น้ำส้มปลอมของคนไทย (อาหารปลอม #1)

น้ำส้มปลอม
น้ำส้มปลอม

อ่านเดลินิวส์ 24 พ.ค.59 เตือน .. พี่ไทยก็ไม่น้อยหน้า
หนุ่มพ่อค้ารถเข็นหลอกขาย “น้ำส้มปลอม” ย่านเกษตร
น้ำส้มคั้นปลอม ขายขวดละ 20 บาท
http://www.dailynews.co.th/regional/399824

ข่าวโพสต์ทูเด 23 พ.ค.59 จับหนุ่มสาวเวียดนาม
นำหัวเชื้อน้ำส้มผสมน้ำประปากรอกใส่ขวดขาย
แต่งรสหวานจากสารขัณฑสกรหรือสารใช้แทนน้ำตาลและสีส้ม
บรรทุกใส่รถเข็นออกเร่ขายไปทั่วเมือง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
http://www.posttoday.com/social/hot/433424

ข่าวสด 27 พ.ค.59 ที่สระบุรี
ผสมสี และสารกันบูดเกินมาตรฐาน
ซึ่งสี กับสารกันบูดพอจะรับประทานได้ แต่มากไปก็ไม่ดี
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1464359933

ไทยรัฐนิวส์โชว์ คลิ๊ปคนเวียดนามทำน้ำส้มปลอม

มารู้จัก ขัณฑสกรหรือแซกคาริน (saccharin)
เป็นสารสังเคราะห์ที่ให้รสหวานที่มีความหวาน
สูงกว่าน้ำตาลถึง 300-700 เท่า รสหวานจัด บางคนอาจรู้สึกได้รสขมด้วย
สารนี้ไม่ให้พลังงาน จึงนิยมนำไปใช้ในอาหารควบคุมน้ำหนักพลังงานต่ำ
รวมทั้งในน้ำอัดลมและน้ำหวานต่าง ๆ
แต่สำหรับในประเทศไทยนั้นไม่อนุญาตให้ใช้ขัณฑสกรในเครื่องดื่ม
สำหรับด้านความปลอดภัยของการบริโภคขัณฑสกรก็เป็นปัญหาหนึ่ง
ซึ่งนักวิชาการได้ถกเถียงกัน เช่นเดียวกันกับไซคลาเมต
ได้มีการทดลองพบว่า ขัณฑสกรสามารถทำให้เกิดโรคมะเร็ง
ในกระเพาะปัสสาวะของสัตว์ทดลอง
บางประเทศจึงได้ประกาศห้ามใช้สารนี้ผสมอาหาร
https://www.doctor.or.th/article/detail/4339

 

รายการเขย่าข่าวเข้ม

ใครว่าดื่มเหล้า…ดื่มเบียร์แล้วไม่มีประโยชน์

images1
ใครๆ  ก็บอกว่ากินเหล้าเบียร์นั้นไม่มีประโยชน์แต่จริงๆ มันมีประโยชน์อยู่ในตัวของมันนะ
แต่ต้องดื่มให้พอเหมาะพอควรไม่ใช่ดื่มหนักจนลืมโลกไปเลย.
มาดูประโยชน์ของเหล้าเบียร์กันเลยดีกว่า
1.ประโยชน์ต่อหัวใจ คุณดื่มนิดหน่อยนะมันช่วยลดการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ลดการดื้อต่ออินซูลิน จึงช่วยป้องกันโลกหัวใจสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจได้ 
2.ประโยชน์ต่อสมอง ดื่มแค่สัปดาห์ละ 1-6 แก้ว จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมได้ ลดการอุดตันในเส้นเลือด เพราะแอลกอฮอร์ทำให้เลือดสูบฉีดดี 
3.ประโยช์ต่อกระดูก ดื่มนิดหน่อย ช่วยสะสมแคลเซียมและธาตุอื่น ๆในกระดูก ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกสะโพก ป้องกันกระดูกแตกหัก
4.ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน  ถ้าดื่มนิดหน่อย ถึงปานกลางจะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานได้ 36% 
5.ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ถ้าดื่มนิดหน่อย ไวน์แดงและเบียร์ดำ ป้องกันมะเร็งได้ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ปริมาณการดื่มที่เหมาะสม

