ทำความรู้จัก “คอลลาเจน” ในอาหารกัน


ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

“คอลลาเจน” เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง พอเรามีอายุมากขึ้น เจ้าคอลลาเจนเหล่านี้ก็เริ่มเสื่อมสลายลงไปเรื่อยๆ ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอย และเหี่ยวย่น นี่จึงเป็นที่มาของการสรรหาคอลลาเจนมาเสริมให้กับผิวหนังของเรา

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคอลลาเจนที่สกัดออกมาเป็นเม็ดแคปซูลที่วางขายตามท้องตลาด แต่ อยากจะบอกว่า อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นยอดของเราเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะให้คอลลาเจนแล้ว ก็ยังมีอีลาสตินผสมอยู่ด้วย โดยอีลาสตินนั้นก็จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นนั่นเอง

สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจนอยู่เยอะและหากินได้ง่ายก็คือ เนื้อสัตว์สีขาวทั้งหลาย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา โดยคอลลาเจนจะซ่อนตัวอยู่ในโปรตีนในเนื้อสัตว์เหล่านี้ และยังมีในพวกกระดูกอ่อนหมู กระดูกอ่อนไก่ ซึ่งอาหารที่สังเกตได้ง่ายๆ ว่ามีคอลลาเจนอยู่ อย่างเช่น ต้มยำไก่ น้ำซุปกระดูกหมู เมื่อต้มจนสุกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำซุปก็จะมีลักษณะคล้ายกับวุ้น นี่แหละคือคอลลาเจนที่เราจะได้กินเข้าไป แต่หากว่าใครกลัวอ้วนจากไขมันที่ได้ผสมมา เวลาที่ต้มก็สามารถช้อนฟองไขมันที่อยู่ด้านบนออกทิ้งไป ก็จะช่วยลดไขมันลงไปได้

นอกจากจะพบคอลลาเจนในเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้ว ก็ยังสามารถพบได้อีกในอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก, ปลาทู, ปลากระเบน, กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือพบบริเวณตาปลาที่มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้นใส และยังพบในผักผลไม้ต่างๆ อาทิ สาหร่ายทะเล, เห็ดทุกชนิด, หัวบุก, ถั่วเหลือง, แตงกวา, ขึ้นฉ่าย, มะกอก, ส้มโอ, แก้วมังกร, แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะมีปริมาณน้อยกว่าที่พบในเนื้อสัตว์

ที่สำคัญ การจะกินคอลลาเจนพวกนี้ให้ได้ผลดี จะต้องกินควบคู่ไปกับวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าไปในร่างกาย ให้ร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีคอลลาเจน และมีวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น ต้มยำขาไก่ หรือ ต้มซุปเปอร์ขาไก่ ที่จะได้คอลลาเจนจากน้ำซุปไก่และกระดูกอ่อนของไก่ ผสมกับวิตามินซีจากมะนาวที่บีบลงไปเพิ่มรสชาติเปรี้ยว แถมยังได้คุณประโยชน์เพิ่มเติมจากสมุนไพรและผักอื่นๆ ที่ใส่ลงไปด้วย

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000090304

ใช้เฟซบุ๊กมากไปอาจทำรักพัง

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน facebook มีบทบาทหรือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของคนปัจจุบันไปแล้ว

มีผลการวิจัยครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เฟซบุ๊กมีส่วนสำคัญในการทำลายความรักความสัมพันธ์ หลังจากที่ รัซเซล เคลย์ตัน บัณฑิตวิทยาลัยวารสารศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งมิสซูรี่พบว่า ยิ่งใช้เวลากับเฟซบุ๊กมากขึ้นเท่าไหร่ เฟซบุ๊กก็จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งบางครั้งก็ยังส่งผลกระทบทางลบทั้งในด้านอารมณ์และร่างกายด้วย อย่างเช่น ปัญหาเรื่องการนอกใจ เลิกรา หรือหย่าร้าง

ทั้งนี้ นายเคลย์ตัน นำผลสรุปออกมาเปิดเผยหลังจากที่เขาทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนเล่นเฟซบุ๊ก ที่มีอายุระหว่าง 18–82 ปี ทำให้พบว่า คู่รักที่เล่นเฟซบุ๊กมักจะเข้าไปสอดส่องติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ บนหน้าเพจของแฟนตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้เกิดอารมณ์ระแวง หึงหวง และนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในที่สุด

นอกจากนี้ การวิจัยยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ผู้ที่เล่นเฟซบุ๊กมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะติดต่อหรือสานสัมพันธ์กับแฟนเก่ามากกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับแฟนเก่าในเฟซบุ๊กก็ตาม แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหลาย ๆ คนยังคงเข้าไปวนเวียนอยู่ในหน้าเพจหรือติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดนอกใจ

ในขณะเดียวกันเฟซบุ๊กยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ระยะเวลาในการคบหาของแต่ละคู่ลดลง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 ปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้น ในทางตรงกันข้ามคู่รักที่มีระยะการคบหามากกว่า 3 ปีขึ้นไป กลับเป็นกลุ่มที่เล่นเฟซบุ๊กน้อย หรือแทบไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กเลย อีกทั้งคู่รักกลุ่มนี้ยังมีความรักความสัมพันธ์ที่มั่นคงแข็งแรงกว่าด้วย

ถึงแม้ว่าเฟซบุ๊กจะเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารอันยอดเยี่ยม ที่ช่วยให้คุณสามารถพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนข่าวสารกับเพื่อนหรือคนรักเก่าได้อย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้คงจะดีกว่าหากผู้ใช้จัดแบ่งเวลาการเล่นเฟซบุ๊กให้เหมาะสม และเอาเวลาที่เหลือมาดูแลคนรักในชีวิตจริงที่อยู่ตรงหน้าคุณกันดีกว่า โดยเฉพาะคู่รักที่เพิ่งคบหากันใหม่ เพราะคงไม่มีใครปลื้มสักเท่าไหร่ หากเห็นคนรักของตัวเองก้มหน้าก้มตาเล่นเฟซบุ๊กตลอดทั้งวัน