แฟนบอลสุโขทัยปะทะแฟนพิษณุโลก

เป็นเรื่องของกีฬา  เขาว่ากีฬาเป็นยาวิเศษ
แต่ถ้ารับประทานไม่ถูกวิธี ไม่อ่านฉลากยาก่อน
หรือรับมากไป หรือหวังผลมากไป
ก็อาจไม่วิเศษอย่างที่คาดก็ได้

เกิดเรื่องร้ายในวงการฟุตบอลไทยอีกแล้ว เมื่อแฟนบอลสุโขทัย เอฟซีและแฟนบอลพิษณุโลก ทีเอสวาย เอฟซี ก่อเหตุวุ่นวายหลังจบเกม 90 นาทีในเกมบิ๊กแมตซ์ ดิวิชั่น 2 โซนภาคเหนือเมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม 2556

เกิดเหตุไม่คาดคิดในการแข่งขันฟุตบอลเอไอเอสลีก ดิวิชั่น 2 คู่บิ๊กแมตซ์ ศึกชิงจ่าฝูงระหว่าง พิษณุโลก ทีเอสวาย เอฟซีและสุโขทัย เอฟซี ซึ่งผลจบลงด้วยการเสมอกัน 3-3

ภายหลังจบเกม 90 นาที แฟนบอลสุโขทัยที่ไม่พอใจผลการแข่งขันขว้างปาขวดน้ำลงในสนาม และทั้งสองฝ่ายได้ยั่วยุกันไปมา จนเกิดเหตุปะทะกันทำให้แฟนบอลต้องหนีตายเอาตัวรอด ส่วนสาเหตุต้องรอการสืบสวนต่อไป

แฟนบอลสุโขทัย เอฟซีไล่ตีแฟนพิษณุโลก

+ Phitsanulok FC

+ Sukhothai FC


football บอลจบ คนไม่จบ
football บอลจบ คนไม่จบ


+ https://www.facebook.com/photo.php?v=611218035585692
+ http://www.clipmass.com/movie/2133746240429004
+ http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM05EazFNRFF4Tmc9PQ==&sectionid=

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2

เพลง กราวกีฬา

พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญ         เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ         คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
(สร้อย) อึม อึม อึม อึม กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ… ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะละล้า
ร่างกายกำยำล้ำเลิศ         กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหดอดทน         ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร
(สร้อย) อึม อึม…
ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์         รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย         ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
(สร้อย) อึม อึม…
ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน         สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง         เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว
(สร้อย) อึม อึม…
เล่นรวมกำลังกันทั้งพวก         เอาชัยสะดวกมิใช่ชั่ว
ไม่ว่างานหรือเล่นเป็นไม่กลัว         ร่วมมือกันทั่วก็ไชโยฯ

การใช้เครือข่ายสังคมส่งเสริมท่องเที่ยว (itinlife408)

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม
ผู้เข้าร่วมกิจกรรม

ปัจจุบันพบเห็นการใช้เครือข่ายสังคมเป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำธุรกิจในหลายรูปแบบ ทั้งการแนะนำสินค้า การทำซีเอสอาร์ (CSR = Corporate Social Responsibility) การรับข้อเสนอแนะ ตอบข้อซักถาม  แลกเปลี่ยนข้อมูลกับลูกค้า การบอกต่อถึงผลการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าด้วยกันเอง จนหลายหน่วยงานใช้เป็นกลยุทธ์สร้างช่องทางให้ลูกค้าได้เข้าถึงเครือข่ายสังคมได้ง่าย บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ทันทีเมื่อซื้อ หรือทดลองสินค้า เช่น จัดมุมสวยงามสำหรับถ่ายภาพ ดำเนินการถ่ายภาพให้ลูกค้าแล้วอัพโหลดเข้าแฟนเพจของร้าน จัดตู้คอมพิวเตอร์ออนไลน์และกล้องสำหรับถ่ายภาพและอัพโหลดภาพเข้าโปรไฟล์ของลูกค้าได้ทันที

