10 เคล็ดลับบริหารเวลา ลดความเครียด

บางทีการที่คุณรู้สึกยุ่งและเครียดอยู่ตลอดเวลา อาจจะไม่ได้มาจากการที่คุณมีงานมากเกินไป หรือมีเวลาไม่มากพอ แต่เพราะคุณไม่รู้จักใช้เวลาของตัวเองมากกว่า

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

หนึ่งในปัญหาหลักที่ก่อให้เกิดความเครียดในการทำงาน ก็คือ งานที่มากเกิน และไม่มีเวลาพอจะทำให้เสร็จ วิธีง่ายๆ ในการออกจากปัญหานี้ก็คือ การจัดระเบียบ และบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายของการบริหารเวลา ไม่ใช่เป็นการหาเวลามากขึ้น แต่คือการจัดลำดับความสำคัญ และใช้เวลาที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด เราได้รวบรวมเคล็ดลับ 10 อย่าง เพื่อให้คุณควบคุมชีวิตตัวเองได้ และสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำ

1.  ทำรายการสิ่งที่ต้องทำและจัดลำดับความสำคัญ นี่คือจุดเิริ่มต้นของการบริหารเวลา เขียนรายการของภารกิจที่ต้องทำ จัดลำดับมันตามความสำคัญ และวางแผนว่าคุณจะทำมันเสร็จเมื่อไร เขียนหน้าที่และกิจกรรมที่จะช่วยทำมันได้เร็วที่สุด การจัดความสำคัญของภารกิจจะช่วยคุณลดความตึงเครียดลงได้

2. สร้างกิจวัตร เลือกเวลาใดก็ได้ในแต่ละวันหรือสัปดาห์ เพื่อจัดการกับภารกิจบางอย่าง เช่น ตอบอีเมล์ โทรศัพท์ ทำงานเอกสาร และทำตามนั้นให้เป็นกิจวัตร

3. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ มันมีบางเวลาที่คุณต้องเรียนรู้ที่จะสร้างขอบเขต การจัดเวลาที่ไม่ดีบ่อยครั้งเป็นผลมาจากตัวเราเอง ที่ชอบตอบตกลงกับหลายสิ่งหลายอย่างเกินไป ทุกครั้งที่เราตกลงจะทำบางอย่างที่นอกเหนือตารางของเรา ภารกิจอื่นที่จัดเวลาเอาไว้ก็จะไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นเรียนรู้ที่จะปฏิเสธบ้าง บางครั้งคำว่า “ไม่” ก็ต้องพูดกับตัวเองด้วย อย่างได้รับอะไรก็ตามที่มากเกินขอบเขตความสามารถของคุณ

4. เรียนรู้ว่าคุณทำงานตอนไหนดีที่สุด คุณสามารถค้นพบตัวเองได้ด้วยการดูผลงานของตัวเองสักช่วงหนึ่ง จากนั้น ก็ให้เวลาที่ตัวเองทำงานได้ดีที่สุดสำหรับการทำงานสำคัญที่สุด

5. แบ่งภารกิจใหญ่ๆ ให้ย่อยลง ถ้าเป็นไปได้ ภารกิจใหญ่ๆ ควรถูกแบ่งเป็นภารกิจเล็กๆ หลายๆ เรื่อง มันจะทำให้ง่ายขึ้นที่จะรับมือกับมัน นอกจากนี้ การใช้วิธีการแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ คุณจะสามารถจัดมันให้เข้ากับตารางเวลาอันแสนยุ่งของคุณได้ง่ายขึ้น

6. ประหยัดความพยายามเอาไว้บ้าง ตัดสินใจว่าภารกิจไหนที่ต้องการความใส่ใจอย่างละเอียดลออ และอะไรที่สามารถทำได้แบบสบายๆ การพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ นอกจากจะเป็นได้ยากแล้ว มันยังยิ่งทำให้คุณเครียดหนักขึ้นไปอีก

7. เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่จำเป็นและไม่จำเป็น แยกแยะงานที่ต้องทำให้เสร็จ กับงานที่สามารถแบ่งไปให้คนอื่นได้ มองหาวิธีที่จะพัฒนาวิธีทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น และพยายามทำงานที่ต้องทำเป็นประจำให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ หรือปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพขึ้น

8. จำกัดเวลา เรากำลังพูดถึงการบริหารเวลา ฉะนั้น โดยธรรมชาติ พร้อมกับการตั้งเวลาเริ่มต้นสำหรับกิจกรรม เราจำเป็นต้องตั้งเวลาที่จะหยุดเอาไว้ด้วย นี่จะต้องการการประมาณการ แต่การเดาของคุณจะพัฒนาขึ้นเมื่อได้ฝึกฝน นี่จะปล่อยให้คุณและคนอื่นสามารถจัดเวลาของกิจกรรมได้ดีกว่า

9. อย่าโหดร้ายกับตัวเอง ให้เวลาตัวเองมากพอที่จะทำงานให้เสร็จ และลดความวิตกกังวล ถ้าคุณมีปัญหาในการทำงานให้ทันเดดไลน์ ให้เวลาตัวเองมากกว่าทีุ่คุณคิดว่าต้องการ เพื่อทำงานให้เสร็จอีก 20 เปอร์เซ็นต์

10. วางแผนเพื่อทำให้ทุกอย่างเสร็จ คุณต้องหาเวลาเอาไว้เพื่อวางแผนและจัดตารางเวลาของคุณด้วย

http://www.yourhealthyguide.com/article/am-10-time-manage.html

สัญญาณ Wi-Fi เป็นสาเหตุให้เกิดการจับตัวกันของธาตุโลหะในเซลล์สมอง

สัญญาณ WiFi อันตรายที่มองไม่เห็น
โรงเรียนหลายแห่งห้ามใช้ WiFi เพราะอันตราย แต่คนไทยบอกไม่เป็นไรกระมัง
โดย ดร.แพง ชินพงศ์
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000060513

wifi kids
wifi kids

http://www.torontolife.com/informer/random-stuff-informer/2010/08/16/barrie-parents-blaming-wi-fi-for-childrens-behaviour-in-school-are-apparently-unfamiliar-with-children-school/

ปัจจุบันมีการใช้สัญญาณ WiFi อินเทอร์เน็ต กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ แต่ใครจะรู้บ้างว่าสัญญาณเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก เพราะสมองและส่วนกะโหลกศีรษะของเด็กยังกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต Dr.Om Ghandhi แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ กล่าวว่า เนื้อสมองของเด็กวัย 5-10 ขวบซึ่งยังอ่อนอยู่ จะถูกสัญญาณของคลื่นWiFi ทะลุทะลวงได้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่

ดังนั้น หากที่บ้านของเรามีสัญญาณ WiFi และคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้เด็กๆได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือแท็บเล็ตหรือเล่นเกมทางอินเทอร์เน็ต นั่นอาจต้องระวังให้มากว่าเด็กๆกำลังเสี่ยงกับการมีปัญหาสุขภาพที่เกิดจาก WiFi และหากคลื่นสัญญาณมีกำลังแรงมาก อาจส่งผลทำให้เด็กบางคนเกิดอาการ ดังนี้

1. ปวดศีรษะบ่อยๆ (ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์)
2. มีอาการเวียนหัวและรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน
3. มองเห็นเลือนรางและมีความผิดปกติทางการมองเห็น เช่น เห็นพื้นที่กำลังเดินอยู่มีลักษณะเอียง หรือมีความรู้สึกเหมือนเดินลงเขา
4. มีความผิดปกติทางการได้ยิน เช่น ได้เสียงของคุณครูฟังดูแปลกๆมีเสียงสูง ต่ำ ทั้งๆที่คุณครูยังคงพูดเสียงปกติเหมือนเดิม
5. มีปัญหาในเรื่องของความจำ
6.ไม่มีสมาธิเวลาเรียนหรือขาดความสนใจในบทเรียน

มีงานวิจัยที่กล่าวถึงผลของ Wi-Fi ต่อสุขภาพ พบว่า สัญญาณ Wi-Fi มีผลต่อทารกในครรภ์มารดา ซึ่งรายงานนี้ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ ที่มีชื่อว่า the Australasian Journal of Clinical Environmental Medicine

โดยรายงานนี้ได้ระบุว่า สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยจากอุปกรณ์ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เป็นสาเหตุให้เกิดการจับตัวกันของธาตุโลหะในเซลล์สมอง ซึ่งการสะสมนี้จะทำให้เกิดอาการออทิสติกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าสัญญาณ WiFi เป็นอันตรายกับเด็กเพราะสัญญาณที่ส่งออกไปทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดการทำงาน ทำให้ไม่สามารถหายใจได้สะดวก และทำให้ดีเอนเอภายในร่างกายถูกทำลายและทำงานไม่เป็นปกติหลังจากได้รับไปเป็นเวลานาน และคลื่นเหล่านี้ถูกค้นพบว่าทำให้มีผลต่อเม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว

ในปัจจุบันโรงเรียนประถมเซนต์วินเซนต์ยูเฟรเซีย ใน Meaford ออนตาริโอ ของแคนาดา ได้ห้ามไม่ให้มีระบบสัญญาณ Wi-Fi ในโรงเรียนระดับอนุบาลและประถมต้น เช่นเดียวกับบางโรงเรียนอนุบาลในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศสและรัสเซีย เนื่องจากมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า คลื่นความถี่ของระบบสัญญาณ WiFi ที่มีความเข้มข้นนั้นอาจมีผลเสียต่อพัฒนาการและอาจทำให้เกิดเนื้องอกในสมองของเด็กได้

แม้การมีคลื่นสัญญาณ WiFi ใช้สร้างประโยชน์ให้กับเราอย่างมากมาย ทั้งเรื่องการติดต่อสื่อสาร การค้นคว้าข้อมูลเพื่อการศึกษา การทำธุรกิจการค้า ฯลฯ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่มีแต่ประโยชน์และไม่มีโทษร่วมด้วย ดังนั้นจึงควรใช้มันอย่างฉลาด รู้จักควบคุมการใช้ของตัวเอง เช่นการไม่ใช้นานเกินไปในแต่ละวัน หรือใช้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้นก็พอ ซึ่งนอกจากสัญญาณ WiFi แล้ว ยังรวมถึงการใช้ไมโครเวฟและโทรศัพท์มือถือด้วยที่มีผลเสียต่อร่างกายได้ถ้าใช้อย่างไม่ระวังหรือมากเกินไป ด้วยรักและห่วงใย ป้องกันไว้ดีกว่าแก้กันเถอะ

ข้อมูลอ้างอิง http://www.earthcalm.com/lp-children-and-emfs/wi-fi-health-risks-and-children/