short topics from Steve Jobs book

ทุกคนต่างไม่ผิด แต่ความคิดเราต่างกัน .. แล้วผมรู้สึกว่า Steve jobs เป็น hero
ทุกคนต่างไม่ผิด แต่ความคิดเราต่างกัน .. แล้วผมรู้สึกว่า Steve jobs เป็น hero

5 พ.ค.55 อ่านหนังสือ Steve jobs by Walter Isaacson บางหน้า แล้วได้บทเรียนของชีวิต อ่านไปก็เขียนไปว่าหน้าไหนน่าสนใจ พออ่านจบก็มาลงบล็อก .. เพื่อ บันทึกไว้ว่าผมชอบ (Favor) หน้าไหน และมีประเด็นอะไรบ้าง

Pages

p.11 Moore’s law กฎนี้ได้รับการยืนยันในปี 1971 เป็นกราฟแสดงความเร็วในการเติบโตของวงจรรวม (Integrated Circuit : IC) เป็นทฤษฎีที่กอร์ดอนมัวร์ค้นพบในปี 1965 ที่แสดงอัตราการเติบโตแบบทวีคูณของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

p.16 Jobs ประกาศว่าเขาไม่บูชาศาสนาตามพ่อแม่ แต่หันมาสนใจศาสนาพุทธจนกระทั่งเสียชีวิต

p.25 ENIAC (Electronic Numerical Integrator and Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ดิจิทอลอิเล็กทรอนิกส์อเนกประสงค์เครื่องแรกของโลก พัฒนาโดยกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้คำนวณวิธีการโจมตีของอาวุธแบบต่าง ๆ เป็นต้น

p.27 วอซคิดสร้างโปรแกรมคำนวณเลขฟีโบนัชชี (bonacci number) ที่ต้องใช้เวลาคอมพิวเตอร์ยาวนานมากจนมหาวิทยาลัยขู่ว่าจะเรียกเก็บเงินค่าเวลาคอมพิวเตอร์จากเขา

p.36 ในอดีต ทิโมธี่ เลียรี่ เผยแพร่แนวคิดของ League (สหพันธ์) for Spiritual Discovery = LSD องค์กรทางศาสนา เพื่อรณรงค์ให้การใช้ LSD อย่างถูกต้องเป็นเรื่องถูกกฎหมาย

p.37 อยากเป็นเหมือนเด็กกำพร้าที่ร่อนเร่

p.39 Diet for a small planet .. พฤติกรรมการกินที่ประหลาด

p.44 มหาวิทยาลัยบังคับอ่าน มหากาพย์อีเลียด (iliad) และสงครามเพโลพอนเนเซียน (Peloponnesian War)

p.46 ทิโมธี่ เลียรี่ เป็นผู้เสนอว่า LSD ซึ่งเป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นและหลอนประสาท ถ้าใช้ภายใต้การควบคุมอย่างเหมาะสม จะมีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณ  (1920 – 1996) (สมัยนี้ผิดกฎหมายแล้ว)

p.49 มีพฤติกรรมยโสโอหัง .. มักด่าเพื่อนร่วมงาน ว่า “โง่เหมือนควาย

p.60 วอซเนียกถูกสตีฟโกงเงิน .. “ผมคิดว่าตอนนั้นสตีฟคงต้องการเงิน เลยไม่บอกความจริงกับผม”

p.74 สินค้าล็อตสำคัญคือขายให้ the byte shop โดยเดินเท้าเปล่าเข้าไปขายสินค้า

p.88 มาร์คคูล่า เขียนหลักปรัชญาการทำงานด้านการตลาด The Apple Marketing Philosophy 1) เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (empathy) 2) จับเฉพาะจุดหมายสำคัญ (focus) และ 3) สร้างภาพ (impute) (สำหรับคำว่า impute มีความหมายอีกแบบคือใส่ร้าย ซึ่งไม่ใช่ความหมายของ มาร์คคูล่า)

p.90 เลโอนาโด ดาวินซี่ เคยกล่าวไว้ว่า “ความเรียบง่ายคือสุดยอดของศาสตร์ (Simplicity is the ultimate sophistication)”

p.97 เธออยู่กินกับเกร็ก แต่บางทีก็กลับมาหาสตีฟ พวกเราส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ กลับไปกลับมา ยุค 70 ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น

p.101 จ็อบแพ้คดี .. ศาลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียสั่งให้จ็อบส์จ่ายค่าเลี้ยงดูลูกเดือนละ 385 เหรียญ

p.104 คอมพิวเตอร์ Lisa เป็นชื่อลูกของสตีฟ แต่ทีมบอกว่าย่อมาจาก Local Integrated Systems Architecture แล้ววิศวกรเรียกว่า Lisa Invented Stupid Acronym

p.106 อลัน เคย์ มีหลัก 2 อย่างที่สตีฟชอบ 1) วิธีที่ดีที่สุดในการคาดการณ์อนาคต คือ สร้างอนาคตนั้นขึ้นมาเอง “The best way to predict the future is to invent it.” และคนที่จริงจังกับเรื่องซอฟท์แวร์ควรสร้างฮาร์ดแวร์ขึ้นมาเอง “People who are serious about software should make their own hardware”

p.107 ส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟฟิก (graphical user interface : GUI กูอี้) ใช้หลักการสร้างภาพแบบบิตแมปปิ้ง และส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟฟิก กลายเป็นคุณลักษณะของคอมพิวเตอร์ต้นแบบของ Xerox PARC .. การร่วมมือครั้งนี้เพราะ Jobs ยอมให้ Xerox เข้าลงทุนใน Apple 1 ล้านเหรียญ

p.109 จ็อบส์เล่าความรู้สึก
ในครั้งที่เขาฟัง เทสเลอร์ที่ Xerox Parc สาธิตคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของ smalltalk 3 ข้อ
1) คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้อย่างไร
2) โปรแกรมเชิงอ็อบเจ็กต์
3) ส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิก และภาพบิตแมปที่ปรากฎบนจอ
แนวคิดที่จ็อบส์ได้ดูงานที่ Xerox Parc นี้เขาต้องจ่ายครับ
เป็นการเปิดโลกทัศน์เหมือนการเข้าไปล้วงความลับจากคู่แข่ง

http://en.wikipedia.org/wiki/Smalltalk

p.116 แอนดี้ เฮิร์ตซเฟลด์ ให้ความเห็นเรื่องที่สตีฟ ไม่ให้ stock option กับแดเนียล ค็อตเคว่า “สตีฟเป็นอะไรที่อยู่ตรงข้ามกับความภักดี เขาเป็นพวกไม่เคยภักดีกับใคร เขาทิ้งคนที่อยู่ใกล้ชิดเขา” คงเป็นคุณลักษณะหนึ่งของผู้บริหารอย่างสตีฟ จ็อบส์ แม้ร็อด โฮลท์ เข้าไปเจรจาแล้วบอกว่าคุณให้เพื่อนรักคุณเท่าไร ผมก็จะให้เท่านั้น แต่คำตอบคือ “ผมให้เขาศูนย์หุ้น” ต่อมา สตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) แบ่งหุ้นให้ค็อตเค และเพื่อนร่วมบริษัทอีกหลายคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ต่อมามี poster ของ United Way แล้วมีคนไปเขียนข้อความต่อท้ายล้อเรียน วอซเนียกว่าจะหมดตัวในปี 1990 .. ผมว่าวอซเนียก ต่างกับสตีฟครับ เป็นคุณลักษณะของผู้บริหารที่แตกต่างกัน

http://sjobs.900913.net/index1_split_034.html

p.124

p.134

p.136

p.137

p.140

p.155

p.161 ผมว่าเขาคือ กบฏขององค์กร (บทที่ 13 เริ่มหน้า 154)
jobs เห็นว่าในบริษัทที่เขาทำงานอยู่ มีผลิตภัณฑ์ชื่อ lisa แต่ถ้ายอดขายของ lisa สูง นั่นหลายถึงผลิตภัณฑ์ที่เขาดูแล คือ macintosh จะแพ้ .. การทำให้งานที่ตนไม่ได้ดูแลล้มเหลวจะเสริมให้งานที่ตนดูแลสำเร็จ จึงเป็นความจงใจในครั้งที่เขาได้รับหน้าที่แถลงข่าวเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนั่น ล้มเหลวในการทำการตลาดในที่สุด แต่บางทีเขาอาจไม่รู้ก็ได้ว่าการให้ข่าวแบบนั้นจะเป็นผลลบต่อผลิตภัณฑ์
ดังนั้น steve jobs ในฐานะประธานกรรมการบริษัททำหน้าที่แถลงข่าว โดยแผนประชาสัมพันธ์กำหนดให้พูดเรื่อง lisa computer ไม่ต้องเอ่ยถึงเครื่อง macintosh ที่ยังพัฒนาไม่เสร็จ แต่หลังให้สัมภาษณ์ ปรากฎว่า
นิตยสาร fortune รายงานว่า “ปลายปีนี้ Apple จะวางตลาดคอมพิวเตอร์อีกรุ่นหนึ่ง ที่มีสมรรถนะน้อยกว่า ราคาถูกกว่า Lisa
นิตยสาร Business week รายงานว่า “ถ้า Mac วางตลาด รับรองว่ามันจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่เหลือเชื่อที่สุดในโลก
สรุปว่า .. การเปิดตัว lisa คราวนั้นเหมือนเปิดประตูสู่นรกเลยจริง ๆ

lisa2
lisa2

ว่าง ๆ จะมาให้รายละเอียดเพิ่มเติม

p.173

p.175

p.177

p.185

p.242

p.205 จ๊อบส์บอกเกตส์ว่า “คุณโกงเรา
แต่เกตส์ตอบว่า “สตีฟ ผมว่ามันมีวิธีมองเรื่องนี้ได้หลายแบบนะ
เราทั้งคู่ต่างมีเพื่อนบ้านร่ำรวยชื่อ xerox
ผมงัดเข้าไปในบ้านหวังจะขโมยทีวี แต่กลับพบว่าคุณขโมยมันไปก่อนแล้ว

From folklore.org by Andy Hertzfeld
Well, Steve, I think there’s more than one way of looking at it. I think it’s more like we both had this rich neighbor named Xerox and I broke into his house to steal the TV set and found out that you had already stolen it.

http://www.folklore.org/StoryView.py?story=A_Rich_Neighbor_Named_Xerox.txt

p.214

p.243

p.334

p.339

p.340

p.378

p.418

p.577

p.620

p.622

p.661

p.667

รู้สึกว่า Steve jobs เป็น hero

http://www.comicmix.com/news/2008/01/17/justice-league-film-delayed-due-to-script-issues/

การเลือกเรียนมหาวิทยาลัย

คุณชายชาตรี ผู้ชำนาญและรับผิดชอบ ในการกระตุ้นการตัดสินใจของนักเรียนให้เลือกเรียนมหาวิทยาลัย เล่าให้ฟังถึงเทคนิค และกระบวนการที่จะนำไปสู่การปิดการขายของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย เพราะการตลาดมี 2 แบบ คือ below the line และ above the line ตามที่ท่านประธานเครือสื่อยักใหญ่ ได้บรรยายให้เห็นความสำคัญของ below the line ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งข้อมูลทางวิชาการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ above the line เพียงด้านเดียว เพราะเป็นด้านสว่างที่มองเห็นได้ แต่กลยุทธ์ของมหาวิทยาลัยทุกแห่งที่มีกลไกปิดการขายจะไม่เป็นที่เปิดเผย เพราะเป็นเทคนิควิธีที่จะทำให้ตนประสบความสำเร็จ ไม่ต้องการให้รายใดนำไปใช้เป็นเครื่องมือโดยเฉพาะคู่แข่ง และบางเทคนิคอาจไม่ถูกต้องตามจริยธรรมมากนัก อาทิ ให้โควตารับนักเรียนทั้งชั้น เป็นต้น ซึ่งกลยุทธ์นี้คงหาอ่านที่ไหนได้ยาก

ร่วมแรงร่วมใจ ให้เห็นว่าสามัคคี คือ พลัง
ร่วมแรงร่วมใจ ให้เห็นว่าสามัคคี คือ พลัง

แบบสอบถามงานวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

1 ด้านภูมิหลัง
1.1 ที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
1.2 ระยะทางจากบ้านถึงมหาวิทยาลัยมีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
1.3 รายได้ของผู้ปกครองมีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด

2 ด้านความสามารถส่วนบุคคล
2.1 เกรดเฉลี่ยของท่าน มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
2.2 ความรู้พื้นฐานที่มีของท่าน มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด                     2.3 ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการของท่าน เช่น สถาปัตยกรรม วิศวกรรม วิชาชีพครู มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด

3 ด้านความคาดหวังของนักเรียน ที่มีต่อมหาวิทยาลัย
3.1 ความต้องการของตลาดแรงงานมีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
3.2 ความภูมิใจของผู้ปกครองมีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด

4 ด้านอิทธิพลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
4.1 การที่ท่านมีรุ่นพี่ / คนรู้จักเรียนอยู่ ในมหาวิทยาลัยนั้นมีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.2 การที่เพื่อนแนะนำ มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.3 การที่อาจารย์แนะนำให้เรียน มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.4 บุคคลที่ท่านประทับใจ(Idol) เป็นศิษย์เก่าสถาบันนี้ มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.5 การที่ผู้ปกครองอยากให้เรียน เช่น อยากให้เป็นหมอ เป็นครู หรือเรียนบริหารเพื่อมาช่วยงานที่บ้าน เป็นต้น มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.6 การหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะ สถาบัน หรือวิชาที่เปิดสอนจากอินเตอร์เนต มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.7 การหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะ สถาบัน หรือวิชาที่เปิดสอนจากหนังสือคู่มือการศึกษาต่อ ,หนังสือพิมพ์,วารสาร มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.8 ข้อมูลเกี่ยวกับคณะ สถาบัน หรือวิชาที่เปิดสอน ที่ได้รับจากใบปลิว , แผ่นพับ, โปสเตอร์ ,บอร์ดประชาสัมพันธ์ มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
4.9 ข้อมูลของสถาบันการศึกษาที่ท่านได้จากการเข้าร่วมงานแนะแนวการศึกษาต่อ มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด

5 ระบบการสอบคัดเลือก
5.1 รูปแบบการรับนักศึกษา เช่น รับนักศึกษาจากคะแนนแอดมิสชั่น สอบตรง หรือเลือกรับเข้าจากทั้งสองทาง มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
5.2 วิชาที่ใช้สอบ เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ หรือวิชาความถนัด มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
5.3 อัตราการแข่งขันในการสอบเข้าคณะนั้นๆ มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด

6 คุณภาพมหาวิทยาลัย
6.1 ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
6.2 ชื่อเสียงของคณาจารย์ มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
6.3 ชื่อเสียงของนักศึกษาปัจจุบัน หรือศิษย์เก่า มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด

7 ด้านสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย
7.1 ขนาดพื้นที่ ความใหญ่โตและความทันสมัยของอาคารเรียน มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
7.2 ความสวยงามและความร่มรื่นภายในมหาวิทยาลัย มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
7.3 ความพร้อมและความทันสมัยของอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอน มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
7.4 มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น หอพัก สนามกีฬา สถานพยาบาล มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด

8 ค่าเล่าเรียนและแหล่งเงินทุน
8.1 ค่าเล่าเรียนในการสึกษาต่อ มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
8.2 ทุนการศึกษา มีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยของท่านในระดับใด
http://www3.eduzones.com/questionnaire/

หลักการ/ทฤษฎี คำแนะนำในการเลือกเรียนมหาวิทยาลัย
http://blog.eduzones.com/noknik15clab/33088

วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2554
ปัจจัยในการเลือกเข้าศึกษาในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนในจังหวัดปราจีนบุรี FACTORS RELATED THE ADOPTION TO STUDY IN PRIVATE VOCATIONAL SCHOOL IN PRACHIN BURI PROVINCE
กฤษณ์ บุตรเนียน จุไร โชคประสิทธิ์ และอรสา จรูญธรรม Kit Butnian, Julai Chokprasit, and Orasa Charoontham
1. ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนในการเลือกเข้าศึกษาในโรงเรียนอาชีวศึกษา เอกชน ในจังหวัดปราจีนบุรี โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า ด้านอิทธิพล จากโรงเรียน/ครูแนะแนว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมาก และด้านอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด อยู่ในระดับมาก
2. ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาในการเลือกเข้าศึกษาในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ในจังหวัดปราจีนบุรี โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า ด้านภาพลักษณ์ของโรงเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมาก และด้านค่าเล่าเรียน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดอยู่ในระดับมาก
http://grad.vru.ac.th/pdf-journal/JourTs52/09-Kris.pdf

วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย
องค์กร International Graduate Insight Group (i-graduate) องค์กรวิจัยอิสระที่สนับสนุนผลการวิจัยและให้คำปรึกษาแก่สถาบันอุดมศึกษา กว่า 140 สถาบันทั่วโลก โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ไอร์แลนด์ อเมริกาเหนือ และแอฟริกาใต้ ได้เผยสำรวจล่าสุดแก่นิตยสารไทมส์ไฮเออร์ (Times Higher Education Supplement: THES) เมื่อปลายมกราคม 2008 ในประเด็นที่ว่า ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อการเลือกศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศของนัก ศึกษาต่างชาติมากที่สุด โดยสำรวจความคิดเห็นจากนักศึกษา 11,000 คน ใน 143 ประเทศทั่วโลก
ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ความคาดหวังของนักศึกษาต่างชาติต่อมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรกำลังการ ท้าทายสหรัฐฯ อย่างมาก และสหรัฐฯ กำลังเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับประเทศต่าง ๆ ที่ในปัจจุบัน ได้หันมาเพิ่มศักยภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษาภายในประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน เป็นต้น ซึ่งเป็นการเสียส่วนแบ่งในอัตราที่เร็วกว่าสหราชอาณาจักร แต่คงง่ายเกินไปที่จะสรุปว่า ในตลาดการศึกษาระดับอุดมศึกษา สหรัฐฯ กำลังกลายเป็นผู้เล่นรอง ผลสำรวจยังถือว่าเป็นเพียงสัญญาณเตือนเบื้องต้นของสหรัฐฯ เท่านั้น เพราะผลสำรวจ พบว่า นักศึกษากว่า 2 ใน 3 เลือกเรียนเพราะสถาบันการศึกษามากกว่าประเทศ โดยปัจจัยด้านชื่อเสียงและการดำเนินการทางการตลาดของแต่ละสถาบัน เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งสหรัฐฯ ยังได้รับการยอมรับด้านชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยมากกว่าสหราชอาณาจักร คืออยู่ที่ร้อยละ 99 สหราชอาณาจักรอยู่ที่ร้อยละ 97 แคนนาดา เยอรมนี และฝรั่งเศส อยู่ที่ร้อยละ 97
http://www.oknation.net/blog/kriengsak/2008/03/13/entry-1

ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกาาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง
http://doc2.clib.psu.ac.th/home/porntip.t/public14/research3/abs/311701.pdf

ปัจจัยในการเลือก
# ความชอบและความถนัด ของตัวเรา
# ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย
# ชื่อเสียงของคณาจารย์ผู้สอน
# หลักสูตรที่เราเรียน
# ความเป็นที่ยอมรับในวงการ ต่อหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่เราเรียน
# ขนาดของมหาวิทยาลัยและห้องเรียน
# เพื่อน
# คุณภาพชีวิตในมหาวิทยาลัย
# ความคาดหวังว่าพอจบจากมหาวิทยาลัยแล้ว เราจะได้อะไร
# ที่ตั้งของมหาวิทยาลัย และบริเวณแถวนั้น
# บางคนอาจจะรวมไปถึง อยากไปอยู่ต่างจังหวัด หรืออยากเข้ามากรุงเทพก็ได้
# ค่าเล่าเรียน
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/152480

Equilibrium (2002)

equilibium
equilibium
ในโลกอนาคต ระบบการปกครองแบบเผด็จการก่อให้เกิดสงคราม ด้วยการทำลายสื่อที่มีผลต่อความรู้สึกของมนุษย์ ได้แก่ หนังสือ ภาพศิลปะ ดนตรี อย่างเข้มงวด ผู้ฝ่าฝึนมีโทษถึงตาย แล้วพระเอกของเราคือ Preston ก็เป็นสุดยอดมือปราบที่รับผิดชอบทำลายล้างสื่อเหล่านั้น และผู้ต่อต้านกฎข้างต้น
วันหนึ่งเข้าไม่รับยาโปรเซียมที่ช่วยซ่อนความรู้สึก ทำให้ Preston ที่ถูกฝึกให้เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายใหม่ที่ รุนแรงนั้น ก็สำนึกผิดแล้วย้ายข้างมาล้มระบบการปกครองแบบเผด็จการลง
In a futuristic world, a strict regime has eliminated (ก่อ) war by suppressing (ปราบปราม) emotions: books, art and music are strictly forbidden and feeling is a crime punishable by death. Cleric John Preston (Bale) is a top ranking government agent responsible for destroying those who resist the rules. When he misses a dose of Prozium, a mind-altering drug that hinders emotion, Preston, who has been trained to enforce the strict laws of the new regime, suddenly becomes the only person capable of overthrowing it.

แทนคำขอบคุณ

“แทนคำขอบคุณ”

ต้องขอบคุณท่านผู้บริหารหลายสิบบริษัท
ที่มาร่วมในโครงการสหกิจศึกษากับมหาวิทยาลัยเนชั่น
ที่จะเปิดโอกาสอันมโหฬารให้กับนักศึกษา
และต้องการที่จะทำกิจกรรมสหกิจศึกษา
กับบริษัทดัง ๆ ระดับต้น ๆ ของประเทศ
วันนี้ผมมีข้อเสนอพิเศษสำหรับบริษัท
ที่มาร่วมโครงการสหกิจศึกษากับมหาวิทยาลัยเนชั่น
นั่นก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานท่าน พนักงานท่าน ผู้ที่สนใจทั้งหลาย
ที่ท่านเห็นว่าจะได้ประโยชน์ จากการมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเนชั่น
ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรบริหารธุรกิจ บัญชี นิเทศศาสตร์
เทคโนโลยีสารสนเทศ ท่องเที่ยว หรือหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์
มาที่มหาวิทยาลัยเนชั่นครับ
และเนื่องจากท่านมาร่วมกิจกรรมกับเรา ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง
ผมขอเสนอลดค่าเล่าเรียน 20% ให้กับทุกท่าน
ที่ผ่านการแนะนำของท่านผู้บริหาร
บริษัทต่าง ๆ เหล่านี้ครับ
มาสมัครเรียนกับ มหาวิทยาลัยเนชั่น ที่กรุงเทพก็ได้ ที่ลำปางก็ได้
สมัครที่ไหน เรียนที่ไหน ได้ทั้งนั้นครับ
หวังว่านี่จะเป็นข้อเสนอที่กระตุ้นให้ท่านสามารถที่จะ
ไปบอกกล่าวกับพนักงาน ญาติพี่น้อง ลูกหลาน
มาเรียนมหาวิทยาลัยเนชั่น ที่สอนโดยมืออาชีพ จบอย่างมืออาชีพครับ
ขอบคุณมากครับ

มหาวิทยาลัยเนชั่นร่วมกับ 36 บริษัท ส่งนศ.ฝึกงาน ตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่ง

MOU for practicum at Nation University
MOU for practicum at Nation University
มหาวิทยาลัยเนชั่น ลงนาม 36 บริษัทเอกชน จัดสหกิจศึกษา ส่งนศ.ไปฝึกงานตั้งแต่ปี 1 – 4 พร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญร่วมสอน ส่งวิทยากรมืออาชีพ ม.เนชั่น จัดอบรมถึงที่ หวังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกัน ผลิตบุคลากรคุณภาพสู่ตลาดงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 55  ที่ห้องประชุมใหญ่ชั้น 27 อาคารเนชั่นทาวเวอร์ บางนา กม.4.5 มหาวิทยาลัยเนชั่น จับมือ บริษัทเอกชนไทย 36 แห่ง ลงนามความร่วมมือสหกิจศึกษา ในโครงการ “ความร่วมมือการบูรณาการการเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติงานและสหกิจระหว่างมหาวิทยาลัยกับสถานประกอบการ” โดยมีนายสุทธิชัย  หยุ่น  ประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป นางสาวดวงกมล  โชตะนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป  นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น ผศ.ดร.พงษ์อินทร์   รักอริยะธรรม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเนชั่น ดำเนินรายการโดย นายอุดม ไพรเกษตร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเนชั่น ร่วมแถลงข่าวกับตัวแทนสถานประกอบการกว่า 30 แห่งในโครงการ
นายสุทธิชัย เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญสาขาเฉพาะด้าน ตรงวัตุประสงค์ในการผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพส่งออกสู่ตลาดงาน โดยภาพที่จะเกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นมติใหม่ของการฝึกปฏิบัติงาน จากเดิมมหาวิทยาลัยจะส่งนักศึกษาไปฝึกปฏิบัติงานประมาณ 3-4 เดือนในช่วงที่ศึกษาอยู่ชั้นปี 3 หรือปี 4 แต่มหาวิทยาลัยจะทำรูปแบบใหม่ โดยการส่งนักศึกษาไปฝึกปฏิบัติงานตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปี 1 ในช่วงปิดภาคเรียนจนกระทั้งถึงชั้นปี 4 เพราะเชื่อว่าการได้ลงมือปฏิบัติจริงในระยะเวลาที่นานพอสมควรจะช่วยเพิ่มคุณภาพตัวนักศึกษาเอง นอกจากนี้ ยังถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบริษัทสหกิจ และมีความใกล้ชิดอีกด้วย
“ผมมองว่าการที่ส่งเด็กไปฝึกงาน 3-4 เดือนช่วงก่อนจบไม่สามารถทำให้เด็กเก่งหรือได้คุณภาพตามที่บริษัทต้องการ ดังนั้นเชื่อว่าการทำโครงการนี้ขึ้นจะช่วยให้พัฒนาศักยภาพเด็กอย่างเต็มที่ แทนที่จะไปฝึกแค่ 3-4 เดือน ม.เนชั่นให้ไปตั้งแต่ปี 1 เลย อย่างน้อยเด็กต้องได้เรียนรู้ประสบการณ์จากที่ฝึกงานมากมาย ถามว่าฝึกเสร็จแล้วบริษัทจะรับเข้าทำงานหรือไม่ เป็นอีกเรื่องนึง แต่การจะให้นักศึกษามีคุณภาพตรงตามความต้องการของบริษัทที่รับเข้าทำงาน บริษัทจะต้องมีบทบาทในการกำหนดการเรียนการสอนช่วยกันกับทางมหาวิทยาลัย ท่านต้องฉีดยาให้กับมหาวิทยาลัยด้วย” ประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป กล่าว
นางสาวดวงกมล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเนชั่นตระหนักว่า ต้องเรียนรู้กับผู้ที่มีฝีมือ มีความสามารถ มีประสบการณ์ตรงจากสาขานั้นๆจริง เพื่อคุณภาพของนักศึกษา โดยระหว่างช่วงที่ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอาจต้องรบกวนเชิญวิทยากรที่มีประสบการณ์เข้ามาสอน ก่อนออกสนามจริง ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องออกนอกสถานที่ก็ต่อเมื่อถึงเวลาฝึกปฏิบัติงานเท่านั้น และเชื่อว่าการได้เรียนรู้และเรียนกับผู้มีฝีมือจริงๆ จะเป็นการเพิ่มคุณภาพการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งในการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสู่ตลาดงานต่อไป
ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ กล่าวว่า บทบาทการป้อนบุคลากรเข้าสู่ตลาดงาน ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันจะพบปัญหาที่ว่าจบแล้วทำงานไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนเมื่อรับเข้าทำงานแล้ว ต้องฝึกงานให้ใหม่เกือบทั้งหมด ยิ่งกระแสเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น กระบวนการจัดการเรียนการสอนในขั้นตอนการฝึกงานจำเป็นต้องมีฝึกปฏิบัติงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และเพื่แเป็นกาสนองต่อนโยบายการศึกษา มหาวิทยาลัยเนชั่นจึงให้ความสำคัญต่อการฝึกปฏิบัติงาน และให้เห็นผลสัมฤทธิ์มากที่สุด เช่น ประเทศฝั่งยุโรปมี เคเอฟซียูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศไทยก็มีวิทยาลัยดุสิตธานีของโรงแรมดุสิตธานี ซึ่งอยากให้เกิดภาพแบบนี้เกิดขึ้นต่อจากนี้ไป
ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ กล่าวต่อว่า อยากให้เกิดการแลกเปลี่ยนมากขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนกับบริษัทสหกิจที่ร่วมลงนามคือ มหาวิทยาลัยเนชั่นยินดีจะจัดบริการวิชาการให้กับบริษัท โดยดำเนินการจัดการส่งคณาจารย์ เพื่อเป็นวิทยากรฝึกอบรม ให้แก่สถานประกอบการ 6 ชั่วโมง สนับสนุนให้คณาจารย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สถานประกอบการ อาทิ การวิจัย การให้คำปรึกษาทางวิชาการ ลดค่าธรรมเนียมร้อยละ 20 ในหลักสูตรปริญญาตรีและโท รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรหรือหลักสูตรระยะสั้นที่ทางมหาวิทยาลักำหนดจัดขึ้น และนอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้ามหาวิทยาลัยจะพยายามให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศ
นายธาดา เศวตศิลา ผู้อำนวยการกลุ่มด้านลูกค้าสถาบันการศึกษา บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะการได้เรียนรู้กับมืออาชีพบริษัทที่มีฝีมือ ย่อมได้ทักษะที่มีคุณภาพอยู่แล้ว ซึ่งใครก็สามารถทำได้ แต่ตนฝากถึงนายสุทธิชัย ในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม ความถูกต้อง ความชอบทำ ซึ่งมีส่วนสำคัญในชีวิตการทำงาน ส่วนการรับนักศึกษาเข้าฝึกปฏิบัติงาน ทางบมจ.ทรู ได้ทำเป็นนโยบายอยู่แล้ว แต่จะพิเศษตรงที่ว่านักศึกษาจะมาฝึกปฏิบัติตั้งแต่อยู่ชั้นปี 1 และมีความเป็นสหกิจ
36 บริษัทสหกิจ ประกอบด้วย บริษัท เอ็นโซโก้ จำกัด, บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท อเด็คโก้ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ทีม กรุ๊ป ออฟ คัมปานีส์ จำกัด, บริษัท เทคโทนิศส์ ดีซายน์ คอนซัลแตนท์ จำกัด, บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรูมูฟ จำกัด, บริษัท เวสเทริ์นดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท ไอโทรามา คอนซัลติ้ง จำกัด, บริษัท ไอบีเอ็ม (ประทศไทย) จำกัด, บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด, บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต, บริษัท ป.ต.ท. จำกัด (มหาชน), บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท พรีเมียร์โพรดักส์ จำกัด, บริษัท พรีเมียร์โพรดักส์ จำกัด, บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จํากัด, บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน),  บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท มุ่งพัฒนาอินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), บริษัท ศารายา เอ็มเอฟจี (ไทยแลนด์) จำกัด พรีเมียร์ กรุ๊ป, บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท จีเอฟ เอ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท ซินโนวา ฟู้ดส์ จำกัด, บริษัท มาลี สามพราน จำกัด (มหาชน), บริษัท แม่ประยูร อาหาร จำกัด, บริษัท สรุพล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โอลีน จำกัด,  บริษัท สีฟ้าลุมพินี จำกัด, บริษัท แสงชัย กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ดาน่า สไปเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ยูนิค อุตสาหกรรมพลาสติก จำกัด, บริษัท ฮูทามากิ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ทีชเทค จำกัด, บริษัท GlaxoSmithkline (Thailand) Limited
———-

สร้างแบรนด์ผ่านการแชร์ภาพ

kfc egg tart
kfc egg tart

คุณฮัน share บทความเรื่อง “เคล็บลับการสร้างแบรนด์ผ่านการแชร์ภาพถ่ายสินค้า

ที่คุณ charathBank สรุปไว้ 5 ประเด็น
1. เริ่มเปิดการสนทนาด้วยการแชร์รูป
(Open up to a dialogue of sharing)
– ภาพสินค้าที่ถูกแชร์ขึ้นไปนั้นโดยเจ้าของแบรนด์หรือผู้ดูแลจะถูกจินตนาการและตีความหมายโดยผู้ที่ได้เห็นเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นแล้วการเลือกรูปเพื่อที่จะสื่อสารกับลูกค้าที่ติดตามและสนใจเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งจะต้องทำให้ครอบคลุมกับสิ่งที่เราต้องการสื่อให้ลูกค้าได้เหมือนกับที่เราต้องการ รวมทั้งสร้างความอยากให้ลูกค้าซื้อสินค้าจากรูปที่เราแชร์
2. สร้างบทสนทนาขึ้นมาจากภาพที่ลูกค้าเป็นคนมาโพสต์ภาพไว้
(Let that dialogue spark conversations)
– นอกจากการโพสต์รูปจากทางเจ้าของแบรนด์แล้ว ลูกค้าก็สามารถมาโพสต์รูปส่งมาหาเราได้เช่นกัน เช่นทาง Facebok Page หรือ Twitter ดังนั้นแล้วผู้ดูแลแบรนด์จะต้องพยายามสร้างการสนทนากับลูกค้ที่โพสต์รูปขึ้นมา เพราะนอกจากลูกค้าเองที่จะแฮปปี้แล้ว ยังมีลูกค้าคนอื่นๆ ที่ติดตามหน้าเว็บที่จะคอยดูและติดตามการสนทนาอีกด้วย ซึ่งจะมีผลกระทบโดยอ้อมกับคนที่อ่าน
3. อย่าจงใจขายสินค้าโดยตรง
(Stop trying to sell something)
– เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าทุกวันนี้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคฉลาดที่จะเลือกซื้อสินค้ามากขึ้นและรู้ทางเจ้าของแบรนด์มากขึ้นว่าจะทำอะไร 1 ในสิ่งที่รับรู้ได้โดยง่ายในปัจจุบันนั่นคือการยัดเยียดขายสินค้าโดยตรง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าอึดอัดโดยตรงและจะทำให้เราเสียลูกค้าไปแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นแล้วการทำ 2 ขั้นตอนแรกเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และสินค้าได้โดยอ้อมซึ่งจะมีผลในระยะยาวในการมัดใจลูกค้านั่นเอง
4. เปิดใจให้ลูกค้าแชร์ข้อมูล
(Validate consumers to boost their ego)
– ทุกวันนี้เรามักจะเห็นการแชร์ข้อมูลผ่านออนไลน์เพื่อบรรยายการใช้งานให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ รวมไปถึงสอบถามว่าใช่หรือไม่ในสิ่งที่เขาสงสัย ดังนั้น สิ่งที่เราจะทำได้นั่นคือการแชร์รูปนั้นซ้ำ เพื่อเป็นการกระตุ้นและให้ได้รับรู้ว่าเราไม่ได้นิ่งเฉยต่อการส่งข้อมูลมา และอย่าลืมที่จะตอบข้อสงสัยของลูกค้านั้นด้วยนะครับ
5. ช่วย 1 คนเหมือนได้ช่วยหลายคน
(Help people help each other)
– อีก 1 ในเหตุผลในการแชร์รูปบนโซเชียลเน็ตเวิร์คนั่นคือ การขอความช่วยเหลือ ดังนั้น เพื่อเพิ่มมูลค่าของข้อมูลที่เอามาแชร์ จงกระตุ้นให้ลูกค้าของคุณทำการแชร์รูปกับผลิตภัณฑ์ของเรา ตัวอย่างเช่น หากขายเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ เจ้าของแบรนด์อาจมีการขอให้ลูกค้าที่ได้ซื้อสินค้าไปแล้วทำการแชร์รูปสินค้าที่ถูกสวมใส่หรือใช้งานจริง เพื่อให้คนอื่นได้เห็นและเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจว่าเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากนั้นเรายังสามารถที่จะแนะนำแนวทางการเพิ่มเติมได้ ในกรณีที่ลูกค้าไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์จากทางเราทั้งหมด (แต่อย่าลืมข้อ 3 ด้วยนะครับ)
จะเห็นได้ว่า ภาพถ่ายมีส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าและแบรนด์ สามารถสร้างสังคม (Community) ของคนที่ชอบสินค้าเดียวกัน และสร้างให้ผู้ใช้ผลิตภัณฆ์มีความจงรักภักดี (Loyalty) กับแบรนด์ที่เราดูแลได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะทำให้แบรนด์อยู่ในใจกับลูกค้าไปได้ตลอดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นๆ ว่าจะมีความสม่ำเสมอในการเข้าไปดูแลจัดการ รวมทั้งสร้างความแปลกใหม่ให้ลูกค้าได้เห็น เพื่อที่จะให้ลูกค้ายังคงใช้งานกับเราไปอีกนานๆ แถมเพิ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ ได้อีกด้วย
บทความจาก

ลิงในห้องแคบ ลิงต่อโต๊ะ หรือ วัฒนธรรมของกลุ่มลิง

ลิงในห้องแคบ ลิงต่อโต๊ะ หรือ วัฒนธรรมของกลุ่มลิง
ลิงในห้องแคบ ลิงต่อโต๊ะ หรือ วัฒนธรรมของกลุ่มลิง

ในการทดลองครั้งหนึ่ง .. ผู้ทดลองเลิง 5 ตัวไว้ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกล้วยหอม 1 ใบ แขวนไว้ที่เพดานกลางห้อง วิธีเดียวที่จะไปถึงกล้วยหอม อันยั่วยวนใจนั้นได้ก็โดยการปีนบันไดที่ตั้งไว้กลางห้อง แต่เมื่อใดก็ตามที่ลิงตัวใดตัวหนึ่งเหยียบบันไดขั้นแรกก็จะมีท่อฉีดน้ำเย็นฉีดไปทั่วห้อง จนลิงทุกตัวหนาวสั่นแทบขาดใจ ซึ่งไม่มีลิงตัวใดอยากปีนบันไดอีก หรือแม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้า

หลังจากนั้น ผู้ทดลองก็ปิดท่อฉีดน้ำและเอาลิงตัวที่ 6 เข้าไปในห้องแทนลิงตัวหนึ่งที่หนาวสั่นจนทนไม่ไหว  วินาทีแรกที่มันเห็นกล้วยหอมมันก็รีบถลาเข้าหาบันได แต่ก็ถูกสกัดกั้นอย่างโหดร้ายบ้าเลือดจากลิงรุ่นพี่ทั้ง 4 ตัว จนลิงน้องใหม่ไม่กล้าเข้าไปใกล้บันไดอีกด้วยความงุนงงและประหลาดในยิ่งนัก .. จากนั้นผู้ทดลองก็ได้ทำเช่นเดิมคือเอาลิงตัวที่ 7 เข้าไปแทนลิงเก่าอีกตัวหนึ่ง และเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอีก เมื่อลิงน้องใหม่ล่าสุดถลาเข้าหาบันได ก็จะถูกรุมกัดอย่างเอาเป็นเอาตายจากรุ่นพี่ทุกตัวรวมทั้งลิงตัวที่ 6 ที่เพิ่งเข้าไปอยู่ใหม่ด้วย  แถมยังเกรี้ยวกราดมากกว่าตัวอื่น  ทั้งที่ตัวมันเองยังไม่รู้เหตุผล ว่าทำไมการปีนบันไดเป็นสิ่งต้องห้าม  และทำไมลิงชุดเก่าจึงต้องกลัวการขึ้นบันไดในขณะนั้น แต่มันก็ยินดีผสมโรงไปกับเขาด้วย
เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อไปอีกนานแสนนาน  จนแม้ลิงเก่าชุดแรกจะครบเกษียณอายุ และถูกทดแทนด้วยลิงชุดใหม่ทั้งหมดแล้ว แต่ลิงรุ่นหลังก็พร้อมใจกันปกป้องบันไดกายสิทธิ์กันอย่างเหนียวแน่น

นี่ คือ ที่มาของนโยบายหรือวัฒนธรรม (Corporate  Culture) ที่พนักงานยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดและพร้อมที่จะปกป้องอย่างรุนแรง แม้จะไม่สามารถอธิบายเหตุผลหรือที่มาที่ไปของการประพฤติ (Norms) และการปฏิบัติ (Standard) ก็ตาม วัฒนธรรมเกิดจากคนและหน่วยงานภายในกิจการตั้งข้อสมมติ (Assumption) ทัศนคติ (Attitude) ค่านิยม  (Value)  และความคาดหวัง  (Expectation)  ที่แตกต่างกัน เมือคนเข้าไปทำงานในหน่วยงานใด ก็จะได้รับการปลูกฝังให้ยึดถือแนวปฏิบัติของหน่อยงาน เช่น นิสัย (Habit)  หลักปฏิบัติ  (Practices)  และวิธีการทำงาน (Style)  ที่เป็นลักษณะเฉพาะของหน่วยงาน เช่น  ฝ่ายบัญชีการเงิน  ฝ่ายขาย  ฝ่ายโรงงาน  เป็นต้น  ในที่สุดแล้วก็จะผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรม  ที่มีรากฐานมาจากการปฏิบัติ ในอดีต  (Past Practices)  ประเพณี  (Tradition)  กฏระเบียบทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  (Rule)  และจารีตประเพณี  (Ritual) ซึ่งรากฐานบางเรื่องนั้นก็ยาวนานจนคนรุ่นหลังไม่สามารถ อธิบายที่มาได้

จึงขอฝากให้ทุกคน คิดถึงวัฒนธรรมที่สั่งสมกันมายาวนานนั้น บางสิ่งบางอย่างยังใช้ได้หรือไม่  อันไหนบ้างที่กีดขวางความมีประสิทธิภาพของกิจการและสมควรได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างเร่งด่วนในยุคคิดใหม่ทำใหม่  มิฉะนั้นเราก็ไม่ต่างอะรกับ  “ลิงในห้องแคบ

นำเสนอบทความดีๆ โดย คุณดารณี มธุรพจน์วจนะ

http://www.mena2003.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538695212

Google To Offer Free 5GB Of Cloud Space

Google To Offer Free 5GB Of Cloud Space
Google To Offer Free 5GB Of Cloud Space

Google To Offer Free 5GB Of Cloud Space (25th April, 2012)

Google has entered the market for offering online storage space. Their new service, called Google Drive, will be in direct competition with rival (คู่แข่ง) cloud storage services like Dropbox, Apple’s iCloud and Microsoft’s SkyDrive. The search giant will offer 5GB (gigabytes) of storage for free for those wishing to keep their photos, documents and other files online. Keeping things in the cloud means users can access their files from any computer anywhere in the world, as long as it has Internet access. At the top end, Google will offer 16TB (terabytes) of space – at a price of $799.99 a month. Sixteen terabytes is sufficient to store 16,000 movies. For most people, the free 5GB option will be more than enough space.

Google senior vice-president of apps Sundar Pichai said the launch of Drive was an important step for the company. He wrote on a blog post: “Drive is a central place where you can create, share, collaborate and keep all of your stuff. You can take all your data, regardless (ไม่คำนึงถึง) of which device you’re on, and make it seamlessly available to you.” Some industry insiders believe Google’s entry into the cloud storage market could shake it up. Richard Edwards, an analyst at the research firm Ovum, said Google’s move could stir Facebook into action. “Facebook doesn’t have a cloud service but this may prompt it into an acquisition (การเข้าครอบครอง) ,” he said. He added: “If Facebook was to buy Dropbox, that would be a game-changer.”

http://drive.google.com

http://www.breakingnewsenglish.com/1204/120425-cloud_storage.mp3

http://www.breakingnewsenglish.com/1204/120425-cloud_storage.html

http://soundcloud.com/thaiall/google-to-offer-free-5gb-of