ปริมาณ standard drink (1 ดริ๊ง) คือเท่าไหร่ ?  ขึ้นกับความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ซึ่งโดยทั่วไปคือ
* วิสกี้ บรั่นดี 1 ดริ๊งก์ คือ 45 ซีซี หรือ 1.5 ออนซ์ (4.5 ฝาสูง)
– ไวน์ 1 ดริ๊งก์ คือ 150 ซีซี หรือ 5 ออนซ์ (ประมาณ 1/5 ขวด)
– เบียร์ 1 ดริ๊งก์ คือ 360 ซีซี หรือ 12 ออนซ์ (ประมาณ 1 กระป๋องเล็ก)
* ปริมาณเหล้าที่ยังไม่ผสม

——   ปริมาณการดื่มที่แนะนำต่อไปนี้ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีที่เลือกจะดื่มแอลกอฮอล์ และไม่มีข้อห้าม    ——

ปริมาณการดื่มที่เหมาะสมหรือดื่มพอประมาณ (moderate drinking) คือเท่าไหร่ ? หากท่านเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์ ปริมาณที่เหมาะสมซึ่งมีผลดีต่อไขมันและหลอดเลือดของร่างกาย และลดความดันโลหิตได้คือวันละ 1 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง (และผู้ชายที่น้ำหนักน้อยกว่า 60 กก.) และ 2 ดริ๊งสำหรับผู้ชาย

ดื่มมากแค่ไหน ที่เรียกว่าดื่มหนัก (heavy drinking) ?  คือดื่มมากกว่าวันละ 1 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง และ มากกว่า 2 ดริ๊งสำหรับผู้ชาย

ดื่มมากแค่ไหน ที่เรียกว่าดื่มมากเกินไปหรือดื่มหัวราน้ำ (binge drinking) ?  คือดื่มมากจนระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่า 80 mg% โดยทั่วไปเป็นการดื่มที่มากกว่า 4 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง และ มากกว่า 5 ดริ๊งสำหรับผู้ชายใน 1 ครั้ง (ภายในประมาณ 2 ชั่วโมง)

ถ้าดื่มแอลกอฮอล์แล้วต้องการให้ผ่านด่านเป่าของตำรวจได้ จะดื่มอย่างไรตามประกาศกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 16/2537 กำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสำหรับผู้ขับขี่ไม่ให้เกิน 50 mg% ผู้ฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการวิจัยในคนไทยพบว่าการดื่มพอประมาณ (moderate drinking) มักจะทำให้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 mg% แต่การดื่มแอลกอฮอล์มักมีแอลกอฮอล์ค้างอยู่ในปาก 15-20 นาที ซึ่งทำให้ระดับแอลกอฮอล์สูงกว่าความเป็นจริงในการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ดังนั้นควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าก่อน เพื่อกำจัดแอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในปาก

ดื่มแอลกอฮอล์อย่างไรให้ปลอดภัย ?

  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์หากมีข้อห้ามด้านสุขภาพ สังคม หรือด้านกฏหมาย
  • หากกำลังตั้งครรภ์หรือจะตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา ทำให้ลูกมีหน้าต่างผิดปกติได้
  • หลีกเลี่ยงการดื่มในขณะท้องว่าง ควรดื่มคู่กับมื้ออาหารหรือหลังอาหาร เพื่อชะลอการดูดซึมของแอลกอฮอล์ และควรดื่มอย่างช้าๆ ค่อยๆจิบ
  • จำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อไม่ให้สูญเสียการควบคุมตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
  • ผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักร เครื่องกล หรือขับขี่ยานพาหนะ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุราโดยสิ้นเชิง

ข้อเสียของการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เป็น alcoholism และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ตับแข็ง มะเร็งคอหอย มะเร็งกระเพาะ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งเต้านม ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ และโรคขาดวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ซึ่งเพิ่มอัตราการเสียชีวิต

—————–
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   http://www.247friend.net/blog/oldman/2013/09/03/entry-1

http://bicrestaurant.com/media/bic-menu-alcohol.php

 

