กฎการใช้ จอในครอบครัว

family 1960
family 1960

http://simple.wikipedia.org/wiki/Leave_It_to_Beaver

ยุคที่หน้าจอ ทั้งโทรทัศน์ ไอโฟน ไอแพด แท็บเล็ต ล้วนดึงดูดสายตาเราไปจากเรื่องรอบตัว แต่สำหรับความสัมพันธ์ในครอบครัว การสบตา พูดคุย สร้างความสัมพันธ์ ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญ คนในครอบครัวจึงควรควบคุมการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เหมาะสม ซึ่งเรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันเช่นเคย

1. พึงระวังทุกหน้าจอ

เป็นที่ทราบกันดีว่าจอโทรทัศน์ไม่ดีสำหรับสายตาและพัฒนาการของเด็ก แต่คุณพ่อคุณแม่จำนวนมากกลับปล่อยให้ลูกน้อยเล่นไอแพด ไอโฟน กันได้โดยไม่จำกัดเวลา แต่หน้าจอเหล่านี้ก็เป็นอันตรายต่อสายตาและพัฒนาการของลูกน้อยเช่นกัน หากเป็นไปได้จึงไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ ใช้หน้าจอเลย หรือหากจำเป็นก็ควรจำกัดเวลาและจำนวนชั่วโมงที่จะให้เด็กๆ เล่นกับอุปกรณ์เหล่านี้ได้

2. สบตากันให้มากขึ้น

คงคุ้นตากันดีกับภาพทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างคนต่างจ้องหน้าจอ หรือคนที่คุยกันโดยตายังจ้องหน้าจออยู่ แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว เราควรหันมาสบตากัน เพราะบ่อยครั้งที่การสื่อสารทางกายและสายตา สำคัญกว่าปากมากนัก และสำหรับเด็กๆ แล้ว การที่คุณพ่อคุณแม่สบตา มีทีท่าใส่ใจยามที่เขาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง หรือเล่นกับเขานั้น สำคัญมาก ถือเป็นการยอมรับในตัวเขาอย่างหนึ่งทีเดียว

3. กำหนดเวลาใช้อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์

เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้คือความเคยชิน การกำหนดเวลาสำหรับการใช้ก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่ช่วยจำกัดเวลาได้ดี อาจกำหนดเป็นเวลาหลังทำการบ้านเสร็จ เพื่อช่วยให้ลูกอยากทำการบ้าน และตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็ควรจำกัดเวลาสำหรับตัวเองเช่นกัน เช่นหากลูกยังไม่หลับจะไม่แตะเครื่องมือเหล่านี้ เป็นต้น

4. พึงระวังเรื่องความเป็นส่วนตัว

หากเสพติดการใช้เฟซบุ๊ก ควรระมัดระวังที่จะจัดการกำหนดคนที่จะเข้ามาดูไทม์ไลน์ของเรา หรือเข้าถึงข้อมูลของเราได้ ยิ่งเมื่อคุณมักจะโพสรูปของคนในครอบครัว ก็ยิ่งควรระมัดระวังให้มากขึ้นเป็นพิเศษ อย่าลืมว่าโลกออนไลน์จะทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณที่อาจไม่อยากให้คนไม่รู้จักได้รู้เห็นหลุดออกไปได้ ซึ่งนั่นหมายถึงข้อมูลและรูปของเจ้าตัวน้อยของคุณด้วย

5. ระวังข้อมูลที่ลูกได้รับ

แม้คุณพ่อคุณแม่จะระมัดระวังการรับข้อมูลข่าวสารของลูกน้อย แต่บางโอกาสก็ทำได้ยากยิ่ง เมื่อปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์ หรือใช้คอมพิวเตอร์ คุณพ่อคุณแม่จึงควรอยู่ด้วยทุกครั้ง เพื่อคอยอธิบายหากเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และควรเลือกสื่อที่ลูกรับให้เหมาะสม โดยเฉพาะโฆษณา และละครโทรทัศน์

6. จัดที่ทางสำหรับอุปกรณ์เทคโนโลยี

หากจัดที่ที่ใช้โทรทัศน์ และอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ให้เป็นที่เป็นทาง และกำหนดไว้ว่าเมื่อออกจากบริเวณเหล่านี้จะไม่ใช้ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยจำกัดเวลาและโอกาสที่ใช้ได้ดี เช่นในห้องนอนเป็นสถานที่ที่ปลอดอุปกรณ์ไฮเทค เป็นต้น

อ้างอิงบางส่วนจาก parenting.com

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032394

แท็บเลต 1.7 ล้านเครื่อง ในงบประมาณ 1760 ล้านบาท

tablet ป.1 และ ม.1
tablet ป.1 และ ม.1

ตัวเลข 1.7 ล้านเครื่อง ถ้าราคาเครื่องละ 2,000 บาท
ก็น่าจะเกินงบไปมากกว่าเท่าตัว
งบแท็บเล็ตน้อยกว่ารถคันแรกเยอะเลย
เห็นยอดรถคันแรกน่าจะใช้งบหนึ่งแสนล้านบาท แต่งบแท็บเล็ตแต่หนึ่งพันกว่าล้านเอง

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เปิดสเป็กจัดซื้อ “แท็บเลต” ลอตใหม่ 1.7 ล้านเครื่อง รวบแจก ป.1-ม.1 ตั้งราคากลาง “ป.1-2,720 บาท” เครื่องเด็ก ม.1 ที่ “2,920 บาท” พร้อมเตรียมเปิดขายซอง 3-5 เม.ย.56 เคาะราคา 29 เม.ย.56  แบ่งประมูล 4 รอบ จับคู่แยกรายภาค สารพัดแบรนด์รุมจีบทั้ง “จีน-อินเดีย-เยอรมนี” คาดแข่งเดือด ขณะที่ “ครู ป.2” โอละพ่อเด็กหิ้วเครื่องติดตัวมาจาก ป.1 แต่ไม่มีงบฯจัดซื้อเครื่องให้ครู

น.อ.สุรพล นะวะมวัฒน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยในฐานะคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายแท็บเลตเพื่อการศึกษา (One Tablet per Child : OPTC) ว่า ขณะนี้ได้สรุปสเป็กของแท็บเลตที่ต้องจัดซื้อลอตใหม่ เพื่อแจกชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2556 พร้อมกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการจัดซื้อแล้ว โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นเจ้าภาพในการจัดซื้อด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction)

สำหรับราคากลางในการจัดซื้อแท็บเลตเด็ก ป.1 อยู่ที่เครื่องละ 2,720 บาท ม.1 และเครื่องสำหรับครูอยู่ที่ 2,920 บาท รวมภาษีและค่าขนส่งถึงหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ โดยจัดซื้อรวมทั้งสิ้น 1.74 ล้านเครื่อง สพฐ.ได้รับมอบอำนาจในการจัดซื้อจากเจ้าของงบประมาณ 8 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กรมการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักการศึกษาเมืองพัทยา และ สพฐ.เอง เพื่อจัดซื้อ

แท็บเลตให้โรงเรียนในสังกัดโดยสเป็กแท็บเลตลอตนี้หลัก ๆ เหมือนกันคือใช้หน่วยประมวลผล (CPU) ดูอัลคอร์ 1.5 GHz หน่วยความจำ (RAM) ขนาด 1 GB ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 ขึ้นไป หรือวินโดวส์ แบตเตอรี่ 3600 mAh ต่างกันที่เด็ก ป.1 มีหน้าจอ 7 นิ้ว ฮาร์ดดิสก์ 8 GB ส่วนเด็ก ม.1 และเครื่องคุณครู หน้าจอ 8 นิ้ว ฮาร์ดดิสก์ 16 GB ซึ่งเครื่องของครูมีฟังก์ชั่นเพิ่ม เช่น ช่อง HDMI มีปากกาสไตลัส พร้อม SD card ความจุ 8 GB เพิ่มให้ต่างหากซึ่งสเป็กที่สูงกว่าการจัดซื้อในปีที่แล้ว ที่เป็น CPU และเป็นแบบแกนเดียว ความเร็ว 1 GHz ความจุ RAM 512 MB ฮาร์ดดิสก์ 8 GB และหน้าจอ 7 นิ้ว ราคา 82 เหรียญสหรัฐ (รวมค่าขนส่งถึงสนามบินสุวรรณภูมิ)และจะเปิดขายซองข้อมูลสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมประมูลวันที่ 3-5 เม.ย. 2556 มีกำหนดชี้แจงข้อมูลระเบียบ และข้อกำหนดเทคนิค (ทีโออาร์) วันที่ 9 เม.ย. เปิดยื่นซองเทคนิควันที่ 17 เม.ย. และประกาศผลผู้ผ่านเกณฑ์วันที่ 27 เม.ย. ประมูลแบบ e-Auction วันที่ 29 เม.ย. และจัดพิธีลงนามในสัญญาจัดซื้อ 9 หรือ 10 พ.ค. ให้ผู้ชนะทยอยส่งแท็บเลตตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.จนครบใน 90 วันนับจากเซ็นสัญญา

“ปีนี้กระบวนการจัดซื้อแท็บเลตใช้ e-Auction ต่างกับปีที่แล้วที่ใช้การจัดหาแบบทำสัญญารัฐต่อรัฐ (G to G) เป็นการจัดหาคือสั่งผลิต ไม่ใช่จัดซื้อแบบครั้งนี้ที่ผู้เข้าประมูลทุกรายต้องนำแท็บเลตที่สมบูรณ์แล้ว 6 เครื่องมาให้ทดสอบก่อนว่าตรงตามสเป็กหรือไม่ ใช้งานกับซอฟต์แวร์และคอนเทนต์ของ สพฐ.ที่มีอยู่แล้วได้หรือไม่ ที่สำคัญคือเป็นการตัดสินกันที่ราคา สเป็กที่เหนือกว่าคู่แข่งไม่มีผลถ้าราคาแพงกว่า”

ส่วนการเคาะราคาประมูลในเบื้องต้นแบ่งเป็น 4 รอบตามสัญญาที่แยกเซ็น ได้แก่ สัญญาการจัดซื้อแท็บเลตสำหรับเด็ก ป.1 ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้จำนวน 431,775 เครื่อง สัญญาจัดซื้อสำหรับเด็ก ป.1 ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 417,042 เครื่อง สัญญาที่ 3 สำหรับชั้น ม.1 ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ 416,440 เครื่อง และสัญญาจัดซื้อแท็บเลต ม.1 ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 423,333 เครื่อง โดยผู้ชนะประมูลจะลงนามในสัญญาจัดซื้อโดยตรงกับหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ เนื่องจาก สพฐ.เป็นแค่ผู้รับมอบอำนาจในการจัดซื้อเพื่อให้มีปริมาณมากพอ

ขณะที่แท็บเลตสำหรับให้คุณครูจำนวน 54,000 เครื่อง ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าต้องเปิดประมูลและทำสัญญาแยกต่างหาก หรือรวมเข้าไปในการจัดซื้อแท็บเลตแต่ละสัญญาที่แยกตามพื้นที่ แต่มั่นใจว่าการจัดซื้อครั้งนี้จะได้ราคาต่ำกว่าราคากลางแน่นอน เพราะจัดประมูลแยกเป็นรอบ ๆ ไล่ทีละสัญญา เชื่อว่าในสัญญาที่ 4 รอบสุดท้ายยิ่งได้ราคาต่ำที่สุด ซึ่งอาจได้ผู้ชนะแยกเป็น 4 ราย หรือมีแค่บริษัทเดียวก็ได้ ที่สำคัญคือเป็นการประมูลที่เปิดกว้าง ใครที่คิดว่ามีศักยภาพก็เข้ามาประมูลได้

น.อ.สุรพล เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้มีผู้ผลิตแท็บเลตหลายรายสนใจเข้ามาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้ อาทิ ทีซีแอล, ไฮเออร์, แชมเปี้ยนเอเชีย, สโคป, อินถัง, ออลอิน แบรนด์ซังเวิร์นของเอเซอร์ รวมถึงผู้ผลิตแท็บเลตของอินเดียและเยอรมนีด้วย ซึ่งเท่าที่ได้พูดคุยมา บริษัทจีนบางแห่งยอมขาดทุนเพื่อให้ได้โปรเจ็กต์นี้ และเพื่อใช้ชื่อประเทศไทยเพิ่มโปรไฟล์ให้ตนเอง เนื่องจากมีไม่กี่โครงการที่จัดซื้อพร้อมกันเป็นลอตใหญ่

และนอกเหนือจากการจัดส่งแท็บเลตที่ลงแอปพลิเคชั่นและคอนเทนต์ให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดแล้ว ผู้ชนะประมูลยังต้องเสนอแผนการตั้งศูนย์บริการให้ได้ครอบคลุมพื้นที่ตามสัญญาจัดซื้อ รวมถึงการรับประกันสินค้าเป็นเวลา 1 ปีด้วย

“การจัดซื้อครั้งนี้ได้นำบทเรียนจากครั้งก่อนมาปรับปรุง ตั้งแต่การเปิดเผยรายละเอียดของสัญญาจัดซื้อให้ศึกษาทำความเข้าใจ และยอมรับเงื่อนไขก่อนเข้าประมูล การให้นำแท็บเลตมาทดลองลงแอปพลิเคชั่นและคอนเทนต์ต่าง ๆ ว่าทำงานได้สมบูรณ์ตั้งแต่ขั้นตอนทดสอบเทคนิค รวมถึงการใช้ e-Auction ให้การจัดซื้อโปร่งใส วัดกันที่ราคา จะได้ไม่เกิดข้อครหาทำให้ส่งมอบล่าช้า”

ข้อกังวลที่มีอยู่ คือ ไม่แน่ใจว่าทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจะมอบอำนาจการจัดซื้อมาให้ สพฐ.ทันหรือไม่ เนื่องจากติดขัดเรื่องระเบียบการจัดซื้อ และยังมีปัญหาไม่มีงบประมาณในการจัดซื้อแท็บเลตที่จะให้ครูชั้น ป.2 นำไปสอนเด็กนักเรียนที่ได้รับแจกแท็บเลตตั้งแต่ตอน ป.1

ขณะที่ความคืบหน้าในการนำแท็บเลตที่จัดซื้อในปีที่แล้วไปใช้งาน ล่าสุดกระทรวงไอซีทีลงนามในสัญญาเช่าใช้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลพร้อมอุปกรณ์โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายไร้สาย (WiFi network) กับ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม เพื่อให้ทั้ง 27,231 โรงเรียนในสังกัด สพฐ.มีอินเทอร์เน็ต WiFi ความเร็ว 4-10 Mbps. ใช้ฟรี

งบประมาณ 1,760 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 300 วัน นับจากส่งมอบอุปกรณ์ให้โครงข่ายกระทรวงศึกษาธิการ หรือ MOENet จะทยอยเปิดให้บริการใน มิ.ย.เป็นต้นไป คาดว่าจะครบทั้งระบบภายใน ส.ค. โดยกระทรวงไอซีทีได้เตรียมเสนอของบประมาณปี 2557 ไว้ 4,250 ล้านบาทสำหรับวางโครงข่าย WiFi เพิ่มเติมให้โรงเรียนที่ได้รับแจกแท็บเลตในปีการศึกษา 2556 กว่า 43,258 แห่ง

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1363062897&grpid=&catid=06&subcatid=0603

รถคันแรกทะลัก 1.25 ล้านคันใช้งบแสนล้านบาท

รถคันแรก คนไทยใช้สิทธิ์ 1.25 ล้าน
รถคันแรก คนไทยใช้สิทธิ์ 1.25 ล้าน

ฟังเพลง “รอพี่ก่อน” ของ SHADE
.. บอกว่า อย่าพึ่งซื้อรถยนต์ หรือรถไฟเลย ตอนนี้ยังไม่มีตัง
น้องเสื้อดำคงยื่นคำขาดว่า “รอไม่ได้หรอกพี่
แต่คนไทยรอไม่ไหว .. ยอดจองรถคันแรก 1.25 ล้าน
ใช้งบ 100,000,000,000 (ไม่รู้ใส่ 0 ถูกรึเปล่า ขาดเกินขออภัยด้วย)
ก็ของมันจำเรื่องมันจำเป็น ทำไงได้ .. เรื่องนี้มีคนชวนคิดกันเยอะ
เพราะบ้านคันแรกก็จำเป็น รถคันแรกก็จำเป็น แท็บเล็ตเด็กก็จำเป็น เงินเดือนขึ้นก็จำเป็น


ข่าวคมชัดลึก
ปิดฉากรถยนต์คันแรกแห่ใช้สิทธิทะลัก 1.25 ล้านคัน ดันยอดคืนภาษีพุ่ง 9.1 หมื่นล้านบาท พบรถยนต์นั่งแชมป์ขอคืนสูงสุด 7.4 แสนคัน


นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นั้น ส่งผลให้ประชาชนยังคงยื่นขอใช้สิทธิ์ในโครงการดังกล่าวกันอย่างคึกคัก โดยนายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรกในวันนี้ (31 ธ.ค.2555) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของโครงการ มีผู้ยื่นขอคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกตลอดทั้งวันทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 2,000 คัน เทียบกับเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม มีการยื่นขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกสูงถึง 5,000 คัน ส่งผลให้ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันสุดท้ายที่รับยื่นขอคืนภาษีมียอดรวมทั้งสิ้น 1.255 ล้านคัน คิดเป็นเงินที่ต้องคืนภาษีรวม 9.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก 3 หมื่นล้านบาทถึง 3 เท่าตัว

สำหรับการยื่นใช้สิทธิขอคืนภาษีรถคันแรกทั่วประเทศจำนวน 1.255 ล้านคันนั้น แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 7.40 แสนคัน รถกระบะ 2.58 แสนคัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะ หรือดับเบิลแค็บ 2.57 แสนคัน ส่วนผู้ที่ได้รับสิทธิและได้รับเงินคืนไปแล้วมีทั้งสิ้น 47,018 ราย คิดเป็นเงิน 3,481 ล้านบาท และคาดว่าปีงบประมาณ  2556 จะต้องคืนภาษีรถยนต์คันแรกรวม 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ครั้งแรก 7,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาทแต่ก็ยังไม่เพียงพอจึงอาจต้องขอใช้งบกลางเพิ่มเติม ส่วนปีงบ 2557 คาดว่าจะใช้เงินคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 3-3.5 หมื่นล้านบาท และใช้งบอีกบางส่วนในปี 2558 โดยผู้ที่ได้รับคืนเงินทางบัญชีเงินฝากนั้นจะต้องครอบครองรถยนต์ครบ  1  ปี

อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวอีกว่า การให้บริการยื่นเอกสารขอคืนภาษีกรมสรรพสามิตวันสุดท้ายที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตและพื้นที่ต่างๆ เปิดรับยื่นเอกสารจนถึงเวลา 16.30 น. เฉพาะที่กรมสรรพสามิต ราชวัตร มีผู้มายื่นใช้สิทธิประมาณ 300 รายเท่านั้น ขณะที่กรมได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้รองรับอย่างเต็มที่ และส่วนใหญ่ที่มาก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเอกสารแต่อย่างใดจึงไม่น่าจะมีปัญหาในการขอคืนภาษี นอกจากจะมีการตรวจสอบกับกรมการขนส่งทางบกอีกครั้งและพบว่าไม่เข้าเงื่อนไขการเป็นเจ้าของรถคันแรกจริง

วันสุดท้ายมีผู้มายื่นใช้สิทธิน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงน่าจะเป็นการเก็บตกผู้ใช้สิทธิ เท่าที่สอบถามผู้มายื่น 2-3 ราย ส่วนใหญ่ระบุว่าเพิ่งได้รับการอนุมัติจากทางบ้านให้ซื้อรถยนต์จึงรีบนำใบจองซื้อรถยนต์มาใช้สิทธิให้ทันในวันสุดท้าย โดยมองว่าไม่น่าจะมีผู้ตกหล่นหรือใช้สิทธิไม่ทัน เพราะก่อนหน้านี้กรมสรรพสามิตได้ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องแล้ว” นายสมชายระบุ

กระนั้นก็ดี นายสมชาย กล่าวด้วยว่า แม้เจ้าหน้าที่จะปิดรับเรื่องแล้วแต่ยังสามารถยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ https://firstcar.excise.go.th/ ได้จนถึงเวลา 24.00 น. วันที่ 31 ธันวาคม 2555 และเอกสารต้องพร้อมภายใน 15 วันนับจากวันที่ยื่นขอใช้สิทธิ แต่ส่วนนี้ก็ไม่น่าจะมีเพิ่มขึ้นมากนัก ไม่เกินร้อยราย ปิดยอดจริงๆ ก็น่าจะประมาณ 1.256 ล้านคัน อย่างไรก็ตามกรมสรรพสามิตไม่ได้มีการแยกว่าเป็นการยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์ยี่ห้อใดมากที่สุดเอาไว้ด้วย

สำหรับกรณีของรถโตโยต้า วีออสรุ่นใหม่ที่มีกรณีเรียกร้องให้ทบทวนการได้สิทธิเข้าโครงการรถยนต์คันแรก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่ายในตลาดแต่มีการเปิดรับจองแล้วนั้น ทางกรมสรรพสามิตได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่โรงงานแล้วเห็นว่าทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ขึ้นไลน์การผลิตแล้วจริง มีการผลิตรถยนต์และเสียภาษีสรรพสามิตไว้แล้วบางส่วน จึงถือว่าเข้าข่ายได้รับสิทธิโครงการรถยนต์คันแรก ผู้ที่จองซื้อรถยนต์รุ่นดังกล่าวจึงมีสิทธิได้รับเงินคืนเช่นเดียวกัน แต่คาดว่าจะมีไม่มากนักเพราะเพิ่งเปิดจองช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2555 เท่านั้น

ทั้งนี้ โครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลเดิมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเข้าโครงการประมาณ 5 แสนคัน คิดเป็นเม็ดเงินต้องคืนราว 3.2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่จากการผ่อนปรนเงื่อนไขให้จองได้ถึงเดือนธันวาคมจากเดิมเดือนกันยายน และให้ใช้เพียงใบจองซื้อรถยนต์มายื่นเข้าโครงการโดยเปิดกว้างให้ส่งมอบรถเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้มีผู้สนใจใช้สิทธิมากกว่าเดิมถึงเท่าตัว

http://www.komchadluek.net/detail/20130101/148456/ปิดฉาก!รถคันแรกทะลัก1.25ล้านคัน.html

เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง

6  เคล็ดลับเลี้ยงลูกไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. จัดกฎเกณฑ์กับลูกให้เหมาะสมกับพัฒนาการและวัยของเด็ก

2. ตั้งกฎเรื่องความปลอดภัยให้แก่ลูก เช่น อย่าใช้นิ้วมือจับเตาไฟร้อนๆ ห้ามวิ่งเล่นที่ถนน ถือเป็นกฎเหล็ก เราจะไม่อะลุ้มอล่วยในเรื่องกฎเหล็กแห่งความปลอดภัย

3. เน้นเรื่องการสร้างพฤติกรรมทางสังคมเชิงบวก โดยให้ลูกพูดคำว่า ขอโทษ หรือขอบคุณอย่างสุภาพกับเพื่อนๆ และคนขอบข้าง

4.คุยกับลูกถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมอย่างชัดเจน เด็กวัยเรียนหรือเด็กโตแล้วจะเริ่มมีสมาธิ ตัวอย่างเช่น เมื่อถามลูกว่าทำไมลูกทำอย่างนั้น ลูกอาจจะไม่สามารถตอบได้ แต่หากตั้งคำถามใหม่ว่าแม่สงสัยจังเลยว่าทำไมเกิดสิ่งนี้บ่อยจัง การตั้งคำถามปลายเปิดแบบนี้ทำให้เด็กเริ่มใช้เวลาคิด และคุณพ่อคุณแม่อาจแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ

5. สงบ เมื่อคุณพ่อคุณแม่เริ่มหงุดหงิดต่อพฤติกรรมของลูกจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีและควบคุมตัวเองไม่ได้ (ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่เริ่มมีอาการเหมือนเวลาลูกเอาแต่ใจตัวเองแล้วล่ะค่ะ) และสิ่งนั้นไม่ได้สอนอะไรให้แก่ลูกเลย

6. สม่ำเสมอ เมื่อพูดอะไรแล้วต้องทำตามที่พูด หากเรามีความคาดหวังพฤติกรรมอะไรให้ลูก เราต้องทำตามนั้นจริง ๆ คุณแม่จะไม่ให้ลูกเล่นของเล่นนี้อีกหากลูกไม่รักษาของ หากพูดบ่อยๆ เกิน 10 ครั้งแสดงว่าไม่ได้ผลแล้วนะคะ

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ให้เราเริ่มสอนตั้งแต่ลูกอายุยังน้อย และทำอย่างสม่ำเสมอ เข้าใจความต้องการและรู้พัฒนาการของลูกอย่างละเอียดอ่อน โดยให้อยู่ภายในขอบเขตที่เหมาะสม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000126184

การมีเซ็กซ์ดีต่อสุขภาพอย่างไร?

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

จากหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่าการมีเซ็กซ์ส่งผลดีต่อสุขภาพถึง 9 ประการดังนี้

1. ลดความเครียด การมีเซ็กซ์สามารถลดความเครียด และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตด้วย จากงานวิจัยของชาวสกอตแลนด์ที่ทำการวิจัยกับผู้ชายจำนวน 22 คน และผู้หญิงจำนวน 24 คน ซึ่งคนเหล่านี้มีการจดบันทึกการมีเซ็กซ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้น ได้จัดให้กลุ่มทดลองอยู่ในภาวะของความเครียด เช่น การพูดในที่สาธารณะ การคำนวณคณิตศาสตร์พร้อมการออกเสียงดังๆ และได้จัดให้มีการตรวจสอบความดันโลหิต ผลปรากฏว่า คนที่มีเซ็กซ์จะตอบสนองต่อความเครียดได้ดีกว่าคนที่ไม่มีเซ็กซ์ และยังพบด้วยว่าผู้หญิงที่ได้รับการกอดจากคู่รักจะมีความดันโลหิตที่ดีกว่าคนที่ไม่ได้รับการกอด

2. ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ การมีเซ็กซ์ 30 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ถึง 85 แคลอรี่ หรืออาจมากกว่านั้น อาจฟังดูเหมือนไม่มากเท่าไร แต่หากใช้เวลา 42 ครั้ง จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ ถึง 3,750 แคลอรี่ ประมาณเกือบจะ 1 กิโล เราสามารถลดได้เกือบจะ 1 กิโลต่อ 21 ชั่วโมง เพราะการมีเซ็กซ์ ก็คือ การออกกำลังกายนั่นเอง นักวิเคราะห์ทางเพศศึกษา กล่าวว่า การมีเพศสัมพันธ์ช่วยทั้งทางด้านร่างกายและทางจิตใจด้วย

3. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน การมีเซ็กซ์ 1 หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน อีกทั้งสามารถช่วยป้องกันหวัด หรือการติดเชื้ออื่นๆ ได้ด้วย

4. เป็นยาแก้ปวด ผลของฮอร์โมนออกซิโตซินไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องความรักเท่านั้น แต่ยังเป็นยาแก้ปวดขนานดี ซึ่งเรียกว่าเอนโดฟิน หากเราปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือมีอาการเครียดก่อนมีประจำเดือน อาจเป็นเพราะเราไม่มีเซ็กซ์

5. ช่วยสร้างคุณค่าในตัวเอง จากการศึกษาของมหาวิทยาลัย เทกซัส พบว่า การมีเซ็กซ์เป็น 1 ใน 237 เหตุผลของการสร้างคุณค่าในตัวเอง และยังกล่าวอีกว่าสำหรับคนที่มีคุณค่าของตัวเองอยู่แล้ว จะยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่ามากขึ้นไปอีกด้วย เพราะการมีเซ็กซ์ช่วยทำให้พวกเขารู้สึกดีต่อตัวเอง แน่นอนเราไม่จำเป็นต้องมีเซ็กซ์บ่อยๆ เพื่อเสริมสร้างคุณค่าในตัวเอง แต่หากเรามีเซ็กซ์ด้วยความรัก การเชื่อมโยงความรู้สึก จะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง

6. มีผลต่อสุขภาพหัวใจ การศึกษาจากประเทศอังกฤษเป็นเวลาถึง 20 ปี พบว่า ผู้ชายที่มีเซ็กซ์ 2 ครั้ง หรือมากกว่านั้นใน 1 สัปดาห์จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวมากกว่าผู้ชายที่มีเซ็กซ์น้อยกว่าเดือนละครั้ง

7. ทำให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากขึ้น การมีเซ็กซ์ช่วยยกระดับฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก ซึ่งช่วยให้คนสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และสร้างความไว้วางใจ จากการศึกษาผู้หญิงถึง 59 คน ในระดับฮอร์โมนออกซิโตซินก่อนและหลังการได้รับการกอดพบว่า ผู้หญิงเหล่านี้มีระดับฮอร์โมนเพิ่มสูงมากขึ้นหลังจากการสัมผัสทางด้านร่างกายกับคนรัก

8. การหลั่งช่วยลดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก การหลั่งบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้ชายในช่วงวัย 20 ปี อาจจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในปั้นปลายชีวิต จากการศึกษาในนิตยสารการแพทย์ของอเมริกาพบว่าผู้ชายที่หลั่งมากกว่า 21 ครั้งต่อเดือน จะมีอัตราการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าผู้ชายที่หลั่งประมาณ 7 ครั้งต่อเดือน

9. ช่วยให้หลับสบาย สารออกซิโตซินจะไหลออกมาในขณะถึงจุดสุดยอดซึ่งจะช่วยให้นอนหลับสบาย งานวิจัยแสดงให้เห็นอีกว่าการนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยส่งผลที่ดีต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย เช่นการมีน้ำหนักที่สมดุลการไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ดี

ในแง่ของทางวิทยาศาสตร์การมีเซ็กซ์ดูเหมือนจะเป็นผลดีมากมายต่อสุขภาพกายและจิตใจ แต่ก็ไม่ควรหมกหมุ่นในเรื่องเซ็กซ์มากเกินไป หากต้องควรระมัดระวังในเรื่องของความสะอาดด้วย ซึ่งทางที่ดีที่สุดนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงจากการส่ำส่อนทางเพศ เพราะโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากการมีเซ็กซ์ก็มีอยู่มากมายเหลือเกิน ดังนั้นการรักษาชีวิตที่สมดุล ครองคู่ไปด้วยความรักและความเข้าใจระหว่างสามีและภรรยา ถือว่าเป็นเรื่องที่มีสำคัญยิ่งกว่าเรื่องใดๆ ขอให้ทุกครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง
http://www.webmd.com/sex-relationships/guide/10-surprising-health-benefits-of-sex

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138072

เก่งทั้งบ้าน..ด้วยพลังสมองซีกซ้าย

โดย  ดร.นพ.ยุทธนา ภาระนันท์

ช่วงที่ผ่านมา ท่านทำงานค่อนไปทางข้างไหนมากกว่ากัน ระหว่าง Work hard กับ Work smart

ครอบครัว
ครอบครัว

คมคิด: ขวานทื่อ หากไม่ลับให้คม ก็ต้องออกแรงมาก (Adapted from Ecclesiastes 10:10, 2012)

พ่อ: พ่อมีเรื่องให้ทายนะ กติกาคือ ห้ามตอบให้ถูก
แม่ & ลูก: ง่ายจะตาย ถามมาเลยพ่อ
พ่อ: หนึ่ง บวก หนึ่งเท่ากับอะไร
แม่ & ลูก: 20
พ่อ: ปลาอะไรเอ่ยดิ้นได้
แม่ & ลูก: ปลา…ปลาตายแล้ว
พ่อ: เอ๊ะ! พ่อถามไปกี่ข้อแล้วนี่
แม่ & ลูก: ก็สองข้อไง
พ่อ: อ้าว!…ตอบถูกไปแล้ว
แม่ & ลูก: !!??!!

การทายปัญหาของพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้ ไม่เพียงเสริมสร้างความสนิทสนมกันในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นสมองไปพร้อมกันด้วย เพราะสมองเป็นอวัยวะที่ยิ่งใช้ ยิ่งคม

หลายครั้งผมอบรมให้บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหัวข้อเกี่ยวกับ “เปิดสมอง ปั้นอัจฉริยะ” (Multiple intelligence) ผมให้ทำแบบสำรวจ “Memory Impairment” เช่น อบบางอย่างในเตา แล้วลืมว่าต้องเอาออกมา, ลืมกุญแจบ้านไว้ในรถ ซึ่งจอดไว้อีกที่หนึ่ง, ไปช็อปปิ้ง แต่ดันลืมเอากระเป๋าเงินไป, หลงทางในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ปรากฏว่า มีไม่น้อยที่มีอาการเหล่านี้ ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงวัย 40 ปีขึ้นไป

ผมจึงย้ำให้ทุกท่านได้ฝึกฝนใช้สมอง 2 ซีกอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพราะหากไม่ใช้ก็จะยิ่งเสื่อมเร็วเข้าไปใหญ่ แล้วผมก็ฝึกทักษะขยับมือขยายสมอง ทำมือเป็นรูป L กับ O สลับกันไปมาซ้ายขวา, ทำมือถูค้อนทุบ เป็นต้น ก็เรียกบรรยากาศครื้นเครงกันทั่วห้องฝึกอบรมกันเลยครับ

โอกาสเดือนเมษายน เรียกได้ว่าเป็นเดือนแห่งความครัวเป็นสุขก็ว่าได้นะครับ ก็อยากฝากทักษะง่ายๆ ในการกระตุ้นสมองซึกซ้ายในชีวิตประจำวัน ลองฝึกดูนะครับ ใช้ได้กับทุกคนในครอบครัวครับ

ทักษะปลุกสมองซีกซ้าย (Enhancing Lt brain)

เป็นฝึกฝนลงมือทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของสมองซึกซ้ายซึ่งคล้ายนักวิทยาศาสตร์ อันได้แก่ การใช้เหตุผล การแยกแยะ การเก็บรายละเอียด การลำดับก่อนหลัง การจัดระเบียบขั้นตอน ตัวเลข ภาษา เป็นต้น ขอยกตัวอย่างบางประการ ดังนี้…

1.  ฝึกเขียนสิ่งที่จะทำออกมาเป็นรายการ
2. นำสิ่งที่จะทำมาจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
3. สนใจในรายละเอียด
4. รู้จักบริหารเวลา
5. ทำอะไรแล้ว ทำจนสำเร็จ
6. ฝึกวิเคราะห์ปัญหาและตัดสินใจด้วยเหตุผล
7. เปรียบเทียบทางเลือกต่างๆ โดยเขียนทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่ละทางเลือก ก่อนตัดสินใจ
8. แยกย่อยสิ่งต่างๆ เป็นประเด็นๆ แล้วนำมาจัดหมวดหมู่
9. ฝีกจัดเรียงลำดับขณะสื่อสารออกมาเป็นข้อๆ เช่น ฉันมีจุดประสงค์ 3 ประการได้แก่…

“ในที่ซึ่งมีที่ปรึกษามาก ย่อมมีความปลอดภัย” ท่านเห็นด้วยหรือไม่?

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000038006

9 เรื่องควรละ..เลิก..เมื่อตั้งครรภ์

เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดูแลในท้อง คุณแม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ชีวิต เพิ่มการดูแล

ตั้งครรภ์
ตั้งครรภ์

ตัวเองในทุกๆ ด้านให้มากขึ้น แต่ก็มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องลด ละ เลิก เพราะจะช่วยให้คุณแม่สุขกายสบายใจ ส่วนเจ้าตัวเล็กในท้องก็จะเติบโตได้ดี และคลอดออกมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงค่ะ

9 เรื่องควรลด ละ เลิก

1. เดินและเคลื่อนไหวเร็ว

ตอนยังไม่ท้องคุณแม่อาจเป็นคนกระฉับกระเฉง เดินหรือเคลื่อนไหวเร็ว ไปโน่นมานี่ได้อย่างรวดเร็วทันใจ แต่ตอนนี้คุณแม่ต้องใจเย็น เดินและเคลื่อนไหวให้ช้าลง ยิ่งท้องใหญ่มากขึ้นยิ่งต้องลดสปีดของตัวเองลง เพราะการเดินและเคลื่อนไหวในจังหวะและความเร็วที่พอเหมาะ จะช่วยรักษาสมดุลของการเคลื่อนไหว และปลอดภัยมากขึ้น หากคุณแม่เกิดก้าวพลาด หรือสะดุดหกล้ม อาจเป็นอันตรายทั้งคุณแม่และเจ้าตัวเล็กในท้องได้

2. ลดเสียงเพลง

การฟังเพลงที่ชอบ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของคุณแม่ เพราะช่วยให้ผ่อนคลายสบายใจ แถมยังส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและอารมณ์ของเจ้าตัวเล็กในท้อง แต่ก็ไม่ควรฟังในระดับเสียงที่ดังมากจนเกินไป เพราะแทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ ก็อาจกลายเป็นความเครียดและแก้วหูถูกทำลายแทน ซึ่งแน่นอนว่า เจ้าตัวเล็กในท้องจะได้รับผลกระทบเหล่านั้นไปด้วยอย่างแน่นอน

3. กินเร็ว

การกินอาหารเร็วๆ เคี้ยวยังไม่ทันละเอียดก็รีบกลืนลงคอจนติดเป็นนิสัย จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก ส่งผลให้ท้องอืดท้องเฟ้อ และยังทำให้คุณแม่กินอาหารมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุของความอ้วนและโรคภัยอื่นๆ ที่จะตามมาได้อีกด้วย การเคี้ยวอาหารให้ช้าลง นอกจากจะปลอดภัยสบายท้อง ไม่มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ลดความเสี่ยงต่ออาการผิดปกติต่างๆ แล้ว คุณแม่ก็ยังได้สัมผัสรสชาติของอาหารที่โปรดปราน หรืออาหารที่อยากกินอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งกายและใจจริงๆ ค่ะ

4. เว้นอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด

เช่น อาหารมันจัด เนื้อสัตว์ที่ติดมัน หรือติดหนัง ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะทำให้คุณแม่ได้รับไขมันและน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้คุณแม่อ้วน เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน และยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อีกด้วย

5. ไม่ยืนหรือนั่งท่าเดิมนานๆ

การนั่งพิมพ์เอกสารนานๆ ยืนถ่ายเอกสาร หรือการทำงานบ้านต่างๆ เช่น รีดผ้า ทำกับข้าว ทำความสะอาด เหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะการนั่งหรือยืนนานๆ จะทำให้คุณแม่รู้สึกปวดเมื่อย เกิดเส้นเลือดขอด เป็นตะคริว และเกิดอาการเวียนศีรษะได้

6. หลีกเลี่ยงมลพิษ

คุณแม่ควรอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์ หรือมีมลพิษน้อยที่สุด มีผลการศึกษาวิจัยพบว่า มลพิษต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระแสเลือด ซึ่งสามารถขัดขวางการทำงานของรกและส่งผลต่อ DNA ของทารกตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ คุณแม่ที่หายใจเอามลพิษเข้าไปมากๆ จะส่งผลให้ลูกมีไอคิวต่ำอีกด้วยนะคะ

แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น จำเป็นต้องใช้รถสาธารณะในการเดินทาง ควรสวมหน้ากากเพื่อป้องกันควันพิษ ฝุ่นละออง และเชื้อโรคต่างๆ ค่ะ

7. เลิกเครียด

เป็นเรื่องที่พูดง่ายทำยากค่ะ เพราะเรื่องที่ทำให้กังวลจนกลายเป็นความเครียดสำหรับคุณแม่แล้ว ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องลูกในท้องนี่แหล่ะค่ะ แต่เพื่อลูกแล้วเชื่อว่าคุณแม่สามารถหาทางจัดการความเครียดตัวร้ายได้แน่ๆ เพราะถ้าปล่อยไว้ลูกในท้องจะรับรู้อารมณ์เครียดของคุณแม่ได้ มีรายงานยืนยันว่าลูกจะเป็นเด็กเครียด งอแง และเลี้ยงยาก อาจเป็นเพราะสารเครียดในร่างกายของคุณแม่ส่งผ่านมาถึงลูก และยังมีผลต่อการพัฒนาสมองของลูกอีกด้วย

8. เลิกดื่มแอลกอฮอล์

ผู้หญิงที่ยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์แล้วดื่มแอลกอฮอล์ จะมีผลต่อการสร้างอวัยวะต่างๆ ของลูกในท้องในช่วง 3 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกสร้างเส้นประสาทและสมอง ทุกครั้งที่คุณแม่ดื่ม ลูกก็จะได้รับแอลกอฮอล์ด้วย ทำให้ลูกเกิดความผิดปกติทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สมอง ใบหน้า เช่น ร่างกายไม่เจริญเติบโต พัฒนาการทางสมองผิดปกติ ปัญญาอ่อน การทำงานประสานระหว่างมือและตาไม่ดี เรียนรู้ไม่ดี เป็นต้น

9. เลิกนอนดึก

คุณแม่ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องการนอนคืนละ 7 ชั่วโมง แต่บางคนอาจต้องการนอนมากกว่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่ไม่ควรนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง เพราะมีการศึกษาพบว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ที่นอนน้อยกว่าคืนละ 5 ชั่วโมง เสี่ยงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษมากกว่าปกติถึง 9.5 เท่าค่ะ

หากคุณแม่สามารถทำได้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เชื่อว่าการตั้งครรภ์ในครั้งนี้จะมีความสุขทั้งกายและใจค่ะ

บทความจาก :นิตยสารรักลูก

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000024528

อาหารป้องกันผมร่วง

อาหารป้องกันศีรษะล้าน (โดยเฉพาะคุณผู้ชาย)
โดย ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล  ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนคลินิก (เบาหวาน หัวใจ โรคกลุ่มเมตาโบลิก)

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ปัญหาผมร่วงเป็นเรื่องปกติในผู้ที่เริ่มมีอายุ ดูเหมือนว่ายิ่งอายุมากขึ้นเท่าไรร่างกายก็แสดงสิ่งที่ไม่พึงประสงค์มากขึ้นเท่านั้น นั่นคือ ความหมายของคำว่า “ชราภาพ”

แต่ทุกคนย่อมหลีกหนีจากความเป็นจริงนี้ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้ดีที่สุดและถนอมผมบนศีรษะได้นานที่สุด คุณลองคิดดูว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณเห็นผมบนศีรษะจากที่เคยดกดำกลับเปลี่ยนไป คุณได้แต่นั่งดูผมที่ร่วงหลุดไปที่ละเส้น สองเส้น หรือหลายเส้น มากกว่าครึ่งของผู้ชายมีปัญหาผมร่วง ศีรษะบาง หลังจากอายุ 45 ปีขึ้นไปโดยมาจากหลากหลายปัจจัยเช่น กรรมพันธุ์, ความเครียด, การดำเนินชีวิตที่รีบเร่ง, ฮอร์โมนในร่างกาย, ความเจ็บป่วย, อาหารที่ไม่ถูกต้อง, ยารักษาโรคต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้เกิดปัญหาผมร่วงทั้งนั้น จะสังเกตุได้ง่ายว่าผู้ชายมักมีปัญหาผมร่วงมากกว่าผู้หญิง เนื่องมาจากว่าสายพันธุกรรมของผู้ชายส่งผลต่อผมได้มากกว่าผู้หญิง ในปัจจุบันยาหลายชนิดได้ถูกผลิตขึ้นเพื่อป้องกันผมร่วง หรือมีวิธีการปลูกผมซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและบางครั้งก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร รวมถึงปัญหาที่ตามมากับยาและวิธีการเหล่านี้ เช่น ปัญหาหัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้ตับเป็นพิษหรือภาวะไตวายได้ และที่สำคัญอาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศด้วย

จากการศึกษาพบว่าสาเหตุหลักของการผมร่วงเกิดจากพันธุกรรมและการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย นักวิจัยค้นพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนกับปัญหาการหลุดร่วงของเส้นผม คือ ฮอร์โมนในเพศชายในกลุ่มเทสโทสเตอโรนโดยมีฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน “Dihydro testosterone (DHT)” โดยปกติแล้วฮอร์โมนตัวนี้จะเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผม ตามปกติของกลไกร่างกายจะมีการหยุดยั้งการทำงานของฮอร์โมน (DHT) เพื่อไม่ให้ผมหลุดร่วง แต่ในผู้ที่เริ่มมีอายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะมีความสามารถในการหยุดยั้งการทำงานของฮอร์โมน DHT ที่ลดลง ส่งผลให้ฮอร์โมน DHT ทำปฏิกิริยากับรากผมซึ่งก่อให้เกิดปัญหาผมร่วงอย่างถาวร หรือพูดอีกอย่างว่าในปกติผมของคนเราย่อมหลุดร่วงเป็นประจำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ก็จะขึ้นมาใหม่แทนเส้นเก่าที่หลุดร่วงไป แต่ในกณีของผู้สูงอายุผมที่หลุดร่วงไปจะไม่มีการงอกขึ้นแทนที่ใหม่ทำให้ศีรษะบางลงเรื่อยๆ

นักวิจัยได้ทำการศึกษาและพบว่าอาหารบางกลุ่มมีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาเส้นผมให้แข็งแรงช่วยลดปัญหาผลหลุดล่วงได้อย่างดีและปลอดภัยต่อร่างกาย

อาหารที่ป้องกันผมร่วง

1. อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี พบว่ามีส่วนช่วยในการยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน DHT เนื่องมาจากว่าสังกะสีช่วยในการส่งเสริมให้เซลล์ผมมีการเจริญเติบโตและเส้นผมที่ขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรง แร่ธาตุสังกะสียังช่วยในการปรับสมดุลของต่อมไขมันในหนังศีรษะซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้เหมือนกัน อาหารที่เป็นแหล่งของแร่ธาตุสังกะสีได้แก่อาหารทะเลเช่นหอยนางรม ไข่ ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง เนื้อวัว เนื้อไก่และนมเป็นต้น

2. อาหารกลุ่มวิตามินเอสูง จากหลายการศึกษาพบว่าคนที่ได้รับวิตามินเอเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมีรากผมที่แข็งแรงมากกว่าผู้ที่ได้รับปริมาณวิตามินเอไม่ครบถ้วน วิตามินเอจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายรวมถึงเซลล์เส้นผมและหนังศีรษะ แหล่งที่มาของวิตามินเอ เช่น ผักสีส้มสีเหลือง (แครอท ฟักทอง มะม่วงสุก) ผักสีเขียวเข้ม (คะน้า ผักขม ตำลึง) นม ไข่ และตับเป็นต้น

3. อาหารกลุ่มไบโอติน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิตามิน บี สามารถช่วยให้เส้นผมมีความแข็งแรงและสุขภาพดีขึ้น ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ร่างกายต้องการไบโอตินรวมกับโปรตีนเพื่อทำให้ผมและเล็บแข็งแรง จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ขาดไบโอตินจะส่งผลทำให้ผมขาดง่ายและหลุดร่วงง่ายด้วย เล็บจะเปราะฉีกง่าย อาหารที่มีไบโอตินสูงได้แก่ ยีสต์ที่ใช้ในการหมักเหล้าหรือเบียร์ ไข่แดง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง

4. อาหารกลุ่มวิตามินซี ร่างกายจะใช้วิตามินซีในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทำให้เนื้อเยื่อมีความแข็งแรงโดยจะทำให้รากผมมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะไม่สามารถกักเก็บวิตามินซีที่ได้จากอาหารให้อยู่ในร่างกายได้ในระยะยาวดังนั้นร่างกายจะต้องการวิตามินซีอยู่ตลอด อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ผักสีเขียวเข้ม พริกสด และผักกลุ่มมะเขือ

5. โปรตีนไขมันต่ำ เนื่องมาจากว่าองค์ประกอบสำคัญของเส้นผมคือสารประเภทโปรตีน ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับโปรตีนที่เพียงพอก็จะทำให้การสร้างเซลล์ผมทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เนื่องมาจากอาหารกลุ่มโปรตีนส่วนใหญ่จะมาจากเนื้อสัตว์ที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ และการที่ร่างกายได้รับไขมันสูงจะเร่งให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ ดังนั้นจึงควรเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่อก เนื้อสันใน ถั่วเมล็ดแห้ง โยเกิร์ต เป็นต้น

6. น้ำ เป็นปัจจัยหลักอันหนึ่งที่เรามักจะมองข้ามไป แต่การที่ร่างกายขาดน้ำจะส่งผลให้เซลล์ต่างๆของร่างกายทำงานได้ไม่สมบูรณ์ไม่เว้นแต่เซลล์ผม ดังนั้นในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้ว

อาหารกับเส้นผมนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน การรับประทานอาหารที่ดีจะช่วยทำให้เส้นผมสามารถอยู่กับเราได้นานขึ้น ไม่อาจเถียงได้ว่าเส้นผมเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้หน้าตาและบุคลิกเปลี่ยนไป แต่ต้องระวังอาหารบางประเภทที่ทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ง่ายขึ้น เช่น อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารทอด อาหารแปรรูป นอกจากเรื่องของอาหารแล้ว การออกกำลังกาย การไม่สูบบุหรี่ และรักษาระดับน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานก็จะส่งผลให้เกิดสมดุลในร่างกายและลดปัญหาการหลุดร่วงของเส้นผม

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032478

เกมส์ความคิดสร้างสรรค์

พบใน http://www.ce-kmitl.net/index.php?topic=4815.0
มีข้อความดังนี้

เพื่อนคุณได้ส่งคำเชิญให้คุณมาร่วมเล่นเกมส์ความคิดสร้างสรรค์
ชิงรางวัล IPOD ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www….ac.th
วันนี้ ถึง
16 พฤษถาคม 2553

creative game
creative game

กติกาการแข่งขัน :
สุดยอดนักคิดต้องลงทะเบียนและเข้ามาตอบคำถาม
ใน Creative Game with Creative Campus@YONOK
ได้ที่ www…..ac.th
ทีมงานจะออกคำถามไม่น้อยกว่าวันละ 1 คำถามโดยไม่ระบุเวลา
คำถามจะทยอยขึ้นมาให้ตอบเรื่อย ๆ สุดยอดนักคิดทุกคนมีสิทธิ์ตอบคำถามตามเวลาและอารมณ์ของสุดยอดนักคิด
และสามารถติดตามคำถามได้
ที่ Facebook : Creative Campus @ YONOK University
หรือที่เว็บไซต์ www…..ac.th

วิธีคิดคะแนนสุดยอดนักคิด :

ผู้ที่ตอบถูกคนแรก ได้ข้อละ 200 คะแนน
ผู้ที่ตอบถูกเป็นคนที่สองได้ข้อละ 190 คะแนน
ผู้ที่ตอบถูกเป็นคนที่สามได้ข้อละ 180 คะแนน
ผู้ที่ตอบถูกเป็นคนที่สี่ได้ข้อละ 170 คะแนน
เรียงลำดับไปเรื่อย ๆ จนถึงผู้ที่ตอบถูกคนที่ 20 และผู้ที่ตอบถูกหลังจากคนที่ 20
คือคนที่ 21, 22 ….. จะได้คนละ10 คะแนน

มาดูตัวอย่างคำถามฝึกความคิดสร้างสรรค์

– นายป่วยพบต้นไม้ ถอดรหัสเป็นเลขสี่หลัก
ตอบ …………….9653……………………..
เหตุผล ………Nine Six find Tree

– ลองมาทำสมการแบบกวนๆดูนะ SinX = nA Aมีค่าเท่ากับเท่าไร
ตอบ …………..6
เหตุผล ……….SinX = nA ( n ตัด n = Six = A )

กำหนดการรับสมัครสุดยอดนักคิด :
รับสมัครสุดยอดนักคิดตั้งแต่วันนี้ – 16 พฤษถาคม 2553

กำหนดการวันประกาศผลสุดยอดนักคิด :
วันที่ 17-18 พฤษถาคม 2553 ทางเว็บไซต์ http://www…..ac.th

กำหนดการมอบของรางวัลสุดยอดนักคิด :

วันที่ 9 มิถุนายน 2553 ณ มหาวิทยาลับ

ของรางวัลสำหรับสุดยอดนักคิดนักค้น :
รางวัลที่ 1 : iPod Touch พร้อมใบประกาศเกียรติคุณจากมหาวิทยาลัย
รางวัลที่ 2 : Samsung Candy Chat พร้อมใบประกาศเกียรติคุณจากมหาวิทยาลัย
รางวัลที่ 3 : ตั๋วเครื่องไปกลับกรุงเทพฯ-ลำปางและที่พักในจังหวัดลำปาง
พร้อมใบประกาศเกียรติคุณจากมหาวิทยาลัย
รางวัลประจำสัปดาห์อีกมากมาย

http://www.facebook.com/yonoklampang
http://www.weekendhobby.com/ict/webboard/questionn.asp?id=45
http://www.ce-kmitl.net/index.php?topic=4815.0

ดูแลสุขภาพ 4 ช่วงวัย

โดย…อ.นพ.สมบูรณ์ อินทลาภาพร
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

การดูแลสุขภาพ ย่อมดีกว่าการมาหาหมอเพื่อรับการรักษา แต่จะดูแลอย่างไรเพื่อให้สุขภาพดีในทุกช่วงวัย มีรายละเอียดมาฝากครับ

การดูแลตนเองและคนที่คุณรักให้มีสุขภาพดี ครอบคลุมทุกช่วงอายุ จะเน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเป็นสำคัญ โดยเด็กเล็ก เน้นในเรื่องพัฒนาการและการเรียนรู้ วัยรุ่น เน้นทางด้านจิตใจและสังคม วัยทำงาน เน้นการดูแลพฤติกรรมเสี่ยง ส่วนผู้สูงอายุ เน้นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง

เริ่มต้นสุขภาพดี

ช่วงที่ 1 อายุ 0-6 ปี เริ่มจากหญิงตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์และตรวจสม่ำเสมอ เพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับการดูแลและคลอดอย่างปลอดภัยโดยแพทย์ จากนั้นจนถึงอายุ 6 ปี ทารกต้องได้รับวัคซีนพื้นฐานครบถ้วน และได้รับการตรวจทางด้านพัฒนาการ การเรียนรู้ และพฤติกรรมต่างๆ

ช่วงที่ 2 อายุ 7-18 ปี สิ่งที่สำคัญ คือ การเตรียมตัวให้วัยนี้เป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ มีอารมณ์ที่แจ่มใส มีภูมิคุ้มกันทางความคิด สามารถดูแลตนเองให้ห่างไกลจากยาเสพติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในวัยรุ่น เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป

ช่วงที่ 3 อายุ 19-60 ปี เป็นวัยทำงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวถึง 40 ปี มักมีเวลาในการดูแลสุขภาพตนเองน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ โดยวัยนี้มักเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคจากบุหรี่ สุรา หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ โรคเครียด เป็นต้น จึงจำเป็นต้องตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ เพื่อให้เข้าสู่วัย 60 ปี เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี

ช่วงที่ 4 อายุ ตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป วัยนี้ถือเป็นวัยสูงอายุ นอกจากมีความเสื่อมถดถอยของร่างกายแล้ว บางรายยังมีโรคประจำตัวด้วย สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรรับการตรวจรักษาสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็จะทำให้มีสุขภาพดีได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับผู้สูงอายุทั่วไป ที่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายทุกวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญนะครับ เพราะสุขภาพดีนำมาซึ่งความสำเร็จไปกว่าครึ่ง

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000021402