สีรถ สีขาว

white car
white car

เวลาเพื่อน ๆ เลือกสีของรถ เลือกันอย่างไรนะ
ปัจจุบันมีสีให้เลือกมากมาย ในการออกแบบเว็บไซต์มีให้เลือก 16 ล้านสี
ในโทรศัพท์ก็มี 16 สีบ้าง 256 สีบ้าง แล้วแต่รุ่น
ปัจจุบันก็เลือกสีตามความเชื่อต่าง ๆ นานา
ตามพระสงฆ์ ตามคู่มือ ตามหนังสือดูดวง ตามอารมณ์ ตามเหตุผล เป็นต้น
อาจเลือกแดงเพราะสดดี เลือกเหลืองเพราะเป็นสีพระอาทิตย์
.. อะไรทำนองนั้น
.. ก็เอาขาวล้วนกับรูปทรงต่าง ๆ มาแบ่งปันครับ

บอกลาปัญหารูขุมขนกว้าง

ลดปัญหารูขุมขนกว้างด้วย  5 เทคนิครับรองเคล็ดลับนี้หากสาวๆ นำไปใช้แล้ว ผิวหน้าของคุณต้องกลับมาเรียบเนียน กระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รูขุมขนกว้าง
รูขุมขนกว้าง

1. ไม่สัมผัสใบหน้าบ่อย

การสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ นั้นเป็นแหล่งต้นตอของการเกิดสิวเลยล่ะ เพราะมือของเราไม่รู้ว่าผ่านการหยิบจับอะไรที่สกปรกมาแล้วบ้าง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าไว้จะดีที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดสิวนั่นเอง

2. ล้างหน้าให้สะอาดเสมอ
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและกรดไกลโคลิก เพราะจะช่วยทำหน้าที่ค่อยๆ ผลัดผิวอย่างอ่อนโยน อีกทั้งช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนได้อย่างล้ำลึกไร้สาเหตุของการเกิดสิว เมื่อใบหน้าไร้ปัญหาสิวรับรองว่าไม่มีปัญหารูขุมขนกว้างตามมาแน่นอน

3. ครีมบำรุงผิวช่วยกระชับรูขุมขน
ผลิตภัณฑ์บางชนิดสามารถช่วยกระชับปิดรูขุมขนให้เล็กลงได้ ดังนั้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวของคุณและมีสรรพคุณที่สามารถช่วยได้ดังกล่าว เพราะจะช่วยแก้ปัญหาให้การผลิตต่อมน้ำมันลดลง อีกทั้งยังช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนใสขึ้น

4. ใช้เครื่องสำอางที่เหมาะกับผิว
เครื่องสำอางสูตร oil control หรือ oil free เหมาะกับสาวๆ ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างมากที่สุด เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำมันซึ่งจะทำให้ใบหน้ายิ่งเหนียวเหนอะหนะ ไม่ทำให้หนักผิวหน้า และไม่ซึมเข้าไปยังรูขุมขน อีกทั้งการแต่งหน้าด้วยเบสจะช่วยสร้างเกราะบางๆ ป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางลงไปอุดตันในผิวจนกลายเป็นปัญหาสิวอุดตันตามมา

5. สูตรพอกหน้ากระชับผิว
เลือกใช้สูตรพอกหน้าหนึ่งสูตรง่ายๆ จากธรรมชาติหรือแผ่นมาร์กที่มีประสิทธิภาพช่วยในการกระชับผิวให้เรียบเนียน เต่งตึงขึ้น และหลังจากพอกหน้าหรือมาร์กหน้าเสร็จแล้ว ให้ตบท้ายด้วยการประคบน้ำแข็งก้อนเป็นการปิดท้ายรูขุมขน น้ำแข็งนั้นเป็นตัวช่วยอย่างดีเลยทีเดียวที่จะทำให้รูขุมขนเล็กลง ป้องกันปัญหารูขุมขนกว้างและทำให้ใบหน้าเรียบเนียนใสขึ้น

อย่าปล่อยให้ผิวสวยของคุณต้องมีปัญหารูขุมขนกว้างอยู่อีกเลย มาเริ่มปรนนิบัติเพื่อการถนอมผิวให้เรียบเนียนกระชับขึ้นกันตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ

http://www.meemodel.com/health/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87

ปภ.แนะวิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัยช่วงหมอกควันปกคลุมภาคเหนือ

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 11:38 น. ข่าวสดออนไลน์

กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่หมอกควันปกคลุม งดเว้นการเผาวัสดุและการประกอบกิจกรรมที่ทำให้สถานการณ์หมอกควันรุนแรงมากขึ้น เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หากจำเป็นต้องออกจากบ้านควรสวมแว่นตาและหน้ากากอนามัย เพื่อลดปริมาณการสูดดมควันพิษจากฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย

Mask
Mask

ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะมีภูมิต้านทานต่ำ ควรปิดหน้าต่าง ประตู เพื่อป้องกันไม่ให้หมอกควันลอยเข้าสู่บ้าน หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น ก่อนออกจากบ้านควรสวมแว่นตา เพื่อป้องกันการระคายเคืองตา พร้อมทั้งสวมหน้ากากอนามัยหรือใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดจมูกและปาก เพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมละอองควันไฟเข้าสู่ร่างกายโดยตรง และลดปริมาณการสูดดมควันพิษจากฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ระบบทางเดินหายใจขัดข้อง หากมีอาการผิดปกติหลังจากสูดดมฝุ่นละอองหมอกควัน เช่น แน่นหน้าอก หายใจติดขัด แสบตา เป็นต้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

ที่สำคัญ ในช่วงที่มีสถานการณ์หมอกควัน ควรงดการรองน้ำฝนมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคชั่วคราว หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์หมอกควันสามารถติดต่อได้ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 1 – 18 สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeU9UYzVPVEl6TWc9PQ==

เคล็ดลับการถนอมดวงตาขณะใช้คอมพิวเตอร์

ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์กันมาทั้งวัน ปวดตากันใช่ไหมค่ะ เรามีวิธีการถนอมดวงตาคู่สวยขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์มาฝากให้ปฏิบัติตามกัน  เพื่อดวงตาคู่สวยของเราจะสวยอย่างนี้ไปอีกนาน ๆ ค่ะ

ถนอมดวงตา
ถนอมดวงตา

1. กระพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากระพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตรากระพริบตาจะลดลงจาก 20 – 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 -8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรกระพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 – 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 -9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้านที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น

5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อนที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 – 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์สมองใกล้ทั่วไป

6. พักสายตาทุก ๆ ชั่งโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถหรือลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักกฎหมาย(ข้อมูลจาก www.bloggang.com)

http://www.ops.moj.go.th/mini105/inner.php?section=mini105_km&view=detail&id=3270

เคล็ดลับเพื่อผิวกระจ่างใสแบบธรรมชาติ

เคล็ดลับหน้าขาวใสแบบธรรมชาติทำเองที่บ้านได้ไม่ยากค่ะ  วันนี้ได้รวบรวมเอาผลไม้ต่าง ๆ ที่เราแทบจะรู้จักกันดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านการบำรุงผิวหน้าให้ขาวสวย ใส ซึ่งหลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าผลไม้ หรือ ผักที่เรากินไปนั้นหลาย ๆ ตัวนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้ผิวพรรณเราสดใส แต่ส่วนใหญ่เรานิยมเอามากินกันซะมากกว่า แต่วันนี้เราจะนำเสนอวิธีการใช้ผักผลไม้เหล่านี้ในการบำรุงผิวให้สวยกระจ่าง ใสนุ่มนิ่มหน้าจับเป็นที่สุดค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 1 แตงกวาช่วยผิวใส

ขาวใสด้วยแตงกวา
ขาวใสด้วยแตงกวา

หลายคนอาจจะรู้จักแตงกวากันอยู่แล้วแต่รู้หรือไม่ว่า ผลแตงกวานั้นมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีนในปริมาณสูง ถ้าเรานำผลแตงกวามาฝานบาง ๆ วางไว้บนผิวหน้านั้นจะช่วยในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวให้หลุดออกนอกจากนี้น้ำที่คั้นได้จากแตงกวายังสามารถนำไปใช้ทาหน้า ช่วยทำให้ผิวหน้าอ่อนนุ่มและใช้ลอกฝ้าทำให้ผิวขาวกระจ่างใสเป็นที่สุดค่ะ
เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 2 กล้วยหอมช่วยกระชับหน้าเต่งตึง

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 2 กล้วยหอม

นำกล้วยหอมสุกตัดมาประมาณครึ่งลูกแล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วผสมกับนมสดหรือน้ำผึ้งประมาณครึ่งช้อนชา พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำอย่างนี้เพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณจะสดใส กระชับ และเต่งตึงขึ้นได้ค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 3 คืนความชุ่มช่ำแก่ผิวด้วยแตงโม

ผลไม้สีแดงเนื้อชุ่มช่ำ สำหรับแตงโมนั้นความชุ่มชื้นจากน้ำแตงโมจะช่วยในการปรับสภาพเซล์ผิวหน้าที่แห้งจากการตากแดดที่ทำให้ดำคล้ำกลับมามีสภาพเปล่งปลั่งดีดังเดิมได้ เพียงแค่ใช้น้ำแตงโมมาทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วตามด้วยน้ำเย็นอีกรอบหรือจะนำเนื้อแตงโมมาฝานบาง ๆ นำไปแช่เย็น แล้วนำมาวางให้ทั่วใบหน้าและลำคอ แค่นี้ผิวพรรณของคุณก็จะกลับมาสดชื่นและนุ่มนวลดังเดิมแล้วค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 4 ฝรั่งสดช่วยหน้าใส

ให้คุณนำเนื้อของผลฝรั่งสด 1 ลูกมาปั่นให้เละ แล้วเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อมาพอกหน้า โดยทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าที่เคยหมองคล้ำนั้นกลับมาผ่องใสได้ค่ะ

เคล็ดลับหน้าขาวใสอันดับที่ 5 มะเขือเทศ

เป็นที่รู้กันดีของสาว ๆ หลายคนว่ามะเขือเทศนั้นช่วยให้น่าใสได้ขนาดไหนเพียงแค่นำมาปั่นให้ละเอียดแล้วใช้พอกหน้า หรือฝานบาง ๆ วางให้ทั่วใบหน้า ประมาณ 20 นาที ทำเป็นประจำทุกๆหนึ่งสัปดาห์จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มความขาวเนียนผุดผ่องให้ใบหน้าได้อย่างวิเศษทีเดียว

ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

วิธีคิด..เพื่อสร้างความสุข

ความสุข ใครๆก็อยากมีกันทั้งนั้น ซึ่งการทำให้มีความสุขนั้นก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเช่นกัน แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการทำให้มีความสุข คือ การรักษาความสุขให้อยู่กับเราไปนานๆ

ความสุข ก็คือความพอใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความพอใจที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะทำให้แต่ละคนมีความสุขจึงมีความยากง่ายไม่เท่ากันเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความปรารถนาของบุคคลนั้นๆ แต่โดยรวมแล้ว การจะทำให้ชีวิตมีความสุขนั้นก็มีหลักการคิดอยู่ไม่กี่ข้อ ดังนี้ค่ะ

การสร้างความสุขนั้นสามารถทำได้โดย

smile
smile

1. การตั้งความหวัง หรือการคาดหวัง จะต้องระลึกถึงความเป็นไปได้จริงด้วย พยายามอย่าคาดหวังอะไรที่เกินความสามารถ ที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริง หรือคาดหวังโดยมีผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง เพราะถ้าเกิดการผิดหวังขึ้นมากะทำให้ชีวิตพบกับความทุกข์ได้

2. รักและเข้าใจตัวเอง ก่อนที่จะไปรักใคร เข้าใจใครเราจะต้องรักและเข้าใจตัวเองก่อน ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น ถึงแม้ว่าอาจไม่ได้ดีเท่าคนอื่น แต่ก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา ไม่มีใครที่ดีไปเสียหมดทุกอย่างหรอก เราต้องยอมรับความเป็นจริง ในเมื่อธรรมชาติสร้างมาให้เราเท่านี้ เราก็ต้องพอใจและยอมรับมัน คนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ค่ะ

3. รู้จักเมตตาและให้อภัย คำนี้ต้องสร้างให้เป็นนิสัยติดตัวไปตลอด โดยการเริ่มจากตัวเองก่อน เมื่อผิดพลั้ง ผิดพลาดไป ก็ต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง ไม่โกรธ ไม่เกลียดตัวเอง ไม่มีใครที่ถูกไปหมด หรือผิดไปหมดทุกเรื่องหรอกค่ะ เราจะต้องรู้จักการให้อภัย ซึ่งเมื่ออภัยให้ตัวเองได้แล้วก็จะเป็นพื้นฐานการ ให้อภัย และเมตตาผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เราไม่มีนิสัย อาคาด พยาบาท ไม่คิดร้ายก็ทำให้ชีวิตมีความสุข

4. รู้สึกดีกับตัวเอง เพราะการรู้สึกดีกับตัวเองก็คือการมีความสุขกับตัวเองนั่นเอง ลดความอิจฉา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เค้ามีในสิ่งที่เราต้องการมากกว่า แต่จงมองดูว่าสิ่งที่เรามีนี้ บางคนเค้าก็อยากมีแต่ไม่มีเหมือนเรา จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา และจงอย่าไปอิจฉาชีวิตของคนอื่น พอใจในสิ่งที่ตนเองมี รู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เพียงเท่านี้กะมีความสุขแล้ว

อย่างไรก็ตามถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ชีวิตก็ยังมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ถ้ารู้สึกว่าชีวิตนี้หาความสุขไม่ได้อีกแล้ว  เราขอแนะนำให้คุณรีบไปปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อหาทางออกที่ดีค่ะ อย่าคิดว่าคนที่มีปัญหาทางจิต หรือเป็นบ้าเท่านั้นที่จะต้องไปพบจิตแพทย์ เพราะไม่เช่นนั้นการที่คุณหาทางออกจากความทุกข์ไม่ได้ จะเป็นสาเหตุให้สุขภาพกายแย่ สุขภาพจิตตก โรคต่างๆ รุมเร้าได้ รีบหาทางแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่านะคะ

ที่มาบทความ:Thaieditorial.com

http://women.mthai.com/women-variety/102739.html

การใช้ยาอย่างถูกวิธี

ยาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งยาแต่ละชนิดก็มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน เช่น ยาทา ยาฉีด ยากิน เป็นต้น หากเราใช้ยาไม่ถูกต้อง หรือใช้โดยไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนและทำให้เกิดอันตรายได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา เราจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยา ทั้งในเรื่องของการใช้ยาที่ถูกต้อง รู้จักวิธีการเก็บรักษายาไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว และรู้จักสังเกตว่ายานั้นเสื่อมสภาพหรือยัง ดังนี้

ยา
ยา

1. ใช้ให้ถูกโรค คือ ใช้ยาให้ตรงกับโรคที่เป็น เราไม่ควรซื้อยาหรือใช้ยาตามคำบอกเล่าของคนอื่น หรือหลงเชื่อคำโฆษณา ควรจะให้แพทย์ หรือเภสัชกรเป็นคนจัดให้ เพราะหากใช้ยาไม่ถูกกับโรคอาจทำให้ได้รับอันตรายจากยานั้นได้ หรือไม่ได้ผลในการรักษา และยังอาจเกิดโรคอื่นแทรกซ้อนได้ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะทั้งที่โรคที่เป็นไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อเลย ซึ่งทำให้เชื้อโรคเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้ในภายหลัง

2. ใช้ยาให้ถูกกับคน คือ ต้องดูให้ละเอียดก่อนใช้ว่า ยาชนิดใดใช้กับใคร เพศใด และ อายุเท่าใด เพราะอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของคนแต่ละเพศ แต่ละวัยมีความแตกต่างกัน เช่น ในเด็กการตอบสนองต่อยาจะเร็วกว่าผู้ใหญ่มาก ในสตรีมีครรภ์ยาหลายชนิดมีผลทำให้ทารกพิการได้ ในสตรีที่ให้นมบุตรก็ต้องระวังเพราะยาอาจถูกขับทางน้ำนมซึ่งจะส่งผลให้ทารกได้ ในผู้สูงอายุการทำลายยาโดยตับและไตจะช้ากว่าคนหนุ่มสาว

3. ใช้ยาให้ถูกเวลา ควรปฏิบัติดังนี้

– การรับประทานยาก่อนอาหาร ต้องรับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดี ถ้าลืมกินยาในช่วงดังกล่าวก็ให้รับประทานเมื่ออาหารมื้อนั้นผ่านไปแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมได้ดี

– การรับประทานยาหลังอาหาร โดยทั่วไปจะให้รับประทานยาหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วประมาณ 15 – 30 นาที

– การรับประทานยาหลังอาหารทันที หรือพร้อมอาหาร ให้รับประทานยาทันทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หรือจะรับประทานยาในระหว่างที่รับประทานอาหารก็ได้ เพราะยาประเภทนี้จะระคายเคืองต่อกระเพาะมาก หากรับประทานยาในช่วงที่ท้องว่าง อาจทำให้กระเพาะเป็นแผลได้

– การรับประทานยาก่อนนอน ให้รับประทานยาก่อนเข้านอนตอนกลางคืนประมาณ 15-30 นาที

– การรับประทานยาเมื่อมีอาการ ให้รับประทานยาเมื่อมีอาการของโรค เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้ แก้ปวด

4. ใช้ยาให้ถูกขนาด ควรรับประทานให้ถูกขนาดตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ จึงจะให้ผลดีในการรักษา และควรใช้อุปกรณ์มาตรฐานในการตวงยาไม่ใช้ช้อนทานข้าวหรือช้อนชงกาแฟ เพราะจะทำให้ได้ปริมาณยาที่ไม่ถูกต้อง แต่หากต้อง สามารถเปรียบเทียบหน่วยมาตรฐานดังนี้

1 ช้อนชา (มาตรฐาน) = 5 มิลลิลิตร = 2 ช้อนกาแฟ (ในครัว) = 1 ช้อนกินข้าว
1 ช้อนโต๊ะ (มาตรฐาน) =15 มิลลิลิตร = 6 ช้อนกาแฟ (ในครัว) = 3 ช้อนกินข้าว

5. ใช้ยาให้ถูกวิธี มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ยาที่ใช้ภายนอก ได้แก่ ขี้ผึ้ง ครีม ยาผง ยาเหน็บ ยาหยอด มีข้อดีคือมีผลเฉพาะบริเวณที่ให้ยาเท่านั้นและมีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย จึงไม่ค่อยมีผลอื่นต่อระบบในร่างกาย ข้อเสียคือ ใช้ได้ดีกับโรคที่เกิดบริเวณพื้นผิวร่างกายเท่านั้น และฤทธิ์ของยาอยู่ได้ไม่นาน โดยมีวิธีการใช้ดังนี้

– ยาใช้ทา ให้ทาเพียงบางๆ เฉพาะบริเวณที่เป็นหรือบริเวณที่มีอาการ ระวังอย่าให้ถูกน้ำล้างออกหรือถูกเสื้อผ้าเช็ดออก

– ยาใช้ถูนวด ก็ให้ทาและถูบริเวณที่มีอาการเบาๆ

– ยาใช้โรย ก่อนที่จะโรยยาควรทำความสะอาดแผล และเช็ดบริเวณที่จะโรยให้แห้งเสียก่อน ไม่ควรโรยยาที่แผลสด หรือแผลมีน้ำเหลือง เพราะผงยาจะเกาะกันแข็งและปิดแผล อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคภายใน แผลได้

– ยาใช้หยอด จะมีทั้งยาหยอดตา หยอดหู หยอดจมูก หรือพ่นจมูก

ยาที่ใช้ภายใน ได้แก่ ยาเม็ดยาผง ยาน้ำ ข้อดี คือ สะดวก ปลอดภัย และใช้ได้กับยาส่วนใหญ่ แต่มีข้อเสียคือ ออกฤทธิ์ได้ช้าและปริมาณยาที่เข้าสู่กระแสเลือดอาจแตกต่างกันตามสภาพการดูดซึม โดยมีวิธีการใช้ดังนี้

– ยาเม็ดที่ให้เคี้ยวก่อนรับประทาน ได้แก่ ยาลดกรดและยาขับลมชนิดเม็ดทั้งนี้เพื่อให้เม็ดยาแตกเป็นชิ้นเล็ก จะได้มีผิวสัมผัสกับกรดหรือฟองอากาศในกระเพาะอาหารได้มากขึ้น

– ยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนลงไปเลย ได้แก่ ยาชนิดที่เคลือบน้ำตาล และชนิดที่เคลือบฟิล์มบาง ๆ จับดูจะรู้สึกลื่น ยาดังกล่าวเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์เนิ่นนาน ต้องการให้ยาเม็ดค่อยๆละลายทีละน้อย

– ยาแคปซูล เป็นยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนลงไปเลย ข้อดีคือรับประทานง่าย เพราะกลบรสและกลิ่นของยาได้ดี

– ยาผง มีอยู่หลายชนิด และใช้แตกต่างกัน เช่น ตวงใส่ช้อนรับประทานแล้วดื่มน้ำตาม หรือชนิดตวงมาละลายน้ำก่อน และยาผงที่ต้องละลายน้ำในขวดให้ได้ปริมาตรที่กำหนดไว้ก่อนที่จะใช้รับประทาน เช่นยาปฏิชีวนะชนิดผงสำหรับเด็ก โดยน้ำที่นำมาผสมต้องเป็น น้ำดื่มที่ต้มสุกและทิ้งให้เย็น ต้องเก็บในตู้เย็นที่ไม่ใช่ช่องแช่แข็งและหากใช้ไม่หมดใน 7 วันหลังจากที่ผสมน้ำแล้วให้ทิ้งเสีย

– ยาน้ำแขวนตะกอน (Suspension) เช่น ยาลดกรดต้องเขย่าขวดให้ ผงยาที่ตกตะกอนกระจายเป็นเนื้อเดียวกัน จึงรินยารับประทาน ถ้าเขย่าแล้วตะกอนยังไม่กระจายตัว แสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

– ยาน้ำใส เช่น ยาน้ำเชื่อม ต้องเขย่าขวดก่อนใช้ ถ้าเกิดผลึกขึ้น หรือเขย่าแล้วไม่ละลาย ไม่ควรนำมารับประทาน

– ยาน้ำแขวนละออง (Emulsion) เช่น น้ำมันตับปลา ยาอาจจะแยกออกให้เห็นเป็นของเหลว 2 ชั้น เวลาจะใช้ให้เขย่าจนของเหลวเป็นชั้นเดียวกันก่อน จึงรินมารับประทาน ถ้าเขย่าแล้วยาไม่รวมตัวกันแสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

สรุปข้อแนะนำการใช้ยา

1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ

2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง

3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ

4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหาร ในมื้อนั้นๆ

5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง

6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้ว จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ

8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด

10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้ว มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที

http://www.mnst.go.th/dicpharmacy/PATIENT2.html

เคล็ดลับสุขภาพดี..คุณสร้างได้ไม่ยาก

การมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นใครก็ต้องการกันทั้งนั้น และคนที่เข้าใจวิธีการดูแลตัวเอง รวมถึงใส่ใจตัวเองอย่างจริงจังจึงจะสามารถดูแลสุขภาพให้แข็งแรงได้สมใจ และถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการทราบถึงวิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆ วันนี้มีเคล็ดลับมาฝากค่ะ

Health
Health

กินอาหารเช้า อาหารเช้าเปรียบเสมือนขุมพลังอันยิ่งใหญ่ให้เราได้มีแรงพลังสำหรับการใช้ชีวิตวันใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ยังช่วยในเรื่องของการรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน กระตุ้นการทำงานของสมองทำให้ปลอดโปร่ง อารมณ์ดีแจ่มใสไปทั้งวัน

หมั่นออกกำลังกายเสมอ เลิกใช้ข้ออ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกายกันได้แล้ว เพราะแม้คุณจะอยู่ที่ทำงานก็สามารถขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เดินเข้าออกปากซอยเข้าบ้านแทนการนั่งรถ หากระยะทางที่คุณจะผ่านไปไหนไม่ได้ไกลจนเกินไปก็อาจจะปั่นจักรยานไปทำธุระแทนบ้างก็ได้เช่นกัน เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการออกกำลังกายแล้ว

ไม่กินอาหารขณะดูโทรทัศน์ ทราบไหมว่าการกินอาหารหน้าจอโทรทัศน์นั้นจะยิ่งทำให้เรายิ่งกินมากขึ้นอย่างไม่รู้ปริมาณ จึงทำให้เราอ้วนไม่รู้ตัวนั่นเอง โดยเฉพาะพวกขนม ขบเคี้ยว และน้ำอัดลมต่างๆ ยิ่งกินไปดูรายการโปรดไปรับรองพฤติกรรมนี้ทำคุณอ้วนแน่

เลือกเฉพาะเครื่องดื่มที่สำคัญ ควรเน้นการดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ โดยอาจจะค่อยๆ จิบในระหว่างวันแทนการยกดื่มรวดเดียวจนหมด เพราะการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยกระตุ้นการขับสารพิษออกจากร่างกาย อีกทั้งหากต้องการห่างไกลความอ้วนควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงโดยเฉพาะน้ำอัดลม เพราะเป็นตัวการทำให้คุณอ้วนได้โดยง่าย

กินโปรตีนช่วยอิ่มเร็วขึ้น อาหารที่มีโปรตีนช่วยได้ดีในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก โดยหันมากินโยเกิร์ต ธัญพืชต่างๆ ถั่ว เนยแข็ง เมล็ดอัลมอนด์ เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน และเนื้อปลาอย่างปลาทูน่า เป็นต้น นอกจากนี้ ควรทานพร้อมผักและผลไม้ให้ได้ทุกมื้อ เพราะจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์แถมแคลอรี่ก็ต่ำ ไม่ทำให้อ้วน เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ทำให้คุณอิ่มท้องนานมากขึ้นและไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินไว้อีกด้วย

นอนพักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด การนอนให้เพียงพอทำใจให้สบาย ไม่เครียดเป็นอาหารทางธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพร่างกายมากที่สุด เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆ ได้ในตัวเอง ส่งผลให้ผิวพรรณผ่องใส และช่วยยืดอายุให้ยืนยาวได้อีกด้วยนะ

เคล็ดลับเหล่านี้ ช่วยคุณห่างไกลจากโรคต่างๆ ได้ ทำให้สุขภาพดีแข็งแรง และสำหรับใครที่ต้องการมีรูปร่างดี แนะนำเลยค่ะกับการทานอาหารต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่หนุนให้ร่างกายของคุณสุขภาพดีแข็งแรงในเวลาต่อมาอย่างได้ผลดีทีเดียว

http://health.todayza.com/2012/12/28/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89/