สุดยอดปลาน้ำจืด…มีโอเมก้า3 มากกว่าปลาทะเลแพงๆ

Lates calcarifer

“ปลาสวาย” เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3   สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100  กรัม   มากกว่าปลาทะเล อย่างปลาแซลมอนที่มีโอเมก้า 3 ราว ๆ 1,000-1,700   มิลลิกรัมเท่านั้น   ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อปลาทะเลแพงๆ  รับประทาน เราก็ได้กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้เหมือนกัน

โดยส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่า “โอเมก้า 3” เราก็มักจะนึกถึงกรดไขมันชั้นดีที่มีอยู่ในปลาทะเล อย่าง ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคคาเรล ซึ่งปลาเหล่านี้เป็นปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาค่อนข้างสูง จึงไม่ค่อยมีใครนึกถึงปลาน้ำจืดของไทย ว่าจริงๆแล้วก็มีปลาบางชนิดที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงไม่แพ้ปลาทะเลจากเมืองนอกเลย

นอกจากนี้ปลาช่อน   ยังมีโอเมก้า3 สูง ถึง 870 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม   รวมทั้งปลากะพงขาว  มีโอเมก้า3   ประมาณ 310 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม   และที่สำคัญหาซื้อง่าย แถมราคายังถูกกว่าปลาทะเลน้ำลึกอีกด้วย

โอเมก้า3 มีดีอย่างไรต่อร่างกาย

ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะโอเมก้า 3 จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันอิ่มตัว หรือคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดอุดตัน บำรุงสมอง เพราะกรดไขมัน DHA ในโอเมก้า3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในส่วนความจำ การเรียนรู้ ความสามารถของสมอง อารมณ์ และพฤติกรรม

ประโยชน์ของ Omega-3

  1. ผิวสวยหน้าใส สมองสดใส หัวใจแข็งแรง

กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็น แต่ไม่สามารถสร้างเองได้ภายในร่างกาย ดังนั้นจำเป็นต้องรับจากการบริโภคอาหารเท่านั้น และแทบทุกระบบการทำงานภายในร่างกาย จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากกรดไขมันจำเป็น ทั้งนั้น อาทิเช่น
– ระบบหลอดเลือดหัวใจ(ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน และ โรคอัมพาต)
– ระบบประสาท(ช่วยเพิ่มความจำ)
– สายตา(ช่วยในการมองเห็น)
– ระบบภูมิคุ้มกัน(ลดอาการภูมิแพ้)
– ระบบไหลเวียนโลหิต
– ระบบสืบพันธุ์
– ระบบข้อกระดูก

นอกจากนี้แล้วกรดไขมัน Omega-3 ยังมีคุณสมบัติ ต่อต้านการอักเสบ(ช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบ) และที่สำคัญที่สุด กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ผิวเปล่งประกายและสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไปสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ช่วยคงความชุ่มชื้นและแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน จึงส่งผลให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์และสดใส ทั้งนี้หากมีการรัปทานร่วมกับ วิตามินเอ ดี และอี จะยิ่งช่วยปกป้องการเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวขาวและหัวดำ

  1. ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด

ในปัจจุบัน น้ำมันปลาถูกนำมาใช้ในการช่วย ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โดยที่กรดไขมันโอเมก้า-3 จะเข้าไปอยู่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ ของเกล็ดเลือดเม็ดเลือดแดง ตับ และอื่นๆ อีก ส่งผลให้การจับตัวของเกล็ดเลือดลดลง พร้อมทั้งมีการสร้างสาร ที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดี

  1. Omega 3มีประโยชน์ต่อสตรีมีครรภ์

กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DHA มีความสำคัญในการพัฒนาและการทำหน้าที่ของระบบประสาท ระบบสายตา และระบบสมอง ของทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด และในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากคลอดแล้ว ดังนั้น มารดาของทารกที่เสริมกรดไขมันโอเมก้า 3 จะเป็นทางเดียวที่จะทำให้ ทารกในครรภ์ได้รับกรดไขมันจำเป็นไปด้วย (ทั้งนี้ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ โดยควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง)