ปลายเดือนกรกฎาคม 2556 มีอบรมการใช้เครือข่ายสังคมอย่างสร้างสรรค์ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีตัวแทนจากแต่ละอำเภอ ต่างเพศ ต่างวัย ต่างอาชีพ แต่มีเป้าหมายเดียวกัน จัดอบรมที่โรงเรียนลำปางกัลยาณี จัดโดยมหาวิทยาลัยเนชั่น หัวข้อประกอบด้วยการเชื่อมโยงระหว่างเฟสบุ๊คกับยูทูป แล้วเชื่อมไปยังบล็อก หรือเว็บไซต์ข่าว ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมรวมกลุ่มและตั้งชื่อกลุ่มในเฟสบุ๊คว่า tourlampang เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สื่อสาร และผลักดันการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยผู้เข้าอบรมได้สร้างแฟนเพจของพื้นที่เป้าหมายที่ตนรับผิดชอบ สนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยใช้เครือข่ายสังคมเป็นเครื่องมือ

หัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การกำหนดโปรไฟล์ให้เป็นคนน่าคบและเป็นคนสาธารณะ การประยุกต์ใช้เฟสบุ๊คโปรไฟล์ แฟนเพจ กลุ่มปิด กลุ่มเปิด หรือกลุ่มลับ การสร้างแฟนเพจของแหล่งท่องเที่ยว การเขียนบันทึกเชิงสารคดี และการแบ่งปัน การเชื่อมโยงอัตโนมัติระหว่าง facebook.com, twitter.com และ youtube.com การฝึกตัดต่อคลิ๊ปโดยใช้ความสามารถของ youtube.com ที่ใช้ภาพนิ่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ และเสียงประกอบ การสร้างและจัดการเพลลิสต์ (Playlists) ซึ่งครอบคลุมการทำสื่อประชาสัมพันธ์ 3 รูปแบบ คือ ภาพถ่าย ข้อความบรรยาย และคลิ๊ปวีดีโอ สนับสนุนให้ไทยรักษาสถิติการเป็นอันดับ 5 ของโลกที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

+ http://thaiabc.com/lampangnet/admin/956/

+ https://www.facebook.com/groups/tourlampang/

ประเทศไทยมีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนน อันดับ 3 ของโลก

สืบเนื่องจาก อ.ทรงเกียรติ แชร์ข่าวมาให้อ่าน ว่าไทยเราติดที่ 3 เรื่องภัยทางถนน พอติดตามก็ทำให้รู้สึกกังวล เพราะมีผู้คนที่รู้จักจำนวนไม่น้อยจากไป หรือประสบภัยทางถนนในหลายรูปแบบ .. ต่อไปจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัย อย่างเอาจริงเอาจังซะแล้ว ก็เพราะไทยที่ 3 ของโลกนี่หละ

ประเทศไทยมีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนน อันดับ 3 ของโลก
ประเทศไทยมีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนน อันดับ 3 ของโลก

http://www.thairath.co.th/content/edu/359132

อึ้ง .. ไทยติดที่ 3 ของโลก ‘ประเทศที่มีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนน’

องค์การอนามัยโลกเผยรายงานสถานะประเทศ 2013 ไทยมีอัตราส่วนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นที่ 3 ของโลก มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉลี่ยทุกๆ 1 ชั่วโมงมีคนเจ็บ-ตาย 2 คน
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2556 นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือแห่งองค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันอุบัติเหตุ เปิดเผยรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ.2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก เสียชีวิตถึง 38.1 คนต่อประชากร 1 แสนคน รองจากประเทศเกาะนีอูเอ และสาธารณรัฐโดมินิกัน

นพ.วิทยา กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะและคนเดินเท้าแล้วถึง 13,766 คน จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2554  (ปี ค.ศ.2010) เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “แต่จากการประมาณการการเสียชีวิตจากอุบัติภัยบนท้องถนนของประเทศไทย โดยองค์การอนามัยโลก ในปี ค.ศ. 2010 สูงถึง 26,312 คน คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อประชากร 100,000 คน”
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของแต่ละประเทศ ด้วยบรรทัดฐานเดียวกันคือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อประชากร 1 แสนคน แล้วกลายเป็นว่า ไทยมีอัตราผู้เสียชีวิต 38.1 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน นับเป็นอันดับ 3 รองจากอันดับ 1 คือ นีอูเอ (Niue) มีอัตราผู้เสียชีวิต 68.3 คน ต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน อันดับ 2  คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 คนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน
โดยเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2556 องค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยในรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ. 2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) ภาพรวมของการสำรวจจาก 182 ประเทศ มี 6 ประเทศที่ลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ส่วนที่เหลืออีก 176 ประเทศ มี 88 ประเทศที่ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้จริง ขณะที่ 87 ประเทศ อีก 1 ประเทศไม่ระบุ มีสถิติผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ในรายงานยังบอกว่า 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตเป็นคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 15-29 ปี  ถ้าแต่ละประเทศไม่ป้องกัน การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจะขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของการเสียชีวิตของคนทั้งโลกภายในปี พ.ศ. 2573
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา องค์กรอนามัยโลก ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกกับโรงพยาบาลขอนแก่น แถลงผลการรายงานสถานะความปลอดภัยทางถนนโลก ปี 2556 และจัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในหัวข้อ ทำไมประเทศไทยถึงมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุอยู่อันดับต้นของโลกเพื่อหา แนวทางแก้ไขและแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะในการบรรเทาผู้เสียจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่ง ดร.นิมา อัสการี รักษาการผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า
รายงานความปลอดภัยทางถนนของโลกปี 2556 (Global Stabal Report on Road 2013) พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีผู้เสียชีวิต 38.1 รายต่อประชากร 1 แสนราย รองจากอันดับ 1 แสนราย อันดับ 2 คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 รายต่อประชากร 1 แสนราย และองค์การอนามัยโลกกำลังเป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะจากตัวเลขยานพาหนะที่จดทะเบียนทั่วโลกมีมากขึ้นร้อยละ 15 และในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากอับุติเหตุเป็น 1.24 ล้านราย
ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ระดับต่ำถึง ระดับปานกลาง มียอดผู้เสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 33 บางประเทศสูงถึงร้อยละ 75 และจากการสำรวจระหว่างปี 2550-2553 ใน 182 ประเทศ มีประเทศออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ที่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้อย่างน่าชื่นชม
อย่างไรก็ตาม นพ.วิทยา กล่าวย้ำว่า เป็นที่น่าตกใจที่ข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2554 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะและคนเดินเท้าแล้ว แค่ 13,766 คน ต่างจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ที่ทำการประเมินในปีเดียวกัน มีจำนวนสูงถึง 26,312 ราย คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อประชากร 1 แสนราย เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตัวเลขที่ต่างกันอาจเกิดจากวิธีการเก็บข้อมูลที่ต่างกัน แต่ก็มีความหมายเดียวกันว่า ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุทางท้องถนนของประเทศไทย ถือว่าค่อนข้างวิกฤติมีคนเจ็บ คนตาย เฉลี่ยชั่วโมงละ 2คน และทุกคนมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเหมือนกัน.

โดย ทีมข่าวไทยรัฐทีวี 25 กรกฎาคม 2556, 05:15 น.

http://www.autoyim.com/252081/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94-jpg2

ทำความรู้จัก “คอลลาเจน” ในอาหารกัน


ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

“คอลลาเจน” เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง พอเรามีอายุมากขึ้น เจ้าคอลลาเจนเหล่านี้ก็เริ่มเสื่อมสลายลงไปเรื่อยๆ ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอย และเหี่ยวย่น นี่จึงเป็นที่มาของการสรรหาคอลลาเจนมาเสริมให้กับผิวหนังของเรา

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคอลลาเจนที่สกัดออกมาเป็นเม็ดแคปซูลที่วางขายตามท้องตลาด แต่ อยากจะบอกว่า อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นยอดของเราเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะให้คอลลาเจนแล้ว ก็ยังมีอีลาสตินผสมอยู่ด้วย โดยอีลาสตินนั้นก็จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นนั่นเอง

สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจนอยู่เยอะและหากินได้ง่ายก็คือ เนื้อสัตว์สีขาวทั้งหลาย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา โดยคอลลาเจนจะซ่อนตัวอยู่ในโปรตีนในเนื้อสัตว์เหล่านี้ และยังมีในพวกกระดูกอ่อนหมู กระดูกอ่อนไก่ ซึ่งอาหารที่สังเกตได้ง่ายๆ ว่ามีคอลลาเจนอยู่ อย่างเช่น ต้มยำไก่ น้ำซุปกระดูกหมู เมื่อต้มจนสุกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำซุปก็จะมีลักษณะคล้ายกับวุ้น นี่แหละคือคอลลาเจนที่เราจะได้กินเข้าไป แต่หากว่าใครกลัวอ้วนจากไขมันที่ได้ผสมมา เวลาที่ต้มก็สามารถช้อนฟองไขมันที่อยู่ด้านบนออกทิ้งไป ก็จะช่วยลดไขมันลงไปได้

นอกจากจะพบคอลลาเจนในเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้ว ก็ยังสามารถพบได้อีกในอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก, ปลาทู, ปลากระเบน, กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือพบบริเวณตาปลาที่มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้นใส และยังพบในผักผลไม้ต่างๆ อาทิ สาหร่ายทะเล, เห็ดทุกชนิด, หัวบุก, ถั่วเหลือง, แตงกวา, ขึ้นฉ่าย, มะกอก, ส้มโอ, แก้วมังกร, แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะมีปริมาณน้อยกว่าที่พบในเนื้อสัตว์

ที่สำคัญ การจะกินคอลลาเจนพวกนี้ให้ได้ผลดี จะต้องกินควบคู่ไปกับวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าไปในร่างกาย ให้ร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีคอลลาเจน และมีวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น ต้มยำขาไก่ หรือ ต้มซุปเปอร์ขาไก่ ที่จะได้คอลลาเจนจากน้ำซุปไก่และกระดูกอ่อนของไก่ ผสมกับวิตามินซีจากมะนาวที่บีบลงไปเพิ่มรสชาติเปรี้ยว แถมยังได้คุณประโยชน์เพิ่มเติมจากสมุนไพรและผักอื่นๆ ที่ใส่ลงไปด้วย

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000090304

ใช้เฟซบุ๊กมากไปอาจทำรักพัง

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน facebook มีบทบาทหรือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของคนปัจจุบันไปแล้ว

มีผลการวิจัยครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เฟซบุ๊กมีส่วนสำคัญในการทำลายความรักความสัมพันธ์ หลังจากที่ รัซเซล เคลย์ตัน บัณฑิตวิทยาลัยวารสารศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งมิสซูรี่พบว่า ยิ่งใช้เวลากับเฟซบุ๊กมากขึ้นเท่าไหร่ เฟซบุ๊กก็จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งบางครั้งก็ยังส่งผลกระทบทางลบทั้งในด้านอารมณ์และร่างกายด้วย อย่างเช่น ปัญหาเรื่องการนอกใจ เลิกรา หรือหย่าร้าง

ทั้งนี้ นายเคลย์ตัน นำผลสรุปออกมาเปิดเผยหลังจากที่เขาทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนเล่นเฟซบุ๊ก ที่มีอายุระหว่าง 18–82 ปี ทำให้พบว่า คู่รักที่เล่นเฟซบุ๊กมักจะเข้าไปสอดส่องติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ บนหน้าเพจของแฟนตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้เกิดอารมณ์ระแวง หึงหวง และนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในที่สุด

นอกจากนี้ การวิจัยยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ผู้ที่เล่นเฟซบุ๊กมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะติดต่อหรือสานสัมพันธ์กับแฟนเก่ามากกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับแฟนเก่าในเฟซบุ๊กก็ตาม แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหลาย ๆ คนยังคงเข้าไปวนเวียนอยู่ในหน้าเพจหรือติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดนอกใจ

ในขณะเดียวกันเฟซบุ๊กยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ระยะเวลาในการคบหาของแต่ละคู่ลดลง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 ปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้น ในทางตรงกันข้ามคู่รักที่มีระยะการคบหามากกว่า 3 ปีขึ้นไป กลับเป็นกลุ่มที่เล่นเฟซบุ๊กน้อย หรือแทบไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กเลย อีกทั้งคู่รักกลุ่มนี้ยังมีความรักความสัมพันธ์ที่มั่นคงแข็งแรงกว่าด้วย

ถึงแม้ว่าเฟซบุ๊กจะเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารอันยอดเยี่ยม ที่ช่วยให้คุณสามารถพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนข่าวสารกับเพื่อนหรือคนรักเก่าได้อย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้คงจะดีกว่าหากผู้ใช้จัดแบ่งเวลาการเล่นเฟซบุ๊กให้เหมาะสม และเอาเวลาที่เหลือมาดูแลคนรักในชีวิตจริงที่อยู่ตรงหน้าคุณกันดีกว่า โดยเฉพาะคู่รักที่เพิ่งคบหากันใหม่ เพราะคงไม่มีใครปลื้มสักเท่าไหร่ หากเห็นคนรักของตัวเองก้มหน้าก้มตาเล่นเฟซบุ๊กตลอดทั้งวัน

พละห้า หรือ พละ 5

president
president

พละทั้งห้า คือ หลักธรรมที่ผู้เจริญวิปัสสนาพึงรู้

ถ้ามาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตก็น่าจะดี และเคยฟังท่านอธิการให้ คติเตือนใจ 5 พละ มีดังนี้

1. ศรัทธา เป็น แม่ทัพ
2. วิริยะ เป็น กำลัง
3. สติ เป็น พวกพล
4. สมาธิ เป็น สมรภูมิ
5. ปัญญา เป็น อาวุธ

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B0_5

ภาพพิธีไหว้ครู มหาวิทยาลัยเนชั่น
+ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.668764879804313.1073741856.506818005999002
+ https://www.facebook.com/media/set/?set=oa.545305482201993

การแสดงก่อนพิธีไหว้ครู 2556

น้องเน กับ บ่อน้ำ

น้องเน กับบ่อน้ำ (nong naturegift)
น้องเน กับบ่อน้ำ (nong naturegift)

บทเรียน (Lesson) เด็กผู้หญิง (Girl) กับบ่อน้ำ (pond) บนยอดเขา
ตัวละคร หรือประเด็นตาม story board
1. มีปัญหา (Problem)
2. ผู้มีปัญหา (Girl)
3. ภูมิปัญญา (Teacher)
4. วิธีการ (Hope)
5. เป้าหมาย (God)
6. รู้จักฟัง (Listen)
7. ลงมือทำ (Do)
8. อุปสรรค (Threat)
9. จำไว้เลย (Record)
10. สำเร็จแล้ว (Success)
11. เรียนรู้ (Learn)
12. บุญคุณ (Credit)

http://www.youtube.com/watch?v=mlXz_Q-nFZA

บทเรียนที่ 1
เรื่องราวในโลกล้วนเป็นเรื่องเป็นราว
มีระบบ กลไก และกระบวนการ
มีที่มา ที่ไป ตำนาน วรรณกรรม เนื้อหา และบทสรุป
ง่าย ๆ คือ เรื่องนี้มี story board

บทเรียนที่ 2
น้องเน ..น่าจะเข้าวัดฟังธรรมมาก่อน .. กระมัง
เพราะดำเนินชีวิตตาม .. หลักอริยสัจ 4
1. รู้ว่าทุกข์คืออะไร (ทุกข์) .. นั่งร้องไห้ ไม่ได้นั่งหัวเราะ
2. รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร (สมุทัย) .. รู้ว่าเป็นหมู คือปัญหา
3. รู้ว่าต้องดับทุกข์แล้ว (นิโรธ) .. ไม่นั่งเฉย ไม่อยากเป็นหมู
4. รู้ว่าหนทางดับทุกข์ต้องเดินอย่างไร (มรรค) .. ตักน้ำใส่บ่อคือก้าวแรก
กรณีนี้ น้องเนเขาไม่รู้หรอกว่า ความจริงคืออะไร
แต่น้องเนเชื่อว่าถ้าตักน้ำใส่บ่อ จะได้พบพระเจ้า จะได้ขอพร
พอสรุปได้ว่า เดินถูกทาง ผลถูกใช้ ก็นับว่าเป็นบทเรียนที่ดีได้ในระดับหนึ่ง

บทเรียนที่ 3
ใน 4 ทักษะของการเรียนรู้ คือ สุ จิ ปุ ลิ
ผมว่าทักษะการฟังของน้องเน .. เข้าขั้นใช้การได้
ถ้านึกถึง พละ 5 ที่ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา
ก็ต้องบอกว่า 4 พละแรกสอบผ่านเลย
บางทีคนที่ประสบความสำเร็จก็ไม่จำเป็นเก่งไปหมด
ขอให้มีดีสักเรื่อง และใช้ให้ถูกทาง .. ก็พอ
http://www.thaiall.com/blogacla/burin/3310/

จุดตรวจสอบการเข้าระบบเฟสบุ๊ค (itinlife407)

fb ขอเบอร์ รีบให้ไปเลยนะครับ ถ้าไม่ให้ต่อไปอาจเสีย account
fb ขอเบอร์ รีบให้ไปเลยนะครับ ถ้าไม่ให้ต่อไปอาจเสีย account

ในโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ที่ผู้คนเชื่อมต่อสื่อสารกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ย่อมมีผู้ไม่ประสงค์ดีปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2556 มีข่าวว่าระบบกระดานเสวนาของกลุ่มผู้ใช้ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ Ubuntu ถูกคัดลอกรหัสผู้ใช้ออกไปกว่า 1.82 ล้านรายชื่อ ซึ่งกระดานข่าวนี้ใช้ซอฟท์แวร์ของ vBulletin การกระทำแบบนี้จำเป็นต้องมีความชำนาณ มีเวลา และเทคนิคพิเศษ การเข้าระบบที่มีการป้องกันสูงนั้นผู้ไม่ประสงค์ดีมักเขียนซอฟท์แวร์ขึ้นมาให้ทำงานเฉพาะอย่าง เพื่อเจาะผ่านการป้องกันให้ได้ ยิ่งระบบใดเป็นที่นิยมและถูกใช้แพร่หลายก็จะมีรายละเอียดให้ศึกษามากกว่าระบบที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด จึงเป็นที่สนใจของผู้ไม่ประสงค์ดี

ระบบการป้องกันของเฟสบุ๊คถูกพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ เคยมีข่าวว่าบางคนรับจ้างเพิ่มจำนวนคนกดไลค์ในแฟนเพจ (Fan Page) ซึ่งเคยเป็นไปได้ แต่ในปัจจุบันเฟสบุ๊คได้เพิ่มนโยบายมากมายขึ้นมาป้องกันโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ (Malware) ที่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎ นโยบายสำคัญคือหนึ่งคนมีได้เพียง 1 บัญชี เมื่อสมัครหลายบัญชีก็จะมีกฎให้กรอกหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งระบบจะส่งรหัสความปลอดภัย (Security code) ให้ทางอีเมล เพราะ captcha อาจไม่ใช่เทคนิคในการยืนยันตัวตน เป็นเพียงการยืนยันความเป็นมนุษย์ หากจะยืนยันตัวตนก็ต้องใช้โทรศัพท์ของเข้าของโปรไฟล์ ด้วยการส่งรหัสความปลอดภัย 6 หลักไปให้ทางโทรศัพท์ แล้วกรอกลงไปในเว็บไซต์

นอกจากการป้องกันการสร้างบัญชีเพิ่มใหม่ด้วยการตรวจสอบข้อมูลที่ส่งไปให้ทางโทรศัพท์ ก็ยังมีการตรวจจุดใช้บริการ (Check Point) ว่าอยู่ในพื้นที่ใดบนผิวโลก ใช้บราวเซอร์ (Browser) รุ่นที่เคยใช้อยู่หรือไม่ และเวลาเท่าใด การสมัครสมาชิกจำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้ที่จะสร้างในแต่ละครั้ง ถ้าสร้างมากกว่าที่กำหนดไว้ก็ต้องยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ หรืออนุญาติให้ดำเนินการใหม่ในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นหากไปใช้เฟสบุ๊คในต่างพื้นที่ ทางเฟสบุ๊คอาจตีความว่าเครื่องที่เรากำลังใช้อยู่เป็นฝีมือแฮกเกอร์ แล้วให้ยืนยันการมีตัวตน และความเป็นเจ้าของผ่านข้อความที่เฟสบุ๊คส่งไปให้ทางโทรศัพท์ สำหรับผู้ใช้บริการ Net Cafe หรือ 3G Air card มาใหม่ โปรดตรวจสอบว่าอีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ถูกต้อง เพราะอาจทำให้ท่านไม่สามารถยืนยันตัวตนเพื่อเข้าไปใช้เฟสบุ๊คได้ตามปกติ

ต้องใช้ secure code หากเข้าจากเครื่องต่างถิ่น เพราะ fb กลัวเป็น malware
ต้องใช้ secure code หากเข้าจากเครื่องต่างถิ่น เพราะ fb กลัวเป็น malware

ถ้าต้องใส่ secure code แล้วไม่อยากใส่
มีคำแนะนำว่า ไปเปิดเครื่องที่ใช้ประจำ
จะพบ notication ก็เข้าไปยืนยันว่า Browser ที่ขอมานั้นปลอดภัยชัวร์
เมื่อกลับไปยังเครื่องที่มีปัญหา ก็ไม่ต้องใส่แบบชั่วคราว
ถ้าไม่อยากใส่แบบถาวรก็ไปแก้ setting, security, login approvals

secure code from unknown browser
secure code from unknown browser

http://facebookmobileverification.blogspot.com/

https://www.facebook.com/notes/facebook-security/malware-checkpoint-for-facebook/10150902333195766

ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร กับการสูบ ดื่ม และกิน

แม้รู้สึกว่าภาพนี้เปลือยหมด
ไม่ปกปิดเลย เห็นไปถึงใส้ถึงพุง

smoke drink food
smoke drink food

ในละครแม้ตัวร้ายจะชนะเกือบทั้งเรื่อง
แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้หมดรูปตอนจบ

ในชีวิตจริงส่วนใหญ่เรามีความสุขกันทุกตอน
แต่ก็ไปพ่ายแพ้หมดรูปเอาตอนจบ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=355647757846524&set=a.160962820648353.40827.158264677584834


ยังมีบางคนอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ประพฤติตนเหมือนนางเอก อดทนเพื่อสุข
ค่อย ๆ กิน ค่อย ๆ ดื่ม รักษาสุขภาพให้อยู่ไปนาน ๆ
ยืดตอนสุดท้ายออกไปให้นานแสนนาน เท่าที่จะทำได้

มีคนเล่าว่า
สุขภาพดี ซื้อหาไม่ได้ ต้องทำเอง
น่าจะจริง เหนือความจริงใด ๆ

ภาพข้างล่างเป็นระดับของความสำเร็จ
เมื่อสำเร็จก็มักจะสูบ จะดื่ม จะกิน มากกว่าปกติ

success
success

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=511350935604197&set=a.144428752296419.34908.135349363204358

โปรแกรมเมอร์ต้องรู้จักหุบปาก

programmer
programmer

อ.อุดม แชร์หัวข้อ “โปรแกรมเมอร์ต้องรู้จักหุบปาก
จาก http://amchiclet.wordpress.com
ซึ่งเล่าเรื่องว่าทำไม โปรแกรมเมอร์ไม่ควรพูดมาก

เนื้อหาอยู่ที่
http://amchiclet.wordpress.com/2013/07/20/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81/

คลิ๊ปโปรแกรมเมอร์เล่าเรื่องวิธีการมี Six Pack

ผมว่า โปรแกรมเมอร์คุยแบบมนุษย์ไม่ค่อยรู้เรื่อง
ผมว่า จริงนะ

ที่ blog นั้น ยกมา 3 ตัวอย่าง
1. มาริโอ้ปล่อยมุข
2. มาริโอ้ระบายอารมณ์
3. มาริโอ้แบ่งปันข้อคิดความรู้

.. อ่านแล้วขำ ๆ