วต่างๆ, น้ำมันมะกอกที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่างๆค่ะซึ่งอาหารดังกล่าวจะอุดมไปด้วยวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอและซี และอี จะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรงและปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้

6. เว้นอาหารที่ทำลายผิวพรรณ

ไขมันอิ่มตัวในเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม และเนยสด กระบวนการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะเกิดอนุมูลสารอิสระสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรม ส่วนอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป มีผลขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหย่อนยาน

เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน คาเฟอีนจะดูดซับความชื้นจากผิว ถ้าคุณติดกาแฟจนยากที่จะเลิก เมื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าแก้วโต ๆ ตามไป 1 แก้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ร่างกายขาดน้ำ และผิวพรรณขาดความชุ่มชื้นไปด้วย เครื่องดื่มแอลกฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณ ขาดความเปล่งปลั่ง ถ้าคุณเป็นนักดื่ม ทุกครั้งที่ดื่มแอลกฮอล์ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าแก้วโต 2 แก้ว เพื่อชดเชยไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และช่วยป้องกันไมให้ผิวขาดความชุ่มชื้น

7. ใช้ชีวิตอย่างสมดุล

สาวบ้างานทั้งหลาย มีสิทธิ์ผิวหย่อนยาน ไม่สดใส ได้เร็วขึ้นเพราะการทำงานหนัก ชนิดอดหลับอดนอน หรือไม่มีเวลาสำหรับพักผ่อน นอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ผิวพรรณก็หมองคล้ำ ทำให้คุณดูทั้งโทรมทั้งเหี่ยวเชียวล่ะ แม้อยากเป็นดาวรุ่งมากแค่ไหน ก็ควรจัดเวลางานและเวลาส่วนตัวให้สมดุลมีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย และได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ผิวแข็งเรง ไม่หย่อนยานก่อนวัยหากปล่อยให้ความเครียดสุมหัว จนไม่มีเวลาคลายเครียด นานวันเข้า ผิวพรรณก็ร่วงโรย จนเกินเยียวยา เครื่องสำอางมหัศจรรย์ที่ว่าแน่ๆ ก็ไม่อาจจะช่วยฉุดรั้งความสดใส และความเปล่งปลั่งของผิวสาวกลับคืนมาได้หรอกค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/56368.html

เทคนิคทำให้หายโกรธ

โกรธจัด
โกรธจัด

วันนี้มีเทคนิคการทำให้หายโกรธมาฝากค่ะ ลองอ่านกันดูนะค่ะ

วิธีที่ 1 ยามใดเมื่อเราโกรธ
เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้วควรสร้างความรู้สึก”สะดุ้งกลัว”ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมา อย่างเด็ดขาดด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด
ตัวอย่างวิธีคิด
“หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและจะมีการหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้น ทุกที มันจะคอยออกมาเผาผลานจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง ”

วิธีที่ 2 มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา
ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย

วิธีที่ 3 เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม
ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้างนึกอย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง
ตัวอย่าง   “นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อครั้งนายแดงเคยช่วยมาทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็หายโกรธนายแดง”
“คุณเจ ไม่ ชอบหน้าคุณจอนห์เลย เพราะคุณจอนห์ชอบพูดจากวนประสาท แต่คุณเจก็พยายามคิดว่าคุณจอนห์ถึงแกจะชอบพูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ คิดได้ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนห์ขึ้นมาบ้าง ”

วิธีที่ 4 เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่น้อง , เพื่อนร่วมงาน หรือ โกรธคนไกลตัวเช่นนักการเมือง ฯลฯ
ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเหมือนพ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็สามารถทำให้หายโกรธได้ผลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

วิธีที่ 5 คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี “ไม่คิด” ดูก็ได้ ด้วยการ
หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจของเราเป็นอะไรบางอย่างที่ละเอียดอ่อนบางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจเข้าออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป กลายเป็นความสบายใจมาแทนที่

วิธีที่ 6 วิธีนี้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเพื่อนสนิท หรือ คู่รัก ในยามที่เกิดความไม่เข้าใจกัน
หรือ ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างโกรธ นั่นคือ “การให้ของขวัญ” เป็นวิธีแก้ไข ปัญหาความโกรธที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เป็นการแสดงออกที่ทำให้หายโกรธทั้งผู้ให้และผู้รับ