  1. โอเมก้า3 มีประโยชน์สำหรับเด็ก

น้ำมันปลาโอเมก้า 3 มีประโยชน์อย่างมากมายในการช่วยการเจริญเติบโตของเด็ก เช่น ช่วยพัฒนาการทำงานของสมองและจิตใจ เพิ่มสมาธิ ความจำระยะสั้นและ ทักษะในการอ่าน นอกเหนือจากนี้ ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปกป้องกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กๆ ควรจะได้รับปริมาณโอเมก้า 3 ในระดับสมดุลกับอาหารของพวกเขา

  1. จุดเด่นของ Omega-3 มีคุณสมบัติป้องกันและรักษา
          – ช่วยลดระดับคอเลสเตอร์รอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และเส้นเลือดในสมองแตก
    – ลดความหนืดของเกร็ดเลือด และลดปริมาณสารไฟบรินในเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด
    – ช่วยป้องกันอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
    – ช่วยลดความเสี่ยง ป้องกันมะเร็งเต้านม
    – ช่วยลดบรรเทาอาการคันและแห้งของโรคสะเก็ดเงิน
    – ลดการต้านเนื้อเยื่อที่ปลูกถ่าย ในผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
    – ช่วยในการลดความถี่และความรุนแรงของโรคปวดศรีษะไมเกรน
    – ช่วยให้ผิว ผม และเล็บมีสุขภาพดี
    – ช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงแข็ง
    – ต่อต้านผลร้ายจากสารผโพรสตาแกลนดิน (ลดภูมิต้านทานและเพิ่มการเติบโตของเนื้องอก)
    – ช่วยบรรเทาอาการโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์

** สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นคูมาดินหรือเฮปาริน ไม่ควรรับประทานโอเมก้า3 นอกจากแพทย์แนะนำ

—————————–

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/Content/27573-‘%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2’%20%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%203%20%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%20.html

http://www.ihealthyplusshop.com/article/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2-3-omega-3

อาหารเร่งความแก่ ไม่อยากแก่เร็วเลี่ยงซะ

 

แก่ก่อนวัย คงไม่มีใครอยากได้คำคำนี้ค่ะ  อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสุขภาพดีตามวัย หรืออ่อนกว่าไว  หันมาใส่ใจดูสุขภาพกันด้วยการรับประทานอาหารค่ะ   6  อย่างต่อไปนี้ เลี่ยงได้ควรเลี่ยงค่ะ

pic5152ac7fc6ad2

1.อาหารที่มีไขมันสูง  นอกจากจะทำให้น้ำหนักมาก รูปร่างอ้วนไม่สวยแล้ว ยังเร่งความแก่ได้อีกด้วย

Composition with bottles of assorted alcoholic products isolated on white

2.  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันตรายล้นหลามทีเดียวกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแย่แล้ว ยังทำให้ผิวหนังเหี่ยว แก่ไวขึ้นถึง 70%

Depositphotos_19385249_s

 3.  เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ถ้าไม่อยากแก่ไวก็ควรลดชา กาแฟให้น้อยลง เพราะคาเฟอีนที่ผสมอยู่มีผลต่อผิวหนังของเรา อาจทำให้ผิวหนังเหี่ยวไวได้

md
 4.  อาหารหมักดองและอาหารปนเปื้อนสารพิษ การรับประทานอาหารจำพวกนี้จะทำให้ร่างกายสะยมสารพิษเอาไว้ ถ้าไม่หมั่นดีท็อกซ์ร่างกายบ่อยๆก็เตรียมตัวแก่ไวได้เลยจ้า

cdeilntvw269
5. อาหารปิ้งย่างที่เกรียมไหม้ ไม่ใช่แค่จะทำให้เป็นมะเร็งอย่างเดียวนะ อาหารที่เกรียมไหม้ยังทำให้แก่ไวอีกด้วย

1299571258
6. อาหารทอดจากน้ำมันเก่า ตัวสะสมเชื้อก่อโรคมะเร็งและยังทำให้แก่ก่อนวัยอันควร

อาหารชนิดไหนที่หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควร เพื่อสุขภาพที่ดีและจะได้ไม่แก่กว่าวัยด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://newsupdate.thaiautocars.com/2016/04/6_7.html

