7 สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ เสกผิวขาวใสดั่งใจทุกวัน

lofficiel_kagome_1

มะเขือเทศกับการบำรุงผิวสวยจากภายใน
มะเขือเทศเป็นผักสีแดงลูกกลมเกลี้ยงเกลามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง อุดมด้วยวิตามินนานาชนิด อาทิ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินเค วิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูง ทั้งยังมีสารไลโคปีนซึ่งเป็นสารสีแดงที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณอย่างที่ไม่ควรมองข้าม โดยมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเกิดริ้วรอยก่อนวัย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และบำรุงผิวให้แลดูอมชมพูกระจ่างใสแบบมีเลือดฝาดตามธรรมชาติ

การดื่มน้ำมะเขือเทศส่งผลต่อสุขภาพผิวได้ดี  ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านและยังเปล่งปลั่งสดใส ที่สำคัญไปกว่านั้นการกินมะเขือเทศเป็นประจำยังช่วยเรื่องการย่อยอาหารและช่วยในด้านของการขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้นด้วยค่ะ และนอกจากมะเขือเทศจะมีดีต่อการบำรุงผิวพรรณให้สวยจากภายในแล้ว เรายังสามารถนำผลสดมาปรนนิบัติผิวภายนอกได้เช่นกันนะ มาดูกันเลยค่ะว่ามีประโยชน์ด้านใดบ้าง

7 สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ

tomato-acne

1. กระชับรูขุมขนกว้างให้เล็กลง
สาวๆ หลายคนมักเผชิญกับผิวหน้ามันแถมยังมาพร้อมปัญหารูขุมขนกว้างอีกด้วย แต่คุณสามารถคั้นน้ำมะเขือเทศสดผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที เสร็จแล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รับรองได้เลยว่ารูขุมขนจะค่อยๆ เล็กลง ผิวหน้าก็กระชับยืดหยุ่นมากขึ้น แถมยังขาวกระจ่างใสมากขึ้นอีกด้วย

2. รักษาสิว
เนื่องจากมะเขือเทศมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง จึงสามารถรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีใช้ง่ายมากค่ะ เพียงผ่ามะเขือเทศออกครึ่งแล้วนำมาถูวนให้ทั่วผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็นจัด หมั่นทำเป็นประจำ เพียงเท่านี้สิวก็จะค่อยๆ หายไปแถมยังรักษารอยสิวให้จางลงได้ด้วย

3. ลดเลือนความหมองคล้ำ
ใบหน้าที่หมองคล้ำไม่สดใส สามารถนำมะเขือเทศมาหั่นเป็นชิ้นใหญ่แล้วคลุกน้ำตาลทราย จากนั้นนำมาขัดผิวอย่างอ่อนโยนให้ทั่ว เป็นการสครับผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก ความหมองคล้ำก็จะจางหายไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือผิวหน้าอันกระจ่างใสผุดผ่องนั่นเอง สูตรนี้แนะนำให้ทำสัปดาห์ละประมาณ 2 ครั้งค่ะ

4. คืนความเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า
คืนความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้าง่ายๆ ด้วยการนำมะเขือเทศมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต จากนั้นนำมาพอกหน้าให้ทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้ 30 นาที ทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ รับรองผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งอย่างสังเกตได้แน่นอน เพราะมะเขือเทศมีคุณสมบัติที่สามารถล้างพิษต่างๆ ที่ปะปนอยู่ในผิวให้หลุดออกไปได้ ในขณะที่โยเกิร์ตจะทำหน้าที่บำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง สดใส สูตรนี้เหมาะอย่างยิ่งกับสาวๆ ที่มักเผชิญฝุ่นควันหรือมลพิษต่างๆ ในระหว่างวันจนสภาพผิวหน้าร่วงโรยและอ่อนล้า

5. ชะลอริ้วรอย
ปอกเปลือกมะเขือเทศออกให้หมดแล้วนำเอาน้ำและเนื้อของมะเขือเทศมาผสมรวมกันกับแป้งกรัม คนจนส่วนผสมเป็นเนื้อเหลวๆ แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่วปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง จึงล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเย็น อยากมีใบหน้านุ่มนวลและไร้ริ้วรอย อย่าลืมทำสูตรนี้เป็นประจำนะคะสาวๆ

6. เยียวยาผิวไหม้จากแดด
คุณรู้ไหมว่ามะเขือเทศนั้นมีสารไลโคปีนที่สามารถปกป้องผิวให้ห่างไกลจากรังสียูวีได้ด้วย และหากผิวมีปัญหาไหม้แดดจนมีอาการแสบร้อน ก็สามารถคั้นเอาน้ำมะเขือเทศมาผสมกับนมเปรี้ยวจากนั้นนำไปทาผิวที่ไหม้แดดได้เลยค่ะ ปล่อยทิ้งไว้สัก 20-30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด รับรองมันจะช่วยปลุกฟื้นผิวให้กลับมามีสุขภาพดีขึ้นดังเดิมได้เร็วแน่นอน

7. แก้ปัญหาหน้ามัน
คั้นน้ำมะเขือเทศสดแล้วใช้สำลีชุบให้ชุ่มมาทาผิวหน้าเป็นประจำทุกวันค่ะ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยขจัดความมันบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว แถมสาวๆ ยังได้ผิวหน้าที่กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย

เพราะสุขภาพผิวเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจ ใครว่าใช่จะมีแต่เรื่องสุขภาพกายภายในเท่านั้นจริงมั้ยละคะ ดังนั้น สำหรับสาวๆ คนไหนที่อยากมีผิวพรรณสวยครบวงจรตั้งแต่ภายในจรดภายนอก อย่าลืมหันมาใส่ใจกินมะเขือเทศหรือน้ำมะเขือเทศเป็นประจำ พร้อมกับหมั่นพอกผิวตามสูตรต่างๆ

ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kaewsaiidea.com/

4 วิธีดูแลสุขภาพสมอง .. ให้สดใสอยู่เสมอ

bb1

พบว่า .. ปัจจุบันคนเราหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น วันนี้มีบทความ “เทคนิคการดูแลสุขภาพสมอง (Technique to treat your brain)” มาฝากค่ะ  เพื่อยืดอายุสมองของเราให้ดีวันดีคืนตลอดไป