วิธีที่ 7 ให้มองว่าทั้งตัวเราและคนที่เราคนโกรธ ต่าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
คือ ไม่มีใครสามารถรอดจากความทุกข์ แก่ เจ็บ ตายได้สักคน ให้คิดจินตนาการมองเห็นคนที่เรากำลังโกรธอยู่ เห็นภาพในอนาคตสมมุติว่าเขากำลังป่วยหนักใกล้ตาย เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานแค่ไหน จากนั้นให้หวนคิดถึงตัวเราเองว่า เราเองสักวันหนึ่งก็ต้องพบกับความทุกขทรมานและความตายเหมือนเขาเช่นเดียวกัน พวกเราล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะมามัวโกรธกันอยู่ทำไมกัน

วิธีที่ 8 ใช้วิธีกราบพระเพื่อระงับความโกรธ
การกราบพระทำให้จิตใจเกิดความอ่อนน้อม หมดความมานะถือตัว สภาพจิตใจเช่นนี้ ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากท่านใช้วิธีระงับโกรธหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ขอแนะนำให้ใช้วิธีกราบพระ ท่านว่าได้ผลชงัดนัก วิธีง่าย ๆ เมื่อใดที่โกรธ ให้ก้มลงกราบพระทันที และในขณะที่ท่านกราบพระ ให้นึกถึงใบหน้าของ คนที่ท่านโกรธ ท่านจะพบด้วยตนเองว่าตราบใดที่ท่านยังกราบพระอยู่ ความโกรธจะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย

ขอบคุณข้อมูลจาก http://space.postjung.com/blog-show.php?sid=1097303&id=89228

ประโยชน์ของ “งาดำ” และ “งาขาว”

งาขาว งาดำ
งาขาว งาดำ

งา เป็นพืชล้มลุก ผลเป็นฝัก มีเมล็ดเล็กๆ สีขาวหรือสีดำ มีการเพาะปลูกมานานเพราะต้องการใช้เมล็ดงานี้เป็นอาหาร เครื่องเทศ และบีบเอาน้ำมันได้ มีการใช้เมล็ดงากันมากเป็นพิเศษในแถบตะวันออกกลาง และเอเชียเพื่อเป็นอาหาร

งา พืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย โดยงา จะมี 2 แบบ คือ งาดำ และ งาขาว นอกจากนี้ ยังมีน้ำมันงาที่นำมาใช้ปรุงอาหาร เพราะมีกลิ่นหอมและกรดไขมันที่มีประโยชน์ ทั้งนี้สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดงาล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น

ประโยชน์ และ สรรพคุณของงา

ประโยชน์ ของงา ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดอะมิโนเมธิโอนีน นอกจากนี้ เรายังสกัดน้ำมันจากงาออกมาได้อีกด้วย ซึ่งน้ำมันที่ได้นั้นเป็นน้ำมันงาที่มีคุณสมบัติเยี่ยม คือ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิค ที่ช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น

นอกจากนี้ งายังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง พร้อมกันนั้นยังมีสารบำรุงประสาทด้วย และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต้านมะเร็ง

กลิ่นและรส ของเมล็ดงาคล้ายกับถั่ว องค์ประกอบสำคัญในเมล็ดก็คือน้ำมัน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 44-60% น้ำมันงานั้นต่อต้านการเกิดออกซิไดซ์ได้ดี มีการใช้ในอาหารพวกสลัด หรือเป็นน้ำมันปรุงอาหาร และมาการีนและในการผลิตสบู่ ยา และน้ำมันหล่อลื่น และยังเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางบางชนิด

เดิมนั้นงาอาจเป็นพืชพื้น เมืองของเอเชีย หรือตะวันออกของแอฟริกา แต่ปัจจุบันพบได้ในพื้นที่เขตร้อน กึ่งร้อน และร้อนทางใต้ในทุกเขตทั่วโลก

ก่อนสมัยโมเสส ชาวไอยคุปต์ใช้เมล็ดงาป่นแทนแป้งธัญพืช ส่วนชาวจีนรู้จักงามาอย่างน้อยก็ 5,000 ปีมาแล้ว พวกเขาเผาเมล็ดงาเพื่อใช้ทำแท่งหมึกจีนที่คุณภาพดี ส่วนชาวโรมันบดเมล็ดงาผสมขนมปังเป็นอาหารรสดี ชาวไทยก็มีขนมที่ใช้เมล็ดงา เรียกว่า ขนมงาตัด ใช้งากวนกับน้ำตาล แล้วตัดเป็นแผ่น

ในบางถิ่นมี ความเชื่อว่าเมล็ดงามีอำนาจอาถรรพณ์ และยังปรากฏในนิทานเรื่อง อาหรับราตรี ตอน อาลีบาบา กับโจรทั้งสี่สิบ ซึ่งมีคำกล่าวว่า เปิดเมล็ดงา (Open sesame)

ต้น งานั้นมีความสูงระหว่าง 0.5-2.5 เมตร ขึ้นกับสภาพที่ปลูก บางพันธุ์ก็มีกิ่งก้าน บ้างก็ไม่มี ที่แกนในแกนหนึ่งมีดอกราว 3 ดอก เมล็ดนั้นสีขาว ยาวราว 3 มิลลิเมตร เมื่อแห้ง เปลือกเมล็ดจะเปิดอ้า และเมล็ดจะหลุดออกมา การเก็บงาจึงต้องอาศัยแรงงานคนเพื่อมิให้เมล็ดงาร่วงหล่น ภายหลังเมื่อไม่นานมานี้ มีการพัฒนาพันธุ์มิให้เมล็ดแตะกระจาย ทำให้สามารถเก็บด้วยเครื่องจักรได้

ประโยชน์ และ สรรพคุณของงาดำ

ประโยชน์ ของงาดำ และ สรรพคุณของงาดำนั้น งาดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sesamum orientale L. อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae ชื่อสามัญคือ sesame มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเอธิโอเปีย และถูกนำเข้าไปยังอินเดียและแพร่ต่อไปในจีน แอฟริกาเหนือ เอเซียใต้ และทวีปอเมริกา ซึ่งงาดำมีประโยชน์อย่างมาก การบริโภคงาดำเป็นประจำ จะช่วยให้นอนหลับ กระปรี้กระเปร่า ป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงกระดูก ป้องกันอาการท้องผูก ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร และช่วยบำรุงรากผม

ส่วนประโยชน์และสรรพคุณของงาดำ อีกอย่างหนึ่ง คือ ถ้าใช้น้ำมันงาดิบนวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ จะช่วยปรับระบบประสาทและระดับฮอร์โมน ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ช่วยคลายเครียดทำให้จิตใจสงบ และยังสามารถนำน้ำมันงาดิบไปใช้นวดตัว เพื่อขจัดอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเข่า เล็ดขัดยอก และทำให้กล้ามเนื้อไม่เหี่ยวย่น ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก http://space.postjung.com/1097303-blog-74068.html


สมองพัฒนาได้ ด้วยการเจริญสติ

มีการเผยแพร่ข้อมูลการวิจัยว่า การฝึกสมาธิ จะทำให้สมองเปลี่ยนแปลงได้ เป็นการทำลายความเชื่อที่ว่าสมองของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ดังนั้นการนั่งสมาธิก็จะมิใช่การนั่งหลับตาอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะถ้าทำให้สมองเปลี่ยนแปลง และเป็นผลดีต่อสุขภาพ ผลการวิจัยนี้ก็จะช่วยยืนยันทางวิชาการว่า .. การเจริญสมาธิเป็นผลดีต่อสุขภาพ
ที่มา สมองพัฒนาได้ ด้วยการเจริญสติ ผู้จัดการออนไลน์

สมองของคนเรา เป็นตัวควบคุม ความคิด อารมณ์ความรู้สึก ความจำ ซึ่งมีการทำงานอันสลับซับซ้อน วิชาการที่เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของสมอง เราเรียกว่า วิชา วิทยาศาสตร์ทางระบบประสาท (Neuroscience) ซึ่งเป็นวิชาการที่มีความสำคัญมาก กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในทางการแพทย์ เนื่องจากมันทำให้เราเข้าใจกลไกการทำงานต่างๆของสมองในด้านต่างๆ เช่น ความคิด ความจำ การรับอารมณ์ความรู้สึก

สำหรับเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก เช่น ความสุข ความทุกข์ ความเจ็บปวด เสียใจ เศร้าใจ ท้อแท้ เป็นต้น วิชาการที่ศึกษาเรื่องระบบประสาทต่ออารมณ์ความรู้สึกนี้ เรียกว่า Affective Neuroscienceมีนักวิจัยทางด้านระบบประสาทเกี่ยวกับอารมณ์คนหนึ่งที่มีผลงานน่าสนใจ คือ ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน (Richard Davidson Ph.D)

ศาสตราจารย์ผู้นี้สนใจและศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอารมณ์ต่อระบบประสาท และวิธีการฝึกสมาธิและการเจริญสติต่อการเปลี่ยนแปลงของสมอง มีงานวิจัยที่น่าสนใจ คือ แต่เดิมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เซลล์สมองที่มีมาแต่เกิดจะค่อยๆโตขึ้น จนเต็มที่ในวัยหนุ่มสาวและกลางคน เมื่อเข้าสู่วัยชราก็จะเริ่มเสื่อมลง และตายลงในที่สุด เซลล์สมองมีจำนวนเท่าไหร่ก็มีเท่านั้น ไม่มีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ

ต่อมา ดร.เดวิดสัน ได้ทำการศึกษาในพระทิเบตรูปหนึ่งชื่อ พระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด ซึ่งฝึกสมาธิมาเป็นเวลา 20-30 ปี เมื่อตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI ก็พบว่า

คนที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานานๆ สมองมีส่วนเปลือกนอกสีเทาๆ ที่เรียกว่า Gray Matter ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาท จะหนาตัวขึ้น นั่นหมายถึง มีเซลล์สมองเพิ่มขึ้น และบริเวณส่วนหน้าแถวหน้าผากด้านซ้าย จะมีการทำงานของคลื่นสมองดีขึ้น มีลักษณะของคลื่นสมองช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น ที่เรียกว่า “คลื่นแกรมม่า” ซึ่งพบในคนที่จิตเป็นสมาธิลึกๆ

ต่อมา เขาได้ทดลองในอาสาสมัครที่ฝึกสมาธิทุกวัน วันละ 30 นาที เช้าและเย็น เป็นเวลา 3 เดือน แล้วตรวจดูด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI ก็พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน แสดงว่า สมองคนเรามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างและการทำงาน ซึ่งเขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้นพบใหม่ และได้ทำลายความเชื่อเก่าที่ว่า สมองเปลี่ยนแปลงไม่ได้

เขาได้ทดลองทั้งแบบสมถและวิปัสสนากรรมฐานก็พบว่า ได้ผลเช่นเดียวกัน สมองของคนเราสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลาโดยการจริญสติ ทำให้สมองสร้างเซลล์สมองใหม่ๆมากขึ้น การทำงานดีขึ้น คลื่นสมองสม่ำเสมอ ช้าลง ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่มีความสุข สุขภาพจิตดี

นอกจากนั้น เขายังได้ศึกษากรณีของอารมณ์เครียด อารมณ์โกรธ และอารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสมองในทางตรงข้าม คือมันทำให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำเสื่อมลง และเซลล์อายุสั้นลง

ดร.ริชาร์ด เดวิดสัน นักวิจัยทางระบบประสาท
ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

ศจ.ดร.เดวิดสันจบปริญญาตรีทางจิตวิทยาในปีค.ศ. 1972 และต่อปริญญาโทและเอก ด้านจิตวิทยาและจิตเวชศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 1976

หลังจบการศึกษาแล้ว ได้ทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ค 8 ปี เขาได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสมองกับอารมณ์ไว้มากมาย

ต่อมา ดร.เดวิดสันได้ย้ายมาทำงานที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ตั้งแต่ปี 1984 ถึงปัจจุบัน และได้เริ่มต้นบุกเบิกงานวิจัยด้านอารมณ์ต่อสมอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณราว 10 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบัน เขาเป็นผู้อำนวยการของศูนย์วิจัย 3 แห่งของมหาวิทยาลัย คือ

1. Waisman laboratory for Brain Imaging and Behavior
2. Center for Investigating Healthy Minds
3. Laboratory for Affective Neuroscience (psyphz.phych.wisc.edu)

และมีผลงานตีพิมพ์ 150 เรื่อง เขียนหนังสือ 13 เล่ม ซึ่งเป็นการศึกษาการทำงานของสมองกับอารมณ์ในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น เด็กสมาธิสั้น คนที่มีความเครียด โรคซึมเศร้า ศึกษาการทำงานของสมองในคนที่มีบุคลิกแบบชอบใช้ความรุนแรง คนที่เป็นฆาตกร คนที่มีบุคลิกก้าวร้าว ทำให้ได้ค้นพบคลื่นสมองและวงจรที่มีลักษณะเฉพาะในคนเหล่านี้

สุดท้าย ดร.เดวิดสันได้ทำการศึกษาคลื่นสมองในคนฝึกสมาธิและวิปัสสนา ทำให้ได้ทราบว่า สมองคนเราสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ตลอดเวลา โดยการทำสมาธิและวิปัสสนา ซึ่งจะแก้ไขอารมณ์ด้านลบได้ โดยการพัฒนาสมองส่วนที่เกี่ยวกับการรับอารมณ์ และวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงสมองคือการเจริญสติให้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการป้องกันโรคจิต โรคประสาท ทำให้มีสุขภาพจิตดี

ดร.เดวิดสันได้รับรางวัลทางวิชาการจำนวนมาก ในปี ค.ศ.2000ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา และเป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลต่อคนในโลก ในปี 2006 ของนิตยสารไทม์

ศจ.เดวิดสันทำสมาธิภาวนาอยู่เป็นประจำทุกวัน เขาสนใจพุทธศาสนาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่ 2 ได้มีโอกาสเดินทางมาเรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกสมาธิในอินเดีย และได้เป็นกรรมการสถาบัน Mind and Life Institute ในปี 1991เป็นต้นมา

สถาบันแห่งนี้เป็นสถาบันที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการศาสนา พระภิกษุ มาพบกันเพื่อเสวนาทางวิชาการว่าด้วยพุทธศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งมีการจัดประชุมวิชาการทุกปี โดยมีองค์ทะไลลามะ เป็นประธาน

ศจ.เดวิดสันได้ทำงานร่วมกับองค์ทะไลลามะอย่างยาวนาน ซึ่งท่านได้ให้การสนับสนุนงานวิจัยของเขาตลอดมา สถาบันแห่งนี้ได้สร้างองค์ความรู้และเชื่อมวิทยาศาสตร์เข้ากับศาสนา เป็นผู้จุดประกายให้นักวิทยาศาสตร์หันมาสนใจเรื่องของจิต เรื่องของศาสนาในแง่มุมต่างๆ และมีผลงานวิชาการออกมามากมายจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน ศจ.เดวิดสันเป็นนักวิจัยทางระบบประสาทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก มีงานวิจัยอันโดดเด่น ซึ่งทำให้วิชาวิทยาศาสตร์ทางสมองพัฒนาขึ้นมากในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา (ท่านผู้อ่านเข้าไปดูข้อมูลได้ใน www.richardjdavidson.com หรือฟังคำบรรยายใน youtube โดยพิมพ์ชื่อของเขาลงไป มีคำบรรยายให้ฟังหลายเรื่อง ที่ขอแนะนำ ได้แก่ Richard Davidson : science and Dharma 5/9/2011, Transform your mind,Change your Brain และNeuroplasticity : Implication of Scie ntific Research on Meditation for spiritual care. หรือพิมพ์คำว่า Neuroplasticity ก็จะมีคำบรรยายเรื่องนี้หลายตอนที่น่าสนใจ

พระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด
นักวิทยาศาสตร์แห่งความสุข
จากดอกเตอร์ด้านวิทยาศาสตร์
สู่การเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา

พระทิเบตรูปหนึ่งที่ร่วมงานวิจัยทดลองผลของการฝึกสมาธิต่อสมอง กับ ศจ.เดวิดสัน คือ พระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด (Matthieu Ricard) ชาวตะวันตกที่บวชเป็นพระทิเบต ในสำนักขององค์ทะไล ลามะ จบปริญญาเอกทางด้านโมเลกุลพันธุศาสตร์ สถาบันปาสเตอร์ กรุงปารีส ในปี 1972

หลังจบการศึกษา ท่านได้เดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนที่เมืองดาร์จิริ่ง ทางตอนเหนือของอินดีย แถบเทือกเขาหิมาลัย และที่นี่เองที่ทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจในการค้นหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ จึงได้บวชและศึกษาพุทธศาสนาแบบทิเบต ฝึกการทำสมาธิภาวนาอยู่ที่นี่เป็นเวลา 26 ปี

หลังจากนั้น ท่านได้เดินทางกลับไปเผยแผ่ธรรมที่ยุโรปและอเมริกา โดยได้รับเชิญไปบรรยายในมหาวิทยาลัยต่างๆ และเขียนหนังสือธรรมะ

ท่านได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับนักวิทยาศาสตร์ ในกิจกรรมของสถาบัน Mind and Life Institute และได้รับการชักชวนให้มาร่วมงานวิจัยกับศจ.เดวิดสัน ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ในปี 2009

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ท่านได้รับเชิญไปร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในการนำเอาวิถีทางแห่งพุทธธรรมมาใช้ในการบำบัดความทุกข์ และเมื่อเศรษฐกิจทุนนิยมกำลังล่มสลาย ท่านได้กล่าวกับนักธุรกิจใหญ่ของโลกจำนวนมากที่มาประชุม The World Economic Forum ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ว่า

“โลกทุนนิยมเกิดจากความโลภของผู้คนอย่างไม่มีข้อจำกัด ความจริงสิ่งต่างๆที่อยู่ในโลกมีพอสำหรับความต้องการของทุกๆคน แต่ไม่พอสำหรับความทะยานอยากของคนจำนวนน้อย ถึงเวลาที่เราจะต้องหยุดความโลภในการแสวงหาวัตถุในนามของการทำธุรกิจเพื่อสังคมได้แล้ว

วิถีของทุนนิยมจะทำให้เกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากร มีความขัดแย้งไปทั่ว คนที่แข็งแรงกว่าจะเอารัดเอาเปรียบคนที่อ่อนแอกว่า จะเกิดทำร้ายกัน ขาดความรักความเมตตาต่อกัน สภาพแวดล้อมของโลกจะถูกทำลาย ทำให้เราอยู่ไม่ได้”

ท่านได้เผยแพร่ความคิดเรื่อง การพัฒนาชีวิตเพื่อให้เกิดความสุข โดยการละความโลภ โกรธ หลง ตามแนวทางพุทธศาสนา และเขียนหนังสือเผยแพร่ทั่วไปในโลกตะวันตก หนังสือของท่านได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม

ท่านยังเป็นประธานองค์กร Karuna Shechen ซึ่งเป็นองค์กรการกุศล ไม่แสวงหากำไร ทำงานช่วยสังคมในแง่การศึกษา การรักษาโรค และงานสังคมสงเคราะห์ งานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ท่านอุทิศรายได้จากการจำหน่ายหนังสือและเงินบริจาคทำบุญ ทำโครงการเพื่อมนุษยชน 41 โครงการ เช่น สร้างสะพาน 8 แห่ง, สร้างโรงเรียน 13 แห่งในทิเบต และ 4 แห่งในเนปาล สร้างบ้านพักคนชรา 3 แห่ง ช่วยให้เด็กนักเรียนได้เรียนหนังสือ 15,000 คน ช่วยรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลได้ 1 แสนคนต่อปี ท่านสอนให้คนมีน้ำใจอันดีงาม มีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือผู้อื่น ให้รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งหาได้ยากในโลกวัตถุนิยม

ปัจจุบัน ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงในโลกตะวันตก ได้รับการยกย่องให้เป็นนักวิทยาศาสตร์แห่งความสุข และรัฐบาลฝรั่งเศสได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งชาติฝรั่งเศส (French National Order of Merit) เป็นรางวัลแห่งคุณความดี เพื่อยกย่องท่าน

ท่านผู้อ่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม ในwww.Matthieuricard.org และฟังคำบรรยายของท่านใน www.youtube.com/ Matthieu Ricard จะมีคำบรรยายอยู่หลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น The Devotion of Matthieu Ricard Official Trailer, Matthieu Ricard : The Habits of Happiness,change your mind change your brain : the inner conditions เป็นต้น

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 151 กรกฎาคม 2556 นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)

http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9560000079672

http://www.manager.co.th/science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000109401

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=644376315595115&set=a.123791347653617.12060.100000682560259

การรักษารอยแดงและรอยดำ ด้วย Laser

การรักษารอยแดงและรอยดำ ด้วย Laser

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

หลายๆ คนมีปัญหาเรื่องรอยแผลจากสิว
อาจจะแบ่งเป็นหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น  รอยแดง  รอยดำ แผลหลุม แผลนูน และอยากรักษาให้ผิดเรียบเนียน วันนี้มีวิธีการรักษารอยแดงหรือรอยดำด้วยการทำ Laser มาฝากค่ะ

รอยแดงหรือรอยดำ มักเกิดจากสิวที่อักเสบแต่ไม่เรื้อรัง สามารถเกิดได้ทั่วบริเวณใบหน้า โดยทั่วไปคนที่ผิวขาว มีโอกาสเกิดรอยแดงนานกว่าคนผิวคล้ำ ที่มักเกิดรอยดำมากกว่า ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปจะหายได้ในเวลา 1 – 3 เดือน แต่ก็มีบางคนที่รอยเหล่านี้อยู่นานเกิน 6 เดือน แม้จะทายา และหลีกเลี่ยงการถูกแดดแล้วก็ตาม การใช้ Laser ที่มีช่วงคลื่นเหมาะสำหรับ Melanine หรือเม็ดเลือดแดง จึงเข้ามามีบทบาทในการรักษารอยดำและรอยแดง ตามลำดับ

ประโยชน์ที่จะได้รับ
ช่วยให้รอยแดง รอยดำ จางลงเร็วขึ้นโดยที่ไม่มีรอยหลังทำ Laser ไม่มีแผล ไม่มีสะเก็ด ไม่ต้องพักหน้า (ไม่มี Downtime)

การรักษาโดยวิธีอื่น
– ใช้ยาที่ลด Melanine ทารอยดำ
– ใช้ยาที่ช่วยให้เส้นเลือดหดตัวเร็วขึ้น สำหรับรอยแดง

ขั้นตอนการรักษา
Laser ลบรอยดำ จะมีช่วงคลื่นที่ทำให้เม็ดสี (Melanine) ดูดซับพลังงานจนเกิดความร้อนและสลายตัวและหลุดออกตามการผลัดเซลล์ผิวเร็วขึ้น Laser รอยแดง จะมีช่วงคลื่นที่สารสีแดง (Hemoglobin) ที่อยู่ในเม็ดเลือดแดง ดูดซับพลังงานแสงจนเกิดความร้อนทำให้เส้นเลือดฝ่อเล็กลง ทำให้รอยแดงจางลงเร็วขึ้น

การรักษาแบบนี้ เหมาะกับใครบ้าง
สามารถทำได้กับทุกคน และไม่ต้องเตรียมวันหยุด สามารถกลับไปทำงานต่อได้เลย

ผลที่เกิดขึ้นหลังการรักษา
จะเห็นได้ว่ารอยดำหรือรอยแดงค่อย ๆ จางลงเร็วขึ้นกว่าจุดที่ไม่ได้ทำ จึงเหมาะสำหรับคนที่มักจะมีรอยอยู่นาน หรือมีงานที่ต้องให้รอยหายในเวลาที่เร็วขึ้น เช่น กำลังจะมีงานแต่งงาน งานรับปริญญา หรือกำลังจะสมัครงาน เป็นต้น

ความปลอดภัยและผลข้างเคียง
มีความปลอดภัยสูง อาจจะมีรอยแดง หรือจ้ำแดง ๆหลังทำในคนไข้ที่มีเส้นเลือดเปราะ โดยเฉพาะคนสูงอายุ

ระยะเวลาในการรักษา
หลังทำอาจจะมีรอยแดงๆ ประมาณ 1 – 2 ชม.

เจ็บหรือไม่
ใน Laser รอยดำ อาจจะต้องทายาชาก่อนทำ 45 – 60 นาที ส่วน Laser รอยแดงสามารถทำได้โดยไม่ต้องทายาชา

การเตรียมตัวก่อนการรักษา
ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร และไม่จำเป็นต้องหยุดงาน หรือลาพักร้อน

การเตรียมตัวหลังการรักษา
ควรใช้ยากันแดดทุกวัน แต่สามารถแต่งหน้าได้ทันที และล้างหน้า ทายาได้ตามปกติ

แต่ยังไงก็แล้วแต่ ก่อนการทำเลเซอร์ต้องคิดให้รอบคอบอย่างมากๆ นะค่ะเพราะนอกจากค่าใช้จ่ายที่สูงแล้ว หากไม่ระวังก็มีผลกระทบเช่นกัน  ควรศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบในการยิงเลเซอร์ก่อนทำด้วยนะค่ะ.

http://www.makalinclinic.com/treatment_facecare.php?lang=th&cid=t10

ทำความรู้จัก “คอลลาเจน” ในอาหารกัน


ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

“คอลลาเจน” เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง พอเรามีอายุมากขึ้น เจ้าคอลลาเจนเหล่านี้ก็เริ่มเสื่อมสลายลงไปเรื่อยๆ ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอย และเหี่ยวย่น นี่จึงเป็นที่มาของการสรรหาคอลลาเจนมาเสริมให้กับผิวหนังของเรา

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคอลลาเจนที่สกัดออกมาเป็นเม็ดแคปซูลที่วางขายตามท้องตลาด แต่ อยากจะบอกว่า อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นยอดของเราเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะให้คอลลาเจนแล้ว ก็ยังมีอีลาสตินผสมอยู่ด้วย โดยอีลาสตินนั้นก็จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นนั่นเอง

สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจนอยู่เยอะและหากินได้ง่ายก็คือ เนื้อสัตว์สีขาวทั้งหลาย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา โดยคอลลาเจนจะซ่อนตัวอยู่ในโปรตีนในเนื้อสัตว์เหล่านี้ และยังมีในพวกกระดูกอ่อนหมู กระดูกอ่อนไก่ ซึ่งอาหารที่สังเกตได้ง่ายๆ ว่ามีคอลลาเจนอยู่ อย่างเช่น ต้มยำไก่ น้ำซุปกระดูกหมู เมื่อต้มจนสุกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำซุปก็จะมีลักษณะคล้ายกับวุ้น นี่แหละคือคอลลาเจนที่เราจะได้กินเข้าไป แต่หากว่าใครกลัวอ้วนจากไขมันที่ได้ผสมมา เวลาที่ต้มก็สามารถช้อนฟองไขมันที่อยู่ด้านบนออกทิ้งไป ก็จะช่วยลดไขมันลงไปได้

นอกจากจะพบคอลลาเจนในเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้ว ก็ยังสามารถพบได้อีกในอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก, ปลาทู, ปลากระเบน, กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือพบบริเวณตาปลาที่มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้นใส และยังพบในผักผลไม้ต่างๆ อาทิ สาหร่ายทะเล, เห็ดทุกชนิด, หัวบุก, ถั่วเหลือง, แตงกวา, ขึ้นฉ่าย, มะกอก, ส้มโอ, แก้วมังกร, แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะมีปริมาณน้อยกว่าที่พบในเนื้อสัตว์

ที่สำคัญ การจะกินคอลลาเจนพวกนี้ให้ได้ผลดี จะต้องกินควบคู่ไปกับวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าไปในร่างกาย ให้ร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีคอลลาเจน และมีวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น ต้มยำขาไก่ หรือ ต้มซุปเปอร์ขาไก่ ที่จะได้คอลลาเจนจากน้ำซุปไก่และกระดูกอ่อนของไก่ ผสมกับวิตามินซีจากมะนาวที่บีบลงไปเพิ่มรสชาติเปรี้ยว แถมยังได้คุณประโยชน์เพิ่มเติมจากสมุนไพรและผักอื่นๆ ที่ใส่ลงไปด้วย

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000090304