ประโยชน์ของข้าวไรซ์เบอร์รี่

images1

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูงเป็นอย่างมาก โดยคุณประโยชน์ที่เด่นชัดคือ ในน้ำมันรำข้าวและรำข้าวนั้นมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดี อุดมไปด้วยโฟเลตในปริมาณสูง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายได้แก่ เบต้าแคโรทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามินอี วิตามินบี 1 ลูทีน แทนนิน สังกะสี โอเมก้า 3 ธาตุเหล็ก โพลีฟีนอล และเส้นใยอาหาร เป็นต้น ซึ่งสารอาหารเหล่านี้นั้นมีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา บำรุงระบบประสาท และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง รวมถึงป้องกันโรคต่างๆมากมายได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคสมองเสื่อม และโรคโลหิตจาง เป็นต้น รวมทั้งมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน ช่วยชะลอความแก่ ลดระดับไขมัน และคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นทั้งข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยและเป็นสมุนไพรไทยไปในตัวกันเลยทีเดียว

ข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นข้าวที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ผู้สูงวัย ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และโรคโลหิตจาง รวมถึงสตรีมีครรภ์ เพราะอุดมไปด้วยโฟเลตในปริมาณสูง จึงช่วยป้องกันครรภ์เป็นพิษและช่วยให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่

นอกจากนี้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ยังได้รับความนิยมในการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยประโยชน์ที่มากมายจึงนิยมนำไปใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารโภชนบำบัดในทางการแพทย์ รวมถึงนำไปแปรรูปเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากมาย ได้แก่ ซูชิ โดนัท คุกกี้ เครื่องดื่มผงสำเร็จรูป และข้าวตัง เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88/

ขนมจีนบางรายก็มีสารกันบูดที่อาจทำให้ตับไตพัง

ขนมจีน
ขนมจีน

พบข้อมูลในนิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2559
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้สุ่มตรวจขนมจีน (Khanom chin) ทั้งหมด 12 ยี่ห้อ
พบว่ามีสารกันบูดตกค้างทั้ง 12 ตัวอย่าง
มากบ้าง น้อยบ้างต่างกันไป แต่เบื้องต้นมีกันทุกยี่ห้อ ถ้าไม่ใส่ก็จะเสียนั่นเอง
ปัญหาคือ สารกันบูดทำให้มีความเสี่ยงเรื่องตับไตพัง
ถ้าขับออกทันก็สะสมปัญหากันไป หากขับออกไม่ทันถึงพิการได้เลย


สุ่มตรวจมา 12 ราย พบว่าใส่ทุกราย
แต่ใส่แล้วไม่เกินที่กำหนดมี 10 ราย
ที่เกินกำหนดมี 2 ราย คือ 1114.30 และ 1121.37
มาตรฐานหรือที่กำหนดไว้คือไม่เกิน 1000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

สรุปว่าทานขนมจีนมาก ๆ เสี่ยงตับไตพัง
แต่คนที่ขายขนมจีนแบบสด และหมดใน 1 วัน เค้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่นะครับ
http://health.sanook.com/2897/

ขนมจีน ทำมาจากข้าวจ้าวที่นำไปหมักที่ใช้จุลินทรีย์เข้าย่อยแป้ง แล้วนำไปบด ไปต้ม แล้วคั้นผ่านรูให้ออกมาเป็นเส้นลงในน้ำเดือดก็จะได้ขนมจีนที่สุกแล้วจุ่มลงน้ำเย็น และนำไปทานได้


ขนมจีน เป็นอาหารคาวชนิดหนึ่ง ทำด้วยแป้งเป็นเส้นกลม ๆ คล้าย เส้นหมี่ รับประทานกับน้ำยา น้ำพริก เป็นต้น อาหารชนิดนี้ ภาษาเหนือเรียก “ขนมเส้น” และภาษาอีสานเรียก “ข้าวปุ้น”
https://en.wikipedia.org/wiki/Khanom_chin

ข้อมูลเรื่องสารกันบูด
ที่ http://guru.sanook.com/4320/

แจกสูตรวิธีทำกุ้งเด้ง กรอบ

เคล็ดลับ นั้นก็คือ เริ่มจากการเลือกซื้อกุ้ง คือ ต้องเป็นกุ้งสดเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับต้องเป็นกุ้งตัวเป็นๆ เพียงแค่การเลือกซื้อกุ้งนั้น ต้องเป็นกุ้งที่หัวติดแน่นกับลำตัว กุ้งสดหัวจะไม่เป็นสีดำ ตาต้องใส เนื้อแน่น ครีบและหางต้องไม่เป็นสีชมพู สีจะไม่ซีด และไม่มีกลิ่นเหม็น
จากนั้นเรามาเริ่มทำกุ้งเด้งกันเลย!!

