อาหารเจ

อาหารเจ
อาหารเจ

เทศกาลกินเจ

เทศกาลกินเจ หรือ กินแจ (อังกฤษ: Nine Emperor Gods Festival) หรือบางแห่งเรียกว่า ประเพณีถือศีลกินผัก เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี
มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน ปัจจุบัน เทศกาลกินเจจัดขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ตลอดจนหมู่เกาะรีออในอินโดนีเซียและอาจจะมีในทวีปเอเชียในบางประเทศ เช่น ภูฏาน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หว้น ฮ่องกง ซึ่งการกินเจในเดือน 9 นี้ เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2170 ตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา

ความหมายของอาหารเจ
คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนานิกายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจ คือ การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธนิกายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ
ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายคือคนกินเจ มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

อาหารเจ คืออะไร
อาหารเจเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นโดยไม่มีเนื้อสัตว์ ส่วนประกอบที่มาจากสัตว์ทุกประเภทและไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยช่าย และใบยาสูบ (บ้างเชื่อว่าผักเหล่านี้เพิ่มความกำหนัดหรือมาจากเลือดของสัตว์ตามตำนานจีน) ทำให้อาหารเจไม่มีกลิ่นคาว เนื่องจากการงดเนื้อสัตว์ ทำให้ผู้ที่กินเจหันมาบริโภคธัญพืชในธรรมชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งโปรตีน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง โดยในประเทศจีน พบว่ามีภัตตาคารบางแห่งซึ่งบริการ “ปรุงอาหารตามใบสั่งแพทย์” (กล่าวคือ ผู้ที่เข้ามารับประทานจะต้องได้รับใบสั่งอาหารของแพทย์เสียก่อน) โดยลูกค้าของภัตตาคารดังกล่าวเป็นคนไข้ที่กำลังเข้ารับ “การบำบัดโรคด้วยอาหารตามหลักเวชศาสร์โบราณ” หลังเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว

จุดประสงค์ของการกินเจ
ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1. กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
3. กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ
ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วยสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องปฏิบัติดังนี้
1. รับประทาน “อาหารเจ”
2. งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
3. รักษาศีลห้า
4. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์
5. ทำบุญทำทาน
6. นุ่งขาวห่มขาว
สำหรับผู้ที่เคร่งครัดเพื่อการกินเจให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์โดยแท้ จะเพิ่มการปฏิบัติโดยการกินอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงเท่านั้น รวมถึงจะล้างหม้อไหจนสะอาดเอี่ยมแยกภาชนะสำหรับการปรุงอาหารเจไว้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับเพื่อเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้องตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด

เจ็ดวันอันควรงดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์
แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงเข่นฆ่ากินเลือดกินเนื้อสัตว์ทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดควรหยุดคิดสักนิดให้เห็นถึงความสำคัญของวันทั้ง 7 ที่ควรงดเว้นเนื้อสัตว์เพื่อเป็นมงคลชีวิตสู่ความสำเร็จของตนเองและครอบครัว ถือเป็นมหากุศลและเมตตาธรรมสูงสุด
1. กินเจในวันเกิดของตนเอง
วันที่เราได้เกิดมามีชีวิตไม่ควรทำลายผู้อื่น สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดมาบนโลกต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่นแล้วกินเลือดกินเนื้อเขาเพื่อฉลองวันเกิดของตนเองซึ่งเป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลงแล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได้อย่างไร
2. กินเจในวันเกิดของลูกหลาน
ในวันเกิดของลูกหลานวันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิดผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุด ลูกของเราเรารักดังแก้วตาดวงใจยามลูกนอนก็คอยปัดเป่าพัดวีแม้แต่ยุง เหลือบ ริ้น ไร มิยอมให้ขบกัด สัตว์ทุกตัวก็รักลูกของเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ ดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ลูกของใครใครก็รักเพราะฉะนั้นวันที่เราได้ลูกต่างสุดแสนดีใจแล้วทำไมจึงต้องทำให้ผู้อื่นเสียใจที่ลูกต้องตายจากไป
3. กินเจในวันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส
วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรสเป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชีวิต ในชั่วชีวิตของแต่ละคนจะมีงานมงคลนี้เพียงครั้งเดียว ทุกคนเมื่อแต่งงานกันแล้วต่างก็อยากมีชีวิตที่ยั่งยืนได้ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า คู่รักของใครต่างก็รักและหวงแหนไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตราย สัตว์ก็มีคู่ชีวิตรู้จักรักและหวงแหนเช่นกัน หากวันที่เราได้คู่ชีวิตมาเคียงข้างกลับเป็นวันที่เราพรากชีวิตคู่ของผู้อื่นมานั้นมันช่างไม่ยุติธรรมเลย ดังนั้นวันที่เราแต่งงานได้คู่ครองจึงไม่ควรพราดชีวิตสัตว์อื่น
4. กินเจในวันงานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
ในโอกาสจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รับรองเพื่อนฝูงญาติมิตรทุกคนที่มาร่วมชุมนุมต่างปลื้มปีติที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง โอกาสที่น่ายินดีเช่นนี้เราไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อของผู้อื่นมาเลี้ยงฉลองเพราะขณะที่เราดีใจที่ฉลองด้วยเลือดเนื้อผู้อื่น แต่สัตว์ทั้งหลายต่างโศกเศร้าเสียใจที่ต้องตายจากกันไป หากจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยอาหารพืชผักและผลไม้ถือได้ว่าเป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่ที่บังเกิดขึ้นแก่เพื่อนฝูงผู้มาร่วมงานซึ่งถือว่าเป็นความปีติยินดีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
5. กินเจในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ผู้ที่มีความกตัญญูที่แท้จริงไม่พึงกระทำอย่างยิ่งในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย
6. กินเจในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส
คนเรามีโอกาสประสบสิ่งดีๆ ในชีวิตมีโอกาสที่ได้สร้างบุญกุศลอยู่เสมอ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันทำบุญอื่นๆ รวมถึงเพื่อเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลเป็นต้นการจัดงานทำบุญในวันเหล่านี้ทุกคนต่างก็มุ่งหวังให้ตนมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่ง ให้มีชีวิตที่ดีได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป ฉะนั้นในงานสร้างบุญกุศลทุกงานจึงไม่สมควรเลี้ยงพระ เณร แขกเหรื่อและเพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์ เพราะเหตุนี้ในโอกาลงานบุญงานกุศลที่เราทุกคนปรารถนาแต่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอยู่เย็นเป็นสุขจึงไม่ควรสร้างบาปซึ่งเป็นเหตุให้ชีวิตผู้อื่นต้องตาย
7. กินเจในโอกาสขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในโอกาสที่ไปกราบไหว้สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพระองค์ใดก็ตาม ทุกคนควรชำระล้างปาก ลิ้น ให้สะอาดด้วยการกินเจ กระทำตนให้สะอาดทั้งกายวาจาและจิตใจ เมื่อนั้นก็จะบังเกิดความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเอง การถวายเครื่องสักการะอื่นใดแม้จะมีราคาแพงสักเท่าไรมันก็เป็นเพียงวัตถุสิ่งของเท่านั้น ขอให้ทุกคนจงนำเอา “จิตใจอันดีงาม” ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คนออกมาถวายเป็นเครื่องสักการะต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์เบื้องบน จิตใจที่มีแต่ความบริสุทธิ์ดีงามของมนุษย์นี่แหละเป็นเครื่องสักการะอันล้ำค่าที่สุด

http://en.wikipedia.org/wiki/Nine_Emperor_Gods_Festival

เปลี่ยนหัวหน้าอีกครั้ง (change boss)


12 ต.ค.55 เพื่อนเล่าให้ฟังต่อจากปี 52 ว่าชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง นี่ก็เปลี่ยนหัวหน้ามาหลายคนแล้ว ต่อจากคุณเอกในปี 52 ก็เป็น 12) บอย 13) นัท 14) อุ้ย 15) ลักษณ์ และล่าสุดปี 55 คือ 16) ปุ๊ก พร้อมกับเปลี่ยนสังกัดจาก PR ไปเป็น HR

มีเพลงของบิลลี่หลายเพลงน่าสนใจ แต่เพลงนี้ดูมีน้ำใจครับ ชอบทำนองด้วย

เพลง     น้ำใจลูกจ้าง
ศิลปิน     บิลลี่ โอแกน
รหัสเพลง     05688

สวัสดี สวัสดีนายครับ
ผมคิดถึงนาย ไม่ได้ไปไหว้ปีใหม่
ได้ข่าวที่ไม่ค่อยดีเรื่องนาย
ได้ข่าวว่าเศรษฐกิจวุ่นวาย
นายแทบล้มละลาย
ต้องกลายเป็นคนเคยรวย
จะบอกนาย จะบอกนายเอาไว้
เดือดร้อนยังไง ไอ้ผมก็เต็มใจช่วย
อยากเห็นเจ้านายกลับไปร่ำรวย
ผมรู้ไม่นานเจ้านายต้องรวย
ถ้านายมีผมคอยช่วย
รับรองต้องรวยเหมือนเดิม
ถ้านายจะไปขายเต้าฮวย
ผมไปขายเฉาก๊วยร่วมด้วยก็ยังได้
รึว่านายจะไปขายก๋วยจั้บ
ผมจะไปช่วยหั่นตับเครื่องในเอามั้ย
รึว่านายจะไปขายข้าวแกง
ผมจะทำแพนงกับแกงเผ็ดไปให้
รึว่านายจะไปขายเกาเหลา
ผมไปเสิร์ฟข้าวเปล่าลูกค้าให้นาย
รึว่านายจะไปขายราดหน้า
ผมช่วยหั่นผักคะน้าให้นายเอาไหม
รึว่านายจะไปขายไก่ย่าง
ผมทำไก่อบฟางขายด้วยยังได้
รึว่านายอยากจะไปขายถั่ว
ผมจะช่วยปลอมตัวโพกหัวนายให้
รึว่านายจะไปขายฮ้อทด๊อก
ผมจะช่วยทำไส้กรอกอีสานให้นาย
ให้นายรวยรวย ให้นายรวยรวย
ให้นายรวยรวย ให้นายรวยรวย
จะบอกนาย จะบอกนายเอาไว้
เดือดร้อนยังไง ไอ้ผมก็เต็มใจช่วย
อยากเห็น เจ้านายกลับไปร่ำรวย
ผมรู้ไม่นานเจ้านายต้องรวย
ถ้านายมีผมคอยช่วย
รับรองต้องรวยยิ่งกว่าเดิม
หากว่านายจะไปขายหอยทอด
ผมจะทำน้ำซอสอร่อยอร่อยไปให้
รึว่านายจะไปขายสุกี้
ผมทำเต้าหู้ยี้รถเด็ดยังไหว
หากว่านายจะขายข้าวหมูแดง
ผมไปช่วยหั่นแตงหั่นหมูยังได้
รึว่านายจะเปิดร้านโต้รุ่ง
ผมไปผัดบุ้งไฟแดงเอามั๊ย
หากว่านายจะขายข้าวต้มผัด
ผมจะคอยช่วยตัดใบตองไว้ให้
รึว่านายจะขายลาบน้ำตก
ผมมีสากกับครกไปตำส้มตำยังได้
รึว่านายจะขายปาท่องโก๋
ผมช่วยขายไมโล โอยั๊วะช่วยนาย
รึว่านายจะขายกระเพาะปลา
ผมต้มไข่นกกระทาเตรียมไว้ให้นาย
ให้นายรวยรวย ให้นายรวยรวย
ให้นายรวยรวย ให้นายรวยรวย
จะบอกนาย จะบอกนายเอาไว้
เดือดร้อนยังไง ไอ้ผมก็เต็มใจช่วย
อยากเห็น เจ้านายกลับไปร่ำรวย
ผมรู้ไม่นานเจ้านายต้องรวย
ถ้านายมีผมคอยช่วย
รับรองต้องรวยยิ่งกว่าเดิม
หากว่านายจะไปขายรองเท้า
ผมไปช่วยทากาวให้นายยังได้
รึว่านายจะไปขายของเก่า
ผมมีตู้มีเตาพระเจ้าเหาเคยใช้
แต่ถ้านายจะไปทำเฟอร์นิเจอร์
ผมช่วยทาแลคเกอร์เอาเงาด้านก็ได้
รึว่านายจะไปขับแท็กซี่
ผมจะหารถดีดี มาไว้ให้นายใช้
แต่ถ้านายจะไปทำก่อสร้าง
ผมจะไปคอยช่วยวางเหล็กเส้นก็ได้
รึนายขี่มอเตอร์ไชด์รับจ้าง
ผมจะช่วยบอกทางซอกแซกเอามั๊ย
หากว่านายอยากจะไปเฝ้ายาม
ผมจะลองไปถามเจ้าของแฟลตเค้าให้
รึนายอยากจะไปเป็นเซลล์แมน
ผมจะช่วยวางแผนการขายให้นาย
ให้นายรวยรวย ให้นายรวยรวย
ให้นายรวยรวย ให้นายรวยรวย
รึว่านายอยากไปเป็นนักร้อง
ผมจะได้ไปจองห้องอัดเอาไว้
รึว่านายอยากไปเป็นตลก
ผมบอกหม่ำจ๊กม๊กมาดูตัวยังได้
รึว่านายอยากจะไปชกมวย
ผมจะได้ไปช่วยไปเป็นคู่ซ้อมให้
รึว่านายจะหันหน้าเข้าวัด
ผมจะหาตาลปัตร
สวยสวยมาถวาย
หากว่านายมีอะไรขาดเหลือ
ผมจะขอสินเชื่อให้นายก็ได้
รึว่านายมีแต่หนี้เสียเสีย
ผมบอกกู๊ดแบงค์เคลียร์ให้นายยังไหว
รึว่านายอยากจะเทขายหุ้น
ผมจะหานักลงทุน
มาช้อนซื้อหุ้นให้นาย
รึว่านายอยากจะคิดเปิดบ่อน
ผมจะรับแทงบอลเปิดโต๊ะช่วยนาย
รึว่านายอยากจะเป็นเจ้าพ่อ
ผมหาพระห้อยคอแท้แท้มาให้
รึนายอยากจะเป็น ส.ส.
ผมไปสอพลอให้นายเอามั๊ย
รึนายอยากเป็นรัฐมนตรี
ผมจะช่วยล้อบบี้
กับปาร์ตี้ลิสต์เค้าให้
ถ้าเมื่อไหร่มีกำไรถอนทุน
นายให้ผมร่วมหุ้นแล้วเพิ่มทุนดีมั๊ย
http://music.forthai.com/music/lyric/?sid=5688

คนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า

code compare
code compare

คนแก่ ก็ชอบพูดเรื่องเก่า .. วันนี้นั่งย้อนอดีตวัยเด็ก เห็นมนุษย์จำนวนไม่น้อยไปห้างสรรพสินค้า แล้วก็เดินไปที่ตู้หยอดเหรียญ ใช้นิ้วจิ้มไปที่ตู้ หน้าตาก็ดูอิ่มเอิบ ครุ่นคริด หงุดหงิด บางทีก็ทำท่าควักกระเป๋าหาเหรียญเพื่อหยอดลงไปใหม่ สุดท้ายก็มักจบด้วยการเดินคอตก ผละออกจากตู้ไปยังที่ชอบ ที่ชอบของเขาต่อไป

# พอปลอดคน ผมก็เดินไปดูที่ตู้ ถึงรู้ว่าเป็นตู้เกมจับผิดภาพ มีตัวอย่างให้ดู ผมก็ยืนดูตัวอย่างอยู่พักหนึ่ง ถึงรู้ว่าคนเมื่อครู่คงมีความสุขกับเกมจับผิดภาพ ว่าต่างกันอย่างไร อาจเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ก็ได้ ที่มีความสุขกับการจับผิดภาพ พอรู้ว่าผิดตรงไหนก็มีความสุข เมื่อด่านแรกผ่านไป นาฬิกาก็หมุนเร็วขึ้น สุดท้ายก็หมดเวลา ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามเกณฑ์ที่แต่ละด่านตั้งขึ้นมา
??? มีคำถาม 2 คำถาม ที่คาใจตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน
1. เล่นไปแล้วได้อะไร มากกว่าจิตที่ไม่สงบ ดีใจ เสียใจ ไปตามเกม
2. เล่นไปแล้วเสียอะไร นอกจากจิตที่มีแต่เศร้าหมองหลังแพ้เกม
>> เข้าเรื่องเลยครับ .. ว่าจะสอนนักศึกษาจับผิด source code เพราะปรับโปรแกรมระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ แล้วคุยกันว่าการเปลี่ยนรุ่นนั้น หรือการแก้โปรแกรมในแต่ละจุดมีเหตุผลอะไรที่ต้องเปลี่ยน

>> แล้วบรรลุตามตัวบ่งชี้ของการพัฒนาโปรแกรม ที่ตั้งไว้หรือไม่
แต่ก่อนอื่นต้องถามว่ากำหนดตัวบ่งชี้ กับเกณฑ์การให้คะแนนไว้อย่างไร

new version : http://dl.dropbox.com/u/50010673/source/a1-7.zip

นักบินหญิงคนแรก ๆ

airplane : Amelia Mary Earhart
airplane : Amelia Mary Earhart

อะมีเลีย แมรี แอร์ฮาร์ต (อังกฤษ: Amelia Mary Earhart; 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 – หายสาบสูญ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2480; ทางการประกาศว่าเสียชีวิต 5 มกราคม พ.ศ. 2482) นักบินชาวอเมริกัน ได้ชื่อว่าเป็นนักบินสตรีคนแรก ๆ ของประเทศ เธอเป็นสตรีคนแรกที่ขึ้นบินในฐานะผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และต่อด้วยการบินเดี่ยวเองเป็นผลสำเร็จในปี พ.ศ. 2475

พ.ศ. 2478 ได้บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากฮาวายสู่แคลิฟอร์เนีย อีกสองปีต่อมาอะมีเลียได้พยายามทำสถิติในการบินรอบโลก แต๋ได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ เหนือน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก ในระหว่างทำการบินรอบโลกเมื่อปี พ.ศ. 2480

อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต เกิดที่เมืองแอตชิสัน รัฐแคนซัส ที่บ้านของอัลเฟรด โอตีสผู้เป็นปู่ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางและเป็นผู้ได้รับการนับหน้าถือตาในเมืองนี้ ปู่ของอะมีเลียไม่พอใจในตัวบุตรชายชื่อเอดวินซึ่งเป็นบิดาของเธอ กล่าวกันว่าการไม่ลงรอยกันแทบทุกเรื่อง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวของอะมีเลียแตกแยก และน่าจะมีผลต่อจิตใจในวัยเยาว์จนทำให้เธอกลายเป็น “ทอมบอย” เล่นซนอย่างเด็กผู้ชายและหันมาสนใจในการบินเมื่อเติบโตขึ้น

เมื่ออายุ 10 ขวบอะมีเลียได้เห็นเครื่องบินเป็นครั้งแรกที่รัฐไอโอวา แต่ก็ไม่สนใจเท่าใด ในปี พ.ศ. 2457 บิดาซึ่งได้งานดีเป็นผู้บริหารการรถไฟซึ่งทำให้ฐานะทางการเงินของครอบครัวดีขึ้นถูกให้ออกจากงาน เอมีผู้มารดาจึงพาอะมีเลียฝากเข้าเรียนชั้นมัธยมปีสุดท้ายที่ชิคาโกและเรียนจบในปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2461 เธอฝึกงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลที่เมืองโทรอนโต แคนาดาที่ซึ่งพี่สาวอาศัยอยู่ แต่ปีต่อมาอะมีเลียก็เข้าเรียนเตรียมแพทย์ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและก็เลิกเรียนกลางคันเพื่อติดตามบิดาและมารดาไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย และที่เมืองลองบีชนั่นเองที่อะมีเลียและบิดาได้ไปชมการบินผาดโผนและขึ้นบินในวันรุ่งขึ้นเป็นเวลา 10 นาที

อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต เริ่มเรียนการบินครั้งแรกสนามบิน “คินเนอร์” เมืองลองบีชโดยครูการบินชื่อแอนิตา สนูก นักบินสตรีรุ่นบุกเบิก และหกเดือนต่อมาเธอก็ซื้อเครื่องบินปีกสองชั้นยี่ห้อ “คิสเซลแอร์สเตอร์” ชั้นสีเหลืองเมื่อ วันที่ 22 ตุลาคม 2465 และตั้งชื่อว่า “แคนารี” หรือนกขมิ้นและทำการบินสูงได้ถึงระดับ 14,000 ฟุต(4.2 กิโลเมตร)ทำลายสถิติโลกสำหรับนักบินสตรี ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 อะมีเลีย แอร์ฮาร์ตก็ได้รับใบอนุญาตการบินนานาชาติ

มีพบก็ต้องมีพลัดพราก จะจากเป็น หรือจากตายเท่านั้น

http://www.youtube.com/watch?v=qqlpvZxUPas

14 ก.ค.55 มีเพื่อนที่เขาแก่เดือนกว่าแถวบ้าน เสียชีวิตด้วยมะเร็งปอด วันนี้จะไปร่วมพิธีที่วัดประตูต้นผึ้ง รู้สึกเศร้า แล้วหวนนึกถึงการจากไปด้วยโรคภัยของเพื่อนครั้งนี้เป็นโรคกลุ่มเดียวกับที่พรากญาติสนิทของผม คือ คุณพ่อ คุณยาย และแม่ณี ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติว่า เกิด แก่ เจ็บ และ ตาย สรุปได้ว่า ชีวิตนั้นแสนสั้น แต่เรายังมีคืนวันที่สดใส มีล้มก็ลุกได้ดังเช่นตะวัน เพียงแต่เราก็บิดเบือนธรรมชาติไม่ได้ ต้องทำใจยอมรับ และอยู่กับความจริงต่อไป

สอดคล้องกับเนื้อเพลง เก็บตะวัน ของ อิทธิพลางกูร

หลักคิดของทหารที่ไม่แตกทัพ

คำพระ ว่าด้วยเรื่องอริยสัจ 4
คำพระ ว่าด้วยเรื่องอริยสัจ 4

เคารพกติกา
ปกติการอยู่ในสังคม ก็ต้องดำเนินการไปตามกติกาที่มีในสังคมนั้น การศรัทธาในลำดับชั้นตามสายการบังคับบัญชา ทำให้การเคลื่อนทัพสามารถไปในทิศทางที่กำหนดได้อย่างถูกต้อง ถ้ามีทหารแตกแถวจำนวนมาก ทัพนั้นก็มีแนวโน้มไปไม่ถึงวิสัยทัศน์ที่กำหนด ดังนั้นความผิดของทหารแตกแถว หรือบุคลากรในองค์กรที่ไม่เคารพกติกาของกลุ่ม จึงมีความผิดร้ายแรงเสมอ

ไม่เป็นทหารแตกทัพ
มีอยู่วันหนึ่ง คือ 4 กรกฎาคม 2555 ไปประชุมกับเพื่อนในเวทีต่างวัฒนธรรม มีท่านหนึ่งทักผมว่า ผมกล้าคิด negative ซึ่งการคิดแบบนั้น สำหรับผมแล้ว ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะในใจผมจะเริ่มต้นด้วยคำถามจากทุกมุม คงเพราะเคยมีพระสอนเรื่องอริยสัจ 4 ที่เริ่มต้นด้วยคำว่าทุกข์คืออะไร เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนก็ต้องมองหากาละเทศะก่อนเอ่ยคำใด แต่ถ้าพูดแล้วรู้สึกว่าตนเองเป็นทหารแตกทัพก็ต้องเปลี่ยนมุมใหม่ เพราะความคิดของเราอาจไม่ถูกเสมอไป แต่สิ่งที่ทำให้ทัพเป็นทัพอยู่ได้คือความสามัคคี ผมมีศรัทธาอยู่อย่างหนึ่งว่าความสามัคคีคือพลังและอาจนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นความคิดของเราจึงไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป เปลี่ยนตนเองไปตามกลุ่มซะ ทุกอย่างก็เรียบร้อย เพราะจุดยืนของตนคงไม่สำคัญเท่าของกลุ่ม

ปากไม่ตรงกับใจ
มีเพื่อนทักผมว่าปากไม่ตรงกับใจ เพราะท่านถามว่า “มีรถราคาดีคัน 10 ล้าน มาวางขายผมจะซื้อไหม ผมก็ตอบไปว่าซื้อแน่ เพราะคุ้ม” ที่ผมตอบว่าซื้อก็เพราะคนตั้งเขามีเหตุผลของเขา และเปลี่ยนไม่ได้ ผมว่ามนุษย์ที่มีการศึกษามาระดับหนึ่งแล้ว จะคิดก่อนพูด ตอนนั้นผมก็คิดว่าจะขัดไปทำไม ขัดไปก็คงไม่ลดราคาลง ทำให้หลายครั้งพูดแบบไม่ตรงกับความคิด ตัวอย่างเช่น มีผู้หญิงโปะแป้งมาซะขาว กระโปรงสั้นจู๋ สวมเสื้อเกาะอก เดินมา แล้วถามผมว่าสวยไหม ผมก็ต้องตอบไปว่า “สวย” อันที่จริงไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะการแต่งตัวแบบนั้น เลยเกณฑ์คำว่าสวยไปหลายขุมแล้ว แต่เพื่อให้เกียรติคนถาม ก็ต้องตอบไปตามที่ผู้ถามคาดหวัง

สำนวณ “ได้ครับพี่ – ดีครับนาย – สบายครับผม – เหมาะสมครับท่าน”
http://www.dhiravegin.com/detail.php?item_id=000091

มุมที่แตกต่างจากบทความเรื่อง
‘ประสาร’เขียนจ.ม.ถึง’อ.ป๋วย’เปิดเบื้องหลังโอนหนี้กองทุนฯ
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120706/460351/news.html

สัญลักษณ์ในพิธีไหว้ครู (itinlife 350)

พิธีไหว้ครู (guru ceremony)
พิธีไหว้ครู (guru ceremony)
5 ก.ค.55 มีโอกาสร่วมพิธีไหว้ครู (Wai Khru Ceremony หรือ Guru Ceremony) ที่นักศึกษาแต่งพานดอก พานธูป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พบในพิธีไหว้ครู การไหว้ครูเป็นพิธีที่จะมีนักศึกษาพร้อมใจตระเตรียมพานมาแสดงความเคารพคุณครูในวันพฤหัสบดีหลังเปิดภาคเรียนแรกของทุกปีการศึกษา เป็นหนึ่งในประเพณีอันทรงเกียรติของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
ในทุกปีการศึกษานักเรียนรวมกลุ่มกันแต่งพานธูป และพานดอกที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป มีพิธีเจิมหนังสือ ซึ่งนำอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน อาทิ ตำราเรียน เครื่องเขียน วัสดุอุปกรณ์ หุ่นจำลอง สื่อการสอน มาให้ผู้บริหารสถาบันได้เจิม เพื่อความเป็นศิริมงคล เมื่อนักเรียนนำพานธูป และพานดอกที่มักประกอบด้วย หญ้าแพรก ดอกเข็ม ดอกมะเขือ และข้าวตอก ที่ล้วนแต่มีความหมาย มอบแด่คุณครูผู้ประสิทธิประสาทวิชา ก็พบว่าอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนที่ตั้งอยู่บนเวทีเริ่มมีการเปลี่ยนไปตามกระแสโลก เช่นเดียวกับคุณครูที่ในอดีตพบเห็นในละครช่อง 7 ยามเช้าวันเสาร์ ว่าครูยุคแรกเป็นฤษีที่อาศัยในป่า ถ้าจะเรียนก็ดั้นด้นเข้าป่าไปร่ำเรียนกัน ต่อมาก็มีวัดเกิดขึ้นแล้วคุณครูก็คือพระสงฆ์สอนด้วยการบรรยาย ต่อมาทางราชการให้ความสำคัญ จึงปรับวัดให้เป็นโรงเรียนวัด แล้ววิวัฒต่อเนื่องจนปัจจุบันเรามีโรงเรียน และมหาวิทยาลัยจำนวนมาก จนมากเกินความต้องการ และมีการพิจารณาปิดโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนน้อย พบเห็นในหมู่บ้านขนาดเล็กหลายแห่ง
สัญลักษณ์บนเวทีนอกจากคุณครู ก็จะมีอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน ซึ่งปีนี้บนโต๊ะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นคือแท็บเล็ตพีซี (Tablet PC) ทำให้นึกถึงนโยบายของรัฐที่มอบแท็บเล็ตพีซีให้นักเรียนระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 ได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ เปิดโลกทัศน์ให้เข้าถึงสารสนเทศ มีกิจกรรมการเรียนรู้ ติดต่อสื่อสาร และพัฒนาการเรียนรู้ สรุปว่าเป็นปีแห่งนวัตกรรมของการจัดการเรียนการสอน เพราะทั้งครู และนักเรียนต้องปรับกิจกรรมในชั้นเรียนให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ไม่แน่ว่าในปีการศึกษาต่อไป อาจลดจำนวนคุณครูบนเวที และเพิ่มจำนวนแท็บเล็ตพีซี ให้นักเรียนได้สักการะก็เป็นได้ เพราะรุ่น และยี่ห้อของอุปกรณ์เหล่านี้มีหลากหลายขึ้นทุกวัน จนอาจเหลือที่ยืนให้คุณครู และหนังสือน้อยลงก็เป็นได้
ภาพในปีการศึกษา 2554
ภาพในปีการศึกษา 2554

http://it.nation.ac.th/news/new_view.php?id=267

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=338519052891853&set=a.338518826225209.76418.228245437252549

มหาวิทยาลัยเนชั่น จัดพิธีไหว้ครู .. นักศึกษา รุ่น 1 ประจำปี 2554

“สืบสานวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามให้อยู่คู่สังคมไทย”

มหาวิทยาลัยเนชั่น วิทยาเขตภาคเหนือ (โยนก) จังหวัดลำปาง จัดพิธีไหว้ครู  นักศึกษา รุ่นที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2554  เพื่อเป็นการระลึกและตอบแทนพระคุณของครู-อาจารย์  และให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ทุกคนได้ แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครู-อาจารย์ อีกทั้งยังเป็นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพิธีการไหว้ครู ในวันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม 2554 ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคารคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเนชั่นฯ

นายธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนายกสภามหาวิทยาลัยเนชั่น วิทยาเขตภาคเหนือ (โยนก) จังหวัดลำปาง กล่าวว่า ในอดีตมีความเชื่อว่า  การสักการะ บูชาเทพ ถือว่าเทพเป็นองค์ที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ความสามารถและคุ้มครองป้องกันภัยให้แก่ศิษย์ โดยมุ่งให้ศิษย์มีความเคารพและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ อีกทั้งยังเป็นที่สักการะแก่ศิษย์ที่ทำกิจกรรมอันเกี่ยวข้องกับงาน การเรียน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเคารพครู อาจารย์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและชีวิต ซึ่งผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้นจะเป็นผู้ที่มีความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์  และที่สำคัญจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในหลายๆ ด้าน  ความรู้ที่ได้มานั้นนอกจากจะค้นคว้าด้วยตนเองแล้วอีกประการหนึ่งได้จากครูผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ ดังนั้นคำว่า “ครู” ชึ่งมีความหมายที่แปลว่า ผู้สั่งสอนศิษย์หรือผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์

พระคุณของครู-อาจารย์  จึงมีมากเกินคำบรรยาย ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกและตอบแทนพระคุณของครู-อาจารย์  มหาวิทยาลัยเนชั่น จึงได้จัดพิธีไหว้ครู นักศึกษา รุ่นที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2554 ขึ้น โดยนักศึกษา มหาวิทยาลัยเนชั่น จะได้นำ หญ้าแพรก สื่อถึง ขอให้เรียนได้เร็วเหมือนหญ้าแพรก ที่โตได้เร็วและทนต่อสภาพดินฟ้า อากาศ ทนต่อการเหยียบย่ำ ซึ่งเปรียบเสมือน คำดุด่าของครูบาอาจารย์ ดอกเข็ม สื่อถึง ขอให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เหมือนชื่อของดอกเข็ม ดอกมะเขือ สื่อถึง การเปรียบเทียบว่า มะเขือนั้น จะคว่ำดอกลงเสมอเมื่อจะออกลูก แสดงถึง นักเรียน นักศึกษาที่จะเรียนให้ได้ผลดีนั้นต้องรู้จักอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนสุภาพเรียบร้อย เหมือนมะเขือที่โน้มลง ข้าวตอก เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อนๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่างๆได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก  นำมาประดิษฐ์เป็นพาน เข้าร่วมในพิธีไหว้ครู ประจำปีการศึกษา 2554 ขึ้น เพื่อให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ทุกคนได้ แสดงความกตัญญูต่อครู-อาจารย์ อีกทั้งยังเป็นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพิธีการไหว้ครูให้ดำรงสืบต่อไป

นิเวศน์ อินติ๊บ (ภาพ/ข่าว)

เงินกำลังจะหมุนไป

เงินกำลังจะหมุนไป เป็นเพลงโฆษณาทางโทรทัศน์ของธนาคารกรุงไทย

(คอรัส) เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้ชุมชน

[เจ้าของโรงงาน] ด้วยเงินก้อนนี้ อ้ะ ผมจะมีโรงงานใหม่ (ทั้งยาว ทั้งใหญ่)
ทันสมัย สร้างรายได้ให้ขยายผล (หลายผล หลายผล)
อ้ะ เสร็จแล้วหนา จ่ายค่ารับเหมา
[ผู้รับเหมา] เรารับเงินมา
ไม่รอช้า รีบจ่ายค่าวัสดุทันใด

(คอรัส) เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้ชุมชน

[เถ้าแก่] ฮิฮิ… ได้เงินแล้ว จะขอแจวละไปเที่ยวคาเฟ่สักครู่
[เมียเถ้าแก่] จู้ฮุกกรู เอามานี่แน่ะ แม่จะเปิดสวนอาหาร (อาหาร อาหาร)
กิจการดี มีเงินจ่ายให้คนงาน
[คนขายผัก] ประทานโทษครับ ผมมารับค่าส่งผักคร้าบ

(คอรัส) เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้ชุมชน

[คนขายผัก] ด้วยเงินก้อนนี้ ผมจึงมีรถคันใหม่ (รถใหม่ รถใหม่)
แถมเหลือจ่ายให้ป้าทอง เจ้าของสวน
[เจ้าของสวน] ได้เงินมา ไม่รอช้า พาลูกไปร้านยายง้วน
ชำระด่วนที่เซ็นไว้
[ลูกสาว] แม่ หนูอยากได้ปลากระป๋อง

(คอรัส) เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้ชุมชน
เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้ชุมชน

มีหลักให้ชวนพิจารณาได้หลายเรื่อง
– หลักของเหตุและผล (Cause & Result)
– หลักค่านิยมทางวัตถุ (Material Values)
– หลักทุนนิยม (Capitalism)
– หลักของห่วงโซ่ (Chain)
– หลักของการลงทุนและความเสี่ยง (Investment & Risk)
– หลักการเขียนแผนธุรกิจ (Business Plan)

ภาพวาดสองมิติเสมือนจริง

cool love novel
cool love novel

พักนี้ วาดรูปดอกไม้ เห็นภาพมนุษย์เหมือนจริงก็รู้สึกสนใจครับ

ไปเดินร้านหนังสือ เห็นปกนิยายเป็นภาพวาดสมจริง ลองค้นจากเน็ตก็พบใน wallcoo.net เป็นการวาดที่ให้รายละเอียดได้ดีจริง ๆ เหมือนคนจนคิดว่าเป็นคนจริง ๆ ซะด้วยซ้ำ ที่เห็นตามปกนิยายรักของไทย จะเป็นภาพคู่เป็นส่วนใหญ่ .. ผมว่าน่าสนใจนะครับ แต่จะวาดได้คงต้องมีจินตนาการ หรือมีต้นแบบคนจริง  เท่าที่เห็นภาพส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะซ้ำ แสดงว่ามีการใช้ส่วนต่าง ๆ ใหม่ทุกภาพ
http://www.wallcoo.net/paint/cover_girl_12/
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.10150731649062272.419006.350024507271

ผลประกวดนางสงกรานต์แห่งประเทศไทย 2555

ผลประกวดนางสงกรานต์แห่งประเทศไทย 2555
ผลประกวดนางสงกรานต์แห่งประเทศไทย 2555

14 เม.ย.55 ผลประกวดนางสงกรานต์แห่งประเทศไทย 2555 ซึ่งไทยทีวีสี ช่อง 3 ร่วมกับบริษัท บีอีซี.เทโร จัดขึ้น เพื่อค้นหาหญิงไทย ซึ่งมีกิริยาที่งดงามและเป็นแบบอย่างที่ดีในการอนุรักษ์ วัฒนธรรมประเพณีไทย ผู้เข้าประกวดหมายเลข 10 นางสาวอาภาภัทร มีแสง อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชนะใจกรรมการ ทั้งจากกิริยาท่าทางและความเฉลียวฉลาดในการตอบคำถาม คว้าตำแหน่งนางสงกรานต์ พร้อมรางวัลเป็นเงินสด 300,000 บาท และมงกุฏทองคำ ส่วนรองอันดับ 1 และ 2 เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์

คำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “สํ-กรานต” แปลว่า ก้าวขึ้น ย่างขึ้น ย้ายที่ เคลื่อนที่  ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี คือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทย ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึง ประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี แต่ในปัจจุบัการเฉลิมฉลองในประเพณีสงกรานต์นั้นได้ละทิ้งความงดงามขอประเพณีในสมัยโบราณไปเกือบหมดสิ้น คงไว้เพียงแต่ภาพลักษณ์แห่งความสนุกสนาน

สงกรานต์ เป็นประเพณีเดือน 5 ของ ประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกา และทางตะวันออกของประเทศอินเดีย

วันหยุดสงกรานต์ เป็นวันหยุดราชการ แบ่งออกเป็น 3 วัน
13 เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันผู้สูงอายุแห่งชาติ วันสังขารล่อง วันเจ้าเมืองเก่า  หรือ วันส่งเจ้าเมืองเก่า
14 เมษายน เรียกว่า วันเนา วันเน่า วันว่าง ในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ประกาศให้เป็นวันครอบครัว
15 เมษายน เรียกว่า วันเถลิงศก  วันเริ่มจุลศักราชใหม่ วันพญาวัน วันรับเจ้าเมืองใหม่

ในสมัยโบราณ คนไทยถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ตกราวเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะถือว่าเป็นช่วงฤดูหนาว
ในปี พ.ศ. 2432 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้เป็นวันที่ 1 เมษายน
ในยุคสมัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ปี พ.ศ. 2483 ได้เปลี่ยนวันปีใหม่ให้เป็นสากล คือ วันที่ 1 มกราคม
แต่กระนั้น คนไทยส่วนมาก็คุ้นเคยกับวันปีใหม่ไทยในเดือนเมษายน จึงกำหนดให้วันที่ 13 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินเกรกอรี่

คำว่า “ดำหัว” ปกติแปลว่า “สระผม” แต่ประเพณีสงกรานต์ล้านนา หมายถึง การแสดงความเคารพ และขออโหสิกรรมที่ตนอาจจะเคยล่วงเกิน รวมทั้งขอพรจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส ครูบาอาจารย์ หรือผู้บังคับบัญชา ส่วนมากจะใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยนำไปไหว้ และผู้ใหญ่ก็จะจุ่มเอาน้ำแปะบนศีรษะก็เป็นอันเสร็จพิธี

http://women.mthai.com/amazing-women/102432.html
http://www.bondinthai.com/songkranday.htm
http://www.vcharkarn.com/varticle/36247
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C
http://hilight.kapook.com/view/21047