ข้อดีของคุณพ่อเลี้ยงลูก

เมื่อพูดถึงการเลี้ยงลูกใครๆ ก็นึกถึงคนเป็นแม่ แต่วันนี้เรามีข้อดีของคุณพ่อในการช่วยดูแลเจ้าตัวน้อยมาฝากกัน แล้วคุณจะต้องประหลาดใจว่าในมุมการเลี้ยงลูกของคุณพ่อก็มีข้อดีมากมายแฝงอยู่

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1.คุณพ่อกล้าปล่อยให้ลูกได้เสี่ยงมากกว่า

ความเป็นแม่ ด้วยความใกล้ชิดที่ดูแลกันมาตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ มักทำให้ปกป้องลูกน้อยมากจนเกินไป แต่บางครั้งเด็กๆ ก็ต้องการการเรียนรู้จากความผิดพลาดบ้าง อย่างการหกล้ม หรือทำบางสิ่งไม่สำเร็จ เพื่อให้รู้จักระมัดระวังตัวต่อไป และบ่อยครั้งความกล้านี้จำเป็นต้องอาศัยคุณพ่อที่จะกล้าปล่อยให้เจ้าตัวน้อย ลองผจญภัยดูบ้าง คุณแม่จึงควรปล่อยวาง ไม่ดุคุณพ่อที่ปล่อยให้ลูกน้อยได้ลองด้วยตัวเอง ตราบใดที่คุณพ่อคอยจับตาดูอย่างเหมาะสม

2.คุณพ่อมักมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าเชื่อผู้เชี่ยวชาญ

ความพยายามที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด มักทำให้คุณแม่เกาะติดตำรา และคำแนะนำต่างๆ แต่อย่าลืมว่าเด็กทุกคนก็ไม่ได้เหมือนกันแม้แต่ในเรื่องพัฒนาการ คนที่จะรู้เกี่ยวกับลูกของคุณดีที่สุดก็คือคนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดอย่างคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง และความมั่นใจในตัวเอง หรือเชื่อในสัญชาตญาณของคุณพ่อก็จำเป็นในกรณีที่จะช่วยทัดทานคุณแม่ได้ในเรื่องนี้

3.คุณพ่อมักไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม

ความเป็นคุณนายเจ้าระเบียบอาจทำให้คุณแม่ดูแลความเรียบร้อยไปเสียทุกเรื่อง แต่หลายๆ เรื่องก็ไม่ได้จำเป็นต้องระเบียบจัดเกินไปนัก อย่างการแต่งตัวของลูกน้อย หากเขาอยากแต่งตัวแปลกๆ หรือสีเสื้อไม่เข้ากับกางเกง กระโปรงบ้าง ก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แถมยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจในตัวเองให้ลูกน้อยมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเองอีกด้วย ซึ่งความกล้าที่จะปล่อยให้ลูกน้อยเป็นตัวของตัวเองนี้ คุณพ่อมักเป็นฝ่ายที่ยืดหยุ่นมากกว่า

4.คุณพ่อมีความเป็นเด็กสูงนะ

ลูกน้อยไม่ได้ต้องการคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น แต่เขายังต้องการเพื่อนเล่นด้วย แต่การเล่นแบบเด็ก ๆ ต้องการการเลอะเทอะบ้างเป็นครั้งคราว ฝ่ายคุณแม่ซึ่งขี้อายกว่า เจ้าระเบียบกว่า อาจทำได้ยากกว่าฝ่ายคุณพ่อ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในจินตนาการ หรือเล่นซน การที่พ่อลงมาคลุกคลีตีโมง เล่นหัวกับเขา นอกจากจะช่วยเพิ่มความสนิทสนมแล้ว ยังช่วยให้ลูกมีความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองต่อไปด้วย

5.คุณพ่อปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

เมื่อได้ยินเสียงลูกร้องไห้ คุณแม่มักเป็นคนแรกที่จะพุ่งเข้าไปหาเสมอ แม้อาบน้ำอยู่ก็ถึงกับออกจากห้องน้ำทีเดียว แต่ฝ่ายคุณพ่อมักจะใจเย็นกว่า และปล่อยให้ลูกร้องไห้ได้ จนอาจทำให้คุณแม่หงุดหงิดได้ ซึ่งอันที่จริงบางครั้งการปล่อยให้เด็กๆ ได้แก้ปัญหาด้วยตัวเองบ้างก็เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการเติบโตต่อไป

6.คุณพ่อใจเย็นแม้ในสถานการณ์ชวนหงุดหงิด

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเจ้าตัวน้อยไม่อยากอาบน้ำ และร้องไห้โวยวาย คุณแม่อาจรู้สึกหงุดหงิด แต่บ่อยครั้งคุณพ่อมักเป็นฝ่ายที่ใจเย็นพอและยืดหยุ่นได้มากกว่า ฉะนั้นเมื่อจะต้องรับมือกับเจ้าตัวน้อย ปล่อยให้คุณพ่อเป็นฝ่ายจัดการบ้างก็ได้ค่ะ

เห็นข้อดีของการให้คุณพ่อได้เลี้ยงลูกอย่างนี้ หวังว่าจะช่วยให้เหล่าคุณพ่อมั่นใจที่จะช่วยคุณแม่ดูแลเจ้าตัวน้อยมากขึ้นนะคะ

อ้างอิงบางส่วนจาก parenting.com

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031222

ห่างไกลโรคมะเร็ง ด้วย 11 วิธี

โดย: ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่ส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม นอกจากนี้ปัจจัยของการเกิดโรคมะเร็งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

โรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยไปแล้วถึงปีละ 6 หมื่นกว่าคน ดังนั้นวันนี้ผู้เขียนจึงมานำเสนอวิธีการดำเนินชีวิตง่ายๆ ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ดังนี้
1. ดื่มน้ำที่สะอาด การลดสารที่ก่อตัวทำให้เกิดโรคมะเร็งวิธีหนึ่ง คือการดื่มน้ำที่สะอาด จากการศึกษาที่เพิ่มค้นพบใหม่จากสถิติของสถาบันมะเร็งพบว่าการดื่มน้ำสะอาดจากเครื่องกรองจะดีกว่าการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่มีคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน และจากการศึกษาของสมาคมสิ่งแวดล้อมพบว่าการเก็บรักษาน้ำในเหยือกแก้ว หรือภาชนะสเตนเลส จะดีกว่าการเก็บรักษาในภาชนะพลาสติก

2. พยายามหลีกเลี่ยงการสูดดมหรือสัมผัสก๊าซขณะเติมน้ำมันรถ เพราะสารพิษที่อยู่ในอากาศสามารถเข้าสู่ปอดและหากกระเด็นสู่ผิวหนังจะทำให้เกิดมะเร็งได้

3. การหมักเนื้อสัตว์ก่อนการปรุงอาหาร การทำอาหารประเภทปิ้งย่างนั้นหากไหม้หรือมีเศษสีดำของการเผาของถ่านติดอยู่จะทำให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นหากจะทำการปิ้งย่างอาหาร งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Kansas พบว่าการหมักเนื้อสัตว์เหล่านั้นก่อนการปิ้งย่างอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมงสามารถลดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่างเผาได้ถึง 87%

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างพอเพียงสามารถลดความเข้มข้นของการขับถ่ายปัสสาวะได้และลดมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นกับกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันหรือให้ปริมาณปัสสาวะมีสีเจือจางเมื่อขับถ่ายทุกครั้ง

5. รับประทานผักผลไม้สีเขียว เพราะสารแมกนีเซียมจากพืช ผักสีเขียวช่วยลดมะเร็งลำไส้ได้โดยเฉพาะสุภาพสตรี อีกทั้งการได้รับสารแมกนีเซียมที่เพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานอย่างปกติ การรับประทานผักขมครึ่งถ้วยต่อวันให้ปริมาณแมกนิเซียม 75 มิลลิกรัม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

6. ออกกำลังกายลดการเกิดมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเผาผลาญไขมัน ดังนั้นการออกกำลังกายโดยการเดินเร็วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 18%

7. ลดการส่งเสื้อผ้าไปซักแห้ง จากการวิจัยของ National Academies of Science เมื่อต้นปี 2010 ระบุว่าการซักแห้งหรือซักน้ำมันโดยสาร perc (perchloroethylene) จะมีผลให้เกิดการก่อสารมะเร็งต่อปอด ไตและตับได้เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน ดังนั้นการใช้สารซักแห้ง ซักน้ำมันที่ทำให้ผ้าเรียบอาจไม่ปลอดภัยอีกแล้ว

8. ลดการใช้ปริมาณสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารฟอกขาว สารเคมีในการขัดห้องน้ำ สารขจัดคราบสกปรกต่างๆ เพราะหากใช้สารเหล่านั้นเป็นเวลานาน การสูดดมหรือสัมผัสจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ การทำความสะอาดห้องน้ำโดยใช้น้ำส้มสายชูก็เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีไม่น้อย

9. หลีกเลี่ยงการผ่านสารรังสี ไม่ว่าจะเป็นการฉายแสงตรวจดูมะเร็งเต้านมประจำปี การทำแมมโมแกรม เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว การตรวจมะเร็งโดยใช้วิธีคลำหา และไม่ผ่านรังสีอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะการเกิดมะเร็งได้ดีกว่า

10. ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือโดยการแนบหูเป็นเวลานาน เนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์มีคลื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้โทรศัพท์โดยมีอุปกรณ์เสริมจะลดผลกระทบต่อระบบประสาทและสมองได้

11. ทาโลชั่นกันแดด เนื่องจากแสงยูวี จากแสงอาทิตย์มีปริมาณมากในปัจจุบันทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้ ดังนั้นการทาโลชั่นกันแดดจะช่วยลดปริมาณแสงอาทิตย์ที่จะส่งผลต่อมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะคนที่ศีรษะล้าน มีผมน้อยควรทาโลชั่นกันแดดเพื่อลดปริมาณสารยูวี

นอกจากนี้การดูแลร่างกายให้ปลอดภัยจากมะเร็งยังมีอีกหลายวิธี เช่นการรับประทานอาหารที่สะอาด รับประทานข้าวขัดสีน้อยแทนข้าวขาว เสริมแคลเซียมให้เพียงพอ รวมทั้งการมีสุขภาพจิตที่แจ่มใสก็เป็นตัวช่วยที่ดี ให้เรามีชีวิตที่ปลอดจากมะเร็ง ลองศึกษาและเปลี่ยนการดำเนินชีวิตใหม่ดูนะคะ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีจะได้อยู่เป็นที่พึ่งของลูกหลานต่อไป ผู้เขียนเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
http://health.yahoo.net/articles/cancer/photos/20-ways-prevent-cancer#21

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000040109

ตรวจเอชไอวี..เถอะ ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรักษาได้

เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ข่าวเรื่องรักษาเอชไอวีให้หายขาดได้เป็นที่ครึกโครมมาก ผู้ติดเชื้อหลายคนมีความหวัง บางรายโทรศัพท์เข้ามาหาผมเพื่อสอบถามรายละเอียด แต่ผมก็ต้องทำให้คนที่โทรมาหาผิดหวังครับ เพราะการรักษาไวรัสเอชไอวีให้ “หายขาด” นั้นอยู่บนเงื่อนไขว่า ต้องตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีในระยะเริ่มแรกที่นักวิจัย บอกว่าภายใน 30 วัน แต่ยิ่งรู้ว่าติดเชื้อเร็วที่สุด ก็จะให้ผลในการรักษาดีกว่า รู้ช้า โดยหลังจากตรวจพบเชื้อแล้วแพทย์จะให้กินยาสูตรเบื้องต้นทันที เหตุที่ต้องเป็นการพบเชื้อไม่เกิน 30 วัน ก็เพราะเอชไอวียังไม่เข้าไปอยู่ในเซลล์ ยังไม่ทันได้ปรับเปลี่ยนสายพันธุกรรมครับทำให้ยาต้านไวรัสสามารถควบคุมเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บอกตรงๆ ครับว่า ผมรู้สึกเห็นใจปลายสายมาก เพราะเขาดูมีความหวัง แต่พอฟังรายละเอียดที่ผมบอกแล้ว เขาก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า “แบบผมก็คงไม่ได้เนอะพี่ ตรวจพบเชื้อมาปีกว่าแล้ว ไม่เป็นไรพี่ ขอบคุณที่เล่ารายละเอียดให้ผมฟังครับ”

จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นผม อ่านข่าวแวบแรกก็คงรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เหมือนผู้ติดเชื้อที่โทร.มา เพราะการพาดหัวข่าวชวนให้เข้าใจผิดจริงๆ เช่น “แพทย์ไทยสุดเจ๋งรักษา “เอดส์” หายขาด” ใครอ่านก็เข้าใจผิดครับ (และเป็นพาดหัวที่ผิดข้อเท็จจริง เนื่องจาก “เอดส์” คือภาวะการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสอันเนื่องมาจากภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งรักษาให้หายขาดได้ การแพทย์บ้านเรารักษาเอดส์ให้หายขาดได้มานานแล้วด้วย)

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการค้นพบดังกล่าวเป็นข่าวดี ถือเป็นความหวังที่จะรักษาเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่มี 2 โจทยใหญ่ๆ ที่ต้องช่วยกันแก้ครับ โจทย์แรกคือจะต้องรณรงค์ให้คนเข้าใจเรื่องเอดส์ ประเมินความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีของตัวเองให้ได้ และคิด ก้าวออกไปตรวจหาการติดเชื้อ ให้เร็วเพื่อที่จะควบคุมเอชไอวีก่อนที่เพิ่มจำนวน จนทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลาในการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเป็นเวลานาน กว่าจะลดจำนวนไวรัสและกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันฟื้นฟูมาอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นการรู้เร็วก็เพื่อจะใช้ยาต้านไวรัสกำจัดเอชไอวีให้ มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาอย่างยิ่ง ซึ่งโครงการวิจัยที่สภากาชาดไทยทำอยู่ นั้นเริ่มจากโจทย์ที่เชื่อว่า ถ้าเรารู้การติดเชื้อให้เร็ว เริ่มรักษาเร็ว น่าจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ สูงสุดคือ กำจัดให้เชื้อเอชไอวีหมดไปได้ โดยทดลองให้ยาต้านไวรัสกับผู้ที่เพิ่งติดเชื้อ ตั้งแต่ 7-30 วัน และผลก็ออกมาอย่างที่เป็นข่าวนั่นแหละครับ

อีกโจทย์สำคัญคือ ขณะนี้มีเพียงคลินิกนิรนาม และศูนย์รับบริจาคโลหิตของสภากาชาด ที่มีเครื่องมือที่ไวต่อการตรวจหาเชื้อตั้งแต่ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากมีพฤติกรรมเสี่ยงก็สามารถตรวจพบเชื้อได้ แต่ใช้ในระบบการรับบริจาคโลหิตของสภากาชาดเท่านั้น สำหรับโรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังใช้วิธีตรวจแบบหาสารภูมิคุ้มกัน (Antibody) ซึ่งต้องรอประมาณ 1 เดือนหลังจากไปมีความเสี่ยงมาจึงจะตรวจได้ซึ่งช้าเกินไปที่รักษาด้วยยาต้านไวรัสเพื่อกำจัดเชื้อเอชไอวีออกจากร่างกายให้หมด เรื่องนี้ ผมคิดว่า รัฐต้องคิดต้องมีนโยบาย ในเรื่องนี้แล้วครับ ช้าไม่ได้ ซึ่งผมขอเสนอว่า รัฐจะต้องเข้ามาสนับสนุน ลงทุนพัฒนาวิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง ให้มีเครื่องตรวจกระจายในแต่ละเขตสุขภาพ และสร้างเครือข่ายในการส่งเลือดโดยให้แต่ละโรงพยาบาลส่งเลือดของผู้ที่มาตรวจด้วยวิธีเดิม (Antibody) ที่มีผลเป็นลบมาตรวจซ้ำตามวิธีการตรวจที่สภากาชาดทำอยู่ เพื่อเราจะได้ค้นพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้เร็วขึ้น จะช่วยให้คน คนนั้นได้รับการรักษาได้เร็วขึ้นและเขาคนนั้น จะได้ป้องกันคู่คนต่อไปของเขา ไม่ต้องรับเชื้อจากเขาได้ แต่จะทำได้มากน้อยอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องคิดริเริ่มทำ ถ้ามั่วแต่คิดว่าไม่คุ้ม ทำไม่ได้ …เราก็ต้องเผชิญกับ อัตราการติดเชื้อที่ยังสูงอยู่ต่อไป

หากแก้ 2 โจทย์ใหญ่ข้างต้นได้ก็จะช่วยให้ปัญหาเอดส์บ้านเราลดลงได้มากครับ ที่แน่ๆ คือลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ รัฐก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและเรื่องยาต้านไวรัส และผมคิดว่า 2 โจทย์นี้เพื่อนๆ สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะช่วยรณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้กับประชาชนและช่วยส่งเสียงกระทุ้งรัฐบาลให้จัดการเรื่องระบบและเครื่องไม้เครื่องมือ

ช่วยกันครับ….ช่วยกันรณรงค์ให้คนประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้และเดินเข้ามาตรวจเลือด เพราะยิ่งรู้เร็ว ก็จะยิ่งรักษาได้ ตรวจเถอะครับ จะได้จัดการชีวิตได้ ยิ่งรู้ผลเร็วก็ยิ่งรักษาได้ผลเร็ว ครับ

หากคุณเคยมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ป้องกัน ตรวจเอชไอวีเถอะครับ…ตรวจเพื่อ (ให้ชีวิต) ก้าวต่อ

บทความโดย: นิมิตร์ เทียนอุดม

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039255