สิ่งที่ต้องเตรียม
-กุ้งสด
-เกลือ
-น้ำแข็ง

วิธีทำกุ้งเด้ง

1. ทำการแกะเปลือกกุ้ง และเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้งออก (ถุงดำๆ บนหัวกุ้ง) เพราะในส่วนหัวของกุ้งจะมี ถุงขี้กุ้งอยู่ ซึ่งจะทำให้ตัวเอ็นไซม์กุ้ง ออกมาย่อยสลายเนื้อกุ้งโดยธรรมชาติของมัน ซึ่งถ้าเราซื้อกุ้งสดมา ถ้ายังไม่ได้นำไปประกอบอาหารอะไร ควรเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้ง นั้นออกเสียก่อน เพื่อให้กุ้งยังคงความสดอยู่ได้เพิ่มขึ้น จากปกติ

2. นำกุ้งไปคลุกเคล้ากับเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน และล้างออกด้วยน้ำเย็น นำไปคลุกเกลือเพราะจะทำให้กุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวได้ดียิ่งขึ้นนั้นเอง เนื่องจากถ้ากุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวน้อยเท่าไรก็จะทำให้ เนื้อกุ้ง ยิ่งแห้ง มากขึ้นเท่านั้น

3. นำกุ้ง ที่ล้างน้ำแล้ว มาแช่ไว้ในน้ำที่ใส่เกลือผสมอยู่ (ใส่น้ำให้พอมิดตัวกุ้ง) แล้วนำน้ำแข็งมาโปะไว้ด้านบน รอจนน้ำแข็งละลาย

เพียงแค่นี้ เราก็ได้กุ้งเด้งไว้ปรุงอาหารรับประทานกันแล้ว ง่ายมากๆเลยใช่ไหมค่ะ วิธีทำแสนง่าย แถมยังปลอดภัยจากสารเคมีอีกด้วย อย่าลืมลองไปทำกันดูนะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://newsupdate.thaiautocars.com/2016/03/blog-post_563.html

5 เคล็ดลับ ดูแลผิวหน้าร้อน

1. ครีมกันแดด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญแสงแดดก็คือครีมกันแดดค่ะ และสำหรับแสงแดดที่แผดจ้าอย่างนี้สาวๆ ต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปถึงจะพอค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะสู้แสงแดดแรงๆ ไม่ได้นะเออ

2. ดื่มน้ำให้ได้ 8-10 แก้ว การดื่มน้ำเยอะๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวในฤดูร้อนที่ผิวมักจะแห้งอย่างนี้ค่ะ

3. น้ำเย็นช่วยฟื้นฟูผิว ไม่ว่าคุณจะออกไปโดนแดดมาเป็นเวลานานหรือแดดจะแรงเท่าไหร่ กลับมาบ้านลองใช้น้ำเย็นล้างหน้ารับรองว่านอกจากจะรู้สึกผิวสดชื่นเย็นสบายแล้วน้ำเย็นยังจะช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้เป็นอย่างดีด้วยค่ะ

4. อย่าใช้รองพื้นที่หนาเกินไป เพราะคุณจะสวยได้ไม่นานหน้าก็จะมันเยิ้มจากการเผชิญแสงแดดร้อนจ้า ซึ่งแน่นอนว่า การที่ครีมรองพื้นละลายเข้ากับความมันบนใบหน้าแล้วใบหน้าคุณก็จะมีสิวเห่อเอาได้ง่ายๆ ดังนั้น ควรทาครีมกันแดดและรองพื้นบางๆ ก็พอค่ะ หรือไม่ก็ทาแป้งแบบชริมเมอร์ก็ช่วยเรื่องความสว่างสดใสได้เยอะส่วนเครื่องสำอางนั้น ลองเลือกที่กันน้ำได้ก็จะลดปัญหาเครื่องสำอางละลายเปื้อนใบหน้าได้ค่ะ

5. ทานผลไม้หรือน้ำผลไม้กันบ่อยๆ เช่น แตงโม แคนตาลูป หรือผลไม้ธาตุเย็น เพราะผลไม้ประเภทนี้จะอุดมไปด้วยน้ำที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพอๆ กับน้ำเลยล่ะ แต่ดีตรงที่มันมีรสชาติดีและอาหารบำรุงผิวที่คุณจะได้มาพร้อมกับความหวานอร่อยของมันนั่นเอง ดังนั้น ทานผลไม้เยอะๆ กันให้ได้ทุกวันนะค่ะ

-ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/vanatoey/2014/02/07/entry-4

ข้อดีข้อเสียของเบียร์

เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนติดใจเป็นหนักหนา เพราะรสชาติที่มันนุ่มลิ้นดีแท้ นักวิจัย กล่าวว่า เบียร์นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดีต่อหัวใจ จากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Emory กล่าวว่าผู้หญิงและผู้ชายสูงอายุ 2,200 คน ที่ดื่มเบียร์วันละ 1.5 แก้วต่อวัน จะมีการเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ เบียร์ยังดีต่อสมองอีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ในบอสตัน พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์ตั้งแต่หนึ่งถึง 6 แก้วต่อสัปดาห์ จนถึงผู้ที่ดื่ม 7-14 แก้วต่อสัปดาห์ จะเกิดอาการชักได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเลย แต่ถ้าผู้ที่ดื่มเกินกว่านี้ก็จะมีอาการชักได้มากที่สุด เพราะเบียร์สามารถช่วยลดขนาดเม็ดเลือดและไม่ทำให้เลือดไปครั่งที่สมองได้

วันนี้เรานำเกร็ดความรู้มีประโยชน์ และโทษของการดื่มเบียร์มาฝากกัน…

เริ่มจากประโยชน์ของเบียร์ก่อนเลยค่ะ

ประโยชน์ของเบียร์มีมากมายเลยทีเดียวค่ะ นอกจากจะมีสารต่าง ๆ มากกว่า 1,000 ชนิด อีกทั้งมีทั้งวิตามิน เกลือแร่ ที่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง ใครที่ชอบดื่มเบียร์คงจะถูกใจมิใช่น้อย เมื่อได้ยินว่า เบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะมีข้อดียังไงก็ควรดื่มแค่ควรก็พอค่ะ วันนี้เราจึงแนะนำ ประโยชน์ของเบียร์ ให้ได้ศึกษาเอาไว้ ดังนี้

ป้องกันโรคหัวใจ

จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 – 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต

แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน

ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึง ไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์

ช่วยให้กระดูกแข็งแรง

เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน

จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 – 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง

โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต

นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรค นิ่วในไตได้ถึง 40%

ป้องกันโรคนอนไม่หลับ

สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง

เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็งโดยการดักจับอนุมูลอิสระตัว ร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย

ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

ทุกๆ อย่างในโลกของเราก็จะมีทั้งให้ประโยชน์ และให้โทษเสมอนะค่ะ มาศึกษาถึงผลเสียของการดื่มเบียร์กันบ้างค่ะ ดังนี้เลยค่ะ

ผลเสียของเบียร์ :
ไม่ใช่เฉพาะเบียร์ที่จะทำให้เกิดผลเสียเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทำให้เกิดผลเสียทุกชนิด โดยเฉพาะกับตับ  ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เข้าไป
ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเสียหาย ร่างกายก็จะเต็มไปด้วยพิษ แถมที่สำคัญเบียร์ทำให้บวมอ้วนอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะดื่มเบียร์ครั้งต่อไป ก็ลองคิดให้ดีๆ  ว่าร่ายกายเราพร้อมแค่ไหนก่อนดื่มนะค่ะ

เพื่อสุขภาพที่ดีต้องดื่มให้เป็น  และพอประมาณนะค่ะ  ถ้าอะไรที่มากเกินไปก็จะส่งผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพเราได้ค่ะ….

– See more at: http://www.thaiall.com/blogacla/nok/3092/#sthash.SoHqXJlV.dpuf

วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้แบนราบอย่างรวดเร็ว

คนส่วนใหญ่โดยทั่วไป มักจะมีไขมันส่วนเกินสะสมตัวอยู่ริเวณหน้าท้องส่วนล่างอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งเจ้าไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นเสมือนเบาะ ที่คอยรองรับป้องกันอวัยวะบริเวณนั้นจากแรงกระแทกภายนอกร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไขมันเหล่านั้นมีการสะสมตัวจนมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า “ลงพุง” ยื่นออกมาน่าเกลียด จนทำให้ร่างกายโดยรวมดูไม่สวยงาม สวยเป๊ะ อย่างที่ควรจะเป็น แถมพุง ยังเป็นบ่อเกิดของการเกิดโรคภัยต่างๆ อีกมามาย ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลืองสมอง เป็นต้น ดังนั้น วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้อยู่ในเกณฑ?มาตราฐาน จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณให้ความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง

วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง
ให้แบนราบอย่างรวดเร็วมีเคล็ดลับอย่างไรบ้าง?
สำหรับ วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้ลดลงอย่างรวดเร็วนั้น มีขั้นตอน และข้อปฎิบัติที่ไม่ได้ยากเย็นจนเกินเกินไป เพียงแค่ทำตามหลักการ วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ดังต่อไปนี้

1.ปรับสมดุลอาหาร การทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารที่มีไขมันน้อย มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย และที่สำคัญทำให้รู้สึกอิ่มง่าย ได้แก่ ทูน่า แอปเปิ้ลเขียว ไข่ต้ม อาหารลดพุงมีส่วนช่วยลดไขมันได้ดี แถมยังช่วยร่างกายไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก

2.ชาสมุนไพรช่วยลดพุงได้ การดื่มชาสมุนไพรเป็นประจำ สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญอาหาร ช่วยทำความสะอาดอวัยวะภายในร่างกาย ลดความเครียด อย่างเช่น ชาเขียว ที่มีสาร EGCG อยู่มากกว่าชาชนิดอื่น ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ดังนั้นการดื่มชาเขียวเป็นวิธีลดหน้าท้องแบบธรรมชาติที่ดีวิธีหนึ่ง

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม เริ่มต้นด้วยท่าแรก “บริหารเอว” ให้นอนหงาย แล้วยกขาขวาขึ้นโดยให้ตาตุ่มของขาขวาวางอยู่บนเข่าซ้าย เหยียดมือซ้ายไปทางด้านหลังศีรษะ ส่วนมือขวาวางไว้กับพื้น ยกไหล่ซ้ายขึ้นเหนือพื้นจนกระทั่งไหล่ของคุณแตะกับเข่าขวา แล้วลงนอนราบกับพื้นเหมือนเดิม ทำซ้ำให้ครบหนึ่งเซ็ตสำหรับข้างนี้ แล้วทำสลับอีกข้าง

ต่อมาให้บริหารหน้าท้อง โดยนอนหงายระนาบไปกับพื้น ไขว้ขาโดยวางส้นเท้าซ้ายทับบนหัวแม่เท้าขวา ใช้มือซ้ายวางรองใต้คอ ส่วนมือขวาถือดัมเบลล์หรือขวดน้ำขนาดพอเหมาะยกขึ้นบนอากาศ ยกไหล่ขึ้นจากพื้นจนคุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อท้องส่วนล่างเกร็ง และค้างไว้ในท่านี้สักหนึ่งวินาที แล้วลงนอนราบ นับเป็นหนึ่งครั้ง

สุดท้ายจบด้วยท่ากระชับหน้าท้องส่วนกลาง ให้นั่งตัวตรงพร้อมกับเหยียดขาและแขนทั้งสองออกไปด้านหน้า ค่อยๆโน้มตัวลงจนถึงพื้น โดยพยายามให้แขนทั้งสองข้างลงอยู่เหนือศีรษะ หายใจออกแล้วยืดตัวขึ้นกลับเข้าสู่ท่านั่งเดิม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก