อาการนอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับ (insomnia) โดยทั่วๆไปจะหมายถึง การที่นอนหลับยาก หลับๆ ตื่นๆ หรือตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วหลับต่อไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้รู้สึกเพลีย หลับได้ไม่เต็มอิ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น

นอนไม่หลับ
นอนไม่หลับ

ในผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยควรนอนให้ได้ประมาณ 7-8 ชม. โดยให้สังเกตว่าตราบใดที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วมีความสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย สมองแจ่มใส ทำงานได้ดีตามปกติ ไม่ง่วงหวาวหาวนอน มีการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ดี ถือว่าได้นอนเพียงพอแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะนอนเพียง 5-6 ชม. เท่านั้น

ผู้ที่นอนไม่หลับจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล แม้ขณะที่นอนหลับก็จะตื่นบ่อยกว่าปกติ ในช่วงเวลากลางวันจะง่วงนอนมากผิดปกติ อัตราเมตาบอลิสซึมของร่างกายตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น และเมื่อไปตรวจคลื่นสมอง จะพบลักษณะของ beta EEG activity เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน

ประเภทของการนอนไม่หลับ

1.แบบชั่วคราว หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ หลายคนอาจจะเคยประสบกับปัญหานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน มีปัญหากับที่ทำงาน หรือใกล้ๆวันสอบ หรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้น ก็สามารถหยุดยาได้

2.แบบระยะต่อเนื่อง หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียด หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น ตกงาน ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของตน เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง

3.แบบเรื้อรัง เกิดขึ้นต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน

นอกจากนี้แล้วยังพบได้อยู่เรื่อยๆว่า สาเหตุทางร่างกายบางอย่างก็เป็นต้นเหตุทำให้นอนไม่หลับเรื้อรังได้ เช่น การหายใจผิดปกติขณะหลับ กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างนอน อาการปวด หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคปอด เป็นต้น

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

ได้แก่ สาเหตุทางด้านจิตใจ ปัญหาทางจิตเวช รูปแบบการใช้ชีวิต และความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ซึ่งถ้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากปัญหาข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้อ จะช่วยให้แก้ไขปัญหาให้ลุล่วงลงไปได้

ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ ปัญหาในเรื่องการทำงานที่ยังมีความกังวลอยู่ ปัญหาในครอบครัวที่ยังไม่ได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน ปัญหาความเจ็บป่วยของตนเอง และบุคคลในครอบครัวที่ยังไม่หายเป็นปกติดี ปัญหาทางจิตใจ หรือมีภาวะซึมเศร้าที่ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างได้ผล บางคนอาจลืมนำยานอนหลับที่เคยรับประทานประจำติดตัวมา บางคนอาจรับประทานอาหารก่อนเข้านอนมากเกินไป และบางคนอาจจะรับประทานเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิดอาจทำให้นอนไม่หลับได้ เช่น ยาแก้หวัด ยารักษาโรคหอบหืด และยาลดความดันโลหิตบางชนิด

1.สาเหตุทางด้านจิตใจ
ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับได้บ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว การงาน หรือครอบครัว หลายครั้งที่การได้รับการช่วยเหลือ โดยคำปรึกษาแนะนำให้รู้จัก และเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา จะช่วยทำให้ปรับตัวกับปัญหาได้ดีขึ้น

แนวโน้มของแต่ละบุคคล บางคนมีแนวโน้มง่ายมากที่จะนอนไม่หลับ เช่น ชอบคิดมากคิดเล็กคิดน้อย หรือร่างกายไวหรือตื่นตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้เร็ว เช่น ได้ยินเสียงอะไรเล็กน้อยก็จะรู้สึกตัวตื่นอยู่เรื่อยๆ

2.ปัญหาทางจิตเวช
โรคซึมเศร้า นอนไม่หลับโดยเฉพาะหลับแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหลับต่อยาก เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในคนที่มีภาวะโรคซึมเศร้า ซึ่งอาการอื่นๆ ของโรคซึมเศร้าก็จะประกอบไปด้วย ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง พร้อมๆ กับใจคอที่หดหู่ เศร้า ไม่เบิกบาน ไม่สดชื่นเหมือนเมื่อก่อน ความคิดช้า ความจำไม่ค่อยดี ใจจดใจจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ มักมีเบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย โดยปกติแล้วการรักษาที่สาเหตุของภาวะเหล่านี้ จะช่วยทำให้การนอนหลับกลับมาเป็นปกติอย่างเดิมได้

โรควิตกกังวลชนิด somatized tension พบได้บ่อยที่เป็นสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ ผู้ป่วยมักพบว่าอาการนอนไม่เป็นอาการเด่นเป็นอาการเดียว ในขณะที่ผู้ป่วยโรควิตกกังวลโดยทั่วไปมักจะมีอาการหลายชนิดมาปรึกษาแพทย์
3.รูปแบบการใช้ชีวิต
การใช้สารกระตุ้นสมอง ปัจจุบันพบว่าเป็นปัญหามากขึ้น เนื่องจากสารเสพติดหลายชนิดมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง โดยความไวของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ ขึ้นกับโปรตีนตัวรับในสมอง

กาแฟที่มีคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นสมอง ทำให้มีผลต่อการนอนหลับ โดยพบว่าจะหลับได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการดื่มกาแฟใกล้เวลาเข้านอน ผลดังกล่าวเกิดขึ้นได้แม้จะเป็นกาแฟที่สกัดคาเฟอีนก็ตาม

สารนิโคตินในบุหรี่จะออกฤทธิ์กระตุ้นสมอง ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่บ่อยมักมีปัญหาหลับได้ยากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

การดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ก่อนนอน อาจช่วยทำให้ง่วงหรือรู้สึกหลับได้ง่ายขึ้น แต่ผลที่ตามมาหลังจากแอลกอฮอล์ถูกเผาผลาญในร่างกายประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังจากนั้น จะทำให้เกิดสารที่ไปรบกวนการนอนหลับ โดยมักจะหลับๆ ตื่นๆ หลับไม่ลึก ตลอดทั้งคืน

เวลาการเข้านอน หลายคนมักเข้านอนไม่เป็นเวลาและแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละคืน รวมถึงคนที่ต้องทำงานเป็นกะด้วย อาจจะทำให้มีผลต่อการนอน คือ นอนไม่หลับได้ การพยายามปรับเวลาเข้านอน-ตื่นนอนให้สม่ำเสมอ จะช่วยให้ปัญหานี้ดีขึ้นได้

พฤติกรรมการเรียนรู้ หลายคนนอนไม่หลับหลังจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นคลี่คลายลงไปแล้ว การนอนไม่หลับยังคงดำเนินอยู่ และอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน คือ ความวิตกกังวลว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ใจจดใจจ่อกับนาฬิกาว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว บางคนถึงกับกลัวห้องนอน หรือการนอนเลยทีเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะหลับ เช่น นอนอ่านหนังสือบนโซฟา หรือนอนฟังวิทยุนอกห้องนอน กลับเผลอหลับได้ง่ายขึ้น

พฤติกรรมการเรียนรู้เหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง การรักษาปัญหานอนไม่หลับลักษณะนี้จะมุ่งที่พฤติกรรมการนอน, การลดความวิตกกังวล และการทำให้บรรยากาศของห้องนอนของเดิมนั้นเปลี่ยนไปและทำให้เกิดความรู้สึกง่วง สงบ และอยากนอน

ความเจ็บป่วยทางกาย

อาการปวด ไม่ว่าจะเป็นจากอาการปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ จะรบกวนคุณภาพและประสิทธิภาพการนอนหลับอย่างมาก

สาเหตุของนอนไม่หลับเรื้อรังเกิดจากกลุ่มอาการหายใจผิดปกติในขณะหลับ หรือหยุดหายใจเป็นพักๆ ในขณะหลับ ทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นพักๆ อาจรู้สึกได้ว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดีพอ หลับได้ไม่ลึก ไม่สดชื่น อาการหยุดหายใจจะเกิดขึ้นเป็นพักๆ อาจหลายสิบครั้งจนกระทั่งถึงหลายร้อยครั้งได้ในแต่ละคืน

ขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างหลับ ในบางรายจะพบว่าในขณะที่หลับนั้น กล้ามเนื้อที่ขาจะมีอาการกระตุกเร็วๆ เป็นพักๆ ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณทุกๆ 30-45 วินาที และอาจจะต่อเนื่องเป็นชั่วโมง หลายรอบต่อคืน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จะทำให้สมองตื่นเป็นพักๆ โดยที่คนผู้นั้นอาจไม่รู้สึกตัวตื่น ผลในตอนเช้าก็คือ จะรู้สึกว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดี

เมื่อไหร่จึงควรมาปรึกษาแพทย์

เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องการนอนที่รบกวนและมีผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างต่อเนื่อง 2-3 อาทิตย์ ขึ้นไปนั้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที หลายครั้งที่ปัญหาการนอนไม่หลับสามารถดีขึ้นได้ เพียงเข้าใจธรรมชาติของการนอน หรือปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม หรือทัศนคติบางอย่างที่มีต่อการนอนหลับ

แต่ในบางครั้งแพทย์อาจจะพิจารณาใช้ยาบางอย่าง เพื่อช่วยทำให้ปัญหาการนอนดีขึ้น หรืออาจจะต้องส่งตรวจเพื่อประเมินสภาพการนอนหลับให้ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ส่งตรวจห้องปฏิบัติการนอนหลับ เป็นต้น ปัจจุบันถือเป็นการตรวจมาตราฐานที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง สามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งของรัฐและเอกชน

พึงระลึกไว้เสมอว่าอาการนอนไม่หลับอาจเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ โดยเฉพาะโรคทางจิตเวชบางชนิด

ข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนไม่หลับ โดยเฉพาะในการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆ คลี่คลายลงไปได้ไม่มากก็น้อย การรักษาปัญหานอนไม่หลับมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร ผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ

1.เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง
2.ถ้าจะงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 นาฬิกา เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้นๆได้
3.ไม่ควรใช้เวลาอยู่บนเตียงนานๆ โดยที่ไม่หลับ ไม่ควรนอนค้างอยู่บนเตียงทั้งที่ไม่หลับ ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะชดเชยการนอนให้มากที่สุด เพราะการกระทำลักษณะนี้จะยิ่งทำให้คุณภาพการนอนยิ่งแย่ลง และเกิดความไม่ต่อเนื่องของการหลับได้มากขึ้น
4.ควรตื่นนอนในตอนเช้าให้เป็นเวลาทุกวันสม่ำเสมอ
5.พยายามหาเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีขึ้น
6.หลีกเลี่ยงยาหรือสารเคมีบางตัวที่จะมีผลต่อการนอนหลับ เช่น กาแฟ บุหรี่ เป็นต้น
7.ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้นจะไปมีผลรบกวนต่อการนอนหลับของเราเองได้ …

(จาก นสพ. ไทยรัฐ)

http://zybernia.wordpress.com/2009/07/05/sleepless-2/

นอนดึก…อันตรายกว่าที่คิด

การนอนน้อยมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันจะมีอายุสั้นกว่าวัยอันควร เนื่องจากร่างกายของเรามีกลไกทุกอย่างคล้ายนาฬิกา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรานอนผิดเวลาจะทำให้ระบบนาฬิกาตรงนี้เสียส่งผลให้ระบบของร่างกายแปรปรวน เพราะนอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ยังส่งผลดังนี้

ระบบแรกเลยที่จะต้องกระทบก็ คือ ระบบการย่อยอาหารจะสูญเสียไป ดังนั้น ถ้าวันไหนต้องนอนน้อยให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่ย่อยยาก เช่นเนื้อสัตว์ แล้วหันมารับประทานอาหารย่อยง่าย จำพวก ธัญพืช ข้าว ข้าวต้ม ไข่ นม ผลไม้ เพื่อช่วยระบบย่อย

นอกจากนี้การนอนดึกทำให้ร่างกายเสียน้ำมาก เนื่องจากร่างกายต้องใช้ “น้ำ” ในการสร้างพลังงาน,ระบายความร้อนและของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เป็นเช่นนี้มากเข้าทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดูดซึมน้ำในทางเดินอาหารซึ่งส่งผลให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนอีก เพราะฉะนั้นหากต้องนอนดึกเราต้องดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำแร่ แต่ไม่ควรดื่มน้ำเกลือแร่ประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะมีคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวขับน้ำออกมาเกิดภาวะขาดน้ำมากขึ้น

นอกจากผลกระทบทางด้านร่างกายแล้วยังส่งผลถึงผิวพรรณให้ดูไม่สดใส ขอบตาดำ มีสิวฝ้าขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อน้ำในร่างกายไม่พอก็ต้องดูดน้ำจากทางเดินอาหารซึ่งโดยปกติแล้วทางเดินอาหารส่วนปลายเป็นช่วงที่จะไม่มีการดูดซึมแล้ว แต่เมื่อไม่พอใช้ก็จะถูกดูดซึมกลับเข้ามาอีกและในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของเสียจึงเป็นการดูดของเสียเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองเมื่อน้ำเหลืองคั่งเสียทำให้เกิดภาวะสิวฝ้าขึ้นนั่นเอง

การนอนที่มีผลต่อสุขภาพคือการนอนระดับใด?
โดยปกติแล้วเวลาที่คนเรานอนหลับช่วงแรกที่นอนนั้น คลื่นสมองจะอยู่ในระดับตื้น แล้วลงไปเป็นลึก สลับกันอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เราหลับลึกจริงๆ นั้น อยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง/วัน ดังที่เราเคยได้ยินว่า พระธุดงค์ โยคี ที่ฝึกมาดี ท่านจะใช้เวลานอนน้อยมาก หรือไม่นอนเลยก็มี เพราะจริงๆ แล้ว เวลาที่สมาธิลงไปถึงคลื่นลึกนั้น คือ การนอนนั่นเอง ซึ่งร่างกายคนเราก็ต้องการอย่างนั้นวันละ 3-4 ชั่วโมงเอง แล้วเวลาท่านนั่งสมาธิลงไปลึกขนาดนั้นร่างกายซ่อมเลยกระบวนการของร่างกายดีขึ้นมาหมด สำหรับคนทั่วไปที่ทำสมาธิจิตไม่ได้ถึงระดับนั้นการนั่งสมาธิก่อนนอนก็ช่วยนำจิตให้ดิ่งไปสู่คลื่นที่ลึกลงไปทำให้ได้การนอนที่มีคุณภาพ “หลับก็ในอู่ทะเลบุญ” ตื่นมาก็สดชื่น

“ความจริงแล้วถ้าเรานอนให้พอ แล้วพอถึงคราวทำงานสามารถทำงานได้อย่างตั้งใจ และมีประสิทธิภาพที่ดีจะเป็นประโยชน์มากกว่า  สังเกตชาวเยอรมันจะเป็นคนที่มีวินัยดีมาก ถึงคราวทำงานทำจริงจัง ทำเต็มที่แต่เมื่อถึงเวลาพัก กล้าพักเลย ประเทศอื่นเวลาทำงานจะทำจันทร์-ศุกร์ แล้วพักเสาร์-อาทิตย์ แต่ของชาวเยอรมันถึงช่วงบ่ายของวันศุกร์พักแล้ว เย็นวันอาทิตย์ก็กลับมา พอถึงเวลาทำงานก็ทำอย่างจริงจัง รวมเวลาทำงานแล้ว 4 วันครึ่ง แต่ได้ผลงานมากกว่าคนที่ทำงาน 5-6 วันเสียอีก เพราะเวลาทำงานไม่มีอู้เลยทุ่มเต็มที่ แต่พอถึงเวลาพัก กล้าพัก อย่างนี้กลับมีประสิทธิภาพและคุณภาพในการดำเนินชีวิตดีกว่า”…

http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99.html

วิธีการขจัดกลิ่นปาก

กลิ่นปากเป็นปัญหาหนึ่งที่สร้างความกังวลใจ และความรู้สึกไม่มั่นใจ สำหรับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะพยายามใช้น้ำยาบ้วนปาก ยาอม หรือสเปรย์ดับกลิ่นปาก ก็ให้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้ายังไม่ได้รับการแก้ไขที่สาเหตุที่ถูกต้อง กลิ่นปากก็ยังคงอยู่ ซึ่งกลิ่นเหม็นนี้เกิดขึ้นได้คล้าย ๆ กับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นผลมาจากแบคทีเรียกลุ่มที่ทำให้เกิดการย่อยสลายโดยไม่ต้องการอากาศ

ดังนั้น บริเวณใดที่มีเศษอาหารตกค้าง แบคทีเรียก็ทำให้เกิดการบูดเน่าและมีกลิ่นเหม็นขึ้นได้ อะไรก็ตามที่มีผลให้มีเศษอาหารตกค้างหมักหมมก็จะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ บริเวณที่จะพบบ่อย ๆ คือที่ลิ้น ร่องเหงือก ใต้ขอบเหงือก ส่วนอื่นที่สามารถพบได้อีกคือ บริเวณที่อุดฟัน ครอบฟันไม่พอดี การเป็นโรคปริทันต์ เหงือกอักเสบ มีฟันผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ ทำให้มีเศษอาหารตกค้างในบริเวณดังกล่าว จึงเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกตกค้าง ที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้

การแก้ปัญหามีกลิ่นปาก ด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปาก สเปรย์ หรือลูกอมรสมินต์ เป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมากด้วย การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมคลอเฮ็กซิดีนในระยะยาวจะมีผลเสีย ทำให้เกิดคราบสีที่ฟัน ซึ่งน้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้กำจัดสาเหตุที่แท้จริงออกไป ทำให้อาการของโรคถูกปิดบังจนเกิดอาการรุนแรงได้โดยไม่รู้ตัว และในบางครั้งกลิ่นของน้ำยาบ้วนปากก็อาจผสมกับกลิ่นปากจนทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดของการรักษากลิ่นปากก็คือ การค้นหาและกำจัดโรคที่เกิดขึ้น และการแปรงฟันที่สะอาดอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

แปรงฟัน
แปรงฟัน

จึงสรุป 10 วิธีของการขจัดกลิ่นปาก ดังนี้ค่ะ
1. ดูแลใส่ใจสุขภาพในช่องปากให้ดี ด้วยการแปลงฟันอย่างน้อยวันล่ะสองครั้ง เช้าและก่อนนอน หรือแปลงฟังทุกครั้งหลังอาหารก็จะช่วยทำให้ไม่เกิดการสะสมของเศษอาหารในช่องปาก

2. โคนลิ้นเป็นที่อยู่ของแบคทีเรีย อาจจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ การทำความสะอาดโคนลิ้นทุกครั้งหลังที่แปลงฟัน จึงมีความสำคัญมาก โดยใช้แปลงสีฟัน หรือแปลงทำความสะอาดลิ้นโดยเฉพราะก็จะได้ผลดี

3. หลังแปลงฟันตอนก่อนนอน ควรที่จะกลั่วปากด้วยน้ำยาทำความสะอาดทุกครั้ง เพราะว่าน้ำยาจะเคลือบอยู่ในปากเราได้นานในเวลานอน นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดกลิ่นปากในเวลานอนที่มีน้ำลายหลั่งออกมาน้อยได้อีกด้วย

4. น้ำจะช่วยล้างแบคทีเรียที่ออมาจากน้ำลาย ถ้าเราปล่อยให้ปากแห้ง แบททีเรียในปากก็จะเพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นปาก เพราะฉะนั้นในแต่ละวัน เราจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงวพอ

5. ควรงดอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียม หอมใหญ่ เนยแข็งพริกไทย และอาหารที่ให้เกิดกลิ่นฉุนผักชีฝรั่งที่ใช้โรยหน้าอาหารนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะมันจะเป็นตัวช่วยระงับกลิ่น ปากหลังมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี

6. ใบสะระแหน่ หรือใบมิ้นท์ ก็เป็นผักอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถช่วยให้ลมหายใจของเรา หอมสดชื่นขึ้นได้

7. การพกหมากฝรั่งหรือลูกอมกลิ่นมิ้นท์ติดตัวได้ จะช่วยเรื่องกลิ่นปากได้เยอะ แต่ต้องเป็บแบบไม่มีน้ำตาลนะครับ จะฟันผุครับ

8. ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ รับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากๆ เพราะการรับประทานอาหารที่ดีนี่แหละ ที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างปกติ

9. เลิกไปเลยดีกว่าสำหรับพวกชา กาแฟ และเครื่องพวกที่มีแอลดฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงการสูบบุหรี่ด้วย เพราะว่าการบริโภคสิ่งเหล่านี้ อาจจะทำให้สุขภาพในช่องปากไม่ดีได้

10. ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟันทุกหกเดือนเพื่อรักษาสุขภาพปากและฟันให้ดีที่สุด

หมดปัญหากลิ่นปาก
หมดปัญหากลิ่นปาก

แหล่งที่มา : http://www.krabork.com/2012/05/11/วิธีการขจัดกลิ่นปาก/

http://health.kapook.com/view31533.html

http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81/