ฝ้าย ร่ำไห้ ขอลาออก มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014

วันนี้ (9 มิ.ย.)  กองประกวด ประกาศแจ้งเรียนเชิญสื่อมวลชน ร่วมรับฟังการแถลงเปิดใจของ ฝ้าย เวฬุรีย์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 ณ ห้อง R2 โรงแรมเรอเนซองส์ ย่านราชประสงค์ เวลา 13.30 น.

โดยเวลา 13.45 น. ฝ้าย เวฬุรีย์  ปรากฎตัว พร้อมบอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ออกมาแถลงข่าวหลังจากก่อนหน้านี้ฝ้ายได้ออกมาพูด ออกมาขอโทษ และขอกำลังใจจากแฟนนางงามทุกคน (เริ่มร้องไห้) ซึ่งมันไม่ได้กระทบตัวฝ้ายคนเดียว มันกระทบไปถึงครอบครัวฝ้ายด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ วันนี้ฝ้ายเลยตัดสินใจ สละตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ และไม่ขอเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น

เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของฝ้ายเอง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ้ายต้องขอขอบคุณกรรมการทุกท่าน และหากในอนาคตหลังจากนี้มีกิจกรรมเพื่อสังคมอะไรเข้ามาจากกองประกวด ฝ้ายก็พร้อมร่วมมือและช่วยเสมอ ฝ้ายขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ข้างฝ้าย เพื่อน ๆ ที่คอยให้กำลังใจฝ้าย รวมถึงกองประกวด พี่เลี้ยงทุกคนที่ช่วยเหลือฝ้าย ดูแลฝ้ายมาจนถึงวันนี้ ฝ้ายขอบคุณทุกคำวิจารณ์ ทุกคอมเม้นท์ต่าง ๆ ตามช่องทางสื่อ ทั้งดีและไม่ดี

ฝ้ายอยากจะขอให้เรื่องของฝ้ายเป็นบทเรียนให้แก่ทุก ๆ คน ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เองก็เป็นบทเรียนที่ครั้งใหญ่ของฝ้ายเช่นกันค่ะเราจะมองว่าเป็นเรื่องของส่วนบุคคลมากกว่าค่ะ

ฝ้ายเสียดายหรือเสียใจไหมกับโอกาสตรงนี้ ?
– ไม่เสียใจเลยค่ะ เพราะตอนแรกทุกคนในครอบครัวยินดีมีความสุข แต่พอกระแสสังคมมันเกิดขึ้นแบบนี้ ความสุขที่เคยมีมันก็หายไปหมดแล้วค่ะ”

ตอนแรกเราบอกว่าจะสู้ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้ตัดสินใจถอย?
“บางทีกระแสสังคมมันมากเหลือเกิน เห็นแม่นอนไม่หลับหนูก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”

สละตำแหน่งแบบนี้เงินรางวัลที่ได้มาจะต้องคืนกองประกวดด้วยไหม ?
“หนูไม่ได้หวังประโยชน์อะไรจากกองประกวดค่ะ”

เมื่อสละตำแหน่งไปแล้วตอนนี้จะถือว่าฝ้ายอยู่ในตำแหน่งอะไร ?
“ก็คือหนึ่งในผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ค่ะ”

ทางด้านผู้จัดการกองประกวดให้สัมภาษณ์ว่า

เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้กองประกวดพิจารณาการคัดเลือกนางงามมากขึ้นไหม ?
“เราก็คงจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ สิ่งมากขึ้นค่ะ อย่างพวกโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ”

สำหรับกองประกวด เป็นเพราะกระแสสังคมค่อนข้างแรงด้วยไหมเราถึงยอมให้น้องฝ้ายสละตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าไปด้วยกัน ?
“เรามองที่ตัวบุคคลมากกว่าค่ะ คือถ้าบุคคลไม่มีความสุข ไม่มีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไปเราก็ถือการตัดสินใจของเขาเป็นสำคัญดีกว่าค่ะ”

ถ้าเป็นที่สองมาแทนและที่สองก็มีภาพหลุดออกมาอีก ?
“อันนี้ก็ต้องคุยกันเป็นคน ๆ ไปนะคะ”

—————

ปอย ตรีชฎา ฮอตสื่อจีนยกเป็น1 ใน 5 นักแสดงเอเชียที่ดังที่สุดในจีน

สื่อประเทศฮ่องกงแจ้งว่า ปอย- ตรีชฎา เพชรรัตน์ กำลังจะได้รับการผลักดันจากต้นสังกัดในฮ่องกงอย่างเต็มที่


โดยอาจได้รับค่าตัวจากภาพยนตร์เรื่องต่อไปถึงหลักล้านเหรียญฮ่องกง ซึ่งสื่อจีนยังจัดอันดับให้เธอเป็น 1 ในนักแสดงเอเชียที่ดังที่สุด 5 อันดับแรกในจีนแผ่นดินใหญ่เลยทีเดียว
หลังจากที่ ปอย ตรีชฎา ดาราสาวประเภท 2 ของไทย สร้างความฮือฮาในหนัง The White Storm ที่แสดงประกบกับซูเปอร์สตาอย่าง จางเจียฮุย, หลิวชิงหวิน และ กู่เทียนเล่อ ซึ่งเข้าฉายเมื่อปีก่อน เธอก็เริ่มโด่งดังแจ้งเกิดในวงการบันเทิงจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงได้ จนได้เซ็นสัญญากับเอเยนซียักษ์ใหญ่ Universe International
โดยข่าวว่าทางค่ายกำลังจะผลักดันเธอด้วยการมอบบทนำในหนังเรื่องใหม่พร้อมค่าตัวระดับล้านเหรียญฮ่องกงสำหรับ ความโด่งดังของ ปอย ตรีชฎา ได้รับการการันตีจากสื่อจีนที่จัดอันดับความนิยมดาราหญิงชาวเอเซียในประเทศจีน โดยมีชื่อของ ปอย ถูกจัดลำดับให้อยู่ใน 5 อันดับแรกด้วย

ซึ่งการจัดอันดับครั้งนี้มีดาราสาวชาวเกาหลีใต้ติดอันดับเข้ามา 3 คนคือ จอนจีฮยอน , ซองเฮเคียว และ ชูจาฮยอน ส่วนอีก 2 คนที่ติดอันดับก็คือ สองสาวจากภูมิภาคอาเซียนอย่าง ปอย ตรีชฎา และ ชีลา อัมซาห์ นักร้องสาวชาวมาเลเซีย

ขอบคุณข้อมูลจาก  http://entertain.teenee.com/thaistar/116711.html

วิตามินซี..วิตามินอี อาหารเสริมบำรุงผิว

อาหารเสริมบำรุงผิว ซึ่งหลายคนจะแยกไม่ออกว่าอะไรคืออาหารเสริมบำรุงผิว จริงๆแล้ว มันคือวิตามิน หลากชนิดนั่นเองที่นอกจากจะช่วยบำรุงร่างกายแล้ว บางชนิดยังส่งผลถึงผิวของเราด้วยเช่นกัน

มาเริ่มทำความคุ้นเคยกับอาหารเสริมบำรุงผิว ที่เราเคยได้ยินสรรพคุณกันมาบ้างแล้ว แต่คราวนี้มันจะส่งผลอะไรกับผิวของเราบ้างเราลองไปศึกษากัน

วิตามินซี

–           วิตามินซี… ใครๆ ก็ต้องรู้จัก เพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี มีส่วนช่วยในการลดอาการบาดเจ็บจากเชื้อแบททีเรีย และเชื้อไวรัส นี่แหละที่หลายคนถึงบอกว่า กินวิตาซีเพื่อป้องกันอาการหวัด แต่ที่สำคัญมันยัง มีคอลลาเจนที่แทรกตัวอยู่ในวิตามินซี ซึ่งช่วยปรับสภาพผิวของเราให้แข็งแรงมีสุขภาพดีและขาวขึ้นได้

วิตามินอี

–           วิตามินอี… อาจจะไม่คุ้นว่ามันอยู่ที่ไหนอะไรยังไง แล้วเกี่ยวอะไรกับผิวของเรา วิตามินอีนั้นเป็นอีกหนึ่ง อาหารเสริมบำรุงผิว ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ด้อยไปกว่าวิตามินซีเลย เพราะชั้นใต้ผิวหนังของเราเซลล์ไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นหลัก ซึ่งสามารถถูกทำลายได้ง่าย หากเราได้วิตามินอีเข้ามาช่วยเสริมนอกจากจะช่วยป้องกันการถูกทำลายแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย เช่น หลอดเลือด ตับ ตา

ซึ่งวิตามินทั้งสองตัวนี้เราสามารถหามาทานได้ง่าย อย่างวิตามิตามินซีหาได้จากผลไม้ เช่น มะละกอ กล้วยไข่ มะม่วงน้ำดอกไม้ หากเป็นวิตามินอีจะอยู่ในผลไม้ที่มีเปลือกแข็ง น้ำมันพืช และเมล็ดธัญพืช หากรู้ว่าวิตามินสองตัวนี้มีดีอย่างไรกันแล้ว อย่าลืมลองไปค้นหาอาหารบำรุงผิวจำพวกนี้มาเติมเต็มให้กับเรากายของเราด้วยนะค่ะ

———————————-

ขอบคุณข้อมูลจาก

http://xn--22c0df2b3b7a.xn--q3cped3cb5f8b6d.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88/

7 วิธีลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

โรคกรดไหลย้อน ทำให้หลอดอาหารอักเสบ เป็นแผล และถ้าไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (lifestyle) ร่วมกับการใช้ยาตามที่หมอแนะนำ อาจทำให้เยื่อบุหลอดอาหารเปลี่ยนแปลง (Barrett’s esophagus) และเสี่ยงมะเร็งเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว (พบน้อยมาก)

เรื่องสำคัญคือ โรคนี้ทำให้แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว และ “รักษาไม่หาย” เป็นส่วนใหญ่ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่อไปนี้จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้อย่างมากมาย

วันนี้ขอแนะนำวิธีลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยวจากโรคกรดไหลย้อน วันนี้มี 7 วิธีลดแน่นท้อง ท้องอืด มาฝากค่ะ

(1). มื้อเล็กๆ บ่อยๆ

  • อาหารมื้อใหญ่ หรือการดื่มน้ำคราวละมากๆ จะทำให้กระเพาะอาหารโป่งออก และหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างหย่อนลง กรดไหลย้อนได้มากขึ้น

(2). ลดเค้กลงหน่อย

  • ชอคโกแล็ต โกโก้ และกาเฟอีน ซึ่งพบในกาแฟ เครื่องดื่มกระตุ้นกำลัง ชา โกโก้ ไมโล โอวัลติน ชอคโกแล็ต อาจทำให้อาการแย่ลง
  • อาหารไขมันสูง เครื่องเทศบางอย่าง อาหารทอด ผลไม้ตระกูล citrus (ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุตหรือเสาวรส), หอมดิบ มะเขือเทศ เนย น้ำมัน เปปเปอร์มินต์ (สะระแหน่ มีมากในหมากฝรั่ง) อาจทำให้อาการแย่ลง
  • ไม่จำเป็นต้องลดอ���หารกลุ่มนี้ไปเสียหมด ขอเพียงจดบันทึกรายการอาหาร ทำเครื่องหมายไว้ว่า วันเวลาใดมีอาการมากประมาณ 2-3 อาทิตย์ จะเริ่มรู้ว่า อาหารใดแสลงโรคสำหรับเรา แล้วทดลองซ้ำ 2-3 ครั้ง ว่า แสลงจริง เพื่อจะได้กินครั้งละน้อยหน่อยต่อไป

(3).  อย่าดื่มแอลกอฮอล์

  • แอลกอฮอล์ทำให้หูรูดกระเพาะอาหารส่วนล่างคลายตัว กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
  • การศึกษาในปี 2542 พบว่า ยิ่งดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก, อาการยิ่งแย่ลง (Am J Medicine)

(4). อีกเหตุผลหนึ่งที่ (ควร) ลดน้ำหนัก

  • การศึกษากลุ่มตัวอย่างมากกว่า 10,000 คนในปี 2546 พบความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีมวลกาย (body mass index / BMI) กับโรคกรดไหลย้อน หรือ “ยิ่งอ้วนยิ่ง(ท้อง)อืด” (Int J Epidemiology)
  • คนอ้วนเป็นโรคกรดไหลย้อนเกือบ 3 เท่าของคนไม่อ้วน
  • กลไกที่อาจเป็นไปได้ คือ คนอ้วนมีไขมันในช่องท้องมากขึ้น แรงดันในช่องท้องมากขึ้น แรงดันนี้ไปบีบกระเพาะอาหาร
  • กลไกอื่นที่อาจเป็นไปได้ คือ ไขมันในช่องท้อง หรือภาวะอ้วนลงพุง อาจปล่อยสารเคมีไปรบกวนการทำงานของทางเดินอาหาร

(5). อย่าสวมเสื้อผ้าคับ

  • เสื้อผ้าคับๆ ทำให้แรงกดต่อกระเพาะอาหารมากขึ้น กรดไหลย้อนมากขึ้น

(6).  เอียงหัวเตียงขึ้น, หลับสบายขึ้น

  • การหลีกเลี่ยงอาหาร น้ำ หรือเครื่องดื่มมื้อใหญ่ก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง และหาอะไรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น 6-8 นิ้ว ช่วยให้กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปหลอดอาหารได้น้อยลง
  • การหนุนหมอนหลายใบไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น
  • การศึกษาพบว่า กลไกสำคัญ คือ หลอดอาหารที่อยู่ในแนวนิ่งมากขึ้นทำให้กรดและน้ำย่อยในหลอดอาหารไหลลงกระเพาะฯ ได้เร็วขึ้น 67%

(7).หยุดสูบบุหรี่

  • นิโคตินในบุหรี่ ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (lower esophagus sphinctor / LES) หย่อนตัว ทำให้อาหาร น้ำ กรด น้ำย่อยไหลย้อนกลับจากกระเพาะอาหาร ขึ้นไปยังหลอดอาหารได้ง่าย
  • นิโคตินทำให้น้ำดีที่ช่วยย่อยไขมันในลำไส้เล็ก ไหลย้อนกลับ จากลำไส้เล็กไปกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้กระเพาะฯ และหลอดอาหารบาดเจ็บจากน้ำดีได้
  • นิโคตินมีฤทธิ์ทำให้การหลั่งน้ำลายลดลง น้ำลายมีสารเบสหรือด่างไบคาร์บอเนต คนรูปร่างใหญ่ (ฝรั่งขนาด 70 กิโลกรัม) กลืนน้ำลายวันละประมาณ 1.5 ลิตร ซึ่งช่วยปกป้องหลอดอาหารจากกรด เมื่อน้ำลายน้อยลง… หลอดอาหารจะบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ขอขอบคุณข้อมูล

  • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง สงวนลิขสิทธิ์. ยินดีให้นำไปเผยแพร่โดยอ้างอิงที่มาได้. ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า >  > 7 กรกฎาคม 2552.
  • ข้อมูล ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูงจำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแล ท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้.

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย

เตรียมสัมภาษณ์งานกับ 10 คำถามยอดฮิต

นับเป็นหนึ่งในขั้นตอนสมัครงานที่เคร่งเครียดที่สุดและกดดันที่สุดเลยก็ว่าได้สำหรับการสัมภาษณ์งาน เพราะหากผู้สมัครงานสามารถสร้างความประทับใจให้กับคณะผู้สัมภาษณ์ได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมหมายถึงการคว้างานในฝันมานอนกอด

แน่นอนค่ะความรู้สึกตื่นเต้น ประหม่า และกลัวแบบไม่มีสาเหตุเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์งาน แถมบ่อยครั้งที่เจอคำถามง่ายๆ แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร

หลักในการตอบคำถามสัมภาษณ์ ควรตอบให้ตรงประเด็น กระชับ ได้ใจความ มีความคิดสร้างสรรค์รวมถึงยกตัวอย่างเพื่อให้คำตอบชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญข้อมูลต้องถูกต้องและเป็นความจริง ซึ่งโดยทั่วไปการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตั้งแต่ 20 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และตำแหน่งงานของผู้สมัคร นอกจากการเตรียมตัวตอบคำถาม ควรให้ความสำคัญเรื่องการแต่งกายและความตรงต่อเวลาด้วย

นี่คือสิบคำถามลองอ่านคำแนะนำในการตอบคำถามเพื่อเป็นแนวทาง แล้วนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับรูปแบบการสัมภาษณ์ของตัวเอง อย่าลืมว่า 10 คำถามนี้ไม่มีคำตอบใดที่ถูกหรือผิด เพราะล้วนแต่เป็นคำถามที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ ทัศนคติต่างๆ เกี่ยวกับงาน ที่จะบ่งบอกความฉลาดในตัวคุณ

ที่สำคัญ หากมีการเตรียมพร้อมและซ้อมมากเท่าไหร่ ความมั่นใจก็มากขึ้นเท่านั้น เหมือนอย่างที่สามก๊กกล่าวไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟัง

ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีสั้นๆ แบบกระชับได้ใจความ บอกเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ รวมถึงยกตัวอย่างให้ฟังเพื่อช่วยอธิบายและเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเรา เช่น “หลังจากเรียนจบด้านบัญชีและทำงานที่บริษัทตรวจสอบบัญชีมา 5 ปี ทำให้เป็นคนทำงานเร็วและละเอียดรอบคอบ เพราะการตรวจสอบบัญชีแต่ละครั้งมีระยะเวลากำหนดชัดเจนว่ากี่วันหรือกี่สัปดาห์ ทั้งยังฝึกความเป็นผู้นำ เพราะต้องดูแลน้องในทีมที่ออกตรวจงานด้วยกัน รวมถึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันได้รับมอบหมายดูแลงานโปรเจคใหญ่ๆ อยู่เสมอ”

การเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ตั้งแต่จบประถม มัธยม เข้ามหาลัย จนทำงาน แต่ไม่มีจุดเด่นอะไรเพียงพอที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกสนใจในตัวคุณ

2. ทำไมคุณถึงคิดว่าเหมาะกับงานนี้

โอกาสมาถึงแล้ว อย่ากลัวที่จะพูด อาจจะเริ่มจากประสบการณ์และความสามารถที่เคยผ่านมา อันเป็นสาเหตุทำให้คุณเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ แล้วต่อด้วยเหตุผล ตัวอย่าง กรณีศึกษา สิ่งที่เป็นจุดเด่นและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น

กรณีที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ ถ้าสมัยเรียนทำกิจกรรมมาเยอะ เช่น ออกค่าย ฝึกงาน โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ฯลฯ อย่าลังเลที่จะบอกเล่าว่ากิจกรรมเหล่านั้น ทำให้ตัวเองเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่าย รู้จักปรับตัว ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น และเรียนรู้เร็ว เป็นต้น

หากตกที่นั่งเด็กเรียน ไม่ค่อยสนใจกิจกรรม ให้ตอบว่าเป็นคนที่ทุ่มเทกับเรื่องที่ได้รับผิดชอบ เช่น เรื่องเรียนหรือรายงานกลุ่ม อาจยกเกรดเฉลี่ยเลขสวยๆ มาเป็นตัวอย่าง หรือวิธีการเลือกวิชาเรียน ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมตัว วางแผนการเรียนมาเป็นอย่างดี

การตอบคำถามสั้นๆ เช่น “ด้วยประสบการณ์ทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าสามารถทำงานนี้ได้” แล้วจบทันที ในกรณีนี้ คุณอาจจบเห่ เพราะไม่มีเหตุผลและตัวอย่างที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เชื่อและมั่นใจในตัวคุณ

3. ตามความเข้าใจของคุณ คิดว่าตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้าง

ทำการบ้านก่อนมาสัมภาษณ์ด้วยการอ่านรายละเอียดของงานและคุณสมบัติของผู้สมัครที่ทางบริษัทต้องการ ทำความเข้าใจกับมัน ตอบให้สั้นและกระชับใจความ สิ่งสำคัญก่อนตอบต้องมั่นใจว่าเข้าใจ ถ้าไม่แน่ใจส่วนไหนไม่ต้องกลัวที่จะถาม อาจตั้งคำถามกลับในทำนองว่า เข้าใจตำแหน่งงาน แต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลกลุ่มลูกค้า และผลิตภัณฑ์มากนัก อยากให้ช่วยอธิบายให้เข้าใจในเบื้องต้น

ถ้าไม่รู้ อย่าพยายามตอบ เพราะถ้าตอบผิด นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านมา ไม่ได้ให้ความสนใจกับงานนี้ แถมยังมั่วอีกต่างหาก

4. คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง

ก่อนมาสัมภาษณ์งาน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบและเข้าใจข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับองค์กรที่สมัคร เช่น ผลิตภัณฑ์ กลุ่มลูกค้า คู่แข่ง ภาพลักษณ์องค์กร ที่มาและประวัติขององค์กร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คุณได้ทำการบ้านมา และให้ความสนใจกับองค์กรอย่างแท้จริง อย่าลืมย้ำตอนท้ายด้วยว่า หลังจากที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์กร ทำให้เรามีความสนใจที่อยากจะทราบเกี่ยวกับองค์กรเพิ่มเติม

การตอบแบบมั่นใจในตัวเองจนเกินไป หรือคำตอบที่สร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับตัวเอง เช่น “ทราบมาว่าที่นี่กำลังขาดผู้จัดการฝ่ายการตลาด ด้วยประสบการณ์งาน 3 ปีในด้านนี้ ทำให้คิดว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้” คำตอบอย่างนี้นอกจากไม่สร้างทัศนคติที่ดีขององค์กรให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นการโอ้อวดตัวเองเกินไป

5. อะไรคือจุดมุ่งหมายระยะยาวในการทำงานของคุณ

พูดถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคต และต้องบอกวิธีที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ซึ่งควรจะเกี่ยวข้องกับงานที่สัมภาษณ์อยู่ เช่น อีก 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพและความสามารถในการพัฒนาพนักงานและองค์กรให้มีประสิทธิภาพ การที่จะถึงจุดนั้นได้ต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เช่น การได้มีโอกาสทำงานที่บริษัทนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต และอาจเพิ่มเติมตัวอย่าง เช่น วิธีการทำงานของตน เป็นต้น

การตอบในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครอยู่ (ถึงแม้จะเป็นความจริง) เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เช่น อยากเปิดร้านอาหารในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าตอบเช่นนั้น อาจโดนถามต่อว่าแล้วมาสมัครงานที่นี่ทำไม

6. ถ้าได้งานนี้ คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่นานเท่าไหร่

ให้มุ่งประเด็นไปที่ความทุ่มเทของตัวเองและความท้าทายของงาน ด้วยการบอกว่าตราบใดที่งานมีความยากและท้าทาย ก็จะขอจะทุ่มเทความสามารถของตัวเองให้เต็มที่เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับองค์กร

บอกแผนการหรือระยะเวลา (ซึ่งเป็นความจริง) เช่น มีแผนไปเรียนต่ออีก 2-3 ปีข้างหน้า หรือ ทางบ้านมีแผนให้ไปช่วยธุรกิจที่บ้าน

7. อะไรคือจุดอ่อนของคุณ

ควรเลือกจุดอ่อนที่เป็นความจริงและกำลังปรับปรุงหรือพัฒนาในขณะนี้ ที่สำคัญควรบอกผลลัพธ์หลังการปรับปรุงด้วย เช่น ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เรียนมานานเท่าไหร่ ที่ไหน และผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

มีหลายคนเคยบอกว่าให้เปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นจุดอ่อน เช่น เป็นคนทำงานหนักมากๆ ไม่เสร็จไม่กลับ อาจจะฟังดูดี แต่คุณกำลังทำลายตัวเอง เพราะปัจจุบันนี้การรู้จักจัดสรรเวลา (work life balance) เป็นประเด็นสำคัญของคุณภาพชีวิต อีกอย่างคุณกำลังโกหกเพื่อให้ดูดี แถมตอบผิดประเด็นอีกต่างหาก

8. ทำไมคุณถึงลาออกจากงานเก่า

ตอบความจริงให้มากที่สุด แต่สั้นกระชับใจความ ไม่จำเป็นต้องตอบทั้งหมดถ้าความจริงมันเลวร้ายเหลือเกิน อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์อาจขออนุญาตติดต่อบุคคลอ้างอิงเพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้น

ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ที่ทำงานและนายเก่า เพราะเหล่านี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดูแย่ และนั่นหมายถึงความกล้าที่จะวิจารณ์บริษัทต่อๆ ไปที่คุณร่วมงานด้วย

9. อะไรคือสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในงานเก่า (หรืองานที่กำลังทำอยู่)

ควรบอกสิ่งที่ชอบมากกว่าสิ่งที่ไม่ชอบ และให้คำอธิบายรวมถึงเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิดเช่นนั้น

บอกในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรืออ้างอิงถึงบุคคล เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังวิจารณ์คนอื่น ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างที่แย่ๆ เกี่ยวกับงาน เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา

10. อะไรคือสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต

ควรจะเป็นเรื่องที่รู้สึกภูมิใจที่สุดในช่วง 1-2 ปีของการทำงาน คุณอาจพูดถึงการเลื่อนขั้น ปรับตำแหน่งในการทำงาน หรือตลอดระยะเวลาที่ทำงานมามีแต่ความราบรื่นไม่เคยมีปัญหากับลูกค้า

หากคุณมีความสำเร็จชัดเจน เช่น สามารถทำยอดการขายได้ทะลุเป้า 200% หรือ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 25% ให้เล่าที่มาของเรื่องนั้น วิธี แนวดำเนินการ ผลลัพธ์ ตลอดจนอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา

ถ้าเป็นผู้สมัครที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ อาจจะพูดถึงเกรดเฉลี่ย หรือความภาคภูมิใจที่สามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงได้

การแต่งเรื่องขึ้นเองหรือพูดเกินจริงกว่าสิ่งที่ได้ทำ ส่งผลให้วิธีการเล่าแตกต่างไป ซึ่งผู้สัมภาษณ์ที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถตั้งคำถามต้อนจนจับได้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น

– บริษัทบางแห่ง คำถามเหล่านี้จะถูกถามเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นถ้าจะให้ดี ควรฝึกตอบทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

– ก่อนเข้าสู่ด่านอรหันต์ปราบเซียน ควรฝึกซ้อมหน้ากระจกก่อน เพื่อตรวจบุคลิกภาพ ที่สำคัญต้องมี eye contact หรือสบตาผู้สัมภาษณ์ อย่าหลบตาหรือมองเพดานเวลาสัมภาษณ์ แม้กระทั่งการนั่งเท้าคางหรือเท้าโต๊ะ ก็เป็นการทำให้คะแนนบุคลิกภาพลดลงอย่างน่าใจหาย

ทำไงดี เจอเจ้านายต่างชาติ
– บริษัทญี่ปุ่น อยากเห็นว่าที่พนักงานที่มีความนิ่ง อดทน อ่อนน้อมถ่อมตน แต่มีความมั่นใจในตัวเอง พูดจาไม่เยิ่นเย้อ สั้น กระชับ และหากสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ รับรองได้เปรียบกว่าเห็นๆ

– บริษัทฝรั่ง (International Firms) ส่วนใหญ่อยากได้เด็กที่มีความมั่นใจ กล้าพูดกล้าคิด ไฟแรง ทุ่มเท แต่ก็มีชีวิตด้านอื่นด้วยนะ อย่างเช่น มีงานอดิเรกทำ มีเที่ยวเล่นบ้างแต่ก็ทำงาน อีกอย่างที่สำคัญเลย บุคลิกภาพ ต้องดูมั่นใจ ดูคล่อง ฉะฉาน พูดภาษาอังกฤษได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://women.kapook.com/work00164/

7 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณมีเงินเก็บ

ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะประกาศ นโยบายปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท หรือค่าแรงรายวัน 300 บาท เป็นนโยบายหลัก ซึ่งได้เริ่มไปแล้ว และแม้ว่าเงินเดือนของเราจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้มีเงินเก็บ เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

7-เปลี่ยนเพื่อให้คุณมีเงินออม-660x330

เพราะเมื่อได้รับเงินมา เรามักจะนำเงินไปใช้ทันทีหรือบางครั้งก็อาจใช้จ่ายมากกว่าเดิม ไม่สามารถเก็บออมได้ แต่ในความจริงทุกคนสามารถเก็บออมได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงิน และกันเงินสำหรับการออมก่อน หรือที่เรียกว่าออมก่อนใช้ มีวิธีการง่ายๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการออม และการใช้จ่ายของท่าน เพื่อให้มีเงินเหลือเก็บออมมาฝาก

1.เริ่มต้นจากสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ทันที เช่น การเก็บเหรียญสตางค์ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ 1 บาท 5 บาท หรือ 10 บาท อย่างที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า “มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท” และควรสร้างวินัยด้วยการออมก่อนใช้ โดยออมให้ได้อย่างน้อย 10% ของรายได้เสมอ

2.ตั้งงบประมาณ และกำหนดจำนวนเงินในกระเป๋า วิธีการนี้ช่วยจำกัดการใช้จ่ายเงิน โดยอาจจะพกเงินติดตัว ให้พอที่จะใช้จ่ายในช่วง 1-2 สัปดาห์ วิธีนี้ช่วยให้เราตระหนักรู้ตระหนักใช้ เลือกใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นตามงบประมาณที่มี

3.เก็บเงินแยกไว้ให้ชัดเจน นอกจากจะแบ่งเงินออมและเงินสำหรับค่าใช้จ่ายแล้ว ในเงินออมที่เก็บไว้นี้ให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกนี้จะถือเป็นเงินเก็บที่จะไม่ถูกนำมาใช้เลย โดยอาจจะเก็บออมในรูปของบัญชีเงินฝากประจำเท่าๆ กันทุกเดือน ส่วนที่สองนั้นสามารถนำไปใช้ได้เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือที่เรียกว่าเงินออมสำรองฉุกเฉิน ซึ่งควรมีไม่น้อยกว่า 3 – 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน โดยเก็บออมในบัญชีออมทรัพย์

4.อย่าซื้อของตามใจชอบ แยกแยะความจำเป็น และความอยากออกจากกัน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อสินค้าทุกครั้งให้ถามตนเองก่อนเสมอว่า มีความจำเป็นต้องใช้สิ่งของเหล่านั้นหรือไม่

5.ไม่ซื้อของที่มีอยู่แล้วซ้ำอีก ควรสำรวจสิ่งของที่มีอยู่เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์และยังเป็นการช่วยลดรายจ่ายทำให้เรามีเงินเหลือเก็บมากขึ้น

6.ทำอาหารรับประทานกันในบ้าน ปาร์ตี้ ทานข้าวนอกบ้านให้น้อยลง นอกจากจะช่วยประหยัดแล้วยังเป็นการใช้เวลากับคนในครอบครัว อิ่มกายและยังอิ่มใจด้วย

7.ใช้บัตรเครดิตอย่างระวัง ไม่ใช้เกินแผนการใช้เงินที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก และจ่ายชำระยอดหนี้บัตรเครดิตเต็มจำนวนทุกครั้ง จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย

ช่วงแรกของการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินนั้น อาจจะเกิดความลำบากใจ แต่หากทำอย่างสม่ำเสมอก็จะเกิดเป็นความเคยชิน เริ่มกันตั้งแต่วันนี้เลยนะจ้าาา.

ขอบคุณ : ข้อมูลจาก บริการ K-Expert  ธนาคารกสิกรไทย

http://ananmoney.com/easy-ways-help-you-have-more-money/

อาหารป้องกันผมร่วง

อาหารป้องกันศีรษะล้าน (โดยเฉพาะคุณผู้ชาย)
โดย ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล  ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนคลินิก (เบาหวาน หัวใจ โรคกลุ่มเมตาโบลิก)

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ปัญหาผมร่วงเป็นเรื่องปกติในผู้ที่เริ่มมีอายุ ดูเหมือนว่ายิ่งอายุมากขึ้นเท่าไรร่างกายก็แสดงสิ่งที่ไม่พึงประสงค์มากขึ้นเท่านั้น นั่นคือ ความหมายของคำว่า “ชราภาพ”

แต่ทุกคนย่อมหลีกหนีจากความเป็นจริงนี้ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้ดีที่สุดและถนอมผมบนศีรษะได้นานที่สุด คุณลองคิดดูว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณเห็นผมบนศีรษะจากที่เคยดกดำกลับเปลี่ยนไป คุณได้แต่นั่งดูผมที่ร่วงหลุดไปที่ละเส้น สองเส้น หรือหลายเส้น มากกว่าครึ่งของผู้ชายมีปัญหาผมร่วง ศีรษะบาง หลังจากอายุ 45 ปีขึ้นไปโดยมาจากหลากหลายปัจจัยเช่น กรรมพันธุ์, ความเครียด, การดำเนินชีวิตที่รีบเร่ง, ฮอร์โมนในร่างกาย, ความเจ็บป่วย, อาหารที่ไม่ถูกต้อง, ยารักษาโรคต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้เกิดปัญหาผมร่วงทั้งนั้น จะสังเกตุได้ง่ายว่าผู้ชายมักมีปัญหาผมร่วงมากกว่าผู้หญิง เนื่องมาจากว่าสายพันธุกรรมของผู้ชายส่งผลต่อผมได้มากกว่าผู้หญิง ในปัจจุบันยาหลายชนิดได้ถูกผลิตขึ้นเพื่อป้องกันผมร่วง หรือมีวิธีการปลูกผมซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและบางครั้งก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร รวมถึงปัญหาที่ตามมากับยาและวิธีการเหล่านี้ เช่น ปัญหาหัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้ตับเป็นพิษหรือภาวะไตวายได้ และที่สำคัญอาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศด้วย

จากการศึกษาพบว่าสาเหตุหลักของการผมร่วงเกิดจากพันธุกรรมและการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย นักวิจัยค้นพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนกับปัญหาการหลุดร่วงของเส้นผม คือ ฮอร์โมนในเพศชายในกลุ่มเทสโทสเตอโรนโดยมีฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน “Dihydro testosterone (DHT)” โดยปกติแล้วฮอร์โมนตัวนี้จะเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผม ตามปกติของกลไกร่างกายจะมีการหยุดยั้งการทำงานของฮอร์โมน (DHT) เพื่อไม่ให้ผมหลุดร่วง แต่ในผู้ที่เริ่มมีอายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะมีความสามารถในการหยุดยั้งการทำงานของฮอร์โมน DHT ที่ลดลง ส่งผลให้ฮอร์โมน DHT ทำปฏิกิริยากับรากผมซึ่งก่อให้เกิดปัญหาผมร่วงอย่างถาวร หรือพูดอีกอย่างว่าในปกติผมของคนเราย่อมหลุดร่วงเป็นประจำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ก็จะขึ้นมาใหม่แทนเส้นเก่าที่หลุดร่วงไป แต่ในกณีของผู้สูงอายุผมที่หลุดร่วงไปจะไม่มีการงอกขึ้นแทนที่ใหม่ทำให้ศีรษะบางลงเรื่อยๆ

นักวิจัยได้ทำการศึกษาและพบว่าอาหารบางกลุ่มมีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาเส้นผมให้แข็งแรงช่วยลดปัญหาผลหลุดล่วงได้อย่างดีและปลอดภัยต่อร่างกาย

อาหารที่ป้องกันผมร่วง

1. อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี พบว่ามีส่วนช่วยในการยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน DHT เนื่องมาจากว่าสังกะสีช่วยในการส่งเสริมให้เซลล์ผมมีการเจริญเติบโตและเส้นผมที่ขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรง แร่ธาตุสังกะสียังช่วยในการปรับสมดุลของต่อมไขมันในหนังศีรษะซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้เหมือนกัน อาหารที่เป็นแหล่งของแร่ธาตุสังกะสีได้แก่อาหารทะเลเช่นหอยนางรม ไข่ ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง เนื้อวัว เนื้อไก่และนมเป็นต้น

2. อาหารกลุ่มวิตามินเอสูง จากหลายการศึกษาพบว่าคนที่ได้รับวิตามินเอเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมีรากผมที่แข็งแรงมากกว่าผู้ที่ได้รับปริมาณวิตามินเอไม่ครบถ้วน วิตามินเอจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายรวมถึงเซลล์เส้นผมและหนังศีรษะ แหล่งที่มาของวิตามินเอ เช่น ผักสีส้มสีเหลือง (แครอท ฟักทอง มะม่วงสุก) ผักสีเขียวเข้ม (คะน้า ผักขม ตำลึง) นม ไข่ และตับเป็นต้น

3. อาหารกลุ่มไบโอติน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามิน บี สามารถช่วยให้เส้นผมมีความแข็งแรงและสุขภาพดีขึ้น ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ร่างกายต้องการไบโอตินรวมกับโปรตีนเพื่อทำให้ผมและเล็บแข็งแรง จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ขาดไบโอตินจะส่งผลทำให้ผมขาดง่ายและหลุดร่วงง่ายด้วย เล็บจะเปราะฉีกง่าย อาหารที่มีไบโอตินสูงได้แก่ ยีสต์ที่ใช้ในการหมักเหล้าหรือเบียร์ ไข่แดง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง

4. อาหารกลุ่มวิตามินซี ร่างกายจะใช้วิตามินซีในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทำให้เนื้อเยื่อมีความแข็งแรงโดยจะทำให้รากผมมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะไม่สามารถกักเก็บวิตามินซีที่ได้จากอาหารให้อยู่ในร่างกายได้ในระยะยาวดังนั้นร่างกายจะต้องการวิตามินซีอยู่ตลอด อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ผักสีเขียวเข้ม พริกสด และผักกลุ่มมะเขือ

5. โปรตีนไขมันต่ำ เนื่องมาจากว่าองค์ประกอบสำคัญของเส้นผมคือสารประเภทโปรตีน ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับโปรตีนที่เพียงพอก็จะทำให้การสร้างเซลล์ผมทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เนื่องมาจากอาหารกลุ่มโปรตีนส่วนใหญ่จะมาจากเนื้อสัตว์ที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ และการที่ร่างกายได้รับไขมันสูงจะเร่งให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ ดังนั้นจึงควรเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่อก เนื้อสันใน ถั่วเมล็ดแห้ง โยเกิร์ต เป็นต้น

6. น้ำ เป็นปัจจัยหลักอันหนึ่งที่เรามักจะมองข้ามไป แต่การที่ร่างกายขาดน้ำจะส่งผลให้เซลล์ต่างๆของร่างกายทำงานได้ไม่สมบูรณ์ไม่เว้นแต่เซลล์ผม ดังนั้นในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้ว

อาหารกับเส้นผมนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน การรับประทานอาหารที่ดีจะช่วยทำให้เส้นผมสามารถอยู่กับเราได้นานขึ้น ไม่อาจเถียงได้ว่าเส้นผมเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้หน้าตาและบุคลิกเปลี่ยนไป แต่ต้องระวังอาหารบางประเภทที่ทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ง่ายขึ้น เช่น อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารทอด อาหารแปรรูป นอกจากเรื่องของอาหารแล้ว การออกกำลังกาย การไม่สูบบุหรี่ และรักษาระดับน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานก็จะส่งผลให้เกิดสมดุลในร่างกายและลดปัญหาการหลุดร่วงของเส้นผม

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032478

สัมภาษณ์บัณฑิต ม.เนชั่น

21 ธ.ค.55 สัมภาษณ์บัณฑิต สาขาวิชาระบบสารสนเทศ (Computer Information Technology) คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (Faculty of  Information Technology)  (กลุ่มเสื้อเหลืองเพราะมีแถบสีเหลือง) แสดงความในใจหลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเนชั่น ในพิธีประสาทปริญญาบัตร แก่บัณฑิตและมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเนชั่นลำปาง ครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555 (วันเดียวกับวันโลกแตก) ซึ่งประเด็นที่ศิษย์สะท้อนก็จะเป็นหลักสูตร อาจารย์ โปรเจค และงานที่ทำ

สัมภาษณ์ 8 บัณฑิต
1. บัณฑิต นวลถนอม ไร่นากิจ

2. บัณฑิต วัลลียา ปุ๊ดสา

3. บัณฑิต ภาวิณี อินติ๊บ

4. บัณฑิต นันทวัฒน์ ธีรวัฒน์วาที

5. บัณฑิต วณัฐพงศ์  สุวรรณศิลป์

6. บัณฑิต รพีพรรณ ใจเที่ยง

7. บัณฑิต หทัยทิพย์ ขัติยะ

8. บัณฑิต ปทุมพร เมืองเมา

บูมพี่บัณฑิตหน้าบูท
http://thaiabc.com/lampangnet/admin/502/

ผลสำรวจแกลลัปโพล ระบุประชาชนของประเทศใดติดอันดับ 5 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก

happiest people
happiest people

ผมว่าคนไทย ติด top 10 เรื่องความสุขของคนในชาติ ก็ไม่น่าแปลก
และคนที่สิงค์โปร์ที่จริงจังกับชีวิตเป็นชนชาติที่ไร้ความสุขที่สุด ก็ไม่น่าแปลก
เพราะถ้าเราจริงจังกับชีวิตยิ่งขึ้น ความสุขก็จะลด ประเทศก็จะพัฒนาเร็วขึ้น
ตัวอย่าง กระทรวงมหาดไทยระงับการเข้าถึง facebook
ย่อมทำให้ความสุขลด และบุคลากรในหน่วยงานของทางการก็จะตั้งใจทำงานยิ่งขึ้น
แต่ถ้าถามผู้ใช้ fb ว่าจะระงับดีไหม ถ้าระงับแล้วความสุขจะลดลงไหม
.. ผมว่าไม่ต้องไปถามหรอกครับ เพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว
http://thaiabc.com/lampangnet/admin/378/

ประชาชนของประเทศที่มีความสุขที่สุด (happiest people)

1. ปานามา (Panama)
2. ปารากวัย (Paraguay)
3. เอลซัลวาดอร์ (El Salvador)
4. เวเนซูเอล่า(Venezuela)
5. ตีนิแดด แอนด์ โตเบโก (Trinidad and Tobago)
6. ไทย (Thailand)
7. กัวเตมาลา (Guatemala)
8. ฟิลิปปินล์ (the Philippines)
9. เดกวาดอร์ (Ecuador)
10. คอสตาริกา (Costa Rica)

http://www.news.com.au/lifestyle/gallup-inc-poll-reveals-happiest-people-live-in-latin-america/story-fneszs56-1226540964618
http://www.gallup.com/home.aspx

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์

– ผลสำรวจของ “แกลลัปโพล” ชี้ คนไทยเป็นชนชาติที่มองโลกในแง่ดีและมีอารมณ์เชิงบวกเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชียและติดอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนคนสิงคโปร์รั้งตำแหน่งสุดยอดชนชาติ “มองโลกแง่ร้าย” และ “ไร้ความสุข” มากที่สุด
ผลสำรวจของแกลลัปซึ่งเก็บข้อมูลใน 148 ดินแดนทั่วโลกในปีที่ผ่านมา และมีการเผยแพร่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ในวันพุธที่ 19 ธ.ค.55 ระบุว่า ประชาชนที่อาศัยในประเทศปานามา ในภูมิภาคอเมริกากลาง และในประเทศปารากวัยในทวีปอเมริกาใต้ ครองอันดับ 1 ร่วมกันในฐานะชนชาติที่มองโลกในแง่ดีและมีอารมณ์ในเชิงบวกมากที่สุด จากการทดสอบซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยในประเทศทั้งสองได้คะแนนถึงร้อยละ 85 จากเกณฑ์การประเมินความสุข 5 ข้อของแกลลัป ซึ่งรวมถึงจำนวนของการยิ้ม การหัวเราะในแต่ละวัน การได้พักผ่อนเพียงพอ การรู้สึกมีความสุขกายสบายใจระหว่างวัน การรู้สึกได้รับการเคารพหรือยอมรับ ตลอดจนการได้ลงมือทำในสิ่งที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในแต่ละวัน
ส่วนชาวเอลซัลวาดอร์ และเวเนซุเอลา ได้คะแนนลดหลั่นลงมาที่ร้อยละ 84 เท่ากัน ตามมาด้วยคนไทย และชาวหมู่เกาะตรินิแดดแอนด์โตเบโกในทะเลแคริบเบียน ที่ได้ร้อยละ 83 เท่ากันจากเกณฑ์ประเมินทั้ง 5 ข้อ รองลงมาคือชาวกัวเตมาลา และชาวฟิลิปปินส์ ที่ได้ร้อยละ 82 เท่ากัน ส่วนชาวเอกวาดอร์ และคอสตาริกาได้ร้อยละ 81 เท่ากัน
ผลสำรวจที่ออกมาสรุปได้ว่า ใน 10 อันดับแรกของบรรดาชนชาติที่คิดบวก มองโลกในแง่ดี และมีความสุขในการดำเนินชีวิตมากที่สุดในโลกนั้นมีชาติจากเอเชียติดโผเพียง 2 ชาติเท่านั้น คือ คนไทย ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ ส่งผลให้คนไทยได้ครองแชมป์สุดยอดชนชาติที่ “มีความสุขที่สุดของทวีปเอเชีย” ไปโดยปริยาย
ในทางกลับกัน ผลสำรวจพบว่าคนที่อาศัยในสิงคโปร์เป็นผู้ที่มีอารมณ์เชิงลบระหว่างวัน และมองโลกคับแคบที่สุดในโลก โดยชาวสิงคโปร์ได้คะแนนจากเกณฑ์การประเมินความสุขระหว่างวันทั้ง 5 ข้อของแกลลัป เพียงแค่ร้อยละ 46 เท่านั้น ทั้งที่ชาวสิงคโปร์เป็นหนึ่งในชนชาติที่ร่ำรวยและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีที่สุดในโลก ส่วนชนชาติที่ได้คะแนนน้อยรองลงมาจากสิงคโปร์ คือ ชาวอาร์เมเนีย และชาวอิรักที่ได้คะแนนความสุขระหว่างวันที่ร้อยละ 49 และ50 ตามลำดับ ขณะที่ชาวจอร์เจีย เยเมน และเซอร์เบีย อยู่ที่ร้อยละ 52 เท่ากัน
ทีมนักวิเคราะห์ของแกลลัปเผยว่า พวกเขาถึงกับตะลึงกับผลการสำรวจที่ออกมา เนื่องจากผลสำรวจบ่งชี้ว่า ประชาชนที่อาศัยในประเทศร่ำรวยและมีเศรษฐกิจดี ไม่จำเป็นต้องมีความสุขเสมอไป เห็นได้จากกรณีของปานามาที่เป็นชาติที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ในอันดับที่ 90 ของโลก กลับกลายเป็นชนชาติที่มีอารมณ์เชิงบวกและมีความสุขในแต่ละวันของชีวิตมากที่สุด สวนทางกับชาวสิงคโปร์ที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจและมีรายได้ต่อหัวติดอันดับต้นๆ ของโลกทุกปี แต่กลับกลายเป็นชนชาติที่ไร้ความสุขในชีวิตและมองโลกติดลบมากที่สุด
ด้านดาเนียล คาห์เนมัน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล และแองกัส ดีตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในสหรัฐฯ ต่างออกมาให้ความเห็นที่สอดคล้องกันว่า การมีรายได้สูงไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า หรือมีความสุขมากกว่าเสมอไป และถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจหากจะพบว่าผู้คนที่อาศัยในดินแดนที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจจนมีจีดีพีเติบโตพุ่งพรวด มักใช้ชีวิตอย่างเคร่งเครียด ปราศจากความสุข เพราะในแต่ละวัน คนกลุ่มนี้ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะแวดล้อมของการ “แก่งแย่งแข่งขัน” ตลอดเวลา โดยคาห์เนมันและดีตันชี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่บรรดาผู้นำประเทศทั่วโลกต้องทบทวนว่า “จีดีพีที่สูงลิ่ว” สามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้จริงหรือไม่
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000154444

The world’s 15 happiest countries
http://www.washingtonpost.com/business/economy/the-worlds-15-happiest-countries/2012/03/29/gIQA6ZIFkS_gallery.html

เนชั่น อ.พ.ร.สัมพันธ์ ที่จังหวัดลำปาง

sport of เอกชน พละศึกษา ราชภัฎ ราชมงคล
sport of เอกชน พละศึกษา ราชภัฎ ราชมงคล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง เป็นประธานในการประชุม คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬา “เนชั่น อ.พ.ร.สัมพันธ์” (เอกชน พละศึกษา ราชภัฎ ราชมงคล) ครั้งที่ 1/2555 โดยมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อสร้างสานสัมพันธ์ ซึ่งปีนี้มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ในการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการแข่งขัน ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารมูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง เมื่อวันจันทร์ ที่ 5 พฤศจิกายน 2555 โดยกีฬา “เนชั่น อ.พ.ร.สัมพันธ์” ประจำปีการศึกษา 2555 จะจัดขึ้นในเสาร์ที่ 19 มกราคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยเนชั่น จังหวัดลำปาง

สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมกีฬา อพร.สัมพันธ์ ประกอบด้วย
1. มหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง
2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตลำปาง
3. วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง
4. วิทยาลัยสารพัดช่างลำปาง
5. วิทยาลัยการอาชีพเกาะคา
6. วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง
7. วิทยาลัยการอาชีพเถิน
8. วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ
9. โรงเรียนลำปางพาณิชการ
10. สถาบันการพลศึกษาลำปาง
11. มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง

กีฬา อพร ลำปาง 2554
กีฬา อพร ลำปาง 2554

กีฬา อพร. สัมพันธ์ 2554 “วิทยาลัยการอาชีพเกาะคา” 7 ม.ค. 2555
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.10150503904528895.391152.814248894

กีฬา อพร ลำปาง 2553
กีฬา อพร ลำปาง 2553

กีฬา อพร. สัมพันธ์ 2553 ที่ “มหาวิทยาลัยราชภัฎ ลำปาง”  27 พ.ย. 2553
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.465783609141.252081.248411859141