1. ทานโปรตีนจากปลาทะเลลึก
ลองเปลี่ยนการรับประทานเนื้อหมู หรือวัว หรือสัตว์ใหญ่ มาเป็นการรับประทานโปรตีนจากปลาทะเลลึกกัน อาทิ ปลาทู กลาแซลมอน ปลาทูน่าเป็นต้น ปลาเหล่านี้จะมีสาระสำคัญสองตัว คือ DHA และ RNA อันมีส่วนสำคัญในการเป็นอาหารสมอง คุณไม่มีทางมีสมองที่คิดได้ดีไปกว่าสมองที่มีสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพออยู่เสมอ

2. ฝึกการหายใจและสมาธิ
ฝึกการหายใจของคุณ โดยการหายใจเข้าออกอย่างช้ายาว ๆ หลายครั้ง หรือเรียกว่า ทำสมาธิ เพื่อให้ประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ในการฝึกการลำดับความคิดในสมอง และควรทำเป็นประจำทุกวัน

ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ และลดจำนวนครั้งในการป่วยในแต่ละปีได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังทำให้สมองได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ

4. อาหารเสริมช่วยคุณได้
หากยังรู้สึกว่ารับประทานอาหาร เพื่อเพิ่มพลังสมองไม่เพียงพอ สามารถมองหาอาหารเสริม อาทิ  น้ำมันปลา   เพื่อมาใช้ในการดูแลสุขภาพ ด้วยการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยให้มีมิติการคิดที่ลึก  และซับซ้อนมากกว่าใคร

 

นำเคล็ดลับ 4 ประการนี้ไปปรับใช้
จะช่วยให้คุณมีพลังสมองเหนือใคร ๆ  ลองนำไปทำดูนะค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.insurancecoverageblog.com

 

ไม่ชอบดื่มน้ำ ถึงตายได้เชียว เสี่ยงกับโรคร้าย

ใครทำงานเพลิน ๆ  แล้วดื่มน้ำน้อย
ถ้าบางคนทำงานจนลืมแม้กระทั่งการดื่มน้ำ  ต้องระวังนะค่ะ
6 โรคร้ายที่จะตามมา เมื่อเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ
คือ สมองเสื่อม ริดสีดวงทวาร ปวดข้อ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อ้วน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
มีรายละเอียดที่แชร์ของเค้ามา ลองอ่านดูได้นะ

bb1

1. สมองเสื่อม

ใครจะไปเชื่อว่าแค่ดื่มน้ำน้อย ก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมได้ เพราะเมื่อร่างกายของเราขาดน้ำ ปริมาณของน้ำในร่างกายไม่เพียงพอในการเป็นส่วนหนึ่งของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย เมื่อเลือดมีความข้นหนืดมากขึ้น ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงที่สมองได้เพียงพอ

จึงอาจเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกไม่สดชื่น เนือย ๆ คิดอะไรช้า ไม่กระฉับกระเฉง อึน ๆ มึน ๆ นั่นอาจเป็นผลมาจากแค่การ “ดื่มน้ำน้อยเกินไป” ก็ได้นะ

2. ริดสีดวงทวาร

แน่นอนที่สุดว่าหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลไปถึงการย่อยในกระเพาะอาหารที่ทำได้ยากลำบากมากขึ้น และลำไส้ที่แห้ง อาจทำให้เราไม่สามารถขับอุจจาระออกมาได้ เพราะอุจจาระอาจแห้งเกินไป เมื่อของเสียสะสมอยู่ในลำไส้ ลำไส้ก็จะดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายไปอีก ยิ่งทำให้เลือดมีของเสีย และข้นหนืดกว่าเดิม อุจจาระก็แข็งแห้งกว่าเดิม จนเกิดเป็นอาการท้องผูก และท้ายที่สุดลงเอยด้วยโรคริดสีดวงทวารนั่นเอง

มีคำแนะนำว่า “ตื่นเช้ามา” ก่อนทำอะไรก็ดื่มน้ำซะขวดนึง

3. ปวดข้อ

เชื่อหรือไม่ ว่ากระดูกอ่อนในหลายๆ ส่วนของร่างกาย รวมไปถึงหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ และเกิดอาการผิดปกติได้ง่าย มีส่วนประกอบเป็นน้ำมากถึง 80% ดังนั้นหากข้อต่อหรือหมอนรองกระดูกแห้ง ไม่ชุ่มชื้นเพียงพอ อาจทำให้ข้อต่อต่างๆ ดูดซับแรงกระแทกได้ไม่ดีพอ จนเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย หรืออาจอักเสบได้ง่ายเมื่อต้องออกแรงเดิน ยก เหวี่ยง หรือแม้แต่ตอนออกกำลังกาย และยกน้ำหนัก

4. ทางเดินปัสสาวะอักเสบ / กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

หากคุณมีอาการปวดปัสสาวะ แต่ไม่มีปัสสาวะไหลออกมา หรือไหลออกเพียงหยดสองหยด คุณอาจกำลังเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อันเนื่องมาจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ การติดเชื้อ และการกลั้นปัสสาวะนานๆ

5. อ้วน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหากคุณดื่มน้ำน้อย เป็นสาเหตุที่อาจทำไปสู่โรคอ้วนได้ เพราะหากคุณดื่มน้ำอย่างเพียงพอในตอนเช้า ระหว่างมื้อกลางวัน และตอนเย็น หรืออาจดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนทานอาหาร คุณจะพบว่าคุณอิ่มง่ายอิ่มเร็วกว่าการทานอาหารโดยไม่ดื่มน้ำเลย ยิ่งถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่กินจุอยู่แล้ว แล้วยิ่งไม่ดื่มน้ำอีก ด้วยความหิวหรือความอยากอาหาร คุณอาจทานเพลินจนน้ำหนักขึ้นได้ง่ายๆ

6. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ

ประจำเดือนของคุณผู้หญิงเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพได้ดีอีกอย่างหนึ่ง หากคุณพบว่าคุณมีประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ ขาดๆ หายๆ มีน้ำเกินไป มีสีเข้มเกินไป มาเป็นลิ่มเลือด หรือแม้กระทั่งปวดท้องประจำเดือนมาก สาเหตุสำคัญที่คุณอาจละเลยอาจมาจากการดื่มน้ำน้อยก็เป็นได้ เพราะเมื่อน้ำในร่างกายมีปริมาณไม่เพียงพอ ร่างกายจึงไม่สามารถนำน้ำไปสร้างเป็นประจำเดือนได้นั่นเอง

3  สัญญาณของคนดื่มน้ำน้อย

หากไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนดื่มน้ำน้อยหรือไม่ ให้สังเกตได้จาก

 

1. ปัสสาวะไม่ถึง 4-7 ครั้งต่อวัน
2. ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มแทบทุกครั้ง
3. ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนจัด

 

แค่ดื่มน้ำน้อยก็ส่งผลเสียถึงร่างกายได้มากมายขนาดนี้ นี่ยังไม่รวมถึงผลเสียด้านผิวพรรณที่หย่อยคล้อย หมองคล้ำ ผิวแห้ง ตาแห้ง และดูแก่กว่าวัยอีกนะ สาวๆ ได้ยินแล้วคงกรี๊ดเลยสิ

เพราะฉะนั้นหากใครมีอาการตามสัญญาณของคนดื่มน้ำน้อยดังกล่าว ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นให้ได้ราวๆ 1,500-2,000 มิลลิลิตรต่อวัน หรือ 6-8 แก้วต่อวัน หรือถ้ากลัวลืมก็เอาขวดลิตรมาตั้งไว้บนโต๊ะ 1 ขวด แล้วเตือนตัวเองว่าต้องดื่มให้หมด ทำงานจิบไป เข้าห้องประชุมก็ถือแก้วน้ำเข้าไปด้วย รับรองว่าหากทำได้ร่างกายของคุณจะไม่ขาดน้ำอีกต่อไป

หมายเหตุ – หากคุณดื่มน้ำไม่ถึง 6-8 แก้ว แต่ไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของคนดื่มน้ำน้อย อาจเป็นเพราะคุณดื่มเครื่องดื่ม หรือทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากพออยู่แล้ว จึงอาจไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำให้ได้ 6-8 แก้วต่อวันค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม “น้ำเปล่า” ก็ยังสำคัญต่อร่างกาย อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าบ้างนะคะ

digi2

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก สสส และ   http://health.sanook.com/4557/

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ความดันโลหิตต่ำ…ต้องอ่านด่วน

Omron : digital blood pressure monitor
Omron : digital blood pressure monitor

คนที่บ้านเป็นลม วัดความดันพบว่าต่ำ จึงไปหาหมอ
(ไม่เกี่ยวอะไรกับความดันทุรังนะครับ)

16 ก.ย.59 หมอแนะนำว่าให้ออกกำลังกาย
ให้ยาลดความเครียด
แนะนำให้ออกกำลังกาย
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ติดราวในห้องน้ำ เวลาเป็นลมจะได้มีที่เกาะ

จากนั้นก็ไปค้นข้อมูลเก็บไว้อ่าน ดังนี้

ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) คือ การที่ความดันโลหิตลดลงอย่างกระทันหันอาจเกิดเนื่องมาจากหัวใจล้มเหลว ที่จะรักษาระดับความดันไว้ได้ หรือเกิดจากการขาดของเหลวไหลเวียนอย่างรุนแรงในระบบหมุนเวียนโลหิต

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความดันต่ำ คือ การอดอาหารเป็นเวลานาน ๆ การใช้ยาระงับประสาทบางชนิด การเสียเลือดมากกว่าปกติ และความผิดปกติในการขับถ่าย ความดันต่ำไม่เป็นอันตรายก็จริง แต่ก็คงจะทำให้เป็นคนอ่อนแอ ไม่มีแรง ปวดหัวเวียนหัวอยู่ตลอดเวลา ทำงานที่ออกแรงไม่ได้ เป็นต้น

ความดันโลหิตโดยทั่วไปสำหรับผู้ ใหญ่
ถ้าเกิน 140/90 ถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงเกินควร
ถ้าต่ำกว่า 100/60 ถือว่าต่ำเกินควร
ตัวเลขเหล่านี้เราจะรู้ได้จากการวัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิต (Sphygmomanometer) ซึ่งจะเป็นเครื่องวัดที่ต้องใช้หูฟัง (Stethoscope) หรือจะเป็นเครื่องวัดอัตโนมัติแบบที่เรียกว่าดิจิตอลก็ได้
(Omron : digital blood pressure monitor)

ความดันโลหิตต่ำเกิดขึ้นได้จากต้นตอ 2  ประการ คือ

1.  จากระบบบางอย่างของร่างกายบกพร่องมาตั้งแต่เกิด
2. เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเฉพาะหน้าบางประการ สาเหตุบางอย่างจากระบบบกพร่องนั้น ได้แก่  คนที่โลหิตจางหรือเลือดน้อย   ปริมาณรวมของเลือดต่ำและผนังของเส้นเลือดและการปั๊มของหัวใจผิดปกติ

อันตรายร้ายแรงจากระบบบกพร่องนั้น   จะไม่ค่อยมี แต่ผู้ที่ความดันโลหิตต่ำมักจะ เป็นคนที่ไม่มีแรง   เวียนหัว   หัวหมุน   และคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย ทำงานหนักไม่ค่อยจะได้   เหนื่อยง่าย
ส่วนที่ความดันโลหิตต่ำเพราะมีโรคภัยเฉพาะหน้าเกิดขึ้นนั้น    อาจจะเกิดขึ้นเพราะโลหิตจางแบบเฉียบพลัน    ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะอุบัติเหตุเสียเลือดมาก หรือมีสิ่งที่เป็นท้อกซินมากเข้าสู่ร่างกายอย่างกะทันหัน หรือต้องรับยาเคมีบางอย่าง   เช่น   ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งต้องรับเคมีบำบัด   และต้องใช้รังสีบำบัด เป็นต้นความดันต่ำกว่าปกติสามารถก่อผลเสียอย่างทันทีได้มากมาย   เนื่องจากอวัยวะสำคัญหลายชนิดต้องการเลือดและความดันเลือดในระดับหนึ่ง  จึงจะทำหน้าที่ได้ดี    เมื่อความดันต่ำลงมาก  อวัยวะต่างๆ   ก็จะเริ่มหยุดทำงานที่สำคัญๆ   ได้แก่ ไต ตับ หัวใจ สมอง     โดยเฉพาะสมองที่จะก่อให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมหมดสติ     และในที่สุดอาจจะเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้แก้ไขสาเหตุของความดันต่ำ อาการนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Shock

สาเหตุที่พบแบ่งตามลักษณะการเกิดและการรักษา
1. Hypovolumic shock ช๊อคความดันต่ำจากการเสียเลือดหรือเสียน้ำจากร่างกายมากๆ พบในอุบัติเหตุ หรือการติดเชื้อบางอย่าง(ท้องร่วง)
2. Distributive shock  เกิดช๊อคความดันต่ำจากการที่เส้นเลือดทั่วร่างกายขยายตัว   จนปริมาณเลือดในร่างกายดูเหมือนมีน้อยลง  (เมื่อเทียบกับพื้นที่ๆเพิ่มขึ้น)   พบในการแพ้อาหารยาแมลง   การกระทบกระเทือนทางระบบประสาทอย่างรุนแรง   และการติดเชื้อในกระแสโลหิต

3. Cardiogenic shock   ความดันต่ำช๊อคจากการที่หัวใจทำงานแย่ลง พอตัวปั๊มเลือดทำงานแย่ ความดันเลือดก็ลดลง พวกนี้เจอในโรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายทั้งหลาย

สามตัวนี้ ถ้าปล่อยไว้ ตาย… (บางทีรักษาไม่ไหวก็ตาย)
Symptomatic hypotension อื่นๆ ได้แก่โรคหรือภาวะใดๆที่ทำให้ร่างกายเกิดความดันต่ำขึ้นชั่วขณะ มีหลายๆตัว อันตรายบ้างไม่อันตรายบ้าง แต่อาการที่ตรงกันก็คือจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม เหงื่อแตก ใจเต้นเร็ว หมดสติหรือเกือบหมดสติ
วิธีแก้    สำหรับผู้ที่มีโรคภัยเฉพาะหน้าก่อน
ถ้าจะให้รู้ว่าเพราะโลหิตจางหรือไม่   คงจะต้องตรวจเลือดก่อนแล้วดูที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวก่อนเป็นตัวแรกต่อจากนั้นให้ดูที่เฮโมโกลบิน   (ตัวที่รับเอาออกซิเจนเข้าไว้ในเลือด)   แล้วดูเฮมาโตคริต   (เปอร์เซ็นต์ของเม็ดเลือดแดงทั้งหมด)ถ้าชนิดของเลือดเหล่านี้ต่ำกว่าเกณฑ์จะค่อนข้างแน่ใจว่าโลหิตจาง   และถ้าวัดความดันโลหิตว่าต่ำกว่าเกณฑ์ก็ต้องให้เลือดเป็นการด่วน แต่การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหน้าที่ของแพทย์ทำเองไม่ได้ เมื่อแก้อาการโลหิตจางตามนี้ได้แล้ว ความดันโลหิตของคุณน่าจะขึ้นมาได้อยู่ในระดับปกติ

แต่อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเฝ้าดูเป็นพิเศษ คือ การที่คุณโลหิตจางนั้นเกิดจากการเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่ เลือดออกภายในนี้อาจจะเป็นที่แผลในกระเพาะหรือลำไส้ คุณรับประทานอะไรเข้าไปเป็นกรดหรือย่อยไม่หมด ก็จะทำให้แผลภายในเลือดออกไม่หยุด อย่างนี้อันตรายแบบเฉียบพลัน ความดันโลหิตต่ำอย่างแน่นอนฉะนั้น อย่าวางใจถ้าความดันโลหิตต่ำจนหมดแรงจะเป็นลม แต่ไม่พบอาการผิดปกติอย่างอื่นให้ดูให้แน่ว่ามีเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่ รีบส่งโรงพยาบาลด่วน    โรคเฉพาะหน้าที่ทำให้ความดันโลหิตต่ำอีกอย่างหนึ่งและไม่ค่อยมีใครสังเกตพบ ก็คือ ผู้ที่เป็นหวัดอย่างแรง หรือไปติดเชื้อหวัดใหญ่มา ความดันโลหิตมักจะต่ำ แต่ก็ไม่มีใครค่อยสังเกต เพราะถ้าใครเป็นหวัดใหญ่ ก็มักจะให้คนไข้นอนพัก ให้ยาแก้ไข้ ให้อาหารบำรุงไม่กี่วันก็จะหายแต่ข้อสังเกต ถ้ามีโอกาสตรวจความดันโลหิตและปรากฏว่าเป็นความดันต่ำแล้วละก็ รีบให้ยาบำรุงเลือดด้วย

คำแนะนำเพื่อช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตต่ำ
1. ดื่มชาโสม ชาโสมจะมีประโยชน์ในกรณีอ่อนเพลีย
2. ดื่มชาขิง ชาขิงจะช่วยกระตุ้นและสนับสนุนระบบหมุนเวียนโลหิต
3. การพักผ่อนนอนหลับให้สนิทและมากๆ มีความจำเป็นเพราะการนอนไม่หลับจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ
4. รับประทานผลไม้เพื่อให้ได้วิตามิน
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


ถ้ามีปัญหาเรื่องขาดอาหาร ก็ควรให้สารอาหารชดเชย เช่น
– กรดโฟลิคจากน้ำผึ้งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
– กรดอะมิโนในสาหร่ายเกลียวทองเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผนังเส้นเลือดและระบบประสาทอัตโนมัติ
– วิตามิน เกลือแร่ ในว่านหางจระเข้ช่วยให้เกิดสมดุลของความดันโลหิต
– วิตามินซี ช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยม ธาตุเหล็กและกระบวนการเมตาโบลิซึมของร่างกาย
– วิตามินอีในเมล็ดทานตะวันช่วยลดการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง
การแก้ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำโดยทั่วไป
1.  แก้ด้วยอาหาร ควรจะให้อาหารที่เพิ่มโปรตีน ให้มากๆ สำหรับท่านที่กินอาหารชีวจิตอยู่แล้ว เราให้กินโปรตีนทั้งจากพืชและจากเนื้อสัตว์ได้ จากพืชก็คือ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร เป็นต้น และเราให้กินปลาหรืออาหารทะเลได้ อาทิตย์ละ 2 ครั้งอาจจะเพิ่มปลาได้เป็นอาทิตย์ละสัก 3 ครั้ง และถั่ว-เต้าหู้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 25% แทนที่จะเป็น 15%

2.  กินวิตามิน B COMPLEX 100 มก. เป็นประจำวันละ 1 เม็ด และให้แถม B1 100 มก.และ B12 500 ไมโครแกรม อีกอย่างละเม็ด

3.  แคลเซียม 1,000 มก. และโปแตสเซียม 500 มก. กินประมาณ 1 เดือน เว้น 1 เดือน

4. วิตามิน E 400 IU. วันละ 1 เม็ด

5. ขอให้ออกกำลังกายเบาๆก่อน ใช้วิธีรำตะบองแบบชีวจิตจะดีที่สุด แรกใช้
แต่ละท่า ประมาณ 20 ครั้ง เมื่อรู้สึกดีแล้ว ให้เพิ่มเป็นท่าละ 3 ครั้ง

6. ใช้หัวแม่มือนวดเบาๆ บริเวณกลาง หน้าอกแล้วเลื่อนไปที่บริเวณใกล้รักแร้สองข้าง
—————————–
แหล่งข้อมูล:จาก..  คอลัมน์ชีวจิต หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/134141
https://en.wikipedia.org/wiki/Hypotension
http://med.mahidol.ac.th/ramachannel/index.php/knowforhealth-20140914-3/
http://www.thaihealth.or.th/node/17259
+ http://www.thailabonline.com/sec31hypo.htm

15 สัญญาณของร่างกายต่อไปนี้ที่ฟ้องว่า เรากำลังขาดธาตุเหล็กอยู่นะ

iron-1

ธาตุเหล็ก สำคัญกับสุขภาพผู้หญิงมากกว่าที่คิด และหากไม่อยากป่วยเป็นโรคโลหิตจาง หรือมีอาการผิดปกติต่าง ๆ อันเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก สาว ๆ ก็ไม่ควรพลาดสิ่งนี้

ถ้าบอกว่าภาวะขาดธาตุเหล็กเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้มากพอ ๆ กับโรคฮิตประเภทอื่น หลายคนก็อาจคาดไม่ถึง และโดยส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิง รวมทั้งกลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยนะคะ ซึ่งหากไม่อยากจะป่วยเป็นโรคโลหิตจาง หรือมีความผิดปกติทางสุขภาพอื่น ๆ ก็ควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะควรหมั่นเติมธาตุเหล็กในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการร่างกายด้วย
ธาตุเหล็ก สำคัญกับผู้หญิงยังไง

เหตุผลที่ธาตุเหล็กมีความสำคัญกับเพศหญิง ก็เพราะผู้หญิงมีโอกาสสูญเสียธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าผู้ชาย ทั้งการมีประจำเดือน ซึ่งเฉลี่ยแล้วต่อเดือนผู้หญิงจะเสียเลือดส่วนนี้ไปประมาณ 50 มิลลิลิตร หรือเท่ากับสูญเสียธาตุเหล็กไปประมาณ 15-30 มิลลิกรัมต่อเดือน และอาจจะมีแนวโน้มสูญเสียธาตุเหล็กมากขึ้นหากสาว ๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ร่างกายก็ต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย

ธาตุเหล็กมากขนาดไหน ที่ร่างกายต้องการ

สำหรับผู้หญิงในวัย 15-50 ปี ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับธาตุเหล็กให้ได้วันละ 10 มิลลิกรัมก็เพียงพอค่ะ

ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ ควรไปตรวจวัดปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายให้ชัวร์ ๆ เพราะหากไม่ใช่ผู้ที่ขาดธาตุเหล็กอยู่แล้ว การรับประทานธาตุเหล็กเข้าไปเพิ่ม อาจทำให้ร่างกายกำจัดธาตุเหล็กออกไปไม่หมด และส่งผลเสียต่อการทำงานของตับได้

จริง ๆ แล้วเราก็สามารถเช็กตัวเองได้ในเบื้องต้น จาก 15 สัญญาณของร่างกายต่อไปนี้ที่ฟ้องว่า เรากำลังขาดธาตุเหล็กอยู่นะ

           อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะความรู้สึกเหมือนหมดแรง เหนื่อยใจ เนื่องจากเลือดไม่มีธาตุเหล็กเพียงพอจะสูบฉีดให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ นั่นเอง

ลิ้นอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ

ลิ้นบวม ตุ่มบริเวณลิ้นหายไป ลิ้นเกลี้ยงเกลามากขึ้น แต่อาจทำให้เคี้ยวอาหารลำบาก แปรงฟันลำบาก หรือหากลิ้นบวมหนักมากอาจพูดไม่ชัดได้

ประสิทธิภาพของสมองลดลง มีอาการเหม่อลอยบ่อยขึ้น เนื่องจากออกซิเจนในเลือดน้อยเพราภาวะขาดธาตุเหล็ก

ตัวซีด เปลือกตาด้านในซีด บ่งบอกสภาวะโลหิตจาง

ริมฝีปากแห้งแตก โดยเฉพาะบริเวณมุมปาก และอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วย จนบางทีไม่สามารถอ้าปากกว้าง ๆ ได้ มีความลำบากในเวลากินอาหาร ตอนยิ้ม หรือแม้กระทั่งตอนเปล่งเสียง

ร่างกายไวต่อเชื้อโรค มีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย

มีอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Leg Syndrome) ต้องสั่นขา เขย่าขาตลอดเวลา เพราะรู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่ขา หรือไม่สั่นขาจะนั่งไม่สบาย

หน้ามืด วิงเวียน โดยเฉพาะเมื่อเดินขึ้นบันได ขึ้นลิฟต์ หรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหนัก ๆ

หายใจติดขัด เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ

ปวดศีรษะ หนัก ๆ หัว เหมือนสมองไม่โปร่งใส รู้สึกขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ

เบื่ออาหาร รู้สึกอยากกินอาหารรสชาติแปลก ๆ เช่น อยากกินดิน อยากกินน้ำแข็ง เป็นต้น

มีดอกเล็บขึ้น เล็บเป็นรูปช้อน หรือหนังเล็บลอก

มือเย็น เท้าเย็น

ใจสั่นได้ง่าย แม้จะแค่เดินในระยะใกล้ ๆ หรือวิ่งระยะสั้น ๆ

หากพบว่าตัวเองมีอาการตรงกับอาการดังกล่าวหลายข้อ ลองไปพบแพทย์เพื่อวัดระดับธาตุเหล็กในร่างกาย หรืออาจเช็กง่าย ๆ จากการไปบริจาคเลือดก็ได้ค่ะ

ทั้งนี้หากแน่ใจจริง ๆ ว่าร่างกายกำลังเรียกร้องหาธาตุเหล็กมาเติมเต็ม คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กได้ตามนี้

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

          เนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง
เลือด
ตับ
เครื่องในสัตว์
ธัญพืช เช่น ซีเรียล ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี
แป้ง
ไข่แดง
อาหารทะเล
ปลา
เป็ด
ไก่
ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น
ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ

อย่างไรก็ดี อาหารบางประเภทยังอาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายได้ ซึ่งอาหารที่ว่าก็อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์นม ถั่วเหลือง ข้าวไม่ขัดสี ชา กาแฟ ซึ่งถ้าต้องการธาตุเหล็กก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้ไว้ด้วย

ส่วนอาหารที่จะช่วยเสริมการดูดซึมธาตุเหล็กก็ได้แก่ อาหารอุดมวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ สตรอว์เบอร์รี ส้มโอ กีวี เป็นต้น ซึ่งก็ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ระหว่างรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กเข้าไปใช้ได้อย่างสะดวกขึ้นนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.healthmee.com/ForumId-911-ViewForum.aspx

อาหารบำรุงโลหิต อาหารบำรุงเลือด

nbyyn9v
โลหิตหรือเลือดมีความสำคัญต่อร่างกาย โดยมีไขกระดูกเป็นตัวผลิตเลือด เพื่อให้เลือดช่วยนำออกซิเจนไปใช้ในการเผาผลาญพลังงานและลำเลียงสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

การทำงานของเลือดนั้น เป็นไปได้ที่จะทำงานผิดปกติและด้อยประสิทธิภาพ หากขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการผลิตเลือด หรือการเป็นโรคบางชนิด ทำให้เลือดถูกผลิตมากจนเกินไปหรือน้อยเกินไป เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเกี่ยวกับเลือด ควรกินสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการผลิตเลือดเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง

โภชนาการและการบำบัดแบบธรรมชาติ
–   กินอาหารให้หลากหลายและสมดุลกันทั้ง 5 หมู่ ครบทั้ง 3 มื้อเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน

–   กรดไขมันที่ดีจากน้ำมันปลา เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาเทราต์  ปลาแซลมอน อุดมด้วยโอเมก้า -3 ช่วยให้โลหิตไหลเวียนดี และลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

–   หอย หอยนางรม เห็ด ถั่ว ผลไม้ เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยทองแดง ซึ่งมีประโยชน์เช่นเดียวกับธาตุเหล็ก คือช่วยผลิตเม็ดเลือดแดง

–   วิตามินบี 12 ช่วยในการผลิตและแบ่งเซลล์เม็ดเลือด แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ผลิตภัณฑ์นม ไข่ ปลา และเนื้อสัตว์

–   สารอาหารที่มีกรดโฟลิก ได้แก่ ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วแดง อะโวคาโด ฟักทอง แคนตาลูป ไข่แดง ช่วยให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง

–   ธาตุเหล็กช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามากผิดปกติควรกินตับสัตว์ เนื้อหมู ไข่แดง ถั่ว หอยนางรม หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโอ๊ต

วิตามินเสริม

–   ทองแดง ควรกินวันละ 1-2  มิลลิกรัมต่อวัน ทองแดงมีหน้าที่คล้ายธาตุเหล็ก คือข่วยผลิตเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
–   กรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวัน ช่วยให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงได้ดีขึ้น
–   ธาตุเหล็ก ช่วยในการผลิตและควบคุมคุณภาพของแม็ดเลือด ควรกิน 10-15 มิลลิกรัมต่อวัน
•    หมายเหตุ การกินวิตามินเสริมควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจมีผลข้างเคียง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ย
–   หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของสารแทนนินและไฟเตด
–   ลดการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ เช่น เนยเหลว เนยแข็ง ไขมันสัตว์ ไส้กรอก เบคอน
–   ลดการกินน้ำตาลขัดขาวสูง ทำให้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
–   กินเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็มให้น้อย เพื่อลดการกักเก็บของเหลวในร่างกาย
–   หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกกอฮอล์ เนื่องจากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

ข้อแนะนำ
–   ผู้หญิงเป็นเพศที่ต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชาย เพราะเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามาก
–   ผู้ที่นิยมกินอาหารเจ และมังสวิรัติ ที่ต้องงดการกินเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม อาจจะต้องรับวิตามินเสริมโดยเฉพาะวิตามินบี 12 ทดแทน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.healthmee.com/ForumId-75-ViewForum.aspx

ความเชื่อเกี่ยวกับการ “นอน”

a259

โดยเฉลี่ยคนเราใช้เวลาหนึ่งในสามของชีวิตไปกับการนอนหลับ เพราะการนอนหลับ  คือ  การพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกาย   แล้วนอนกี่ชั่วโมงถึงจะเรียกว่านอนพอ  ไม่น้อยไม่มากเกินไป และเคยได้ยินมาว่าพออายุเพิ่มมากขึ้นการนอนมากถือว่าไม่จำเป็น จริงหรือไม่  มาหาคำตอบกันค่ะ

ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพักไปด้วย
ข้อเท็จจริง : ในขณะหลับร่างกายจะหยุดพักผ่อนตามไปด้วย แต่สมองยังคงทำงานอยู่ การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้รับการชาร์ตแบตเตอรีเพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ

ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป ทั้งนี้อายุที่มากขึ้น ประกอบกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง

ความเชื่อ : การนอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเราจะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนเป็นประจำแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับให้นอนน้อยได้ตลอด เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ

ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ
ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวันอาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกตอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องไปปรึกษาแพทย์ต่อไป

ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก
ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูกผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทำให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายรับประทานอาหารเกินพอดี น้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด

——–ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.247friend.net/blog/domebt/2013/09/16/entry-1

รอบเอวคุณเกินมาตรฐานหรือไม่….

p0

นอกจากดัชนีมวลกายที่ช่วยในการตรวจสอบว่าเรามีภาวะน้ำหนักเกินหรือยัง เราเข้าสู่ภาวะ อ้วนแล้วหรือไม่ ก็ยังมีดัชนีอีกตัวที่ช่วยเราตรวจเช็คเพิ่มเติมได้ ดัชนีตัวนี้คืออัตราส่วนรอบเอว ต่อรอบสะโพก (Waist/Hip Ratio : WHR)สาเหตุที่บางครั้งจำเป็นต้องใช้ดัชนีตัวนี้ช่วยตรวจสอบเพิ่มเติมเพราะว่าหลายคนมีร่างกายที่ค่อนข้างสมส่วน และดัชนีมวลกายอยู่ในภาวะเหมาะสมหรือน้ำหนักเกิน แต่มีลักษณะลงพุงเช่นนี้แล้วคุณก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างได้เช่นกัน

 อัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก (WHR) สามารถหาได้จาก

 ความยาวเส้นรอบเอว ( หน่วยเป็น ซม.) / ความยาวเส้นรอบสะโพก (หน่วยเป็น ซม.)

ค่าที่ได้ ถ้าเกิน 0.85 : แสดงว่ามีภาวะ อ้วนลงพุง

ค่าที่ได้ 0.76-0.84 : แสดงคว่าคุณกำลังใกล้เข้าสู่ภาวะลงพุง ควรเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว

ค่าที่ได้ ตำกว่า 0.75 : แสดงว่าคุณไม่มีความเสี่ยงทางด้านสุขภาพจากไขมัน

 

ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าคุณมีรอบเอว = 65 ซม. และรอบสะโพก = 85 ซม. 3

ความยาวเส้นรอบเอว ( หน่วยเป็น ซม.) / ความยาวเส้นรอบสะโพก (หน่วยเป็น ซม.)
อัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก (WHR) = 65/85 = 0.76

 

ค่า 0.76 ที่ได้นั้น ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 0.85 แสดงว่าคุณยังไม่เข้าสู่ภาวะอ้วนลงพุงนั่นเอง แต่ก็ควรจะเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายของคุณได้แล้ว

 เกี่ยวกับความยาวเส้นรอบเอว สำหรับคนไทยแล้ว มาตรฐานคือ

สำหรับผู้ชาย ไม่ควรเกินกว่า 90 ซม.(36 นิ้ว)
สำหรับผู้หญิง ไม่ควรเกินกว่า 80 ซม.(32 นิ้ว)

จากการศึกษาพบว่า เส้นรอบเอวที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆ 5 ซม. นั้น เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรค เบาหวานมากขึ้นถึง 3-5 เท่า ซึ่งจะนำไปสู่โรคอื่นๆได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ  ความดันโลหิตสูง  และโรคหัวใจ  เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaidietinfo.com/Waist_Hip_Ratio.html

“มะระ” ไม่กินไม่ได้แล้ว

bb1

เมื่อพูดถึงผักอย่าง “มะระ” ใคร ๆ ที่เคยได้ลิ้มลองคงนึกถึงรสชาติของความขมปร่าที่ลิ้นขึ้นมาได้ทันที แต่ประโยชน์ของมะระ มีมากมายเลยนะค่ะ

1. ช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด

มะระจะช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเนื่องจากมีการเผาผลาญกลูโคสมากขึ้น ควรดื่มน้ำมะระทุกวันๆละ 1 แก้ว หรือถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอาหารก็ควรปรึกษาแพทย์ หยุดดื่มหากคุณมีอาการปวดช่องท้อง ท้องเสีย หรือมีไข้ ที่สำคัญหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในกระแสเลือดและปรับเปลี่ยนการใช้ยาเมื่อจำเป็นโดยมีแพทย์คอยให้คำปรึกษา

2. สลายก้อนนิ่วในไต

มะระสามารถสลายก้อนนิ่วในไตได้โดยธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยลดกรดที่ทำให้เกิดก้อนนิ่วได้อีกด้วย หากผสมมะระผงกับน้ำก็จะกลายเป็นชาที่ดีต่อสุขภาพ และที่น่าทึ่งคือเราไม่ต้องเติมความหวานเพิ่มลงไปอีกด้วย

3. ลดระดับคลอเรสเตอรอล

ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

หมายเหตุ : ระดับคลอเรสเตอรอลสูงสามารถวินิจฉัยได้จากผลตรวจเลือดเท่านั้น

6. ลดน้ำหนัก

มะระเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำและเนื้อเยอะมากไม่ต่างจากผักส่วนใหญ่ เนื่องจากมะระมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากจึงมีประโยชน์มหาศาลในการลดน้ำหนักและบำรุงร่างกาย

7. ล้างพิษตับ

น้ำมะระจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ปรับปรุงการทำงานของถุงน้ำดี และลดอาการบวมน้ำ โรคตับแข็ง โรคตับอักเสบ และอาการท้องผูกก็สามารถบรรเทาลงได้ด้วยน้ำมะระ การดื่มน้ำมะระอย่างน้อยวันละครั้งจะช่วยในเรื่องลดน้ำหนักและบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน

8. ย่อยคาร์โบไฮเดรต

นี่คือคุณประโยชน์สำคัญสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานประเภท 2 โดยคาร์โบไฮเดรตจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและมะระก็จะเผาผลาญน้ำตาลอีกที ยิ่งคาร์โบไฮเดรตได้รับการเผาผลาญเร็วเท่าไรก็หมายความว่าไขมันจะถูกเก็บไว้ในร่างกายของเราน้อยลงและทำให้น้ำหนักลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้การย่อยคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสมจะช่วยในเรื่องการพัฒนาและเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ

9. แหล่งวิตามินเค

วิตามินเคมีประโยชน์ในเรื่องการเสริมสร้างกระดูก ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และมีสรรพคุณต้านการอักเสบ อาการเจ็บปวดและอักเสบจากโรคไขข้อก็ทุเลาลงได้ด้วยการบริโภควิตามินเค ซึ่งการรับประทานมะระสามารถช่วยคุณได้และที่สำคัญมะระยังเป็นแหล่งเส้นใยอาหารชั้นดีอีกด้วย

10. เพิ่มภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกันที่ดีมีความสำคัญในการกำจัดเชื้อโรคและการติดเชื้อที่อาจจะเกิดขึ้น การรับประทานมะระผัดสามารถช่วยในเรื่องสุขภาพของเราได้โดยการยับยั้งหรือป้องกันโรคหวัดได้ทันท่วงทีแถมดีต่อระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยังป้องกันการแพ้อาหารและการติดเชื้อยีสต์ตามธรรมชาติด้วย ประโยชน์อีกอย่างของมะระคือช่วยบรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนและอาหารไม่ย่อย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://issue247.com/health/benefits-of-bitter-melon/

5 แนวคิดชีวิตเป็นสุข/Life and Family

happy1

“ความสุข”   ทุกคนย่อมแสวงหา มาดูกันค่ะ  แนวคิดที่ทำให้ชีวิตเป็นสุข

ทั้งนี้ 5 แนวคิดชีวิตเป็นสุขด้วยย่างก้าวแห่งสติ  ขั้นต่อไปนี้ เป็นวิถีที่ทุกคนควรมีใจที่ตั้งมั่น   เพื่อที่ว่าขณะที่ก้าวขึ้นไปในแต่ละขั้นนั้น เราจะไม่สะดุดหกล้ม จนต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กันอีกครั้ง

ก้าวแรก–เคารพและขอบคุณตนเอง

ก่อนที่เราจะก้าวไปหาความสุขและความสำเร็จจากภายนอก แรกเริ่มเราควรสำรวจตัวเองเสียก่อน รักตัวเองก่อนที่จะไปรักผู้อื่น รวมไปถึงการพิจารณาความดีความชอบที่เราเคยกระทำมา

-เมื่อมีโอกาสตื่นขึ้นมาพบเช้าวันใหม่ในทุกๆวัน สิ่งที่ไม่ควรลืมนั่นคือ การขอบคุณพ่อและแม่ และขอบคุณตัวเอง ที่ทำให้เรายังสามารถลืมตาตื่นขื้นมาได้ เพราะคนเราไม่สามรถรับรู้ได้เลยว่า วันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของเรา

-สานต่อความดีที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ การไม่โกรธ และการให้อภัยเพื่อทุกคนในบ้าน รวมไปถึงเพื่อนมนุษย์ เพราะเชื่อเถอะว่า การให้มีความสุขมากกว่าการรับ

-มีความหวังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะลงมือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่าแช่งตัวเองและอย่าดูถูกตัวเองเป็นอันขาด เพราะไม่มีคนเก่งที่ประสบความสำเร็จคนไหน มีความสุขในชีวิตด้วยการดูถูกเหยียดหยามตนเอง

ก้าวที่สอง–ให้โอกาส ไม่คาดหวัง

หลังจากที่ไม่ดูถูกตัวเอง และขอบคุณตัวเองรวมไปถึงพ่อและแม่ในทุกๆวันแล้ว บทหนึ่งในพระคัมภีร์ของพระเยซูได้สอนไว้ว่า ‘จงเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ’

ดังนั้น เมื่อนิ้วมือทั้งสิบนิ้วยังไม่เท่ากัน คนแต่ละคนที่แตกต่างกันจึงนับเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ควรคาดหวังในตัวผู้อื่นมากเกินไป โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน หัวเลี้ยวหัวต่อ หากคาดหวังเชิงบังคับเขา บางทีสิ่งเหล่านี้อาจกลับมาทำร้ายครอบครัวได้ไม่น้อย

ขณะเดียวกันหากสิ่งไหนที่พลาดไปแล้ว ของให้ระลึกอยู่เสมอว่า คนทุกคนมักอยากได้โอกาส ดังนั้น หากเราสามารถเป็น “ผู้ให้โอกาส” แล้วจะรู้ว่าความสุขในชีวิตจะสุขมากขึ้นหากเรารู้จักแบ่งปันสิ่งดีๆให้แก่คนอื่นด้วย

ก้าวที่3–ไม่มีวันพรุ่งนี้

การอยู่กับปัจจุบัน ไม่จมปรักกับอดีต ไม่เพ้อฝันกับอนาคต และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ทำเต็มความสามารถของตนเอง เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะไม่พลาดพลั้งในเรื่องง่ายๆ และคนรอบข้างเองก็จะพลอยสุขไปกับเราด้วย

แต่ที่สำคัญเรื่องอดีตที่ผ่านมานั้น อย่าให้มันกลับมาทำร้ายคุณและคนในครอบครัวเป็นอันขาด เพราะการที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่คอยทำร้ายจิตใจทุกคนในบ้านนั้น เท่ากับการสะกิดแผลที่ไม่มีวันตกสะเก็ด ซึ่งมันจะยิ่งทำให้ทุกคนทุกข์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ก้าวที่ 4 —ล้มแล้วลุก

แม้ว่าจะเจอมรสุมในชีวิตหนักหนาสักเพียงใด ขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่า เมื่อล้มไปแล้ว เราต้องปัดเข่าแล้วลุกขึ้น อย่านั่งจมอยู่ตรงนั้น เพียงรอให้ใครสักคนยื่นมือมา เพราะตราบใดที่เรายังมีเรี่ยวแรง มีกำลังที่จะก้าวต่อไปด้วยสติ เราก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้อารมณ์และเสียงหัวเราะ กำลังใจจากคนรอบข้าง และความหวังที่ยังไม่หายไป จะเป็นยาชูกำลังที่ดีอีกขนานหนึ่งที่จะทำให้เราก้าวต่อไปพร้อมๆทุกคนอีกด้วย

ก้าวสุดท้าย–ปรับปรุงตัวเองเสมอ

ทุกคนในครอบครัว ควรยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน ขณะที่ในสังคมเอง ก็ควรหมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา

ส่วนตนเองนั้น ก็ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

———————————-

ปิดท้ายด้วย พร 4 ประการของท่าน ว. วชิรเมธี เพื่อสร้างครอบครัวที่อ่อนแอจะมีภูมิต้านทานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่าหลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง

กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก” คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส “จิตประภัสสร” ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี “แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข”

อย่ามัวแต่คิดริษยา

แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน” คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า “เจ้ากรรมนายเวร” ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น “ไฟสุมขอน” (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี “แผ่เมตตา”

อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ “ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น” มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย

ส่วนความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ “อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน” และ”อยู่กับปัจจุบันให้เป็น” ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี “สติ” กำกับตลอดเวลา

อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

“ตัณหา” ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ

ธรรมชาติของตัณหา คือ “ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม” ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู

ส่วนคุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า “เกิดมาทำไม”

คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน” ตามหา ” แก่น ” ของชีวิตให้เจอ คำว่า “พอดี” คือถ้า “พอ” แล้วจะ”ดี” รู้จัก “พอ” จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

——————————————
ที่มา http://edunews.eduzones.com  ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต