TOT Wi-Ti ที่ Central Plaza Lampang

tot high speed
tot high speed

8 ธ.ค.55 ที่บ้านผมใช้ TOT Hi-Speed แล้วมีการติดต่อกับ TOT จนได้ upgrade เป็น 10 Mbps (Mega Bit Per Second) จ่าย 590 บาท แล้วเจ้าหน้าที่ก็ถามว่ามีของแถมให้เลือก คือ Free Wi-Fi 50ชั่วโมง/เดือน หรือ Free Local Call 50ครั้ง/เดือน ผมเลือก TOT Wi-Fi หลังจากนั้นก็ตะเวนหาสัญญาณ Wi-Fi ในลำปาง จนพบว่าที่ Central Plaza Lampang มีสัญญาให้ผมเข้าใช้ได้ ตามเงื่อนไงว่าได้ใช้ฟรี ถ้าที่บ้านใช้ TOT Hi-speed

tot wi-fi location
tot wi-fi location

ผลการทดสอบ ping ไปที่ www.google.com
1. ลาดจอดรถด้านหลังมองไม่เห็นสัญญาณจาก Access Point
2. ในศูนย์อาหารติด Tops ชั้น 1 มีสัญญาณ แต่ low จน ping ไม่เห็น
3. หน้า Tops ชั้น 1 ผล ping พอใช้ได้ ตอบมาประมาณ 500 – 1500
4. หน้าโรงหนัง SF ชั้น 3 ping กลับมาไม่ถึง 100ms เร็วพอ ๆ wi-fi ในบ้าน
5. ตรวจจากเว็บไซต์ของ TOT ขึ้นบัญชีทั้งประเทศไว้ 1426 รายการ แต่ที่ลำปางมี 24 จุด และคาดว่า Central Plaza ลำปาง ขึ้นอุปกรณ์ใหม่ จึงยังไม่ปรากฎในรายการ
http://www.tothispeed.com/th/
https://www2.totwifi.com/customer/location.html

ปลดพนักงานไม่ถูกปกปิดอีกต่อไป (itinlife372)

ความผิดของผู้เหลือรอด
ความผิดของผู้เหลือรอด

8 ธ.ค.55 ในอดีตข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อในทุกประเภทยังไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย  ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยี และการคมนาคมที่ไม่สะดวก ทำให้ผู้คนไม่อาจรับรู้ถึงข้อมูล หรือไม่สามารถเข้าถึงข่าวสารที่หลั่งไหลออกมาจากแหล่งข่าวได้ ทำให้เรื่องราวมากมายเป็นเหมือนเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น จนกลายเป็นเรื่องลี้ลับโดยปริยาย ถ้าผู้ส่งสารไม่สื่อออกไปอย่างเหมาะสม ผู้ทำสื่อไม่เผยแพร่ หรือผู้รับปฏิเสธข่าวสาร การรับรู้ข้อมูลข่าวสารแล้วนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างเหมาะสมก็จะไม่เกิดขึ้น เดิมชาวโลกมีระบบการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์ อาทิ ข่าวที่องค์กรขนาดใหญ่มีแผนปลดพนักงาน หรือปิดกิจการมักเผยแพร่ไม่ทั่วถึง ผู้เขียนเริ่มคุ้นเคยคำว่าข้อมูลข่าวสารในช่วงฟองสบู่แตกปี 2540 แล้วมีผลพวงเป็นข่าวปลดพนักงานคราวละหลายพันคน ข้อดีของข่าวปลดพนักงานทำให้องค์กรมากมายตระหนัก เริ่มเรียนรู้ทั้งรู้เขา รู้เรา นำไปสู่การหามาตรการป้องกัน หรือจัดการความเสี่ยง

ปี 2555 มีข่าวปลดพนักงานในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และปลดครั้งละหลายพันคน ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป ล่าสุด CITIGroup ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่ขายความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นองค์กรทางการเงินที่ส่วนหนึ่งบริการเกี่ยวกับการรับฝากถอน และปล่อยกู้ ได้ให้ข่าวว่ามีแผนปลดพนักงานหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคน จากก่อนหน้านี้ก็มีข่าวปลดพนักงานระดับหมื่นคนในหลายองค์กรมาแล้ว จึงเป็นเรื่องน่าศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้น และทำอย่างไรไม่ให้เกิดแบบนั้นในองค์กรของเรา

สำหรับบริษัทด้านเทคโนโลยีหลายแหล่งที่ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยนวัตกรรม ก็พบปัญหาพ่ายแพ้ต่อนวัตกรรมของบริษัทอื่นในตลาดที่ผู้บริโภคเปลี่ยนใจง่าย  สินค้ารูปแบบเดิมไม่อาจตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค  ประกอบกับกำลังซื้อมีจำกัด เพราะคนหนึ่งจะซื้อทุกอย่างในโลกไม่ได้ หากมีบริษัทที่เป็นเบอร์ 1 ก็ย่อมมีบริษัทที่เป็นเบอร์สุดท้าย แล้วผลคือบริษัทที่ยอดขายต่ำต้องปรับเปลี่ยนไปในแนวกระทบความมั่นคงในอาชีพ และสวัสดิการของบุคลากรในองค์กร การจัดการความเสี่ยง การจัดการความรู้ การจัดการลูกค้า และตอบสนองเร็วต่อปัจจัยภายนอก จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้บริหารองค์กรในปัจจุบัน ดังนั้นการบริหารองค์กรให้อยู่รอดย่อมส่งผลถึง ความเป็นความตายในอาชีพของพนักงานนับหมื่นคนในองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีบทเรียนขององค์กรที่ไปไม่รอดให้เรียนรู้มาแล้วมากมาย และหาอ่านได้ไม่ยากนัก

http://www.usatoday.com/story/money/2012/12/05/citi-cuts-11k-jobs/1747897/

http://video.cnbc.com/gallery/?video=3000133496&__source=yahoo|headline|quote|video|&par=yahoo

Citigroup ประกาศปลดพนักงาน 11,000 ราย อ้างเหตุผลต้องลดค่าใช้จ่าย-ปรับโครงสร้างองค์กร

Citigroup second-quarter profit falls for older assets
Citigroup second-quarter profit falls for older assets

ก่อน Citigroup ประกาศปลดพนักงาน ก็มีหลายบริษัทเคยทำมาก่อน อาทิ nokia, rim, panasonic, ford, sony, kodak, ม.อีสาน, gmm, motorola, dell, sharp, amd, aa, philips, lexmark, pepsi, yahoo .. หรือค้นคำว่า “ปลดพนักงาน” จาก google.com

“Citigroup” สถาบันการเงินระดับโลก ซึ่งมีฐานที่ย่านแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ประกาศปลดพนักงาน 11,000 ตำแหน่ง โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กร

รายงานข่าวระบุว่า ตำแหน่งงานส่วนใหญ่จากทั้งหมด 11,000 ตำแหน่งที่จะถูกปลดออก จะเป็นตำแหน่งในฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายเทคโนโลยี ซึ่งทางไมเคิล คอร์แบท ซีอีโอวัย 52 ปีระบุว่า มีความจำเป็นต้องลดขนาดขององค์กรเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้ตามเป้าที่ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 27,605 ล้านบาท)ในปีหน้า และลดลงอีกมากกว่าปีละ1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 33,737 ล้านบาท) นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นไป แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่การปลดพนักงานออกนับหมื่นตำแหน่งหนนี้ อาจไม่ใช่การปลดพนักงานหนสุดท้าย

เราได้ตัดสินใจอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปของการเปลี่ยนผ่าน และการปลดพนักงานออกจึงไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด” คอร์แบทซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมกล่าว

คำแถลงของธนาคารยังระบุ จะมีการพิจารณาความเป็นไปได้ในการ “ขายทิ้ง” หรือ “ลดขนาด” กิจการของธนาคารที่มีอยู่ในประเทศปากีสถาน โรมาเนีย ตุรกี และอุรุกวัย โดยจากนี้ธนาคารจะหันมาให้ความสำคัญเฉพาะการดำเนินกิจการใน 150 เมืองทั่วโลกที่มีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจสูงที่สุดเท่านั้น นอกจากนั้น ยังจะมีการสั่งปิดสาขาที่ถูกมองว่าไม่มีความจำเป็นในบราซิล ฮ่องกง ฮังการี เกาหลีใต้ รวมถึงในสหรัฐฯ

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000148516

Banking giant Citigroup is slashing 11,000 jobs and taking up to a billion in charges, with CNBC’s Kayla Tausche and Neil Weinberg, American Banker.
http://video.cnbc.com/gallery/?video=3000133496&__source=yahoo|headline|quote|video|&par=yahoo

Strangled by new government regulations and nervous investors, Citibank nearly folded, but was saved by taxpayer bailouts. The banking giant now says it’s also cutting 11,000 jobs, or 4% of its workforce. Most of the cuts in Citi’s worldwide consumer banking unit, which handles branches and checking accounts.
http://radio.foxnews.com/2012/12/05/citigroup-to-cut-1100-jobs

http://newstop24blog.blogspot.com/2012/07/citigroup-second-quarter-profit-falls.html

ปฏิญญาแทนคุณแผ่นดิน 7 ข้อ ว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย”

ปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย”
ปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย”
คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
เครือเนชั่น ผนึกภาครัฐ-เอกชน มอบรางวัลคนดี ในโครงการแทนคุณแผ่นดินปีที่ 6
นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ห่วงผู้ใหญ่ห่างเหินลูกหลาน คนขาดศรัทธาครู-วัด-พระ ขาดแหล่งบ่มเพาะความดี
สุทธิชัย หยุ่น ประกาศดันโครงการแทนคุณแผ่นดินสู่ประชาคมอาเซียน ชูปฏิญญา 7 ข้อ อนาคตประเทศไทย
15 พฤศจิกายน 2555 14.00น. บริษัท เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตรหน่วยงานรัฐและเอกชนจัดโครงการ “แทนคุณแผ่นดิน ปี 2555” “77 ต้นแบบคนดี สู่ 65 ล้านคนดีทั่วไทย” ที่ห้องเลอ คองคอร์ด บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีการมอบรางวัลคนดีแทนคุณแผ่นดินให้แก่บุคคลผู้ทำดีในสาขาอาชีพต่างๆ 77 คน จาก 77 จังหวัด รางวัล “เยาวชนต้นแบบคนรุ่นใหม่” 6 คน รวมถึงรางวัล “องค์กรต้นแบบ” 6 องค์กร
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานในพิธี กล่าวเปิดงานว่า คนดีมีความสำคัญอย่างมากสำหรับทุกแผ่นดิน ทำให้ทุกประเทศมีอารยธรรมและวัฒนธรรม ยกย่องคนดีเพื่อให้อารยธรรมและวัฒนธรรมของประเทศยั่งยืน หากประเทศใดยกย่องอารยธรรมและวัฒนธรรมที่ไม่ดี ประเทศนั้นก็ต้องวิบัติสิ้นสุดลง การส่งเสริมให้คนเป็นคนดีจะต้องเริ่มตั้งแต่เด็กเล็กๆ โดยปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ปลูกฝัง ให้ลูกหลานทำความดี และได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูและพระสงฆ์ ซึ่งเป็นการสอนโดยบ้าน โรงเรียนและวัด แต่ในยุคสมัยใหม่ น่าห่วงเพราะปู่ ย่า ตา ยายและพ่อ แม่ ห่างเหินจากลูกหลาน ไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นในอดีตจึงไม่มีโอกาสได้อบรมสั่งสอนให้ทำความดี ครูจะสอนความดีให้แก่เด็กก็ต้องระวังจะถูกฟ้องศาลปกครอง ขณะที่วัดและพระสงฆ์ก็มีคำถามว่า เป็นพระแท้หรือไม่ เพราะปัจจุบันมีข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์เกือบทุกวัน
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวต่อไปว่า การดำเนินโครงการแทนคุณแผ่นดินช่วง 6 ปีนี้ จึงคัดเลือกพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีเพื่อให้สังคมและประเทศได้รับรู้ว่ายังมีพระแท้อยู่ และอยากให้ครูสอนความดีให้แก่เด็กอย่าเน้นกวดวิชา หากสอนแต่ความเก่งไม่สอนความดี จะก่อให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ปัจจุบันสื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อความคิดของคนไทยอย่างมาก ทั้งเด็กผู้ใหญ่และคนแก่ หากสื่อตระหนักในบทบาทและมีความรับผิดชอบช่วยกันสร้างคนดีให้สังคม โดยการสร้างความดีใส่สมองคนไทยก็จะช่วยสร้างคนไทยให้เป็นคนดีได้จำนวนมาก
ผมขอฝากว่า ขอให้คนไทยศรัทธาในความดี อย่าหลงทางใช้ความไม่ถูกต้องนำมาซึ่งความร่ำรวย จะทำให้บ้านเมืองล่มจม ขอให้ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ ช่วยกันอบรมสั่งสอนเด็กไทยตั้งแต่เล็กๆ ให้รู้จักว่าอะไรดี อะไรชั่ว อย่าคด อย่าโกง หากทุกคนช่วยกันเชื่อว่าในอนาคตเราจะได้เห็นคนรุ่นใหม่เป็นคนดีอย่างที่เราอยากให้เป็น” องคมนตรี กล่าว
นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น กล่าวว่า โครงการแทนคุณแผ่นดินดำเนินการมาเป็นปีที่ 6 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกย่องผู้ทำความดีและเป็นแบบอย่างการทำความดีให้แก่สังคมและประเทศ จนถึงปัจจุบันมีผู้ได้รับรางวัลทั้งหมด 332 คน ซึ่งได้มีการต่อยอดโครงการด้วยการจัดเวทีเสวนาดีต่อดีใน 4 ภูมิภาค โดยนำผู้ได้รับรางวัล 100 คนจาก 26 กลุ่มจังหวัดไปแลกเปลี่ยนปัญหาและระดมความคิดเห็นกระทั่งได้ข้อสรุปออกมาเป็นปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย” จำนวน 7 ข้อด้วยกัน
“ทุกภาคส่วนของสังคมไทยต้องช่วยกันส่งเสริมความดีเพราะช่วยให้ประเทศไทยสงบสุข และอยู่ได้อย่างสง่างามท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกและการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งบริษัทเนชั่นและพันธมิตรภาครัฐและเอกชน จะนำโครงการแทนคุณแผ่นดินเผยแพร่ต่อไปยังประเทศในกลุ่มสมาชิกประชาคมอาเซียน 9 ประเทศเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยก็มีมาตรฐานความดีไม่ด้อยกว่าประเทศอื่นๆ และจะส่งเสริมให้ความดีของไทยเป็นความดีของประชาคมอาเซียนด้วย” นายสุทธิชัย กล่าว
นายปิติพันธ์ เทพปฏิมากรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรัพยากรบุคคลและศักยภาพองค์กร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ปตท.สนับสนุนโครงการแทนคุณแผ่นดินเพราะสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่มุ่งสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งความดีจะเป็นรากฐานของสังคมไทยและก่อให้เกิดความมั่นคงในประเทศไทย จึงอยากให้จำนวนคนทำความดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีหลากหลายอาชีพทั่วประเทศไทย เชื่อว่าโครงการแทนคุณแผ่นดินจะช่วยจุดประกายให้คนไทยทำความดี ซึ่งต้องร่วมกันตอบแทนบุญคุณแผ่นดินด้วยการทำความดีซึ่งแผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพ่อของคนไทยทุกคน
นางรุ่งฟ้า เกียรติพจน์ ผอ.ด้านการบริหารแบรนด์และสื่อสารการตลาด บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทร่วมสนับสนุนโครงการแทนคุณแผ่นดินเพราะเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท ซึ่งมุ่งสร้างคนดีให้แก่แผ่นดิน โดยบริษัททรูฯ ได้จัดโครงการทำดีให้พ่อดู ตั้งแต่ปี 2549 และต่อมาจัดทำโครงการดูที่พ่อทำเผยแพร่ข้อมูลบุคคลที่ทำความดีและเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านเว็บไซต์ของโครงการ ซึ่งก่อนหน้านี้จะดำเนินโครงการเหล่านี้ บริษัทตั้งใจจะทำโครงการถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อตอบแทนพระองค์ท่านที่ทรงเหน็ดเหนื่อย ลำบากตรากตรำเพื่อคนไทยมาโดยตลอด และโครงการแทนคุณแผ่นดินก็มีเป้าหมายเดียวกัน จึงมาร่วมกับบริษัทเนชั่น ดำเนินโครงการ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยทำความดี โดยไม่กลัวความเหนื่อยยาก ไม่ให้ความดีหายไปจากแผ่นดินไทย
นายสุทธิชัย หยุ่น ได้นำพันธมิตร หน่วยงานรัฐและเอกชน รวมทั้งผู้รับรางวัลในโครงการแทนคุณแผ่นดิน ประจำปี 2555 ประกาศปฏิญญาแทนคุณแผ่นดินว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย” จำนวน 7 ข้อได้แก่
1. จัดสรรอำนาจใหม่ ภาคประชาชนหรือองค์กรชุมชน ต้องเติบโตโดยธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ถ่วงดุลกับภาครัฐ และองค์กรปกครองท้องถิ่นได้อย่างอิสระ
2. กำเนิดคณะกรรมการประชาสังคม เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น และส่งเสริมสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในทุกด้านคือ ที่ดิน แร่ ป่า น้ำ ทะเลและชายฝั่ง
3. รวมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยในทุกรูปแบบ สร้างกระบวนการเรียนรู้ การทำธุรกิจในระบบตลาด และส่งเสริมให้เกิดโรงเรียนเกษตรกร เพื่อการศึกษาทางเลือก
4. ชุมชนเข้มแข็งมีความเอื้ออาทรต่อกันฟื้นฟูพลังทางศีลธรรมในการกำกับพฤติกรรมของผู้คน และพึ่งพึงตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ
5. ประสานพลังแห่งศาสนา มีจุดร่วมที่ลดความเห็นแก่ตัว มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางศาสนา ภาษา เชื้อชาติ และอุดมการณ์
6. เสริมสร้างการสาธารณสุขมวลชน มีความมั่นคงด้านสุขภาวะอนามัย สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน
7. ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยกลไกตามประเพณีที่ชุมชนเคยมีแต่โบราณกาล
นายวิชาญ สุขปุนพันธ์ วัย 75 ปี ผู้ได้รับรางวัลตัวแทนคนดีจาก จ.สงขลา ข้าราชการครูบำนาญที่ใช้ที่ดิน 40 ไร่ ปลูกต้นไม่นานาชนิดสร้างปอดให้ชุมชน กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับรางวัลนี้ เหมือนการที่ทำอะไรไปแล้วมีคนมองเห็นก็รู้สึกดีใจและภูมิใจ ตนคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นน้อยไปด้วยซ้ำ หลังจากนี้ก็อยากจะปลูกต้นไม้ไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะไม่ไหว และขยายการเรียนรู้ให้คนที่อยากจะเรียนรู้ และเป้าหมายคืออยากให้เด็กๆ มาสนใจปลูกป่ามากขึ้น เพราะคุณค่าของป่านั้นมีมหาศาล
ร.ต.ต.สมศักดิ์ บุญรัตน์ รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สน.บางซื่อ อายุ 58 ปี ผู้ได้รับรางวัลตัวแทนจากจังหวัดกรุงเทพมหานครในฐานะที่ทำงานเป็นตัวแทนครูข้างถนนมากว่า 12 ปี บอกว่าเป็นอีกรางวัลที่ภูมิใจ ถือเป็นการเติมพลังในการช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มาเจอกับคนที่ทำความดีมากมายหลายสาขา ก็มีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพราะจะได้นำข้อมูลที่ได้จากคนดีไปสอนเด็กๆ ได้ต่อ ตอนนี้ก็หวังว่าจะมีการฝึกอาชีพ เราก็เป็นเหมือนจิ๊กซอว์หนึ่งที่ช่วยเด็กเหล่านั้นให้มีงานทำ และพยายามจะขยายจากเด็กไปในชุมชนที่เป็นต้นตอของปัญหาเด็กเร่ร่อน
โครงการแทนคุณแผ่นดิน ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนโดยมีองค์กรผู้ร่วมสนับสนุนดังนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โรงพยาบาลไทยนครินทร์ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท อิคิวตี้ เรสซิเดนเชียว เจ้าพระยา จำกัด บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัท เฟรเกรนท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
พร้อมกันนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คัดเลือกคนดีแทนคุณแผ่นดิน นำโดย ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นายมีชัย วีระไวทยะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ดร.ศิรินา โชควัฒนา ปวโรฬารวิทยา ประธานกรรมการ บริษัท บูติค นิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) นายสุรพล ดวงแข กรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น นายเสริมสิน สมะลาภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และน.ส.ดวงกมล โชตะนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

จอภาพรอ spool ให้พร้อมก่อนส่งไปพิมพ์เรื่องอาเซียน

asean in printer
asean in printer

5 ธ.ค.55 นักเรียน ม.2 สมัยนี้เรียนเรื่องอาเซียน ทำรายงานเรื่องอาเซียน เรื่อง ASEAN+ แล้ว เห็นสั่งพิมพ์มาออกที่ printer จึง capture จอภาพไว้ อีกหน่อยมีสัมมนา ASEAN ที่ไหน คงต้องพาไปฟังแล้ว ปัจจุบันอาเซียน (ASEAN) ประกอบด้วย 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย (2510) สิงคโปร์ (2510) อินโดนีเซีย (2510) มาเลเซีย (2510) ฟิลิปปินส์ (2510) บรูไน (2527) เวียดนาม (2538) ลาว (2540) พม่า (2540) กัมพูชา (2542) มีประชากรรวมกันประมาณ 570 ล้านคน  [อันที่จริงผมสนใจเรื่อง spooling ที่โผ่มาในจอภาพ ขณะรอส่งข้อมูลมาพิมพ์แบบไร้สาย]

http://www.thaiall.com/asean/

อาจารย์มหาวิทยาลัย .. ลูกเมียน้อยในกระทรวงศึกษาธิการ

อาจารย์มหาวิทยาลัย กับครูประถม
อาจารย์มหาวิทยาลัย กับครูประถม

มติชนรายวัน 4 ธ.ค.55
โดย สุรศักดิ์ อมรรัตนศักดิ์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354609254&grpid&catid=02&subcatid=0207

เกือบทุกครั้งที่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด รัฐมนตรีที่เป็นเป้าหมายจะต้องถูกปรับ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 มาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาแล้ว 52 คน ในขณะที่มีนายกรัฐมนตรี 28 คน

ผู้บริหารประเทศ มักจะพูดเสมอว่า กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงที่มีความสำคัญ แต่ในความเป็นจริงมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกระทรวงนี้เท่าที่ควร ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ กระทรวงมหาดไทย คมนาคม เกษตรและสหกรณ์ และพาณิชย์ มากกว่า

ในอดีตกระทรวงศึกษาธิการถูกมองว่าเป็นกระทรวงเกรดซี แต่ปัจจุบันปรับขึ้นมาเป็นกระทรวงเกรดบี เหตุที่ปรับก็เพราะกระทรวงนี้มีบุคลากรและงบประมาณมาก เป็นฐานเสียงสำคัญของนักการเมือง

การปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านมาก็เช่นกัน กระทรวงที่หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกปรับก็คือกระทรวงศึกษาธิการอีกเช่นเคย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบันชื่อพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการชื่อเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ซึ่งเคยเป็นเบอร์หนึ่งของกระทรวงมหาดไทย

รัฐมนตรีทั้งสองท่านไม่เคยเป็นครูหรือทำงานด้านการศึกษามาก่อน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญก็คือท่านทั้งสองตั้งใจจะมาอยู่กระทรวงนี้จริงแค่ไหน ท่านมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและแก้ปัญหาการศึกษาของชาติจริงจังมากน้อยเพียงใด หรือมาเพื่อเป็นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อรอข้ามไปอยู่กระทรวงอื่น

สิ่งหนึ่งที่อยากจะขอฝากรัฐมนตรีว่าการ (คุณพงศ์เทพ) ก็คือขอให้ช่วยดูแลอาจารย์มหาวิทยาลัยบ้าง อย่าให้อาจารย์มหาวิทยาลัยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนลาออกไปขายเต้าฮวยกันหมด

ท่านรัฐมนตรีทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบันอาจารย์มหาวิทยาลัยได้เงินเดือนน้อยกว่าครูประถม พูดไปก็แทบไม่มีใครเชื่อ แต่ความจริงเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย ครูประถมได้เงินเดือนมากกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย 8% ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2553 มาถึงวันนี้ก็กว่า 2 ปีแล้ว

คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ซึ่งดูแลอาจารย์มหาวิทยาลัยยังสบายดีอยู่หรือ ท่านปล่อยให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมานานกว่า 2 ปีได้อย่างไร ท่านไม่คิดจะดำเนินการแก้ไขอะไรเพื่อพิทักษ์สิทธิของอาจารย์มหาวิทยาลัยบ้างเลยหรือ

อีกเรื่องหนึ่งที่ครูประถม/มัธยมสังกัด สพฐ.ก้าวล้ำอาจารย์มหาวิทยาลัยไปอีกก้าวหนึ่ง ก็คือเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎ กคศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือขั้นต่ำกว่า หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ (ฉบับที่) พ.ศ…………ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่างกฎ กคศ. ฉบับดังกล่าวเสร็จแล้ว รอ ศธ.แจ้งยืนยัน และจะได้นำเรื่องนี้แจ้งให้ ครม.รับทราบเพื่อรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา

สาระสำคัญของร่างกฎ กคศ.ดังกล่าวก็คือ ข้าราชการครูที่ได้รับเงินเดือนอันดับ คศ.2 ในขั้นสูงสุด สามารถเลื่อนอันดับเงินเดือนไปที่ คศ.3 ได้เลย จากเดิมการจะเลื่อนอันดับเงินเดือนแต่ละ คศ.ได้จะต้องผ่านการเลื่อนและประเมินวิทยฐานะตามที่กำหนดไว้เท่านั้น

เช่นเดียวกันผู้ที่ได้รับเงินเดือนขั้นสูงสุดของ คศ.3 จะเลื่อนไปรับเงินเดือนในอันดับ คศ.4 และผู้ที่ได้รับเงินเดือนขั้นสูงสุดของ คศ.4 ก็จะได้เลื่อนไปรับเงินเดือนในอันดับ คศ.5 ซึ่งเป็นการเลื่อนโดยอัตโนมัติไม่ต้องทำผลงานใด ๆ ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่ 1 เมษายน 2554

สิ่งนี้ต้องขอชื่นชม กคศ. (คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) ด้วยความจริงใจ เพราะเป็นการดูแลสิทธิประโยชน์ให้กับครูสังกัด สพฐ. ทำให้ครูมีขวัญกำลังใจในการทำงาน ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้คนเก่งหันมาเป็นครูมากขึ้น

ข้าราชการพลเรือนก็มี ก.พ. (คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน) คอยดูแลและพิทักษ์สิทธิของข้าราชการ เมื่อต้นปี 2555 ที่ผ่านมา ก.พ.ได้ปรับเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบไปประมาณ 8% แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้รับอานิสงส์นี้แต่อย่างไร เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ใช่ข้าราชการพลเรือน

อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยมี กกอ.(คณะกรรมการการอุดมศึกษา) เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของอาจารย์มหาวิทยาลัย

แต่ที่ผ่านมา กกอ. แทบจะไม่เคยทำหน้าที่ในการพิทักษ์สิทธิของอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเดือนที่ยังน้อยกว่าครูประถมถึง 8% หรือเรื่องเงินเดือนของครูสังกัด สพฐ.ที่สามารถไหลข้ามแท่งได้

นั่นคือหากอาจารย์มหาวิทยาลัยมีเงินเดือนตัน (ขั้นสูงสุด) อยู่ในแท่งเงินเดือนใดก็ยังไม่สามารถไหลข้ามแท่งได้ เช่น เงินเดือนตันในแท่งผู้ช่วยศาสตราจารย์จะไม่สามารถเลื่อนไหลไปรับเงินเดือนในแท่งรองศาสตราจารย์ได้

ท่านคิดว่าอย่างนี้มันยุติธรรมสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือ กกอ. เคยคิดจะทำอะไรเพื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยบ้างไหม ถ้ายังคิดไม่ออกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อยากแนะนำให้ไปลอกของ กคศ. และไม่ควรออกมาแก้ตัวว่ากำลังดำเนินการอยู่ เพราะเรื่องเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยน้อยกว่าครูประถม 8% ก็ยังไม่เห็นได้ดำเนินการอะไรเลย

จริง ๆ แล้วสถาบันอุดมศึกษาควรจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าสถาบันอุดมศึกษาจะต้องคอยวิ่งไล่ตามก้นครูประถมอยู่ร่ำไป

เรื่องน่าเศร้าที่ไม่อยากพูดอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องโบนัสสำหรับข้าราชการ จริงๆ แล้วไม่อยากให้เรียกว่าเงินโบนัส แต่อยากให้เรียกว่าเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้มากกว่า

ท่านทราบไหมว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยระดับรองศาสตราจารย์ (ซี 9 เดิม) ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดี ได้รับเงินโบนัสปีละประมาณ 3,000- บาท (สามพันบาทถ้วน) เฉลี่ยแล้วปีหนึ่งได้รับโบนัสไม่ถึง 2 วัน ในขณะที่ครูประถมสังกัดเทศบาล หรือ อบต.บางแห่งได้รับโบนัสกันปีละ 2 เดือน ส่วนพนักงานรัฐวิสาหกิจและบริษัทหลายแห่งรับโบนัสกันปีละ 2 เดือน 3 เดือนบ้าง บางแห่งสูงถึง 9 เดือนก็มี แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับโบนัสเพียง 2 วัน แล้วอย่างนี้ยังจะให้เรียกว่าโบนัสอีกหรือ

หรือจะให้อาจารย์มหาวิทยาลัยย้ายไปสังกัด กคศ. เพื่อว่าต่อไปอาจารย์มหาวิทยาลัยจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นและมีความก้าวหน้าทัดเทียมกับครูประถมกันเสียที

มีเรื่องน่าสนใจอื่น ๆ อาทิ

อันดับการศึกษาของไทยในเวทีโลกยังไม่สุดท้ายซะทีเดียว .. 37 จาก 40

English Proficiency Index เมื่อปี 2554 พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 42 จากทั้งหมด 44 ประเทศ และปี 2555 พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 53 จากทั้งหมด 54 ประเทศ

ผลการจัดอันดับในสื่อ (itinlife 367)